ปลายทางของความรัก
เมื่อความรักต้องพบจุดจบ
ผู้เข้าชมรวม
166
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปลายทางของความรัก
เรื่องราวจากความทรงจำของชีวิตจริง สู่แฟนตาซีเรื่องเศร้า (มั้ง) บางมุมของเรื่องจริงที่อยากให้คนรักรับรู้ ว่าคิดถึงในวันหนึ่งของความทรงจำ
หญิงสาวผู้งดงามในชุดสีขาวยาวและสบัดไปตามแรงลมตลอดเวลา นั่งเหม่อมองไปไกล บนขอบของลานน้ำพุขนาดใหญ่หน้าปราสาทสีขาวครีม มือเรียวกรีดน้ำในบ่อไปมาด้วยท่าทางเศร้าสร้อย ช่างต่างกับผู้คนบริเวณรอบ ๆ ปราสาท อย่างสิ้นเชิง เพราะทุกคนกำลังกระวีกระวาดจัดสถานที่ต่าง ๆ ในปราสาทหลังงามอย่างเร่งรีบ เหมือนกับกำลังจะมีงานใหญ่เกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ แต่ความวุ่นวายเหล่านั้นไม่สามารถดึงความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวคนนี้ไปได้
“ท่านหญิงคะ ออกมาอย่างนี้ไม่ดีนะคะ เดี๋ยวคุณท่านก็ตำหนิเอาหรอกค่ะ” เสียงของหญิงรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ เรียกความสนใจจากคนตรงหน้าได้แค่ชั่วคราว ก่อนจะหันไปวักน้ำขึ้นมาดู ราวกับจะได้เห็นดวงดาวอยู่ในนั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่าไปไหนนะคะ” คนพูด ๆ เหมือนรู้ดีว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนการกระทำดังกล่าวได้ จึงเดินออกไปอย่างหนักใจ
ร่างบอบบางลุกยืนขึ้น แววตาสีนิลฉายแววดื้อรั้น สิ่งใดที่ไม่อยากให้ทำ ช่างเป็นสิ่งที่ควรจะทำยิ่งนัก เมื่อให้นั่งอยู่ที่นี่ อย่าคิดเลยว่าจะนั่ง...ตามใจใคร ๆ เธอเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของปราสาทลัดเลาะไปทางสวนสนหนาทึบ ดวงหน้างามยิ้มเป็นครั้งแรกของวัน...ยิ้มให้กับความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ กาย หากแต่ก็มีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม เมื่อเห็นเงาร่างที่งดงามของตนในอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างทาง
ทั้งเรือนผมที่ยาวประบ่าสีดำสนิทงดงามเป็นประกายยามส่องกระทบกับแสงอาทิตย์หรือกระทั่งแสงจันทร์ ดวงตาสีนิลคู่งามกลมโต คิ้วโก่งเรียวพาดผ่านได้รูป จมูกโด่งเล็กเรียวหากปลายเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากนุ่มนวลสีชมพูเข้ม สีผิวขาวนวลน้ำตาลและนุ่มนิ่มเฉกสตรีควรมี ผิวเนื้อตึงแน่น หากก็นุ่มนวล ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของเรือนร่างมีความสุขอย่างที่คนอื่น ๆ มียามเมื่อได้เห็นตนเองงดงามขนาดนี้
คำพูดประโยคแล้วประโยคเล่า แต่น้ำเสียงเดิมไม่เคยเปลี่ยนวกวนกลับไปกลับไปกลับมาในห้วงคะนึงอย่างอดไม่ได้ คำพูดของชายคนหนึ่ง...ชายผู้เป็นที่รัก...ชายผู้ทิ้งไป
“จำไว้เถอะคนดี ท่านเท่านั้นที่เป็นดวงใจของข้า ท่านเท่านั้นที่ข้าจะรักตลอดไป...รอข้าเถอะคนดี รอวันที่ข้าจะกลับมา ข้าสัญญา...ข้าจะกลับมา และไม่จากท่านไปไหนอีก...ข้าสัญญา”
คำพูดเพียงประโยคสองประโยค ก็สามารถเรียกหยดน้ำใส ๆ จากดวงตางามได้อย่างง่ายดาย แนนลิวาลทรุดลงข้าง ๆ อ่างน้ำขนาดใหญ่ ได้แต่ร้องไห้ มือเรียวเริ่มทุบอ่างน้ำอย่างพยายามจะระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ ไม่มีความเจ็บปวดจากการกระทำดังกล่าว เพราะหัวใจนั้นด้านชา ไม่รับรู้อะไรมานานมากแล้ว แม้แต่หยดน้ำสีแดงที่เริ่มไหลรินจากมือ แนนลิวาลนั่นด้วย...ที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึก
“แนนลิวาล! นี่หยุดนะ” เสียงเรียกด้วยความตกใจดังขึ้นอยู่ข้างหลัง ทำได้แค่เพียงสะกัดน้ำตาของแนนลิวาลเท่านั้น ไม่สามารถเรียกให้เธอหันหลังไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่ได้
“ท่านทำอะไรกัน คิดจะทำลายพิธีดูตัวของเราหรือยังไง จะทำลายเกียรติของพ่อตัวเองได้ลงคอเชียวหรือ เพียงเพราะผู้ชายคนเดียวที่มันทิ้งท่านไป แค่คนที่ไม่กลับมาแค่นั้นหรือ” น่าแปลกที่ประโยคหลังของเขาช่างอ่อนหวานและนุ่มนวลราวปลอบโยน หลังจากเตือนสติด้วยคำพูดที่แข็งกร้าวไปหยก ๆ
เรือนร่างสูงใหญ่สง่างาม เรือนผมสีดำสนิทเงางามสั้นเสมอคอ ผิวกายสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเม้มสนิท คิ้วหนาเข้ม เข้ากับดวงตาสีดำเป็นประกายคู่นั้นที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตัดพ้อ
“ไฮยีฟาร์ ข้าก็แค่สะกดอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้น ให้อภัยด้วยเถอะ” เสียงหวานใสของแนนลิวาลกล่าวขอโทษพลางลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ปาดคราบน้ำตาให้หายไปในทันที
“งั้นหรือ น่าแปลกที่ถึงขั้นเลือดตกยางออกเลย ท่านทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เพราะคน ๆ นั้น คนที่เราจะไม่มีวันมานั่งพูดถึงมัน แต่ก็ท่านทุกครั้งที่ทำให้ข้าต้องพูด ถ้าท่านยังสะกดอารมณ์ไม่ได้อีก คราวหน้าข้าจะพูดถึงมันทุกเวลา ไม่มานั่งสนใจอีกแล้วว่าท่านจะรู้สึกเช่นไร...เพราะท่านก็ไม่เคยสนใจว่าข้ารู้สึกเช่นไร” แนนลิวาลมองผู้พูดที่ดึงผ้าเช็ดหน้าพันมือให้เธอพร้อมกับพูดไปอยู่ชั่วครู่ แววตาไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ไม่ต่างอะไรจากไฮยีฟาร์แม้แต่น้อย
“ข้าจะไม่เป็นแบบนี้อีก เพื่อตัวข้าเอง” แนนลิวาลพูดขึ้นมา ไฮยีฟาร์ยิ้ม แม้ทำเพื่อตัวเองก็ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลย เขาหลีกทางเล็กน้อยให้แนนลิวาลเดินผ่านไป ก่อนจะค่อยเดินตามไปอย่างเหนื่อยหัวใจ
หากเส้นทางความรักมันจะมีอุปสรรคมากมาย เส้นทางของทั้งคู่ก็คงมีอุปสรรคมากมายกว่านั้น เพราะเมื่ออีกฝ่ายรักสุดหัวใจ อีกฝ่ายกลับมีเพียงความเย็นชา และฝังตัวเองกับอดีตที่ปวดร้าว เพราะรักจึงต้องเจ็บปวด ร้าวราน ทำไมการมีรักครั้งใหม่จึงได้ยากเย็นนัก
+++++ 3 ปีก่อน+++++
ชายหนุ่มท่าทางสง่างาม ผมสีดำสนิทเหมือนบรรยากาศยามราตรียาวเสมอคอ ไม่ต่างจากสีของตา รวมถึงคิ้วเรียวหนาที่พาดผ่านดวงตาสีดำใสเป็นประกายระยิบระยับ เข้ารูปกับจมูกโด่ง และริมฝีปากบางสีส้มอ่อน กำลังเรียกหญิงสาวที่วิ่งไปวิ่งมาอย่างซุกซน
“แนน ท่านอย่าวิ่งได้รึเปล่า หยุดก่อนสิ ข้าตามไม่ทันแล้วนะ นี่ถ้าไม่หยุดไม่ตามแล้วนะ” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่พยายามตะโกนเรียกคนรักดังก้องไปทั่ว จนสุดท้ายต้องอ่อนใจ
แนนลิวาลหยุดยืนในมุมหนึ่งของสนามหญ้าขนาดใหญ่ มองคนรักอย่างเอาแต่ใจ แล้วหันกลับวิ่งหนีไปที่พุ่มสนที่หนาทึบทางทิศเหนือ จนมอนเซอเต้ตกใจวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“แนน ออกมาก่อนที่นั่นมันมีพุ่มกุหลาบนะ ออกมาก่อน” มอนเซอเต้พยายามฝ่าหนามกุหลาบเข้าไปแนนลิวาลอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะไม่สนใจหนามกุหลาบที่กรีดผิวสีขาวนวลของตนจนเลือดไหลซิบ
“เซอเต้! เข้าไปทำไมกัน ออกมาเดี๋ยวนี้ นี่ออกมาสิ” แนนลิวาลออกมาจากพุ่มสนพยายามเข้าไปดึงคนรักของมาจากพุ่มหนามกุหลาบ จนในที่สุดทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยแผลจากหนามกุหลาบ
“ท่านเข้าไปทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าคิดว่าข้าอยู่ในนั้น ใครจะเข้าไปได้” แนนลิวาลบ่นอย่างขัดใจ ขณะที่มอนเซอเต้พยายามใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเลือดบนผิวนวล โดยที่ไม่ได้สนใจบาดแผลของตนที่มากกว่ามากมายนัก
“อยู่เฉย ๆ สิครับ จะโกรธไปทำไม ก็ทางมันไกลนี่นา ท่านวิ่งไปแบบนั้น ข้าก็วิ่งตาม แค่ตามผิดที่ไปหน่อยเท่านั้น เอ๊ะ! อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวต้องทายาด้วยนะ เดี๋ยวเป็นแผลเป็นข้าไม่รักหรอกนะ” มอนเซอเต้ข่มขู่ และได้ผลที่คนรักของเขานิ่งไปในทันที
“แล้วใครจะรักข้าล่ะ ท่านก็รู้ว่าข้ามีท่านแค่คนเดียว ถ้าท่านไม่รักข้า ข้าคงตายแน่ ๆ” แนนลิวาลพูดอย่างท้อใจ
มารดาเธอเสียไปแล้ว หญิงสาวเหลือเพียงบิดาที่ไม่เคยให้ความรัก ความเอาใจใส่ หนำซ้ำบิดาก็มีแม่เลี้ยงที่ถึงจะไม่ใจร้ายอย่างในเทพนิยาย แต่ก็เข้ากันกับเธอไม่ได้เอาซะเลย ไหนจะเลอซันชายด์น้องสาวต่างมารดานั่นอีก ที่คอยตามราวีเพราะอิจฉาเธอไปซะทุกเรื่อง ชีวิตที่ไม่มีใครนั้น จะว่าไปก็มีเพียงมอนเซอเต้ เด็กชายที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้านเมื่อ 16 ปีก่อน วันเดียวกับที่เธออายุ 1 เดือน วันเดียวกับที่มารดาจากไป
มอนเซอเต้ เป็นเพียงเด็กชายที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกของใคร เป็นเพียงคนที่ได้รับความเอาใจใส่จากแนนลิวาล เด็กหญิงที่ไม่มีใครเช่นกัน ความผูกพันก่อตัวเป็นความรัก ราวกับว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งไหน เป็นเหมือนท้องฟ้ากับแสงดาวที่หากขาดแม้สิ่งใดสิ่งหนึ่งไป กลางคืนจะงดงามได้เช่นไร
มือเรียวใหญ่ทาบที่แก้มนวลแล้วยิ้มอ่อนโยน แนนลิวาลวางมือของตนทาบทับอย่างต้องการที่พึ่ง “อย่าห่วงไปเลยคนดี ไม่มีใครพรากเราออกจากกันได้หรอก ไม่มีเลย...แม้แต่คนเดียว”
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ต้องถูกลงโทษ เมื่อทำให้เลอซันชายด์ขัดใจ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ต้องอดอาหารด้วยกัน ไม่ว่าจะถูกขังเอาไว้ในห้องที่มืดมิดแค่ไหน ในทุกเวลาก็จะมีมอนเซอเต้อยู่ข้าง ๆ เสมอ สิ่งนี้กระมังที่แนนลิวาลรู้สึกว่าเกิดมาโชคดีจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้รักคน ๆ นี้ และเมื่อได้ความรักตอบ ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย หากแต่อยู่รอบ ๆ ตัวของทั้งคู่นั่นเอง
“ท่านหญิงคะ ตายแล้วเป็นอะไรไปอีก แย่ล่ะสิคราวนี้ ท่านหญิงเลอซันชายด์ฟ้องอะไรท่านพ่ออีกก็ไม่ทราบค่ะ วันนี้คงต้องงดอาหารอีกแล้ว นายท่านยังสั่งกักบริเวณบนยอดโดมอีกสองวันด้วยนะคะ โธ่เอ้ย! มันอะไรกันนักหนานะ” แม่นมของแนนลิวาลบ่นอย่างขัดใจ
“เข้าใจแล้วค่ะ ไปเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า เซอเต้ ไปเจอกันตอนใกล้ ๆ ค่ำนะ” แนนลิวาลพูดจบแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“มอนเซอ ตามป้ามานี่” แม่นมหันมากวักมือเรียกมอนเซอเต้ แล้วเดินนำออกไป เด็กหนุ่มมองตามหลังคนรักไปอย่างเป็นห่วง แม้จะเข้มแข็งขึ้นมาก แม้จะสามารถขึ้นไปที่ยอดโดมอันมืดมิดคนเดียวได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี
++++++++++++++++++++++++++
ห้องกว้างใหญ่นั้นมืดมิดเนื่องจากราตรีกาล มีเพียงแนนลิวาลนั่งกอดเข่าชะเง้อมองไปตรงทางขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ ใจนั้นไม่ได้หวาดกลัว ไม่หวาดหวั่น ดวงหน้างามยังคงมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าคนรักต้องมา
ชั่วครู่มอนเซอเต้ก็วิ่งหอบของพะรุงพะรังขึ้นมาอย่างรีบร้อน ก่อนค่อย ๆ วางลงตรงหน้าคนรักอย่างทุลักทุเล “ป้ามาฟานให้หอบขึ้นมาล่ะ นี่ผ้าห่มนะ นี่ยาเอาไว้ทาแผล ยาแก้ไข้ นี่ไงน้ำ นี่ขนมสารพัดชนิดเลย นี่มีตะเกียงเจ้าพายุด้วย นี่หมอน” มอนเซอเต้ แจกแจงอย่างละเอียดแล้วทยอยส่งของให้คนรักที่รับไปจนมือไม่ว่าง
“เอาวางไว้ก็ได้นี่นา วันนี้มาช้าจัง คงต้องแอบใครมาเยอะล่ะสิ” แนนลิวาลามพลางยิ้มสดใส
“เลอซันชายด์น่ะสิ น่ารำคาญเดี๋ยวนี้ชักตามติดมากกว่าเดิม ตื้อจนน่ารำคาญเลยล่ะ” มอนเซอเต้บ่นอย่างขัดใจ
แนนลิวาลเอียงคอมองคนรักแล้วยิ้ม “โตแล้วนะ 16 ปีแล้วนี่ สง่างามมากกว่าคนทั่วไปอีก ซันชายด์ถึงได้คอยมอง เจ้าเป็นใครกันแน่นะ ถ้ามีคนมาพาเจ้าไปข้าคงร้องไห้จนขาดใจแน่ ๆ “
มอนเซอเต้ขยับเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนรัก แล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้แนบอก พยายามคิด “เป็นใครเหรอ เท่าที่นึกออกน่ะนะก็เป็นลูกหมาตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ของแนนไง ลูกหมามันจะไปไหนได้ล่ะ นอกจากอยู่ใกล้ ๆ เจ้านาย ถ้ามันไปคงอดข้าว อดน้ำ ตายอยู่ข้างทางแน่ ๆ “
“น่าสงสารจัง ข้าก็เป็นได้แค่ลูกแมวตาดำ ๆ ล่ะมั้ง ถ้าไม่มีลูกหมานำทาง ก็คงตายอยู่ข้างทางเหมือนกัน” แนนลิวาลพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“พรุ่งนี้น่ะ ไฮยีฟาร์จะกลับมาแล้วนะ เจ้านั่นต้องมาเกาะแกะท่านเหมือนเดิมแน่ ๆ น่ารำคาญ ทำยังไงถึงจะหนีคนพวกนี้ไปได้สักทีนะ” มอนเซอเต้บ่นอย่างขัดใจ
“งั้นเหรอ พรุ่งนี้แล้วเหรอ จำไม่ได้เลยนะ ช่างเถอะอยากจะมาก็มา ใครสนใจกันล่ะ ให้เลอซันชายด์คอยต้อนรับก็แล้วกัน” แนนลิวาลพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
“ง่วงแล้วเหรอ” ชายหนุ่มก้มลงจุมพิตหน้าผากนวลเบา ๆ ก่อนจะดับตะเกียงที่สองแสงสีเหลือนวล
ถ้าความรักมันยิ่งใหญ่นัก ถ้าความรักไม่ว่าจะพรรณาเท่าไรก็ไม่มีวันหมด ถ้าความรักที่เขามีไม่เคยบกพร่อง ไม่เคยลดลง ถ้าความรักนั้นเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน คนที่อยู่ข้าง ๆ กายจะมีความสุขมากแค่ไหน จะมีรอยยิ้มแบบนี้ไปอีกจนถึงเมื่อไหร่ จะมีวันที่สองเราต้องพรากจากกันไหม ความรู้สึกที่มีมันยิ่งใหญ่พอรึเปล่านะ มอนเซอเต้มองฝ่าความมืด รอบ ๆ กาย เขาไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมนของชีวิต และสิ่งรอบ ๆ ตัว
+++++++++++++++++++++++++
หญิงสาววัยแรกรุ่นยืนคุยกับชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ อย่างร่าเริง หากแต่หยุดชะงักในทันทีเมื่อมองเห็นแนนลิวาลเดินลงมาจากยอดโดมทางทิศใต้อย่างสดใส ชายหนุ่มผละจากหญิงสาวไปหาแนนลิวาลในทันที จึงถูกสายตาที่ส่องประกายความอิจฉาริษยาออกมาอย่างชัดเจน ไม่ปิดบังใคร
เลอซันชายด์ หญิงสาวที่มีหน้าตาธรรมดา ไม่งดงามหยาดเยิ้มอย่างพี่สาวต่างมารดา เพราะสิ่งที่ขาดเพียงสิ่งเดียวในชีวิต จึงก่อเกิดความริษยา ประกายไฟในใจคุกรุ่นอยู่เสมอ และไม่เคยมอดไหม้ดับลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว และเมื่อตอนนี้มอนเซอเต้ที่หมายปอง ชายหนุ่มรูปงามคนนั้น คนที่แต่ก่อนเห็นเป็นเพียงทาสรับใช้ แต่วันนี้ความรู้สึกที่ต่างออกไปหลังจากความงดงามปรากฏยังไม่รวมถึงตำแหน่งที่อาจพ่วงเข้ามาอีกด้วย ทำให้ต้องทำทุกอย่าง เพื่อแย่งชิงเขามาให้ได้
“คอยดูเถอะแนนลิวาล พี่จะไม่เหลืออะไรเลย” เสียงกร้าวดังเพียงบริเวณนั้น ก่อนที่เลอซันชายด์จะเดินหายเข้าไปในปราสาทหลังใหญ่
“แนนลิวาล คิดถึงจัง” เสียงทักทายดังขึ้นอย่างสดใสจากไฮยีฟาร์ แต่ไม่ได้ทำให้แนนลิวาลสดใสไปด้วย
“สวัสดีไฮยีฟาร์ สบายดีเหรอคะ” คนพูดมองต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย อย่างไม่สนใจอะไร
ไฮยีฟาร์มองรอยแผลเล็ก ๆ บนผิวนวลแล้วตกใจ “อะไรกันเนี่ย ไปทำอะไรมา ดูสิ ข้าทำแผลให้เอาไหม”
แนนลิวาลส่ายหน้าทันที “เรียบร้อยแล้วล่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว”
ไฮยีฟาร์ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็นึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญกว่านั้น “เออ วันนี้ข้าพาท่านลอร์ดซีรอนมาล่ะ ท่านมาตามหาคน ๆ หนึ่ง อาจจะเป็นมอนเซอเต้ก็ได้นะ”
นั่นเรียกความสนใจจากแนนลิวาลได้ในทันที “ทำไมล่ะ ทำไมถึงต้องเป็นเซอเต้”
“เมื่อสิบหกปีก่อน อนุภรรยาของท่านพาลูกชายที่เพิ่งคลอดหนีออกมาจากวังซารอน มันควรจะเป็นมอนเซอไหมล่ะ ถ้าใช่ท่านก็คงจะพามอนเซอกลับไป ไปไกลเชียวล่ะ วังซารอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็รู้ มันไกลมากนะ ท่านคงจะกลับวันนี้เลยด้วย ทำใจไว้บ้างก็ดีนะแนนลิวาล” ไฮยีฟาร์พูดดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
แนนลิวาลหันกลับหลังวิ่งออกไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว ผ่านพุ่มไม้มากมายจนไปถึงกระท่อมที่อยู่ด้านหลังปราสาท ไฮยีฟาร์เพียงแต่วิ่งตามไปห่าง ๆ และหยุดอยู่ที่พุ่มไม้รูปทรงกลมไกล ๆ มองดูแนนลิวาลทุบประตูอย่างรีบร้อน จนกระทั่งมอนเซอเต้เปิดประตูออกมา และรับคนรักเข้าสู่อ้อมกอดอย่างตกใจ ไฮยีฟาร์ถอยหลังเดินออกไปอย่างชอกช้ำ เมื่อทั้งคู่รักกัน แล้วเขาจะทำสิ่งใดได้เล่า นอกจากเก็บความรักที่มีเอาไว้ ไม่ให้มันทำร้ายใคร...นอกจากตัวเอง
“แนน เป็นอะไร ร้องไห้เหรอ ใครแกล้ง” น้ำเสียงอ่อนโยนทอดถามอย่างเป็นห่วง น้ำใส ๆ นั้นเรียกความเจ็บปวดจากน้ำเสียงได้มากทีเดียว
“เซอเต้ วันนี้อาจจะมีคนมารับท่านไป ที่เรากลัวน่ะ กำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย เหมือนที่พวกเรารู้สึกมาตลอดไง วันนี้เขามากันแล้วน่ะ ท่านลอร์ดซีรอนเชียวนะ คนที่อาจจะเป็นพ่อของท่านน่ะ” แนนลิวาลพูดด้วยน้ำเสียงสั่น คนรักเพียงคนเดียวที่มีอยู่ แค่เพียงคนเดียว สวรรค์ก็จำต้องพรากไปด้วยหรือ
“ลอร์ดซีรอน ลูกพี่ลูกน้องของลอร์ดซิลวาพ่อของไฮยีฟาร์น่ะเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเราเคยได้ยินเรื่องเขาบ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะพูดถึงข้านี่นา” มอนซาเต้พูดอย่างไม่มั่นใจนัก เรื่องที่ได้ยินมาเกี่ยวกับลอร์ดซีรอนเพียงเล็กน้อยเสมอ
มือของมอนเซอเต้ยังคงลูบเส้นผมนุ่มไม่หยุด หากจะมีสิ่งใดที่จะบรรเทาความทุกข์ของคนตรงหน้าได้บ้าง เขาก็อยากจะทำทุก ๆ อย่าง รวมถึงการไม่ออกจากปราสาทแห่งนี้ไปไหน แต่เขาจะทัดทานไว้ได้แค่ไหน จะยอมเป็นลูกหมาข้างถนนกันสองคนก็คงไม่ได้เหมือนกัน สำหรับเขาแนนลิวาลจะต้องมีชีวิตที่สุขสบายก่อนเป็นอันดับแรก
นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาที่แก้มคนรัก ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาอย่างให้ความเชื่อมั่น มือทั้งสองเกาะกุมกันแน่น ก่อนที่มอนเซอเต้จะจูงคนรักไปที่ปราสาทหลังใหญ่ พร้อมยอมรับกับทุก ๆ เรื่อง การเผชิญหน้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ การทำให้คนรักเชื่อมั่นต่างหากคือสิ่งสำคัญ
++++++++++++++++++++++++++
ห้องอาหารขนาดใหญ่ภายในปราสาทมีเดอร์ปีอาโซร์ (เป็นยศขุนนางระดับเจ้าเมือง) บิดาของแนนลิวาล พร้อมกับซารีซาร์ ภรรยา และเลอชันชายด์ลูกสาวคนโปรด นั่งคุยอยู่กับลอร์ดซีรอน ไฮยีฟาร์ และลอร์ดซิลวาท่าทางเคร่งเครียด มอนเซอเต้จูงแนนลิวาลเข้ามาในห้อง โดยไม่มีใครกล้าห้ามเอาไว้ ด้วยทุกคนต่างก็ต้องการเจอทั้งคู่อยู่แล้ว ทุกคนหันมามองอย่างแปลกใจ
ลอร์ดซีรอนนั้นตกใจมากทีเดียว ดูเหมือนสีหน้าของเขาบอกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือสายเลือดแน่ ๆ ไม่ใช่แค่หน้าตาที่ถอดแบบเขามา แต่เรื่องราวที่ได้รับการบอกเล่านั่นด้วย เป็นเรื่องที่เขาก็เพิ่งทราบจากอนุภรรยาเมื่อเดือนก่อน ก่อนเธอจะตายไป
“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม” น้ำเสียงมุ่งมั่นดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วห้อง ดวงตาที่คมกล้า ปณิธานที่กล้าหาญก็เพื่อคนที่รักเพียงผู้เดียว
“เกรงว่าจะไม่ได้หรอกคุณชาย ข้าคงให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ หรือท่านจะยอมอยู่ข้างถนน ดูรถลาง รถม้าผ่านไปมา จะเอาเช่นนั้นหรือ” เดอร์ปีอาโซร์พูดราวข่มขู่
“ข้าอยู่ได้” แทบจะในทันทีที่มอนเซอเต้ตอบ และแทบจะในทันทีเช่นกันที่แนนลิวาลกระตุกมือคนรักไว้ แล้วขยับเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ
“กลับไปเถอะ แค่ไม่ใช่วันนี้ก็พอนะเซอเต้ ท่านยังกลับมาที่นี่ได้นี่นา ใช่ไหม” แนนลิวาลนั้นยอมห่างจากคนรักดีกว่าต้องทนเห็นเขาลำบากลำบนอยู่ข้างถนน
“ตกลง เราจะกลับตอนเช้าวันพรุ่งนี้” ลอร์ดซีรอนพูดขึ้นมาในทันที ดูเหมือนเขาจะตั้งใจฟังอยู่นานแล้ว
มอนเซอเต้จูงมือแนนลิวาลออกจากห้องอย่างไม่สนใจใคร บิดาเคยเป็นเช่นไรเขาก็ไม่เคยรู้ ทำไมมารดาถึงพาเขาออกจากบ้าน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน ทำไมบิดาจึงไม่ทัดทานไว้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเชื่อใจบิดาแล้ว
และก็จริงอย่างนั้นหากบิดาเขาไม่หลงสาวงามที่มีอยู่มากมาย มารดาก็คงไม่เสียใจจนพาลูกชายตัวเล็ก ๆ ออกจากบ้านทั้งที่เพิ่งเกิด แต่กลับไม่ได้รับความใยดีจากใคร บ้านที่มีเพียงความหนาวเย็น ไร้ซึ่งความอบอุ่น ถ้าไม่ด้วยวัยที่มากขึ้น มีหรือบิดาจะกลับมาสนใจลูกชายที่ถูกลืมไปอย่างมอนเซอเต้ เพียงเพราะต้องการรับผิดชอบ
มอนเซอเต้พาแนนลิวาลเดินไปทางไร่หลังปราสาท ทั้งคู่นั่งอยู่บนผืนหญ้าสีเขียวใหญ่ที่ทอดยาวไปไกล ไกลจนทั้งสองจินตนาการถึงเมืองหลวง ว่ามันจะอยู่ที่สุดปลายทุ่งหญ้าเท่านั้น ถ้าใช้ความพยายามสักนิดมอนเซอเต้ก็คงวิ่งกลับมาถึง...แต่ระยะทางก็ไม่ได้ใกล้แค่นี้ มันไกลกว่านั้น
มอนเซอเต้ดึงคนรักมากอดไว้แนบอก ด้วยรู้ว่าเพียงเวลาไม่นานทั้งสองก็ต้องแยกจากกันไป ไม่รู้ว่านานเท่าไรจะได้กลับมาพบกันอีก ถึงไม่อยากไปแต่ทุกคนก็ต้องแยกทั้งคู่ออกจากกันอยู่ดี
“จำไว้เถอะคนดี ท่านเท่านั้นที่เป็นดวงใจของข้า ท่านเท่านั้นที่ข้าจะรักตลอดไป...รอข้าเถอะคนดี รอวันที่ข้าจะกลับมา ข้าสัญญา...ข้าจะกลับมา และไม่จากท่านไปไหนอีก...ข้าสัญญา” เสียงกระซิบหากแต่มั่นคงดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
......คำสัญญาที่เป็นดังพันธการความรักของคนสองคน......
......คำสัญญาที่ผูกความเชื่อมั่น ความรัก การรอคอย รวมถึงความปวดร้าวเอาไว้ด้วยกัน......
......คำสัญญาที่อาจจะมีใครสักคนรักษามันไว้ไม่ได้......
++++++++++++++++++++++++++++++
แสงแดดยามเช้าสาดส่องน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาเป็นประกายสวยงาม ต่างกับดวงตาที่หม่นหมองไร้แสงของมอนซาเต้ที่มองเข้าไปในปราสาท ราวกับมันทะลุผ่านให้เขาเห็นแนนลิวาล คนที่เขารัก...เพียงคนเดียว
รถม้าสองคันเตรียมพร้อมรอเพียงมอนเซอเต้คนเดียว ทุกคนไม่ได้เร่งชายหนุ่ม ยังคงปล่อยเขามองเข้าไปภายในปราสาทตามที่ใจปารถนา มอนเซอเต้คิดแล้ว ว่าระหว่างพวกเขาไม่ควรมีการลา เพราะสักวันเขาจะกลับมา การจากไปโดยที่แนนลิวาลไม่รู้ อาจจะทำให้เธอเจ็บปวดน้อยลง...เป็นทางที่มอนเซอเต้เลือกเอง เพื่อคนที่เขารัก
....หากแต่มอนเซอเต้เลือกแทนแนนลิวาลไม่ได้...
เสียงของรถม้ารวมถึงเสียงของผู้คน โดยเฉพาะเลอซันชายด์ดัง จนทำให้แนนซิลวาลตื่นด้วยความตกใจ เธอลุกขึ้นมาอย่างรีบร้อนและวิ่งออกมาจากปราสาทอย่างรวดเร็ว ด้วยระยะทางที่ไกลทำให้ตอนที่ออกมาหน้าปราสาท รถม้าทั้งสองคันก็เคลื่อนตัวออกเกือบจะพ้นปราสาทไปแล้ว
แนนลิวาลยังคงวิ่งตามรถม้าไปอย่างไม่ลดละ เท้าบาง ๆ เหยียบก้อนกรวดจนเจ็บปวดไปหมด แต่ไม่ได้ทำให้เธอหยุดวิ่งได้เลย น้ำตาไหลลงมาเป็นสายไม่หยุด เสียงตะโกนเรียกคนรักยังคงดังไปทั่ว
มอนเซอเต้เปิดผ้าที่คลุมด้านหลังรถม้าออกดูอย่างเป็นห่วง อาลัยอาวรณ์ เจ็บปวดราวจะขาดใจ เท้าบาง ๆ นั่นเล่าเหยียบถูกอะไรไปบ้าง จะเจ็บปวดมากมายแค่ไหน คิดได้เพียงแค่นั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ไม่อยากจะอดกลั้น อยากจะเจ็บให้มากกว่าที่คนรักต้องเจ็บ ถ้ากระโดดลงรถม้าแล้วทุกอย่างมันดีขึ้นก็คงจะดี
ลอร์ดซีรอนมองลูกชายแล้วเบือนหน้าหนีไป แม้จะต้องปวดร้าว แต่ความรักที่เพิ่งก่อตัวคงทำให้คนทั้งสองลืมได้ในที่สุด เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าหัวใจที่บอบช้ำของคนทั้งคู่เกินเยียวยาวไปแล้ว
เส้นทางรักช่างเจ็บปวดจริง ๆ เรื่องแค่นี้มอนเซอเต้กับแนนลิวาลยังอดทนแทบไม่ไหว ทางข้างหน้าอีกยาวไกลมันยังโรยด้วยเศษแก้ว อีกมากมาย ทำอย่างไรจึงจะทนจนถึงปลายทางได้...ไม่มีทางเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++
++วังซารอน++
มอนเซอเต้ ได้รับข่าวร้ายในทันทีที่มาถึงได้ไม่นาน เรื่องราวของเขาถูกกำหนดก่อนที่เขาจะกลับมาถึงที่นี่ด้วยซ้ำ พิธีหมั้นระหว่างไฮยีฟาร์กับแนนลิวาลจะถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือน หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนพิธีหมั้นของเขากับเลอซันชายด์ก็จะถูกจัดขึ้นเช่นกัน
มอนเซอเต้ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องในครั้งนี้ เช่นเดียวกับไฮยีฟาร์ แต่ลอร์ดซีรอนก็เป็นคนกล่อมมอนเซอเต้ จนกระทั่งยอมในที่สุด
“ลูกคิดดูเถอะ ด้วยตำแหน่งของพ่อหากคนที่ลูกเลือกคือแนนลิวาล ตัวของคนรักของลูกนั่นล่ะที่จะเดือดร้อน เธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ลูกสาวที่มารดาเสียไปแล้ว จะต้องถูกคนดูหมิ่นมากแค่ไหน ทางเดียวที่เธอจะไม่ถูกดูหมิ่นก็คือภรรยาของท่านเดอร์ต้องรับเธอเป็นลูกสาว ด้วยความสัมพันธ์อย่างนั้น ลูกก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในราชสำนักการดูหมิ่นดูแคลนน่ะฆ่าคนมามากมายตั้งเท่าไหร่ รวมแม่เจ้าด้วยอีกคน พ่อถึงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก” คำพูดที่มีเหตุผล และเป็นเรื่องจริงเช่นนี้ มอนเซอเต้นั้นเข้าใจดีในทุกเรื่อง แต่สิ่งที่ตัดสินใจทำนั้นกลับผิดอย่างร้ายแรง
“ครับ ลูกเข้าใจ แต่ลูกก็จะไม่ยอมหมั้นเด็ดขาด ลูกขอเท่านี้” มอนเซอเต้พูดจบก็หุนหันออกไปทันที ลอร์ดซีรอนมองตามอย่างหนักใจ แต่การบังคับก็ไม่ใช่ทางออก
++++++++++++++++++++++++++
มอนเซอเต้เขียนจดหมายอย่างตั้งอกตั้งใจ พยายามยกเหตุผลต่าง ๆ มากมายเพื่อบอกให้แนนลิวาลยอมหมั้น แต่สุดท้ายก็เห็นว่าทางเดียวที่ทำได้ง่ายที่สุดก็คือยอมตัดเยื่อขาดใยไปซะ แม้จะปวดร้าวซะมากมาย แต่ก็ดีกว่าทนเห็นคนรักอยู่ที่ปราสาทหลังนั้นอย่างไร้ความสุข
มอนเซอเต้ไม่รู้หรอกว่า ไม่ว่าทางไหนแนนลิวาลก็ไม่มีความสุขเลย โดยเฉพาะทางที่เขาพยายามเลือกแทนมาตลอด หากมอนเซอเต้คิดอย่างถ้วนถี่ ไม่ตัดสินความสุขความทุกข์ของแนนลิวาล ความรักของทั้งคู่ก็คงไม่ขาดสะบั้นลงเพราะกระดาษเพียงแผ่นเดียว
...แนน...
ท่านคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้วสินะ ก็อย่างที่ท่านพ่อบอก ถ้าข้าแต่งงานกับเลอซันชายด์ สิ่งที่ข้าจะได้รับคือตำแหน่งขุนนางอันดับสาม พี่ชายของข้าบอกว่าความรักน่ะ มันก็แค่สิ่งที่ลืมได้ง่ายดาย บางครั้งข้าก็คิดอย่างนั้น เพราะตั้งแต่มาที่นี่ สาวงามมากมายทำให้ข้าลืมความรู้สึกเดิม ๆ ไปได้เยอะเลย ท่านก็คงเหมือนกันสินะ คงไม่ต่างกันหรอก ข้าก็แค่คิดว่าท่านควรจะเริ่มใหม่กับไฮยีฟาร์ซะ แล้วท่านจะได้รู้ว่า ความรักมันก็แค่คำพูดเพียงคำเดียว
หากท่านยอมหมั้น ความสุขสบายที่ท่านจะได้รับ มันมากมายกว่าที่ท่านคิดแน่ ๆ เชื่อข้าเถอะ ไฮยีฟาร์ดีพอที่ท่านจะรับหมั้นแน่นอน
หวังว่าท่านจะมีความสุขกับทางที่เลือก ข้าหวังให้ท่านโชคดีเสมอ
...เซอเต้...
จดหมายที่กลั่นคำพูดของตนออกมาอย่างมุ่งมั่น ไม่ได้เรียกความยินดี ความสุขหรือสิ่งที่ควรจะเชื่อมั่นออกมา มีเพียงน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า กับคำพูดที่บอกตัวเองในใจว่าทุกอย่างก็เพราะห่วงหา...ทุกอย่างก็เพื่อรัก
++++++++++++++++++++++++++++
จดหมายถูกส่งถึงปราสาทของเดอร์ปีอาโซร์ ในอีกสามวันถัดมา แนนลิวาลรับจดหมายด้วยความยินดี ข่าวคราวจากคนรักหายไปนานถึง 6 เดือน แต่วันนี้ข่าวคราวของเขามาถึงเธอแล้ว
“แนนลิวาล จดหมายที่ท่านมอนเซอเขียนมาบอกว่าจะแต่งงานกับข้าเหรอ” เสียงสดใสของเลอซันชายด์ดังขึ้นอย่างเยาะเย้ย
แนนลิวาลมองตามน้องสาวไปอย่างแปลกใจ แต่คิดว่าเธอคงล้อเล่นมากกว่า จึงเดินไปนั่งที่ลานน้ำตกแล้วเปิดจดหมายออกอ่านอย่างยินดี
แววตาที่ยินดีค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอ่านจดหมายจบ แววตาที่เคยสดใสนั้นกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว
แนนลิวาลกอดจดหมายไว้แนบอกอย่างถวิลหา อะไรที่ทำให้ความรักเปลี่ยนไปง่ายดายขนาดนี้ ทำไมในขณะที่อีกฝ่ายความรักลดลงทุก ๆ วัน อีกคนที่อยู่ไกล ๆ กลับรู้สึกว่ารักนั้นมากขึ้น...จนวันนี้ วันที่ต้องเสียมันไป จึงได้เจ็บปวดไปทั้งใจแบบนี้
...หรือความรักที่ลดลงของเซอเต้ มันเพิ่มขึ้นในหัวของแนนทุกวันกันนะ...
+++++++++++++++++++++++++
...เซอเต้...
ได้รับจดหมายของท่านแล้ว เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ข้าจะทำเช่นนั้น ข้ามาลองนึกดูแล้วว่า สิ่งที่ไฮยีฟาร์ทำมาเสมอ สมควรอย่างยิ่งที่ข้าจะรักเขาได้อย่างหมดหัวใจในสักวันหนึ่ง ข้ารู้สึกยินดีที่ท่านยังคงเหลือความปานารถดีแก่ข้าอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าขอรับข้อเสนอทุกอย่าง วันที่จดหมายไปถึง ท่านก็คงทราบแล้ว
ข้ายอมรับว่าข้าก็มีความสุขดีอยู่ อย่าห่วงข้าเลย ข้าหวังว่าท่านจะมีความสุขเช่นกัน
...แนน...
...เป็นจุดจบของความรัก เป็นบ่อเกิดของความปวดร้าว...
...เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำ เป็นจุดกำเนิดของความขัดแย้ง...
...เป็นความรักที่ถูกเก็บซ่อน เป็นความเจ็บช้ำที่ภายใต้ความเย็นชา...
ถ้อยคำที่เชือดเฉือนที่เขียนด้วยน้ำตาไม่ต่างกัน ส่งผ่านระยะทางอันยาวไกลไปถึงมอนเซอเต้ที่เมืองหลวง เป็นครั้งสุดท้ายของความรักที่ทั้งสองจะพูดถึงมัน
...ปลายทางที่ฉันรอเธอที่สุดก็จบตรงนี้
...ไปดีเถอะนะคนดี ไม่ต้องคิดอะไร
...เข้าใจว่าวันเวลามันทำให้คนเปลี่ยนไป
...ฉันก็คงไม่คิดโทษใครอยู่แล้ว...อย่าห่วงเลย
...อยากขอบใจที่เคยรักฉัน ที่เคยร่วมทางกันมา
...ต้องขอบใจที่ทำให้รู้ว่าไม่ต้องรอ
...เจ็บยังไงต้องทนรับไว้ ให้เราจบแค่นี้พอ
...จากวันนี้ฉันก็จะขอให้โชคดี
...เวลาทุกวินาทีต่อไปคงหมดความหมาย
...จะเร็วจะช้ายังไงเธอก็คงไม่มา
...เมื่อมันไม่เหลืออะไร เมื่อเธอไม่กลับมาหา
...ฉันก็คงต้องใช้เวลาที่เหลือ เพื่อลืมเธอ
...อยากขอบใจที่เคยรักฉัน ที่เคยร่วมทางกันมา
...ต้องขอบใจที่ทำให้รู้ว่าไม่ต้องรอ
...เจ็บยังไงต้องทนรับไว้ ให้เราจบแค่นี้พอ
...จากวันนี้ฉันก็จะขอให้โชคดี
...คนเราต่อให้รักเพียงใด จะรักจะเป็นจะตายก็คงไม่สำคัญ
...ปลายทางเราต้องแยกจากกัน ไม่เหมือนอย่างฝัน
...ขอบใจเธอที่เคยรักฉัน ที่เคยร่วมทางกันมา
...ต้องขอบใจที่ทำให้รู้ว่าไม่ต้องรอ
...เจ็บยังไงต้องทนรับไว้ ให้เราจบแค่นี้พอ
...เมื่อไม่เหลือคนที่ให้รอ ในเมื่อเธอไม่กลับคืนมา
...ฉันก็ไม่ควรเฝ้ารอ จากวันนี้ฉันก็จะขอให้โชคดี
+++++++++++++++++++++++++++
แนนลิวาลเดินนำไฮยีฟาร์มาถึงลานน้ำพุ จุดเดิมของการเริ่มต้นทุกอย่าง ภาพของมอนเซอเต้ยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะพี่ชายของเขา บาดลึกเข้าไปในจิตใจของแนนลิวาล
อดีตที่เพิ่งผ่านไปในความทรงจำหวนกลับมาอีกครั้ง อดีตของคนรัก อดีตของความรัก กลับมาทำให้หัวใจเจ็บปวดอีกครั้ง โดยเฉพาะภาพของเลอซันชายด์ที่เข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เขาด้วยแล้ว น้ำตาที่เพิ่งจะปาดทิ้งได้ไม่นาน กำลังจะไหลกลับออกมาอีกครั้ง แต่ความเย็นชาที่สะกัดกั้นเอาไว้ยังคงเหนือกว่า จึงไม่มีใครได้เห็น
มอนเซอเต้ มองตามสายตาของคนอื่น ๆ จนกระทั่งเห็นอดีตคนรัก อดีตแค่เพียงความนึกคิด หากแต่ในหัวใจนั้นเล่า ที่คอยถวิลหาตลอดเวลาที่ผ่านมา จะเรียกความรู้สึกนั้นว่าอย่างไรดี
ขาที่ก้าวออกไป ดูเหมือนจะเกิดการสั่งการของหัวใจของเขา เลือดที่อาบมือบางนั้น เหมือนกับน้ำที่พยายามท่วมตัวเขาจนกระทั่งหายใจไม่ออก ถ้าได้รู้ว่าเกิดจากตัวเอง หัวใจดวงนั้นจะเจ็บปวดอีกแค่ไหนกัน
“แนน เจ็บมากไหม” คำทักทายที่จะทักอย่างธรรมดา กลายเป็นคำถามที่ซึ้งกินใจของแนนลิวาลอย่างที่สุด เธอส่ายหน้า แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่เคยมีใครได้เห็นตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ...หรือนี่คือความรัก
แม้แต่ไฮยีฟาร์ก็คิดเช่นนั้น สีหน้าที่เจ็บปวดแทนของมอนเซอเต้นั้นเล่า ไหนเจ้าตัวจะตัวสั่นอย่างตกใจนั่นอีก มีอะไรอีกไหมที่มอนเซอเต้ จะพยายามหลอกเขาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา หลอกว่าไม่รัก หลอกว่าลืม เมื่อถึงวันนี้ทุกอย่างมันไม่ใช่เลย
แนนลิวาลเดินกลับเข้าไปในปราสาทในทันที โดยไม่สนใจสายตาใครอีก อย่าให้เป็นตอนนี้เลย อย่าให้น้ำตาต้องร่วงหล่นตอนนี้เลย จะรู้ได้อย่างไรว่ามอนเซอเต้ไม่เจ็บปวด เมื่อท่าทางของเขาชัดเจนขนาดนั้น ถ้อยคำในจดหมายนั้นคืออะไรกันแน่ ระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ทำให้แนนลิวาลรู้ดีว่ามอนเซอเต้เป็นเช่นไร
การบาดเจ็บของแนนลิวาลทำให้พิธีหมั้นเลื่อนไปพรุ่งนี้เช้า ด้วยความสมัครใจของทุกฝ่าย คืนนี้จึงเงียบเหงาเช่นทุกคืน ท้องฟ้ายังคงมีแสงของดวงดาวสว่างไสวไปหมด แม้คืนนี้จะไร้พระจันทร์ แต่ก็ยังคงดูอบอุ่นไม่เหมือนเช่นทุกวัน
มอนเซอเต้เดินไปตามทางเดินของชั้นสาม และหยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง...ห้องของผู้เป็นที่รัก มือเรียวทาบทับลงไปที่ประตู ราวกับส่งผ่านความอบอุ่นเข้าไปสู่ภายในห้องนั้น ไฮยีฟาร์กับซีราเฟียร์พี่ชายของเขายืนมองอยู่ห่าง ๆ ถึงความเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมด...เรื่องที่กำลังจะมีปลายทาง
“ท่านมอนเซอ” เสียงของเลอซันชายด์ดังขึ้นทำลายความเงียบ
แต่ก็เรียกคนในห้องให้เดินมาที่ประตูอย่างสนใจ มือบางทาบลงบนประตูแล้วค่อย ๆ แนบหูฟัง ความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่มือบอบบางนั้น ทำให้แนนลิวาลหวั่นไหวไม่น้อย
“มีอะไรเหรอ” มอนเซอเต้ถามขึ้นมา
“ท่านไม่นอนเหรอคะ” เธอถามอย่างขัดใจ
มอนเซอเต้ พะว้าพะวังหันไปมองที่ประตูอย่างอดไม่ได้ ความอบอุ่นที่เพิ่งผ่านออกมา บอกอย่างชัดเจนแล้วว่า ผู้เป็นที่รักอยู่ห่างกันเพียงประตูกั้น จะทิ้งไปตอนนี้ เขาเองนั่นล่ะที่จะหัวใจสลายไปก่อนใคร
“ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ไปตอนนี้” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นพูดขึ้นมา ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ประตูบานนั้น แน่นอนว่าคนข้างหลังก็ได้ยิน และมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าในทันที
เลอซันชายด์เดินหนีไปอย่างขัดใจ แต่เธอไม่มีวันจะทำอะไรได้แน่นอน ดังนั้นการถอยไปก่อนน่าจะดีกว่า ดวงตาวาวโรจน์นั้น ฉายแววริษยาไม่ต่างไปจากที่เคย
สองร่างที่ยืนนิ่งสนิทใกล้ ๆ ประตูขยับเข้าหากันอย่างถวิลหา เสียงกระซิบส่งผ่านประตูบานใหญ่ ได้ยินกันเพียงสองคน เช่นเดียวกับที่ทั้งคู่ทำเหมือนว่าโลกใบนี้มีเพียงสองคน ความขัดแย้งเริ่มจางหายไป เมื่อหัวใจคุยกันเข้าใจ จะมีสิ่งใดเล่าขัดขวางความรักนั้นได้
ประตูห้องเปิดออกช้า ๆ พร้อม ๆ กับแนนลิวาลยืนรออยู่ รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นในทันทีเมื่อเห็นหน้าคนรัก เธอเขย่งปลายเท้า เพื่อยื่นแขนโอบรอบคอผู้เป็นที่รักอย่างดีใจ คิดถึง ห่วงใย รักใคร่ รวมถึงอีกหลายความรู้สึก
มอนเซอเต้กอดประคองคนรักเอาไว้ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน เลิกสักทีความรู้สึกของเขาเพียงคนเดียว เลิกตัดสินความสุขแทนคนที่รักสักที มืออบอุ่นคู่นั้นยังคงลูบผมของคนรักอย่างเอ็นดู
ไฮยีฟาร์กับซีราเฟียร์เดินกลับเข้าห้องพร้อมกับความโล่งใจ...ทุกอย่างจบอย่างมีความสุขแล้ว
เพียงคำว่า “รัก” ที่ส่งผ่านถึงกันคือสิ่งสุดท้ายของค่ำคืนนั้น ทุกอย่างจบลงพร้อมกับความมืดของราตรีกาล
+++++++++++++++++++++++++++
ตอนเช้าวันหมั้นทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด แนนลิวาลไม่ได้ออกมาจากห้อง ไฮยีฟาร์ไม่รู้ว่าเมื่อคืนหลังจาก แนนลิวาลกับมอนเซอเต้แยกจากกันตอนดึก ๆ แล้วทั้งคู่หลับไปด้วยความง่วงหรือเปล่า แต่มอนเซอเต้ไม่ได้อยู่ในห้องนอน และห้องของแนนลิวาลก็ล็อคประตูอยู่
สุดท้ายทุกคนตัดสินใจพังประตูเข้าไป แต่ก็ไม่พบอะไรในห้องนั้นเช่นกัน ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง การตามหาตัวทั้งคู่เริ่มขึ้นในทันที หลาย ๆ คนคิดว่าทั้งคู่หนีออกไปแล้ว...จนกระทั่ง
ที่ยอดโดมทางทิศใต้ มอนเซอเต้กอดร่างของแนนลิวาลด้วยใบหน้าที่อาบรอยยิ้ม แม้ร่างกายจะไร้ความรู้สึก ไร้ชีวิต
ความรักได้เริ่มต้นขึ้นนานแล้ว...และมันจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์
ผลงานอื่นๆ ของ haruka ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ haruka
ความคิดเห็น