การยับยั้งเซลล์มะเร็ง ด้วยสารสกัดจากองุ่นแดง
ผู้เข้าชมรวม
864
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
...โดย นภาพร แก้วดวงดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนและทำให้เกิดโศกนาฏกรรมอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชนทุกชาติทุกภาษา ในวงการแพทย์พบว่าโรคที่มีอัตราการตายสูงมาก คือ โรคมะเร็ง โรคมะเร็ง ก่อกำเนิดมาจากเซลล์มะเร็งที่เกาะตามอวัยวะต่างๆ เปลี่ยนสภาพในร่างกายแล้วเปลี่ยนไปเป็นเนื้อร้าย เจริญเติบโตและขยายตัวในหลอดเลือด และน้ำเหลือง จนในที่สุดกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายจนยากแก่การรักษา โดยเฉพาะหากกระจายไปที่ส่วนสำคัญ เช่น ปอด ตับ และสมอง เป็นต้น ซึ่งอวัยวะดังกล่าวเป็นจุดอ่อนที่เซลล์มะเร็งสามารถเข้าไปทำลายได้ง่ายก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด การรักษาโรคหรือเนื้อร้ายนี้ในวงการแพทย์ได้พยายามวิวัฒนาการการรักษาและเยียวยามาเป็นเวลาช้านาน ปัจจุบันมีหลายวิธี คือ การผ่าตัด เคมีบำบัดและรังสีรักษา ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็เป็นเพียงแต่ยับยั้งหรือจำกัดการแพร่กระจายได้ในส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะในทางเคมีบำบัด และรังสีรักษา อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ ผมร่วง เป็นต้น ซึ่งสร้างความเจ็บปวดหรือทุกขเวทนาแก่ผู้ป่วยจนอาจยุติการรักษาและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตในที่สุด ปัจจุบันนี้วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้าวิจัยการยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยสารสกัดจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ มากมายและเป็นที่สนใจแพร่หลายในระดับนานาประเทศเนื่องจากในพืชสมุนไพรมีสารสำคัญในการออกฤทธิ์หลายชนิด เช่น ขมิ้นชัน เห็ดหลินจือ ขิง และองุ่น (Chung and Mi, 2006; John et al., 2005; Pezzuto, 1997) บางชนิดสามารถออกฤทธิ์ได้กว้างและมีรายงานว่ามีศักยภาพป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็ง เช่น phenolic compounds, dlkaloids, flavonoids, terpenoids, caratenoids, cureumin เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานข้อมูลยืนยันถึงความพยายามที่จะค้นหาสารหรือยาจากพืชเพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยพบว่าสารหลายตัวอยู่ในระหว่างการศึกษาระดับคลีนิค และมีการยอมรับให้ผลิตเป็นยาแผนปัจจุบันและใช้รักษามะเร็งอย่างแพร่หลาย เช่น vinblastin, podophyllotoxin, camptothecin, และ paclitaxel และอื่นๆ ถูกนำมาใช้ในการรักษาตามแนวทางการแพทย์แต่ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จึงเกิดการค้นคว้าวิจัยหาสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ ต่อมา ในฐานะผู้เขียนที่ศึกษาทางด้านพิษวิทยาและได้ทำการทดลองหาปริมาณสารประกอบฟินอลิก (phenolic compounds) ในพืชชนิดอื่นๆ พบว่า กากองุ่นแดงที่ผ่านการแปรรูปเป็นน้ำผลไม้และไวน์แดงแล้ว มีปริมาณสารประกอบฟินอลิกมากถึง 4,407.33=13.65 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าในน้ำองุ่นและไวน์ ในการวิจัยครั้งนี้จึงเลือกใช้ กากองุ่นแดง (ประกอบด้วย เมล็ด เนื้อ และเปลือก) มาใช้ในการศึกษาฤทธิ์ความเป็นพิษ ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งท่อน้ำดีซึ่งเป็นมะเร็งตับที่มีอุบัติการณ์สูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย พบว่าสารสกัดจากกากองุ่นแดงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งและหยุดการกระจายจนตายไปในที่สุด ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า อะพอพโตซิส (apoptosis) ขณะเดียวกันยังสามารถยับยั้งวัฏจักรเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย ทั้งนี้ เพราะในองุ่นแดงจะมีสารใยอาหารที่ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง สารเม็ดสีโดยเฉพาะแอนโทไซยานินสามารถต้านการอักเสบของเนื้อเยื่อ และต้านอนุมูลอิสระทั้งยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีสาร Ellagic acid ที่สามารถจับและทำลายพิษของสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสาร resveratrol ที่พบมากในผิวจากเปลือกองุ่นแดงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันก็เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและยังเป็นสารป้องกันและต้านมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานจากต่างประเทศว่า สามารถใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสันและเอดส์ได้อีกด้วย ดังนั้น หากเรานำเอาสารสกัดที่ได้จากการแปรรูปขององุ่น มาใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเฉพาะนำมาสกัดเอาสาร polyphenol เป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารต้านมะเร็ง โดยสกัดมาทำยาซึ่งเราสามารถใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคร้ายนี้ได้ในอนาคต ปัจจุบันได้มีความพยายามใช้สมุนไพรในการรักษาโรคร้ายแรงอยู่หลายชนิด ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาด้านการแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข การศึกษาวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในการไปทำวิจัยที่ Johns-Hopkins University, School of Medicene, Baltomre, MD. ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมี ผศ.ดร.เบญจมาศ จิตรสมบูรณ์ ผศ.ดร.จริยา หาญวจนวงษ์ รศ.ดร.บรรจบ ศรีภา และศาสตราจารย์ ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์ เป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนการวิจัย ซึ่งทำให้ผลการวิจัยครั้งนี้นอกจากจะส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ในทางการแพทย์ทางเลือกแล้ว ผู้วิจัยใคร่ชี้ให้เห็นสรรพสิ่งที่เราเห็นว่าน่าจะหมดประโยชน์แล้ว แต่แท้จริงแล้วยังอาจมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังหลงเหลืออยู่อันจะเป็นประโยชน์ซึ่งนักวิจัยไม่ควรละเลย มติชน |
|
ผลงานอื่นๆ ของ เ ด็ ก ไ ร้ เ ดี ย ง สา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เ ด็ ก ไ ร้ เ ดี ย ง สา
ความคิดเห็น