ตอนที่ 14 : Episode 13 : Save your tears for another day
ถ้า Secret Weapon คือชีวิตของพี่คริส การได้ไปนิวยอร์กคงเป็นความฝันของบี
คริสชอบแววตาเป็นประกายของบีเวลาพูดถึงจุดหมายที่ต้องการจะไป บีไม่ใช่คนประเภทชอบหยุดอยู่กับที่และพร้อมเดินไปในทางใหม่ๆ หากพบเจอโอกาสที่ดีกว่า บีไม่เคยตั้งคำถามให้กับชีวิต ไม่เคยต้องสงสัยหรือเสแสร้งแกล้งทำ แม้การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอาจดูเหมือนไร้ความรับผิดชอบสำหรับคนอื่นแต่การที่บีจริงใจกับความต้องการของตัวเองคือสิ่งที่คริสชอบ อย่างการตัดสินใจเลือกเดินออกมาจากวทานิกานั้นอาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการเดินตามความฝันของบี รวมทั้งระยะเวลาที่เลือกตัดสินใจมาอยู่กับ Secret Weapon ก็เช่นกัน บีย้ายตัวเองไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยบ่อยครั้งเพื่อได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างก่อนไปจากที่นั่นเสมอ
เพราะแบบนี้ บีจึงเหมาะกับการเป็นแมวจรจัดมากกว่าแมวมีปลอกคอ
“ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย”
“รู้สึกยังไง?”
“รู้สึกอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด มันยากสำหรับคนไม่มีความรับผิดชอบแบบบีเหมือนกันนะ”
อย่างที่บอกบีมักได้อะไรบางอย่างกลับมาจากทุกๆ ที่ที่เคยไป อาจเป็นผลประโยชน์บางประการหรือบทเรียนบางอย่าง เช่นครั้งนี้ หากคริสไม่ขอร้องให้บีหยุดสงครามปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายก้าวสู่ความพังพินาศ คาวไปด้วยกลิ่นของการทรยศหักหลังอย่างไม่มีวันจบสิ้นซึ่งคงไม่มีใครในสังคมนี้ยอมรับได้ หากเป็นเช่นนั้น บีไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเหลือโอกาสได้ทำตามความฝันของตัวเองหรือไม่? การทำอะไรตามใจตัวเองและพร้อมต่อสู้เพื่อเอาคืนทุกคนที่เข้ามาทำลายสิ่งที่รักไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป คริสสอนบีไว้อย่างนั้น
“ทำไมพี่คริสถึงเห็นด้วยกับบี?”
“พี่เคารพในการตัดสินใจของบี และพี่อยากทำเพื่อบีบ้าง”
“ทำไม?”
“เพราะบีทำทุกอย่างเพื่อพี่มาตลอดไงล่ะ”
คริสหวังว่าคำปลอบประโลมนี้จะทำให้บีสบายใจขึ้น ในเมื่อบียอมจบสงครามระหว่างวทานิกาตามความปรารถนาของคริสแล้ว คริสก็จะทำตามความปรารถนาของบีเช่นกัน ซึ่งการแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งในจังหวะเวลาที่เหมาะสมกว่านี้อาจเป็นความปรารถนาของบี
คริสเชื่อว่าจากนี้ต้องมีทางไปต่อ แต่คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้คือเส้นทางนั้นจะนำไปสู่อะไร?
“พี่คริส ช่วยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับบีแล้วกลับไปทำตามใจตัวเองเหมือนที่เราทำกันมาตลอดก็ได้นะ”
“เราควรได้รับการให้อภัยและควรทำให้เรื่องทั้งหมดมันถูกต้องสักที นี่คือความต้องการของเราสองคนไม่ใช่เหรอ?"
“นี่คือทางที่ถูกต้องที่สุดแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นพี่จะอยู่ข้างบีเสมอ” คริสยกมือขึ้นลูบผมบีเบาๆ เพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ “พี่จะทำอย่างนั้น เหมือนในวันที่บีอยู่ข้างพี่มาตลอด”
ทั้งสองเดินทางมาไกลจากความสัมพันธ์หลบซ่อนตั้งแต่รู้ตัวว่ารักกัน เมื่อมาสู่ทางแยกแม้ใจอยากเดินด้วยกันต่อไปแต่ปัจจัยหลายอย่างส่งผลให้ต้องแยกจาก แน่นอน—ทั้งสองไม่ได้หนีแต่กำลังเดินไปตามทางของตัวเอง ไปยังถนนคนละสายเพื่อสักวันจะหวนกลับมาบรรจบที่ถนนสายเดียวกันอีกครั้ง หากไม่ยอมแพ้กลางทางทุกความสัมพันธ์จะมีหนทางไปต่อเสมอไม่ว่าทางนั้นจะนำไปสู่อะไรและแม้ต้องเดินทางอีกยาวไกลจนไม่รู้ว่าเมื่อไรเวลานั้นจะมาถึงแต่คริสมั่นใจว่ามันจะคุ้มค่าต่อการรอคอย
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางไว้รอการล่ำลา คริสใช้ผ้าพันคอผืนหนาห่มคลุมให้บี เมื่อแมวจรจัดต้องออกไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังคริสหวังว่ามันจะสบายดีเหมือนตอนได้อยู่กับเธอ “ที่นั่นต้องหนาวมากแน่ๆ ดูแลตัวเองนะบี”
บีรวบมือของคริสไปกุมไว้ “พี่คริสก็อย่าทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนล่ะ”
“ยากเลยนะ ถ้าจะไม่ให้พี่ทำงานหนัก”
“อันนี้จริงจังนะ—บีอยู่คอยเป็นห่วงพี่คริสไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ช่วยดูแลตัวเองดีๆ เพื่อบีด้วยได้ไหม?”
“โอเค รู้แล้วค่ะพี่บี” คริสเอ่ยหยอกล้อจนบีหลุดยิ้มออกมา
“แหม ทำไมไม่น่ารักแบบนี้ตั้งแต่แรก ทำไมถึงดื้อใส่บีมาตั้งนาน?"
นั่นเป็นคำถามที่คริสก็สงสัยว่าหากไม่เลือกปฏิเสธความรู้สึกตัวเองตั้งแต่แรกเรื่องราวจะลงเอยได้ราบรื่นกว่านี้รึเปล่า? “พี่คงรู้ตัวช้าเกินไปล่ะมั้ง ช้าทุกเรื่องเลย...”
“ไม่หรอก ยกเว้นไว้เรื่องนึงแล้วกัน”
“เรื่องอะไร?”
“ก็...เรื่องที่พี่คริสรักบีไง” บีคงไม่อยากเห็นคริสเป็นกังวลอีกแล้วจึงคอยส่งยิ้มให้เสมอ ทิ้งจังหวะเวลาให้ความรู้สึกได้คุยกัน บีขยับเข้ามาใกล้จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของคริส “และสิ่งที่บีอยากเห็น ก็คือการเห็นพี่คริสยิ้มให้บีแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“พูดเลี่ยนๆ แบบนี้มีจุดประสงค์อะไรรึเปล่า?”
“อะไร บีไม่เคยโกหกพี่คริสนะ บีพูดจริงๆ” บีกำลังเอ่ยคำพูดธรรมดาคำหนึ่ง แต่กลับทำให้รู้สึกถูกผูกมัดหัวใจทั้งดวงเอาไว้กับบีด้วยคำพูดนี้ “พี่คริส...รอบีนะ”
นี่คือพันธนาการที่คริสเคยเกลียดรึเปล่า?
แต่ทำไมทั้งสองต่างผูกพันธนาการซึ่งกันและกันไว้ได้ โดยไม่ต้องใช้แหวนสักวง?
"อื้ม รอสิ"
หรือสิ่งที่ผูกมัดเราได้แน่นกว่าสถานะความสัมพันธ์ใดๆ คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้ใช้ด้วยกัน
และไม่ต้องการให้มันหายไปแม้แต่วินาทีเดียว?
คริสไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครแม้แต่คนที่เคยสวมแหวนแห่งพันธนาการให้กับเธอ ความรู้สึกที่ตรงกันของคนสองคนทำให้คริสไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้อีกแล้ว แต่คงมีเพียงคำถามเดียวต่อจากนี้ การจากลาเพื่อพบกันใหม่มันไม่ได้เลวร้ายใช่หรือไม่หากทั้งสองยังคงมั่นใจซึ่งกันและกันว่ายังรู้สึกเหมือนเช่นเดิม?
“หวังว่าเราจะไม่ร้องไห้ใส่กันนะ”
“เก็บน้ำตาเอาไว้ใช้วันอื่นดีกว่า”
บีขมวดคิ้ว “วันไหน?"
"ไม่รู้หรอก ก็ในสักวัน..."
“วันที่เราเจอกันอีกครั้ง หรือวันที่พี่คริสไม่รักบีเหมือนเดิมแล้ว?”
“ต้องเป็นวันที่เราเจอกันอีกครั้งอยู่แล้วไหมล่ะ?”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น บีจะนับวันรอเห็นน้ำตาของพี่คริสในตอนนั้นนะ” บีอ้าแขนและส่งยิ้มยียวนให้ หลังจากสิ้นเสียงประกาศจากสายการบินจังหวะล่ำลาของทั้งคู่ก็ได้จบลง “เรามากอดกันอีกสักครั้งไหม?"
คริสโผเข้ากอดบีอย่างแนบแน่นกว่าการกอดในครั้งแรก ซบลงไปในอ้อมอกนั้นและอยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้นาน "อย่าสนุกกับชีวิตใหม่จนลืมพี่ล่ะ"
"จะลืมได้ยังไง..."
หากไม่ได้รู้สึกไปเองคริสรับรู้ได้ว่าบีกำลังร้องไห้ แต่ทั้งสองต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การกอดลาแต่เป็นการกอดครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง แม้นึกภาพในวันที่ไม่มีบีไม่ออก แต่คริสเชื่อว่าการยอมรับและมองทุกอย่างตามความเป็นจริงคงทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในประโยคสุดท้ายที่บีทิ้งท้ายเอาไว้ยิ่งทำให้คริสมั่นใจในความสัมพันธ์ครั้งนี้
"บีรักพี่คริส บ้านของบีคือพี่คริส ไม่มีใครแทนที่พี่คริสได้หรอก"
บีให้คำสัญญากับโลกทั้งใบของตัวเองไว้ในวันนั้น และคริสก็เชื่อมันอย่างเต็มหัวใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แต่ในช่วงเวลาที่บีจากไปกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการไม่ต้องทำสงครามกับใครอีก ทั้งพีทและวทานิกาไม่วนเวียนเข้ามาทำให้ชีวิตต้องปั่นป่วน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหลังจากความลับถูกเปิดเผยและความจริงได้ทำหน้าที่ของมัน ด้วยงานที่รัดตัวแน่นหนาจากคอลเลคชั่นใหม่ที่ต้องเร่งให้เสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างราบรื่นมากเสียจนไม่รู้สึกถึงสัญญาณร้าย เมื่อลมพายุสงบเราควรสบายใจแต่ไม่ใช่ชะล่าใจ หากเป็นเมื่อก่อนคริสจะพร้อมรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันเสมอ แต่การแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตและรอให้เวลาช่วยเยียวยาความผิดพลาดไปพร้อมกับพิสูจน์ความสัมพันธ์ คริสรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนี้ และหวังว่าบีจะรู้สึกเช่นกัน
เป็นอีกหนึ่งวันที่ปลายสายถอนหายใจใส่และพูดประโยคที่ฟังทีไรก็ยิ้มได้เสมอ
“โคตรคิดถึงพี่คริสเลย ไว้ถ้าจบเรื่องเซ็นสัญญาเมื่อไหร่บีกลับไทยไปหาพี่คริส—ดีไหม?”
“หลังจากนั้นบีคงงานยุ่งแล้วล่ะ บินไปบินมาให้เหนื่อยทำไม รอให้มีเวลาว่างกว่านี้ก่อนก็ได้นะ”
“แล้วถ้าบีกลับไปวันเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของพี่คริสล่ะ ดีไหม?” คริสชอบเวลาบีกำลังขอคำปรึกษา ราวกับคริสสามารถเป็นที่พึ่งพาให้ได้ในทุกๆ เรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์และนับว่ามันเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกที่คริสไม่เคยเจอ
“คงอีกสักพักใหญ่ เอาไว้ค่อยคิดก็ได้” ปลายสายเงียบไป “...มีอะไรรึเปล่า?"
“คิดดูแล้ว บียังไม่มั่นใจว่าถ้ากลับไปแล้วจะเป็นยังไง บีไม่อยากให้สถานการณ์ที่มันดีอยู่แล้วต้องแย่ลงไปอีก พี่คริสพอเข้าใจไหม?”
“ทำไมจะไม่เข้าใจ รู้ไหม? พี่ชอบที่บีไม่ทำตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อนและใช้เหตุผลในการตัดสินใจแบบนี้นะ”
"พอต้องมีความรับผิดชอบ บีคงโตขึ้นล่ะมั้ง"
“ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน พี่คิดว่าทุกอย่างตอนนี้มันดีมากเลยนะ”
“แต่พี่คริส ทำไมความสัมพันธ์ของเราต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นแบบนี้ด้วยนะ?”
“เพราะเราเริ่มต้นกันมาแบบผิดๆ ไงบี”
“ไม่มีอะไรลบล้างเรื่องนี้ได้เลยเหรอ?”
“คงมี แต่คงต้องใช้เวลา”
“แล้วมีอะไรลบล้างความคิดถึงที่บีมีให้พี่คริสได้รึเปล่า? เวลาคงไม่ช่วยหรอกนะ"
"ตัดปัญหาดีไหม?"
"ยังไง?"
"เสร็จงานเมื่อไหร่ พี่จะไปหาบีเอง"
แม้ไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงสดใสทำให้คริสรู้สึกได้ว่าบีกำลังดีใจ "เอาอย่างนั้นเหรอ?"
"ใช่ ตอนนี้บีแค่โฟกัสกับงานตรงนั้นให้มากๆ ก็พอ โอเคไหม?"
"ได้สิ บีจะบ้างานให้เท่าพี่คริสเลย คอยดู"
"ขอให้ทุกอย่างตรงนั้นเป็นได้ด้วยดีนะบี”
"และขอให้พี่คริสยังรักบีเหมือนเดิม"
"อย่าพูดเหมือนไม่รู้ว่าพี่รักบีได้ป่ะ?"
"ก็นึกถึงใจคนที่รอคำว่ารักจากพี่คริสมาตลอดสิ พอได้ฟังแล้วก็อยากฟังอีกแบบนี้แหละ"
บางทีแมวจรจัดตัวนี้ก็น่ารักกว่าที่เคยคาดคิดเอาไว้ คริสหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีเช่นนี้เสมอไป แม้ความสัมพันธ์นี้อาจเริ่มต้นมาได้ไม่ยาวนานนักแต่คริสอยากทำให้บีรู้สึกอยู่เสมอว่าได้รับความรักจากคริสไปมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับวันนั้นที่บีเคยรอคอย หากบีอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุขคริสก็จะมีความสุขเช่นกัน อาจเพราะความรู้สึกที่ยังคงเดิมและความหวังที่จะได้กลับมาเจอกันในจังหวะเวลาที่เหมาะสมทำให้การรอคอยไม่ทรมานจนเกินไปนัก
ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจว่าความรักคืออะไร แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งสองต่างบอกรักกันเสมอเมื่อมีโอกาส
แต่หากความสัมพันธ์ของทั้งสองแปรเปลี่ยนจากการหลบซ่อนกลับกลายมาเป็นความรักได้ หลังจากนี้มันจะเปลี่ยนแปรไปในทิศทางใดอีกในเมื่อเรื่องบางเรื่องก็อยู่เหนือการควบคุม? อย่างเช่นในวันนี้ ที่จู่ๆ ก็มีพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามาใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว หลังจากได้รับสายจากทีมงานว่ามีคนมาขอพบและคนคนนั้นคือ วทานิกา
คริสเริ่มเข้าใจในสิ่งที่บีพูดเอาไว้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น เพราะน่าแปลกเมื่อคริสเกิดรู้สึกกังวลว่าสงครามจะกลับมาประทุอีกครั้งหลังจากที่เคยคิดว่ามันจบไปแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง หลังจากหนักใจกับฉันมาตลอด?” วทานิกาส่งยิ้มเมื่อเข้ามาในห้องทำงาน
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอควรมานะ”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร มันก็เหมือนกับที่เธอเคยไปเหยียบวทานิกาถึงที่แค่เพราะอยากสู้เพื่อบี—ความรักของเธอ” วทานิกายิ้มเยาะ “จะอ้วกเนอะ ว่าไหม?”
“ลองหัดรักใครซะสิ จะได้เข้าใจ" วทานิกาเพียงส่งยิ้มยิ่งทำให้คริสไม่รู้จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ “...แล้วเธออยากสู้เพื่อใครล่ะถึงมาที่นี่?”
“เปล่าหรอก ฉันมาเพราะฉันเกลียดเธอ"
“ไม่แปลกใจที่ได้ยินแบบนี้”
“แน่อยู่แล้ว เราต่างก็เกลียดกันนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม”
“ที่ผ่านมาคงไม่ได้มองว่าฉันเป็นแค่คู่แข่งทางธุรกิจแต่เป็นคู่แข่งในเรื่องอื่นด้วยใช่ไหม?”
“เธอกำลังรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะเหรอ?”
“แล้วเราแข่งอะไรกันอยู่ล่ะ?” วทานิกาไม่ตอบแต่ถือวิสาสะนั่งลงที่โซฟาและรินไวน์ของคริสดื่ม "กินแก้วเดียวกันมันไร้มารยาทไปหน่อยนะ"
"พูดเหมือนเราไม่เคยทำอย่างนั้นแหละ ถ้าคิดไม่ออกว่าเราเคยกินอะไรร่วมกัน...ก็ลองคิดถึงบีดูสิ" คริสวางมือจากงานตรงหน้าเมื่อรู้สึกถูกกวนประสาท หลังจากที่ไม่ได้แข่งขันกันมานานนี่อาจเป็นชัยชนะแรกของวทานิกาในวันนี้
"ยังไม่จบอีกเหรอ?"
"จริงๆ แล้วฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องค้างคาอยากจะถามเธอ"
“รีบพูดล่ะ ฉันมีเวลาทำตัวไร้สาระไม่มากนัก”
"ฉันแค่อยากรู้เหตุผลที่เธอให้บีเดินชุดฟินาเล่ของ Secret weapon ทั้งๆ ที่เธอรู้ดีว่าบียังไม่ไปจากฉัน เธอทำแบบนั้นเพราะตั้งใจหักหน้าให้ฉันต้องเจ็บอยู่แล้วใช่ไหม มันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำสงครามรึเปล่า?"
ไม่มีใครเป็นสีขาวหรือสีดำได้ร้อยเปอร์เซ็นอยู่แล้ว คริสยอมรับว่า ณ ตอนนั้นในวันที่ยังเห็นบีเป็นแค่อาวุธสำคัญ เธอต้องการฟาดฟันกับวทานิกาด้วยทุกวิถีทางเช่นกัน "เธอไม่ใช่คนโง่หนิ ถ้าให้พูดตามตรง...ก็ใช่"
"นั่นแปลว่าเธอเริ่มเกมสกปรกกับฉันก่อนและฉันก็ไม่ผิดที่ต้องหาทางเอาคืนถูกไหม? ทั้งการทำให้เธอถูกเพื่อนสนิทหักหลัง การมองหน้าอดีตคู่หมั้นไม่ติดและการที่บีต้องไปจากเธอเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ถ้าลองย้อนมองสิ่งที่เธอเคยทำกับฉันไว้ เธอควรยอมรับว่าเพราะเธอนั่นแหละที่จุดชนวนจนทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้"
"ถึงเธอจะเล่นสกปรกกลับมาไม่ต่างกัน แต่อะไรที่เป็นความผิดของฉันฉันรับมันไว้ทั้งหมดแล้ว ได้ฟังแบบนี้หวังว่าจะสบายใจขึ้นนะ"
“ใช่ ฉันสบายใจ เอาล่ะศิริน มีเรื่องที่เธอควรรู้ไว้เพราะฉันไม่อยากมีอะไรค้างคากับเธออีก" วทานิกายิ้มอย่างพอใจ รินไวน์ใส่แก้วและลุกขึ้นเดินเข้ามาหา “เธอคิดว่าเรื่องของเธอกับบีเป็นความลับมาตลอดเหรอ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“เธอรู้ดีว่าฉันไม่ใช่คนโง่หนิ”
“แล้วเธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“จะตกใจรึเปล่าถ้าฉันบอกว่าตั้งแต่วันแรกที่พวกเธอเจอกัน?” วทานิกาแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ตอนไหนกันนะ น่าจะเป็นบาร์ลับริมหาดที่ภูเก็ตแน่ๆ บรรยากาศมันคงโรแมนติกมากใช่ไหม?”
“เธอรู้ได้ยังไง?”
"นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก เพราะสิ่งสำคัญที่เธอควรรู้ก็คือฉันเจอบีครั้งแรกที่นั่นเหมือนกัน”
คริสนิ่งไปเมื่อได้ยิน ความสับสนเริ่มถาโถมเข้าใส่เมื่อไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรกันแน่ “ถ้าจะมาเพื่อปั่นหัวกันเล่นๆ ก็กลับไปเถอะ”
แต่วทานิกาไม่ฟังและเอ่ยต่อไป “วันนั้นในงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ในวันที่บีมีแค่ตัวเปล่าและอยู่ในสังกัดโมเดลลิ่งไร้ชื่อเสียง มีสิทธิใส่แค่ชุดธรรมดาไม่ใช่ฟินาเล่ ไม่มีอะไรให้น่าสนใจและไม่มีอะไรให้น่าดึงดูดเลยสักนิด วันนั้นบีเดินเข้ามาหาฉัน นั่งลงข้างๆ และเริ่มบทสนทนาด้วยการขอชนแก้ว—ซึ่งฉันคิดว่าบีคงทำแบบนั้นกับเธอเหมือนกันสินะ?”
แม้จริงอย่างที่วทานิกาบอกทุกอย่าง แต่คริสเลือกที่จะไม่หลงกล “เราไม่เหมือนกันหรอกวทานิกา”
“ยอมรับเถอะศิริน เราเหมือนกันเพราะเราต่างเคยรับบทเป็นบ้านหลังใหม่ของแมวจรจัดด้วยกันทั้งคู่ไงล่ะ”
“บีไม่ใช่แบบที่เธอคิดอีกแล้ว”
“แค่เพราะบีบอกว่ารักเธอน่ะเหรอ? แปลกดีนะ เพราะบีก็เคยบอกว่ารักฉันเหมือนกัน แถมก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ว่าใครอีกบ้างที่ได้ฟังคำว่ารักจากบี เราสองคนแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบีทำแบบนี้มาแล้วกี่คน”
“เธอต้องการอะไรพูดมาตรงๆ ดีกว่า”
“เชื่อฉันเถอะศิริน—ในฐานะที่เคยสัมผัสแมวจรจัดตัวนี้มาก่อน คำแนะนำเดียวของฉันคืออย่าปล่อยให้ถึงวันที่มันทำร้ายเธอได้ แมวจรจัดยังไงก็เป็นแมวจรจัดอยู่วันยันค่ำ มันไม่มีทางรักใครจริง เธออาจจะต้องเจ็บหนักเหมือนอย่างที่ฉันเคยเจอ อันที่จริงฉันอยากเห็นเธอเจ็บเหมือนกันนะ แต่ฉันอยากขอเตือนเธอด้วยความหวังดีมากกว่า”
“หวังดีหรือแค่อยากเล่นสนุกกับความรู้สึกของคนอื่น?”
“ครั้งนี้เธอควรเชื่อนะ ว่าฉันไม่ได้โกหก”
“นี่คงเป็นความต้องการของเธอมาตั้งแต่แรกใช่ไหม?”
“เรื่องไหนล่ะ?”
“เรื่องทั้งหมดที่เธอทำหลังจากรู้ความลับของฉัน”
วทานิกาหัวเราะ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสงครามของเราหรอก ฉันแค่อยากรู้เฉยๆ ว่าแมวจรจัดตัวนี้จะรักเธอจริงอย่างที่พูดรึเปล่า?”
“และเธอก็อยากเอาชนะฉันมากๆ”
“ใช่ ฉันคงรู้สึกชนะมากๆ ถ้ามันไม่ได้รักเธอจริงๆ" วทานิกาส่งยิ้มราวกับมั่นใจว่าจะเป็นผู้ชนะในเร็วๆ นี้ "จากประสบการณ์ของฉัน การปล่อยแมวจรจัดให้ออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพังมันอันตรายมากนะ เพราะมันง่ายต่อการที่มันจะไม่กลับมาหาเธออีกเลย”
คริสเริ่มรู้จักตัวตนของวทานิกามากขึ้นก็วันนี้ เช่น การจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตและไม่ยอมเดินหน้าต่อไปง่ายๆ หากอีกฝ่ายยังไม่เจ็บปวดยิ่งกว่า "คิดว่าบีจะทำกับฉันเหมือนที่ทำกับเธอเหรอ?"
"เธอเอาอะไรไปมั่นใจในตัวบีขนาดนั้น อย่ายอมทิ้งโลกความเป็นจริงของตัวเองเพื่อใครสักคนสิ แค่คำว่ารักมันไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครอยู่กับเธอตลอดไปหรอก ในวันที่เธอรักบีหมดใจวันนั้นบีอาจจะไปจากเธอก็ได้"
ไม่รู้ทำไมวทานิกาถึงย้ำได้อย่างมั่นใจและหนักแน่นราวกับสิ่งที่เธอพูดกำลังจะเกิดขึ้นจริง มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้แมวจรจัดรู้ว่าเรารักมันจริงและทำให้มันกลับมาหาเราหลังจากออกไปเผชิญโลกภายนอก? มีอะไรรับประกันได้บ้างว่าหากมอบความรักให้มันอย่างหมดใจแล้วมันจะไม่หนีไปจากเธอ? แน่นอน คริสไม่มีคำตอบใดนอกจากสิ่งที่เป็นนามธรรมที่สุดคือ ความรู้สึก
"ฉันรู้ว่าเธออยากเห็นฉันกับบีเจ็บปวด แต่ไม่ต้องพยายามมากขนาดนี้ก็ได้ วทานิกา"
"ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง แต่ฉันไม่ได้พูดเพราะแค้นใจอะไรทั้งนั้น"
คริสแปลกใจเมื่อได้ฟัง ตอนนี้บทสนทนาเริ่มเข้าสู่ความจริงจังโดยที่คริสแทบไม่รู้ตัว "จะบอกว่าเธอหวังดีกับฉันจริงๆ เหรอ?"
"ฉันแค่กำลังมองเห็นตัวเองช่วงที่บีเข้ามาในชีวิต จากการได้มองเห็นเธอในตอนนี้"
"เช่นอะไร?"
"ฉันคิดว่าฉันเข้าใจคนรักใครไม่เป็นแบบเธอนะศิริน" "แค่เพราะเธอเป็นคนประเภทนั้นเหมือนกันน่ะเหรอ?"
"เพราะการที่เห็นเธอทิ้งอดีตคู่หมั้นไปง่ายๆ ทำให้ฉันนึกถึงตอนทิ้งอะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตไปในตอนที่มีบี เธอคงไม่เอะใจกับความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการได้รู้สึกรักใครสักคน ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพราะเธอกำลังสูญเสียตัวตนจากการรักใครสักคนเท่านั้นเอง ในสักวันหนึ่งถ้าเธอได้รับรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของบีเป็นยังไง เธออาจจะขอบคุณที่ฉันมาพูดให้เธอฟังในวันนี้ก็ได้"
และในที่สุด ความลับของวทานิกาที่เพิ่งได้รู้คือเธอไม่ได้ต้องการทำลายเพียงชื่อเสียงของคริสมาตั้งแต่แรก แต่เธอแค่ต้องการให้คริสได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของบี
เราทำตามใจตัวเองกันอีกครั้งได้ไหม?
คริสควรตอบตกลงและไม่ปล่อยให้แมวจรจัดออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพังโดยไม่มีวันรู้ว่าจะเจ็บเพราะมันเมื่อไหร่อย่างที่วทานิกาพูด ทั้งที่ไม่ควรเชื่อศัตรูแต่ไม่รู้ทำไมบางอย่างในความคิดกลับบอกว่าควรเชื่อคำพูดเหล่านั้น
"อีกอย่าง ฉันมาที่นี่วันนี้เพราะต้องการสงบศึกอย่างเป็นทางการและไม่ต้องอยากค้างคาอะไรกับเธออีกแล้ว" วทานิกาบอกจุดประสงค์ที่ชัดเจนของเธอให้ฟัง "หลังจากนี้ เธอเอาเวลาไปไม่สบายใจกับเรื่องอื่นเถอะ"
"แล้วทำไมเธอถึงไม่รั้งบีไว้?" วทานิกาเลิกคิ้วอย่างสงสัยในคำถามที่คริสอยากรู้มานาน "ฉันหมายถึง ทำไมเธอถึงยอมปล่อยบีมาหาฉันง่ายๆ ทั้งที่เธอมีวิธีทำให้บีอยู่กับเธอ"
"ไม่ใช่ไม่รั้ง แต่ฉันไม่มีวิธีทำให้บีอยู่กับฉันต่างหาก"
"และการปล่อยบีมาหาฉันง่ายๆ ก็เป็นหนึ่งในความต้องการของเธอเหมือนกัน"
"ฉลาดมากศิริน และฉันก็ฉลาดมากพอเหมือนกันที่ไม่คิดจะรั้งคนที่ต้องการจะไป" วทานิกาวางแก้วไวน์เปล่าลงบนโต๊ะทำงานของคริส ทิ้งประโยคสุดท้ายที่ไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไรกันแน่เพราะแววตาของเธอจริงจังไร้ซึ่งความจงใจจะทำให้คริสเจ็บปวด "ขอบคุณสำหรับไวน์"
เมื่อพายุพัดผ่านไปมันไม่ได้ทำลายสิ่งใดและไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนอกจากทิ้งปมในใจเอาไว้ให้คริสต้องเผชิญหน้าต่อ บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น
แต่ด้วยเหตุผลเรื่องงานทำให้บีหายไปร่วมเดือน การส่งข้อความหากันวันละไม่กี่ประโยคบวกกับคำเตือนด้วยความหวังดีของวทานิกากำลังทำให้คริสเริ่มตระหนักใจ แต่การหนักแน่นกับความรู้สึกของตัวเองคงเป็นข้อดีที่ทำให้คริสไม่คล้อยตามไปกับความกังวลใจและไม่ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บีให้คำสัญญากับโลกทั้งใบของตัวเองเอาไว้แล้ว และคริสเชื่อว่าทุกอย่างจะยังคงเดิมตามนั้น
สัญญาณเตือนวีดีโอคอลดังมาจากโทรศัพท์ คริสรีบกดรับเพราะเป็นสายเดียวที่รอมานาน "ไงบี"
"ยุ่งอยู่รึเปล่า?"
"ไม่ยุ่งหรอก คุยได้" คริสตอบไปเช่นนั้นทั้งที่กำลังวุ่นอยู่กับการเลือกนางแบบมาสวมชุดฟินาเล่คอลเลคชั่นใหม่ ซึ่งถ้าบีอยู่ตรงนี้คงได้รับสิทธินั้นทันทีโดยไม่ต้องพิจารณาให้เหนื่อย “บีนั่นแหละ ช่วงนี้คงยุ่งมากเลยใช่ไหม?”
“ใช่...” คริสรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากสีหน้าและน้ำเสียงนั้น “จริงๆ แล้วบีเพิ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อสองวันก่อน”
"ทำไมเพิ่งเซ็นล่ะ?"
"ก็แค่...มีอะไรให้คิดเยอะน่ะ"
คริสอยากสร้างความสบายใจด้วยการส่งยิ้มให้บีเสมออย่างที่บีบอกว่าต้องการเห็น "ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ บีเก่งมาก รู้ตัวไหม?"
“แต่มันไม่ใช่เพราะบีซะทีเดียวหรอก”
“ถ้าไม่ใช่เพราะบีจะเพราะใคร?”
“บีก็ถามต้นสังกัดนะ ว่าทำไมถึงให้โอกาสขนาดนี้”
“แล้วพวกเขาบอกว่ายังไง?”
“พวกเขาบอกว่าที่บีมาถึงจุดนี้ได้ เพราะบีเคยทำงานกับวทานิกา” คริสนิ่งไปเมื่อได้ฟัง รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปและเข้าใจทันทีว่าทำไมบีถึงมีน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยใจ “พี่คริสรู้ไหม? ทุกคนที่นี่เอาแต่พูดถึงวทานิกา ทุกครั้งที่ชื่นชมบีก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมวทานิกา พวกเขาแทบไม่พูดด้วยซ้ำว่าบีเคยมีผลงานอะไรหรือมีความสามารถขนาดไหนเขาถึงเลือกบีมาอยู่ในจุดนี้ บีต้องได้ยินชื่อของวทานิกาแทบทุกวันจนบีเริ่มไม่แน่ใจว่าบีคิดถูกรึเปล่าที่มาที่นี่”
คริสไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเรื่องไม่คาดคิดเรื่องนี้? “พี่เข้าใจนะ ว่าบีคงรู้สึกไม่ดีที่ได้ฟัง”
“บีแค่ผิดหวังที่มารู้ทีหลังว่าไม่ได้ไปถึงจุดนั้นด้วยตัวเองแต่กลับเป็นเพราะวทานิกา” คนในจอถอนหายใจและนิ่งไป สีหน้ายังคงหนักใจกับความรู้สึกแย่ๆ “มันเหมือนกับ...ไม่ว่าบีจะทำยังไง พิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถขนาดไหน บีก็ไม่มีทางสะบัดชื่อของวทานิกาออกไปจากตัวบีได้เลย”
“พี่อยากให้บีโฟกัสเรื่องงานมากกว่าปัจจัยพวกนี้นะ"
"บีแค่ไม่อยากให้วทานิกาเกี่ยวข้องอะไรกับบีอีกแล้ว ไม่อยากสักเรื่อง...แม้แต่กับเรื่องของเรา"
คริสนิ่งไป จริงอย่างที่บีพูด แม้เรื่องทุกอย่างจะจบลงแต่วทานิกายังคงเกี่ยวข้องอยู่ในทุกๆ เรื่องราว มีผลต่อในทุกเหตุการณ์และในบางความรู้สึกของทั้งสองมาเสมอ แต่การทำให้คนในจอสบายใจคือทางเดียว ณ เวลานี้ "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกบี"
"พี่คริสแน่ใจเหรอ?"
"หลายวันก่อน วทานิกามาหาพี่"
“แพรคุยอะไรกับพี่คริสบ้าง?” บีตั้งใจฟังเมื่อได้ยินดังนั้น
"วทานิกามาเพื่อขอจบเรื่องทุกอย่างและไม่ขอเกี่ยวข้องกันอีก ทั้งเรื่องบีและเรื่องของเราด้วย
“แพรพูดแค่นั้นเหรอ?”
“ใช่ วทานิกาต้องการมาพูดแค่นั้น” มันไม่ใช่แค่นั้นคริสรู้แก่ใจ แต่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องบอกให้บีรู้ว่าถูกวทานิกากล่าวหาอย่างไรบ้างเพราะมันคงทำให้สถานการณ์แย่ลง “ถึงตอนนี้จะมีชื่อของวทานิกาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องงานของบีก็เถอะ แต่พี่เชื่อว่าความรู้สึกแย่ๆ ที่บีกำลังเผชิญมันจะผ่านไปได้ ถ้าบีพยายามมองข้ามมันไปและใช้เหตุผล"
“พี่คริสอาจไม่เข้าใจบี"
"อะไรที่ทำให้บีคิดแบบนั้น?"
"การที่บอกให้บีพยายามมองข้ามความรู้สึกแย่ๆ และใช้เหตุผลน่ะ คิดใช่ไหมว่าบีไม่ได้ทำ?"
แต่ดูเหมือนเป็นคริสที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเอง “บี...”
"เข้าใจนะ ในความคิดของพี่คริสบีอาจยังเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ ทำอะไรเอาแต่ใจมากกว่าเหตุผลเสมอ"
"บี ฟังพี่นะ พี่แค่อยากให้บียอมรับความเป็นจริงมากกว่าเก็บมาคิดมากแบบนี้"
"ให้บียอมรับว่ามาถึงจุดนี้ได้เพราะวทานิกาใช่ไหม? บีไม่รู้สึกดีขึ้นจากการยอมรับความจริงเรื่องนี้หรอกนะ"
“ถ้าบีไปถึงจุดนั้นได้เพราะมีส่วนมาจากวทานิกาจริงๆ สิ่งที่บีควรทำ—ก็แค่ขอบคุณเขา” บีหลบสายตาและหยุดบทสนทนาไปครู่ใหญ่เมื่อได้ฟัง “บี...ฟังพี่อยู่รึเปล่า?"
“อืม บีฟังอยู่” บีถอนหายใจ “…แต่บีไม่คิดว่าจะได้ฟังอะไรแบบนี้”
“พี่พูดอะไรผิด?"
"เปล่าหรอก บีอาจแค่ยอมรับความจริงไม่เก่งเท่าพี่คริส"
"บีจะทำยังไงถ้าไม่ยอมรับความจริง? บีถอยหลังกลับจากตรงนั้นไม่ได้แล้วนะ" คริสคงกำลังหมายถึงการใช้อารมณ์ชั่ววูบฉีกสัญญาทุกอย่างมากกว่ายอมเผชิญหน้ากับมันต่อไปเหมือนที่บีเคยทำไว้กับวทานิกา
"บีไม่ถอยหลังกลับหรอก การไปนิวยอร์กคือความฝันของบี พี่คริสก็รู้ใช่ไหม?" คริสใจชื้นและรู้สึกว่าบีโตขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน "บีแค่อยากให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์และถูกต้องเหมือนที่เราต่างต้องการแต่ดูเหมือนจะไม่มีวันนั้นเลย ถ้าความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคอยย้ำอยู่ทุกวัน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับวทานิกาทำให้บีรู้ว่าการเริ่มต้นแบบผิดๆ ไม่ว่ายังไงคงไม่มีวันกลายเป็นความถูกต้องได้หรอก"
"พอมีทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่บีกำลังเจออยู่ไหม?"
"บีไม่รู้ บีรู้แค่ตอนนี้บีรู้สึกแย่" บีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "บีคิดว่า บีทนมองข้ามมันไปวันๆ ไม่ไหว"
"พี่พอช่วยอะไรบีได้บ้างรึเปล่า?"
"อย่างน้อยก็ช่วยทำให้บีรู้ ว่าในบางเรื่องเราก็ไม่ได้เข้าใจกันจริงๆ"
อาจเป็นความผิดของคริสที่แสดงความคิดเห็นออกไปโดยไม่รู้ว่าตรงนั้นบีต้องเจอกับสถานการณ์หรือคำพูดอะไรบ้าง คริสไม่สามารถรับรู้ทุกความรู้สึกที่บีกำลังนึกคิดได้ทั้งหมด ไม่สามารถบังคับให้บียอมรับความจริงในสิ่งที่กำลังรู้สึกแย่ คริสรับรู้ได้ว่าบีกำลังเหน็ดเหนื่อยทั้งเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บีพูดออกมาให้ฟังว่ารู้สึกเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง แม้พยายามหลีกเลี่ยงหรือมองข้ามในวันนี้ แต่ในวันหน้ามันอาจย้อนกลับมามอบความรู้สึกแย่ๆ อย่างไม่จบสิ้น
"การเริ่มต้นกันมาแบบผิดๆ และไม่มีวันกลายเป็นความถูกต้องน่ะ บีหมายถึงเรื่องของเราด้วยใช่ไหม?"
บีนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนตอบกลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ "ใช่..."
คริสคลี่ยิ้มบางๆ อย่างเย้ยหยันตัวเองเมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่มีแม้แต่ท่าทีลังเล แต่มันคือความจริงที่ต้องยอมรับ "เรากำลังช่วยกันพยายามทำให้มันถูกต้องไม่ใช่เหรอบี?"
"เราพยายามแต่ไหนล่ะทางออกที่เราต้องการ อีกนานแค่ไหนถึงจะถูกต้องสักที?"
"พี่รักบี พี่ไม่อยากให้บีทำเหมือนกำลังหมดหวังกับเรื่องของเรานะ"
“บีรักพี่คริสนะ แต่บีไม่รู้ว่าถ้าต้องเดินด้วยกันไปไกลกว่านี้ คำว่ารักอย่างเดียวจะพอรึเปล่า"
แค่คำว่ารักมันไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครอยู่กับเธอตลอดไปหรอก ในวันที่เธอรักบีหมดใจวันนั้นบีอาจจะไปจากเธอ—คำพูดของวทานิกาแล่นผ่านเข้ามาในความคิดทันทีเมื่อได้ฟัง แม้ยังมีอุ่นใจเมื่อได้ฟังคำว่ารักจากคนตรงหน้าแต่คริสไม่อยากปฏิเสธว่ากำลังกลัวมันเป็นจริงตามที่วทานิกาพูด
"เราอย่าเพิ่งคิดถึงจุดนั้นดีไหมบี? และที่สำคัญ พี่ไม่อยากให้บีคิดว่าพี่ไม่เข้าใจในสิ่งที่บีกำลังรู้สึก"
ดูเหมือนบีไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว ถึงได้เลือกตัดบท "วันนี้บีเหนื่อยแล้ว ไว้เราค่อยคุยกันนะ"
"เดี๋ยวก่อนบี"
"ว่าไง?"
คริสไม่ควรเซ้าซี้อะไรบีอีก คริสเข้าใจธรรมชาติของบีและเข้าใจว่าการปล่อยให้บีใช้เวลาคิดทบทวนด้วยตัวเองคงทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าการพยายามทำให้บีสบายใจ "เปล่า ไม่มีอะไร ไว้ค่อยคุยทีหลังก็ได้ บีพักผ่อนเถอะ"
การพยายามทำให้ทุกอย่างที่ผิดพลาดกลับกลายเป็นความถูกต้องนั้นยากกว่าการทำให้มันถูกต้องตั้งแต่แรกหรือไม่? หากเริ่มต้นมาด้วยความถูกต้องในวันนั้นทั้งสองคงไม่ต้องพยายามมากเกินไปเหมือนในวันนี้ ณ วินาทีต่อจากนี้ ความจริงอาจกำลังมอบบทเรียนสำคัญบทต่อไปให้ทั้งสองได้เรียนรู้
คริสอยากเก็บน้ำตาเอาไว้ใช้ในวันที่ได้เจอบีอีกครั้ง
แต่ในวันนี้ กลับรู้สึกกดดันจนต้องปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างไร้เหตุผล
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้ำตาอาบเเก้ม:)
อยากกอดคุณคริสแน่นๆเลยให้ตายเถอะ
เข้าใจทั้งคู่เลย เข้าใจไรต์
แต่ก็ยังคิดว่า ถ้าเชื่อว่าความรักนี้เริ่มต้นผิด แล้วเมื่อไหร่จะถูกได้ล่ะ แล้วถ้ามันเรื่มต้นแล้วเราไม่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกคนที่รักเราและเรารักเขาเหรอ ชีวิตมันสั้นกว่าที่จะมาแคร์เรื่องที่คนอื่นคิดโดยเฉพาะคนที่ไม่ใช่เพื่อน ต่อให้เราไปกันไม่รอดเองมีนยังดีกว่าเพราะใครก็ไม่รู้มากำหนด
ดีใจที่มาต่อนะคะ หน่วงละเกิน งือออ