ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF One Shot : WonKyu

    ลำดับตอนที่ #3 : ยอม : SF for Kyuhyun's BD

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 57


    ยอม : SF for Kyuhyun's BD

     

     

                หงุดหงิด...

                บอกเลยว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดมาก มีแฟนกับเค้าคนนึงมีแต่เรื่องให้ขัดใจ ถ้าใครมาเห็นหน้าผมตอนนี้ต้องคิดว่าผมเตรียมจะออกไปตีกับเด็กช่างกลหน้าโรงเรียนแน่ ๆ ผมผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ หันหน้าหนีภาพที่ทำให้อารมณ์หงุดหงิดมาซะ แต่หันหนีมาได้แค่ชั่วลมหายใจเข้าสามเฮือก ก็อดจะหันไปมองอีกไม่ได้

     

                จะคุยกันถึงเมื่อไหร่ฮะ...คยูฮยอน

     

               

    ++++++++++++++++++++++++++

     
     

     

                เรื่องของเรื่องก็คือ ผม...ชเวชีวอนเป็นครูสอนวิชาฟิสิกส์อยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ผมมีแฟนอยู่คนนึง ชื่อ โจคยูฮยอน เป็นครูที่นี่เหมือนกัน แต่เค้าสอนคณิตศาสตร์ครับ เราได้เป็นแฟนกัน เพราะเรามักพานักเรียนไปเรียนซ่อมเสริมที่ห้องสมุดพร้อมกันบ่อย ๆ จนเราคุ้นเคยกันมากขึ้นทุกวันจนสุดท้ายเป็นผมเองที่ขอขยับความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานมาเป็นคนรู้ใจ

     

                ดู ๆ แล้วก็น่าจะราบรื่นดีใช่มั้ยครับ? ทำงานก็ที่เดียวกัน ได้เจอกันทุกวัน จะทำอะไรก็อยู่ในสายตา แต่ก็เพราะว่าจะทำอะไรก็อยู่ในสายตานี่แหละ ที่ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่บ่อย ๆ

     

                แฟนผมน่ะเป็นผู้ชายที่บางมุมก็หล่อ บางมุมก็สวย แต่จริง ๆ ก็ค่อนมาทางสวยแหละ นี่ไม่ได้อวยแฟนเกินเหตุเลยนะ อ่ะ...ผมให้ดูรูปก็ได้ คนที่ใส่เสื้อชั้นนอกสีดำนั่นแหละแฟนผม ส่วนคนที่กอดคออยู่ก็ผมเอง

     

     
     

                รูปนั้นถ่ายไว้ตอนสมัยคบกันใหม่ ๆ ยังมีเค้าความหล่อเยอะอยู่ใช่มั้ยละ? แต่ลองดูรูปปัจจุบันของเราสิครับ

     

     

     

                พอเริ่มมีเนื้อมีหนัง แก้มเริ่มกลม หน้าก็ยิ่งหวาน ทีนี้ก็ยิ่งเริ่มเข้าตาใครต่อใคร ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รู้กันนะว่าคยูฮยอนมีผมเป็นแฟนอยู่ ขนาดรู้ทั้งรู้ ยังมีคนมาเต๊าะได้ทุกวี่ทุกวัน

     

                คนที่คยูฮยอนกำลังนั่งคุยอยู่ด้วย คือ พี่คังอิน คุณครูสอนพละตัวใหญ่เหมือนหมี ที่ผมได้ข่าวว่าพี่เค้าแอบชอบคยูฮยอนมานาน แต่ว่าทำตัวป๊อดไม่สมกับหุ่นเลยไม่กล้าจีบซักที สุดท้ายเลยโดนผมตัดหน้าไป *สม* แต่ตอนนี้เกิดยังไงไม่รู้ถึงชอบเอาบัญชีค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกมาให้แฟนผมช่วยคำนวณให้บ่อย ๆ ผมละสงสัยนักเชียวว่าแค่บวกลบเลขที่ไม่มีปัญญาจะทำเองหรือไง จบปริญญาตรีมาได้ยังไงวะ *ปรายตามอง*

     

                แล้วแฟนผมก็ขยันส่งยิ้มให้จริงเลย หวง...เข้าใจมั้ยว่าหวง!! รอยยิ้มแบบนี้มันควรเป็นของผมคนเดียวสิ.....

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++

     

     
     

                กว่าคยูฮยอนจะเสร็จธุระกับพี่คังอินแล้วเดินกลับมาหาผมที่โต๊ะได้ ผมก็ส่งสายตาดุ ๆ ไปเกือบสิบรอบ

     

                “เป็นอะไร...ชีวอน ทำหน้าบึ้งอีกแล้ว” ดูถามสิครับ ไม่เคยจะรู้ตัวเลย

     

                “ก็คุยอะไรตั้งนาน” คยูฮยอนหันมาเลิกคิ้วใส่

     

                “ก็สอนพี่คังอินทำบัญชีไง”

     

                “สอนไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมพี่เค้าทำไม่ได้ซักที สมองมันผกผันกับขนาดตัวรึไง”

     

                “ชีวอน!!” คยูฮยอนส่งเสียงดุมาทันที

     

    “ทำไมพูดจาแบบนั้นละ พาลแล้วนิสัยไม่ดีเลย” ผมยังเคืองอยู่เลยหันหน้าหนีไปอีกทาง แว่วเสียงคยูฮยอนถอนหายใจเบา ๆ ทำไมต้องทำเหมือนเหนื่อยใจกับผมด้วย

     

    “ถ้าชีวอนยังอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ เราก็ไม่อยากคุยด้วยหรอก ไว้อารมณ์เย็นเมื่อไหร่ค่อยคุยเถอะ”

     

    พูดจบคยูฮยอนก็เดินออกจากห้องพักครูไปเลย ได้แต่ทิ้งผมให้นิ่งค้างเป็นรูปปั้นอยู่อย่างนั้น

     

    นี่ไม่คิดจะง้อกันเลยใช่มั้ย?

     

    สุดท้ายก็เป็นผมนี่แหละที่ต้องไปง้อ บอกขอโทษที่ปากไม่ดี เกิดเป็น ชเวชีวอน นี่มันอาภัพจริง ๆ มีแฟนกับเค้าทั้งคนก็ใจร้ายใจดำ ;^(

     

     
     

    ++++++++++++++++++++++++++

     
     

     

                อีกเหตุการณ์นึงที่เรามักจะมีปัญหาหรืออีกนัยหนึ่ง คือ ผมมีปัญหา ก็คือ เรื่องไปเที่ยว

     

                “ชีวอน คืนนี้เราไปดื่มกับชางมิน มินโฮ จงฮยอนนะ”

     

                “แต่คืนนี้ผมไม่ว่างนะ ที่บอกไว้เมื่อวันจันทร์ไง”

     

                “ก็ไม่เป็นไรนี่ เราก็ไปคนเดียวไง” ทำไมพูดเหมือนดีใจที่ผมไม่ว่างอย่างนั้นละ

     

                “ได้ยังไงละ คยูรอไปวันที่ผมว่างเถอะ”

     

                “ไม่เอา...ก็เค้าชวนวันนี้ ก็อยากจะไปวันนี้ ไว้วันหลังชีวอนว่างก็ค่อยไปใหม่ก็ได้นี่” เสียงเริ่มงอแงแล้วครับ

     

                “ก็ผมเป็นห่วง” ผมพูดเสียงอ่อน ตอนนี้ต้องใช้ไม้อ่อนเข้าหา ไม่งั้นมีไฝว้แน่ ๆ แต่เป็นผมนะที่จะโดนไฝว้น่ะ

     

                “ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วงเลย ทั้งชางมิน ทั้งมินโฮ ทั้งจงฮยอนก็เพื่อนสนิทเราทั้งนั้น”

     

                ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทนั่นแหละ ผมถึงได้ห่วง แต่ละคนน่ะ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งนั้น แต่พูดออกมาดัง ๆ ไม่ได้ โดนคยูว่าแน่ ๆ โทษฐานคิดมากไป แต่ผมเคยเห็นสายตาที่แต่ละคนมองแฟนผม โดยเฉพาะชางมินน่ะ มันแฝงอะไรมากมายอยู่ในนั้น ทำไมผมจะมองไม่ออก แต่เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทไง เลยไม่อยากก้าวล้ำความเป็นเพื่อนมา บอกตรง ๆ นะว่าผมเองก็ไม่แน่ใจว่า...ถ้าวันนึงชางมินกล้าก้าวข้ามเส้นนั้นมาคยูฮยอนจะยังเลือกผมอยู่มั้ย? ยิ่งไปดื่มกันอย่างนี้ ผมละกลัวว่าเหล้าเข้าปากแล้วเจ้าชางมินเกิดกล้าขึ้นมา สถานะแฟนของผมคงสั่นคลอนแน่ ยังไงผมก็ไม่ยอมหรอก

     

                “คยูอ่า...ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

     

                “เราจะไป มีปัญหาอะไรมั้ย”

     

                “ไม่มีจ้ะ”

     

                จบนะครับ...จบนะ

     

                บางทีผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าคยูฮยอนไม่ค่อยชอบให้ผมไปด้วยเวลาสังสรรค์กับเพื่อนสนิท เหมือนเลือกไปวันที่ผมบอกว่าไม่ว่างทุกที แต่เค้าก็เคยพูด ๆ อยู่เหมือนกันว่าเวลาไปดื่มกับเพื่อนก็อยากจะสนุกให้เต็มที่ เวลาผมไปด้วยแล้วรู้สึกแปลกแยกที่เป็นคนเดียวที่มีแฟนมานั่งเฝ้า ก็เลยรู้สึกเกรงใจว่าเพื่อนจะทำตัวไม่ถูก ผมว่ามันทำตัวไม่ถูกเพราะมันเต๊าะไม่สะดวกมากกว่าน่ะสิ *จิ๊ปาก

     

                แต่ก็นั่นแหละครับ คุณแฟนอยากทำอะไร ยังไง ผมเคยขัดได้ซะที่ไหนกัน ;^(

     

     
     

    ++++++++++++++++++++++++++

     
     

     

                วันนี้เลิกงานแล้ว ผมก็เดินไปนั่งรอคยูฮยอนที่ใต้ตึกใกล้ ๆ ที่จอดรถเหมือนเดิม นั่งรออยู่พักใหญ่ก็เห็นคยูฮยอนเดินตรงเข้ามา แต่ที่แปลกตาไป คือ ทำไมมีไอ้ตัวเล็กที่ไหนเดินมาด้วยละเนี่ย พอเดินเข้ามาใกล้คยูฮยอนก็ส่งยิ้มให้ผม

     

                “ชีวอน...นี่ อีทงเฮ รุ่นพี่ที่คณะเราเอง” คยูฮยอนแนะนำผู้ชายที่ยืนข้าง ๆ ให้ผมรู้จัก พอรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ผมเลยรีบลุกขึ้นโค้งให้

     

                “พี่ทงเฮจะมาอยู่ในโซลสามวันเพราะมารอรับเพื่อนน่ะ จริง ๆ เราบอกให้มานอนกับเราที่ห้องก็ได้ แต่พี่เค้าไม่ยอม จะเปลืองค่าโรงแรมไปทำไมไม่รู้”

     

    คยูฮยอนบ่นอุบตามประสาคนเห็นค่าของเงินมากเป็นพิเศษ *จะเรียกว่างกก็ไม่ผิดหรอกครับ* ในขณะที่ผมอดจะชมเชยในใจไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่รุ่นพี่เลือกทำเลยละ ไม่งั้นผมคงต้องหน้ามึนตามไปค้างที่ห้องคยูฮยอนด้วยแน่ ๆ

     

    “งั้นเดี๋ยววันนี้พี่ให้ผมเลี้ยงข้าวแล้วก็ไปส่งที่โรงแรมนะ ห้ามปฏิเสธด้วย ชีวอนโอเคใช่มั้ย?” ถามมาขนาดนี้คงปฏิเสธอะไรไม่ได้หรอกครับ ได้แต่พยักหน้ารับรัว ๆ ก็ผมมันคนรักแฟนนี่นา แถมรุ่นพี่ทงเฮอะไรนี่ก็ดูนิสัยดี ขำ ๆ ตลอด

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    แต่อยากจะบอกว่าผมคิดผิดครับ พอไปถึงร้านอาหาร ผมก็เหมือนหมาหัวเน่า เค้าคุยอะไรแบบที่รู้กันอยู่สองคน ก็แน่ละ เค้าจบมาจากที่เดียวกันนี่ แถมไอ้พี่ทงเฮนี่ก็มือไวเหลือเกิน ถึงเนื้อถึงตัวตลอด เดี๋ยวจับมือ เดี๋ยวกอด เดี๋ยวล็อคคอ เดี๋ยวโอบไหล่ ผมนี่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันข่มอารมณ์แทบแย่

     

    กว่าจะกินข้าวกันเสร็จ ผมก็แทบจะลุกขึ้นมากระชากให้สองคนนี้ออกห่าง ๆ กันซะบ้าง แต่พอจอดส่งพี่ทงเฮที่หน้าโรงแรม คยูฮยอนก็พูดประโยคสั่นประสาทของผมขึ้นมา

     

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมารับไปเที่ยวนะ”

     

    อะไรกัน!!

     

    “แต่...คยู พรุ่งนี้ผมไม่ว่างนะ”

     

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราพาพี่ทงเฮขึ้นรถไฟใต้ดินเที่ยวก็ได้ ชีวอนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

     

    “แต่....ผมไม่โอเค”

     

    ผมพูดได้แค่นั้นแล้วก็นิ่งไป บรรยากาศมาคุเบา ๆ ทำให้ไอ้รุ่นพี่นั่นขอตัวขึ้นไปที่ห้องพักก่อน คยูฮยอนเลยบอกว่าเดี๋ยวจะโทรมานัดอีกที

     

    “ชีวอนเป็นอะไร?”

     

    คยูฮยอนหันมาคาดคั้นกับผมทันที ผมไม่ตอบอะไรแต่กลับเปิดประตูขึ้นไปนั่งรอบนรถแทน อึดใจต่อมาคยูฮยอนก็เปิดประตูขึ้นมานั่งข้าง ๆ

     

    “บอกเราได้รึยังว่าเป็นบ้าอะไร”

     

    ผมหันไปมองหน้าเค้าอย่างไม่เชื่อหู เราไม่เคยทะเลาะกันแบบใช้คำพูดแรง ๆ มาก่อน แล้วทำไมครั้งนี้คยูฮยอนจะต้องใช้คำแรง ๆ กับผมด้วย

     

    “ทำไมคยูถึงต้องพูดแรง ๆ แบบนี้ด้วย”

     

    “ก็ชีวอนเสียมารยาทกับรุ่นพี่ของเราก่อนทำไม”

     

    “แล้วทำไมจะทำไม่ได้ ทำไมผมต้องมารยาทดีกับคนที่จ้องจะลวนลามแฟนผมอยู่ตลอดเวลาด้วย”

     

    “ลวนลาม??” คยูฮยอนหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

     

    “ลวนลามอะไร? เราก็ทำตัวปกติ”

     

    “นี่คือปกติของคยูกับมันสินะ ทั้ง ๆ ที่มีแฟนแล้วยังจะปล่อยตัวอย่างนี้อีกเหรอ?” ผมเริ่มอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว คำพูดที่ส่งออกไปเลยยิ่งแรงตามอารมณ์โกรธที่พุ่งสูงขึ้น

     

    “ทำไมชีวอนพูดจาดูถูกเราอย่างนี้?”

     

    “หรือว่าไม่จริงละ พอเค้ากอดก็หัวเราะคิกคัก แฟนนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน ไม่เห็นจะแคร์อะไรเลยนี่”

     

    พลั่ก!!

     

    เสียที่เกิดขึ้นเป็นเสียงหมัดของคยูฮยอนกระทบหน้าของผมเองแหละครับ ผมมึนไปพักใหญ่เลยตั้งตัวไม่ทันตอนที่คยูฮยอนลงจากรถไปเรียกแท็กซี่หายไปจากตรงนั้น

     

    ผมเอามือลูบหน้าเบา ๆ ซี้ดปากด้วยความเจ็บ แฟนผมเป็นผู้ชายนะครับ ถึงหน้าจะหวานสวยขนาดไหน แรงก็ยังเป็นแรงผู้ชายอยู่ดี ทำกันขนาดนี้ คิดว่าผมจะง้อเหรอ? ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ คยูฮยอนผิดเองที่ไม่รักษาหน้า ไม่เกรงใจคนเป็นแฟนอย่างผมเลย ผมไม่ผิด ผมไม่ง้อหรอก...........

     

     
     

    ++++++++++++++++++++++++++

     
     

     

    ปากก็บอกไม่ง้อ แต่มานั่งทรมานเองนี่คือยังไง แค่สองวันที่ไม่เห็นหน้าคยูฮยอน ไม่ได้ยินเสียงมันแสนจะทรมาน ทำไมต้องติดเสาร์-อาทิตย์ด้วย ถ้าไปโรงเรียนอย่างน้อยก็ได้เจอกัน แล้วนี่คยูฮยอนจะพาไอ้รุ่นพี่ทงเฮอะไรนั่นไปเที่ยวไหน จะมีความสุขหลั่นล้ากันมากมั้ย ฮึก!!

     

    ผมนอนเน่าอยู่บนโซฟาตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับคยูฮยอน รอบตัวมีแต่เบียร์กับขนมถุงเต็มไปหมด มันไม่อยากทำอะไรเลย เราไม่เคยทะเลาะกัน ทำไมเราต้องทะเลาะกันด้วย ผมถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

     

    ติ๊งต่อง!!

     

    เสียงกริ่งหน้าห้องของผมดังขึ้น แต่ผมไม่มีอารมณ์อยากจะเจอใครเลยนอนซึมอยู่อย่างนั้นต่อ กะว่าให้มันกดจนกว่าจะพอใจแล้วคงไป แต่อยู่ ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาจจะเป็นคยูฮยอนเลยกระวีกระวาดลุกขึ้น ถลามาถึงประตูอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูออกกว้าง...

     

    มันมาทำไม???

     

    หน้าห้องเป็นอีทงเฮที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ราวกับไม่ทุกข์ไม่ร้อน ข้าง ๆ มีผู้ชายตัวพอ ๆ กันยืนอยู่ด้วยอีกคน ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แล้วทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าผู้มาเยือน แต่อีทงเฮก็เอามือกันไว้ได้ทัน

     

    “อย่าปิดนะเว้ย นี่ชั้นเอาเรื่องคยูฮยอนมาบอก” ผมขมวดคิ้ว เรื่องคยูฮยอน?? คยูฮยอนเป็นอะไร??

     

    “ขอเข้าไปได้มั้ย เรื่องมันยาว” ผมเลยหลบให้ทั้งสองคนเดินเข้ามา

     

    “รกสัด ๆ” เสียงอีทงเฮบ่นอยู่แว่ว ๆ ผมถึงนึกได้ว่ายังไม่ได้เก็บขยะที่เกลื่อนกลาดอยู่ เลยเดินเนือย ๆ มาเก็บขยะไปทิ้ง ในขณะที่แขกทั้งสองก็ทรุดตัวนั่งรออยู่เงียบ ๆ

     

    “มีอะไรก็ว่ามา”

     

    “มึงมันบ้า”

     

    “ห๊ะ!!

     

    “หึงไม่เข้าเรื่อง กูกับคยูเป็นสายรหัสกัน พวกกูสนิทกันขนาดตบหัวกันยังได้ ถ้าจะรักกันคงรักกันนานแล้ว ไม่รอให้ถึงมือมึงหรอก”

     

    “ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอก การต้องมาเห็นแฟนตัวเองเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายคนอื่นน่ะ”

     

    “ก็ถามสิ?”

     

    “ห๊ะ!!

     

    “นี่...อีฮยอกแจแฟนกูเอง คบมาตั้งแต่เรียนมหาลัย คงไม่ต้องถามนะว่าเห็นภาพเดียวกับมึงมากี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว”

     

    ผมหันไปมองผู้ชายตัวขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ อีทงเฮด้วยสีหน้าประหลาดใจ เค้าเลยยกยิ้มบาง ๆ ให้

     

    “แรก ๆ ฮยอกแจก็มีปัญหากับเรื่องนี้เหมือนมึงแหละ แต่พอคุยกันดี ๆ เค้าก็เข้าใจได้ แล้วก็ไม่เคยพูดจาดูถูกกูว่ากระแดะปล่อยตัวให้ใครด้วย”

     

    ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเป้าซ้อมขว้างมีดของนักมายากลมือใหม่ แล้วมีดพลาดปักหัวเข้าอย่างจัง

     

    “เราเข้าใจชีวอนนะ” ฮยอกแจที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก

     

    “ตอนแรกเราก็หึงเหมือนกันที่ทงเฮกับคยูสนิทกันขนาดนั้น”

     

    “แต่เค้าสนิทกันมาก่อนจะคบกับเรา นั่นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับแล้วอีกอย่าง เราเชื่อใจทงเฮ”

     

    ฉึก!! โดนไปอีกดอก สองผัวเมียนี่มาเพื่อเอามีดปักหัวกันใช่มั้ย??

     

    “นี่โกรธมันจนลืมไปใช่มั้ยว่าวันนี้วันเกิดมัน จริง ๆ ที่มาช่วงนี้เพราะกะจะมาฉลองวันเกิดมันกับมาดูหน้าแฟนสุดที่รักของมันด้วย แต่ไม่คิดว่าแม่งจะงี่เง่าขนาดนี้ กูว่ากูกลับไปยุให้มันเลิกดีกว่า”

     

    ผมทำตาโต ทั้งตกใจเรื่องที่ไอ้รุ่นพี่จะยุให้คยูฮยอนเลิกกับผม และตกใจที่ตัวเองลืมวันเกิดคยูฮยอน

     

    “กูให้โอกาสมึงอีกครั้งนะชีวอน ถ้าง้อไม่ได้ก็ไม่ต้องเป็นแฟนมันละ คนอย่างมันหาแฟนใหม่ได้เยอะแยะไป”

     

    แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ พอทั้งคู่เดินไปถึงประตูผมก็เอ่ยปากเรียก

     

    “พี่ทงเฮ พี่ฮยอกแจ” สองคนหันกลับมามองแบบงง ๆ ผมก็โค้งเก้าสิบองศาให้

     

    “ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนครับ”

     

    พอเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ทันเห็นยิ้มที่มุมปากของพี่ทงเฮ ก่อนที่พี่แกจะหันหลังเปิดประตูออกไป

     

    “แล้วทีนี้กูจะง้อยังไงดีวะ”

     

     
     

    ++++++++++++++++++++++++++

     

     
     

    Kyuhyun’s Part

     

     

                ผมนั่ง ๆ นอนอยู่ในห้องมาตั้งแต่วันที่ผมทะเลาะกับชีวอน เซ็งจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจที่ถูกชีวอนพูดใส่แบบนั้น และแน่นอนว่าผมไม่มีทางง้อก่อนหรอกนะ แต่ถ้าจะให้รอชีวอนคิดได้เอง ผมอาจจะหงอยตายกันไปข้างนึง เลยส่งรุ่นพี่ทงเฮกับแฟนมัน (ขอโทษที เรียกมันจนติดปาก) ให้ไปเรียกสติคุณแฟนที่แสนจะซื่อบื้อของผมให้ที

     

    จะว่ายังไงดีละ...ชีวอนน่ะ เป็นคนฉลาดในเรื่องเรียน เรื่องงานมาก แต่เป็นคนที่ซื่อบื้อในเรื่องความสัมพันธ์ที่สุดในโลก ขี้หึงเป็นที่สุด หึงได้หึงดี คิดอะไรก็พูดแล้วก็ไม่ค่อยฟังอะไรหรอก ปัญหาของผม คือ ความเชื่อใจ ผมก็รู้สึกดีที่ชีวอนหึง แต่ผมรู้สึกว่าเพราะไม่เชื่อใจกันหรือไงถึงต้องหึง เพราะอย่างนี้แหละที่ผมไม่ค่อยอยากให้ชีวอนไปดื่มกับกลุ่มเพื่อนสนิทของผม เพราะไปทีไรก็มีปัญหากันตอนกลับทุกที

     

    เรื่องชางมินชอบผม ผมก็พอจะดูออก แต่จริง ๆ เราเคลียร์เรื่องนี้กันไปนานแล้ว ชางมินยอมที่จะอยู่ดูแลข้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ไม่ก้าวล้ำเส้นจากความเป็นเพื่อน อีกอย่าง คือ ชางมินน่ะ ไม่ได้ชอบผมแบบนั้นแล้วละ ผมรู้สึกได้ว่าสายตาแบบที่มีให้ผมมันถูกยกให้ใครบางคนในกลุ่มไปแล้ว *ยิ้มน้อยๆ ขอรอพิสูจน์ให้แน่ใจก่อน แล้วค่อยบอกชีวอนละกัน

     

    ติ๊งต่อง!!

     

    เสียงกริ่งดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ ใครมานะ?? เอ...หรือจะเป็นพี่ทงเฮมารายงานความคืบหน้า ผมเลยลุกขึ้นไปเปิดประตู

     

    สิ่งที่อยู่หน้าประตูไม่ใช่คน แต่เป็นกล่องใบใหญ่มีฝาปิดวางอยู่เท่านั้น บนฝากล่องเขียนจ่าหน้าว่าถึงคุณโจคยูฮยอน หัวเริ่มคิดถึงสิ่งแย่ ๆ ก่อนว่าเคยไปทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจไว้รึเปล่า เผื่อมีคนคิดแก้แค้น แต่ยังไม่ทันไร โทรศัพท์มือถือในมือก็ส่งเสียงเตือนข้อความเข้า ผมยกขึ้นมาดูเป็นเบอร์ไม่คุ้นเพราะไม่ได้เมมชื่อไว้ พอกดเปิดก็เจอข้อความ

     

    เปิดเถอะนะพร้อมสติ๊กเกอร์รูปคนประสานมือขอร้อง

     

    ผมอดจะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ พอจะรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของกล่องนี้ แต่เพือไม่ให้ได้ใจเกินไป ผมเลยยกกล่องเข้ามาในห้องซะเลย ดูซิว่าจะทำยังไง

     

    ติ๊ด ๆ เสียงข้อความเข้ามาทันทีที่ประตูปิดลง

     

    ทำไมไม่เปิดหน้าห้อง ;^(’

     

    ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง น่ารักไปแล้วนะ ตาทึ่มเอ๊ยยยย...

     

    ผมเปิดฝากล่องออก แล้วลูกโป่งลูกเล็ก ๆ ที่ถูกร้อยเป็นสายยาวก็ลอยออกมา ตรงลูกโป่งแต่ละลูกมีรูปคู่ของเราสองคนติดอยู่ด้วย ลูกโป่งลอยขึ้นไปจนติดเพดานห้อง แต่ลูกโป่งที่เหลือก็ยังกองอยู่ในกล่อง นี่มันกี่ลูกกันนะ

     

    ผมสังเกตเห็นว่าที่หลังรูปแต่ละรูปมีข้อความเขียนไว้ ผมเลยสาวเอาลูกโป่งลูกแรกลงมาอ่านก่อน

     

    ผมขอโทษ...ที่งี่เง่า

    ผมขอโทษ...ที่พูดจาดูถูกคุณ

    ผมขอโทษ...ที่ไม่เชื่อใจ

    ผมขอโทษ...ที่ขี้หึง

     ‘ผมขอโทษ...ที่ทำให้เสียใจ

    ผมขอโทษ...ที่ทำให้คุณต้องกลับแท็กซี่คนเดียว

    .

    .

    .

    ผมไล่อ่านทีข้อความอย่างตั้งใจ นั่งอ่านอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ ทุกใบมีแต่คำขอโทษมากมายจาก ชเวชีวอน บางอันอ่านแล้วยิ้ม บางอันก็เรียกน้ำตา บางอันก็ทำให้หัวเราะได้ทั้งน้ำตา จนกระทั่งลูกสุดท้าย

     

    ผมขอโทษ...ที่ผมคงจะปล่อยคุณไปไหนไม่ได้จนตลอดชีวิต เราย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ :^)’

     

    ลูกโป่งลูกสุดท้ายหลุดจากมือ เพราะผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นสะอื้น เสียงไขกุญแจดังกริ๊กจากด้านหลัง พอผมหันไปก็เจอชีวอนยืนเอามือไขว้หลังไว้ แต่พอเห็นน้ำตาของผมเค้าก็ถลาเข้ามาหาโดนไม่ขออนุญาตใด ๆ

     

    “คยูเป็นอะไร โกรธผมจนร้องไห้เลยเหรอ? ผมขอโทษนะ” หน้าของชีวอนดูทุกข์ร้อนแตกตื่นมาก ถ้าเป็นปกติคงจะดูตลก แต่ตอนนี้มันดูน่ารักที่สุดในโลก

     

    ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้คำถามของเขา แล้วผมก็เห็นกล่องที่ชีวอนวางเอาไว้ตอนที่พุ่งเข้ามาจับมือผม พอชีวอนมองตามสายตาผมไป เค้าก็รีบหยิบมันไปซ่อนไว้ข้างหลังเหมือนเดิม

     

    “อะไรน่ะชีวอน” คำตอบคือการส่ายหน้า หมายความว่ายังไง

     

    “ถ้าไม่บอกจะไม่ยกโทษให้”

     

    “ไม่นะ...คยูอ่า ขอทำใจแป๊ปนึงสิ” ผมเลิกคิ้วนิด ๆ ด้วยความแปลกใจ

     

    ชีวอนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง หันหลังให้ผมเพื่อทำอะไรยุกยิกอยู่ครู่นึง ก่อนจะหันกลับมาสูดลมหายใจลึก ๆ อีกสองสามครั้ง มองสบตากับผมอย่างมีความหมาย

     

    “โจคยูฮยอน...ถ้าตกลงใจยอมให้ผมดูแลคุณไปจนชั่วชีวิต ได้โปรดรับแหวนวงนี้ไว้เป็นคำสัญญาจากผมว่าจะดูแลคุณ ไม่ให้คุณต้องเสียใจไปตลอดชีวิตได้มั้ยครับ”

     

    พูดจบชีวอนก็ก้มหน้า ยื่นกล่องกำมะหยี่ที่ผมเห็นเมื่อครู่ออกมาตรงหน้า ผมได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเลอะสองแก้ม และมันคงจะนานมากจนชีวอนเงยหน้าขึ้นมา พอเค้าเห็นผมร้องไห้ เค้าก็ทำหน้าสลดลง

     

    “ถ้าคยูลำบากใจก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมคงต้องขอตัวกลับไปทำใจก่อน”

     

    “ไม่” ผมพูดขัดขึ้นเสียงดัง

     

    “ครับ ผมทราบแล้ว คยูไม่ต้องย้ำก็ได้”

     

    “ไม่ ไม่ให้ไปนะ” ผมยื้อชายเสื้อของเค้าไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมา ชีวอนทำความเข้าใจกับสถานการณ์อยู่แป๊ปนึง ก่อนจะดึงผมไปกอดเอาไว้แน่น มือใหญ่อันอบอุ่นลูบหัวผมเบา ๆ อย่างปลอบโยน ผมซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกอุ่นนั้นอยู่นานกว่าจะถอยตัวออกมานั่งดี ๆ แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้า

     

    “ห๊ะ!!” ชีวอนทำหน้าเหวอใส่ผมอีกแล้ว ทำไมเข้าใจยากอย่างนี้นะ

     

    “ใส่ให้หน่อย” ชีวอนยังทำหน้างงอยู่ จนผมต้องแอบถอนหายใจ

     

    “แหวนน่ะ” เพียงเท่านั้น รอยยิ้มกว้างที่มีให้ผมเสมอก็เผยออกมา ชีวอนหยิบแหวนทองคำขาวขลิบริมสีทองออกมา จับมือซ้ายของผมขึ้นมาอย่างทะนุถนอมแล้วสวมแหวนลงในนิ้วนางข้างซ้ายอย่างแผ่วเบา จบด้วยการยกมันขึ้นไปประทับรอยจูบ

     

    “สุขสันต์วันเกิดนะครับ คยูของผม ผมรักคยูนะ”

     

    ผมเผยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา โผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น ๆ

     

    “ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดชิ้นใหญ่นี้ด้วยนะ คยูก็รักชีวอนเหมือนกัน”

     

    เราผละตัวออกจากกัน ก่อนที่ชีวอนจะใช้สองมือประคองใบหน้าของผมไว้แล้วประทับจูบอย่างอ่อนหวาน จูบที่เป็นสัญญาว่าเราจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป

     
     

     

    ++++++++++++++++++++++++++

     

     
     

    Talk เบา ๆ

     

                จบแล้วค่ะ ฟิคสั้นสำหรับวันเกิดคุณคยูอันเป็นที่รักของเราและพี่วอน >< พยายามสุด ๆ เพื่อลงให้ทันวันเกิดน้อง พล็อตเรียบง่ายมาก ๆ จนรู้สึกว่ามันเรียบไปรึเปล่านะ ช่วยเม้นต์กันด้วยนะคะ แล้วไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้จะมาลงตอนพิเศษ Birthday Party + After Party นะคะ อิอิ

                ขออวยพรให้คุณคยูฮยอนของพวกเรามีความสุขมาก ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย มีแต่เรื่องดี ๆ มีเวลาพักผ่อนเพียงพอและเป็นน้องเล็กจอมแสบของพี่ ๆ และเหล่าเอลฟ์ตลอดไปนะ รักนะคุณเมนของฉัน ^3^

    :-Daisy ✿
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×