ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุตรชายคนเล็ก ยุค 70

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ทะเลาะวิวาท (แก้ไข)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.29K
      467
      16 เม.ย. 65

    สะใภ้ใหญ่และ เหยียจิ้งนั้น ทะเลาะกันเสียงดังแต่เช้า ซึ่งหากเป็นยามปกติแล้ว พวกเขาจะได้ยินเพียงแค่เสียงของสะใภ้ที่สั่งงานเหยียจิ้งเท่านั้น แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่าได้ยินเสียงโวยวายแทน จึงได้รีบวิ่งมาดู โดยเฉพาะ หลวตี้ พี่ชายคนโต ของเหยียจิ้ง

    เมื่อมาถึงก็เห็นว่า น้องชายของเขาพลักภรรยาของตนจนล้มไป ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หมายจะเข้ามาจัดการแต่ก็สะดุด สายตาของน้องชายตนเองนั้น ที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเขากลัว แต่เมื่อคิดได้ ก็เดินหน้าต่อ และยิ่งโกรธมากเข้าไปอีก ที่เหยียจิ้ง จ้องมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น

     

    เหยียจิ้ง นั้นเห็นว่าพี่ชายคนโตของเขาเดินมาหมายจะทำร้าย ก็รีบวิ่งออกไป ทางห้องเก็บฟืนและ คว้าตระกร้าสานแบกหลัง เข้าป่าไปทันที ที่หนีมาแบบนี้ก็เพราะร่างกายของเขาตอนนี้ไม่สามารถสู้กับพี่ชายของตนเองที่ร่างใหญ่และแรงเยอะได้น่ะสิ และสำหรับเขาการหนีถือเป็นกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่เขาจะไม่มีทางหนีไปตลอดเช่นกัน เพราะแบบนี้คือนิสัยของคนขี้แพ้ เขาเพียงแค่จดจำสิ่งที่ใครทำอะไรไว้กับเขาและรอเวลาเอาคืนเท่านั้น อย่างที่ว่า หนี้แค้น สิบปีไม่สายที่จะเอาคืน 

    ทางหลงตี้ เมื่อเห็นว่าน้องชายคนเล็ก หลบหลีกไปอย่างรวดเร็ว ก็หันมาสนใจภรรยาของตนเองแทน 

    “ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด คุณต้องจัดการมันให้ฉัน” เธอพูดกับสามีตนเองอย่างเคียดแค้นกับสิ่งที่เหยียจิ้งทำ

     

     

    ระหว่างที่เก็บฟืนนั้น เหยียจิ้งก็คิดว่าจะทำอย่างไงต่อไปดี เพื่อให้ชีวิตมันดีขึ้น มีอยู่สองทางเลือกที่เขาคิดได้ในตอนนี้ คือแยกบ้านออกมาและหาเงิน ตั้งตระกูลของตนเอง หรือไม่ก็ทำทุกทางเพื่อเป็นใหญ่ในตระกูบอีกครั้ง เพราะอีกไม่กี่ปีจะมีการใช้คูปอง ครอบครัวที่มีคนมากก็ยิ่งได้เปรียบเรื่องคูปองอาหาร แต่ตอนนี้เงินก็เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่มีการใช้คูปอง ตอนนั้นเขาก็คงจะลำบากมาก แล้วไหนจะต้องหาคอนเนคชั่นไว้อีก พวกข้าราชการ นี่ต้องสนิทไว้ให้ถูกฝั่งเลยทีเดียว หรือไม่ก็ต้องใช้คนพวกนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ประวัติศาสตร์ของประเทศเขาก็ได้เรียนมาไม่น้อย แต่จะให้จำทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ 

     

    แต่เมื่อพิจารณาทางเลือกที่สองแล้ว เขาก็ปัดทิ้งลงไป เพราะการต่อสู้แบบนี้ เขาไม่ได้อยากที่จะทำมันอีกแล้ว ถ้าหากจะต้องทำงานหนักเขาก็จะสู้เพื่อตัวเอง และไม่ต้องการการได้รับการยอมรับจากใครอีกแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่า  ดังนั้นแล้ว แยกบ้านออกมาคงจะดีที่สุด แม้จะเสี่ยงที่จะไม่ได้อะไรติดตัวมาเลย แต่เขาก็จะสามารถหามาได้แน่นอน ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ 

     

    เขาเก็บกิ่งไม้อันสุดท้ายเข้าตระกร้าสานที่แบกมา ใช้เถาวัลย์มัดให้เป็นกองเดียวกัน แล้วก็ขนกลับบ้าน ในระหว่างนั้นเขาก็สำรวจป่าไปด้วย ทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่มีประโยชน์กับเขามากทีเดียว เหยียจิ้งทำสัญลักษณ์ทิ้งเอาไว้ เมื่อยามที่มีเวลาเขาจะมาเก็บ ของพวกนี้หากนำไปอะไรให้เกิดประโยชน์ก็จะสามารถทำเงินได้มาก 

     

    เหยียจิ้งเดินกลับบ้าน มาถึงบ้านก็ยามเฉินแล้ว เขาใช้เวลาในการเก็บฟืนไปเป็นชั่วยามเลยทีเดียว แล้วตอนนี้ก็หิวมากแล้วด้วย ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย เหยียจิ้งล้างมือเสร็จก็เดินเข้าครัวหวังว่าจะทำอะไรง่ายๆ กินได้บ้าง เพราะว่าครอบครัวคงไม่รอเขากลับมาเพื่อทานข้าวด้วยแน่นอน หวังว่าเมิ่งเหลียนจะสามารถเก็บอะไรไว้ให้เขาได้กินบ้างล่ะนะ 

     

    ถึงจะบอกว่าคอยดูแล แต่นางก็ไม่ค่อยจะมีอำนาจในบ้านหลังนี้เสียเท่าไร เพราะแต่เดิมเป็นคนรับใช้ ลูกชายทั้งสองของสามีนางจึงไม่ยอมรับ และพารังเกียจนางไปด้วย แล้วยังต้องคอยดูแลบ้าน ทำอาหารให้กับทุกคนอย่างคนใช้เช่นเดิม 

     

    "แม่ น้ำตอนนี้มันก็เย็นมาก ให้ผมล้างเองดีกว่า" เหยียจิ้งที่เดินเข้ามาในครัวเห็นเมิ่งเหลียนกำลังล้างถ้วยชามอยู่ 

    "แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ทำจนเคยชินไปแล้วอาจิ้ง ลูกยังไม่ได้กินอะไรเลย มาทางนี้แม่เก็บหมั่นโถวไว้ให้เจ้า ตอนนี้มันยังร้อนอยู่ อาจิ้งรีบกินนะ" เมิ่งเหลียนชี้ไปทาง ถ้วยที่ถูกถ้วยอีกใบครอบเอาไว้เพื่อเก็บความอุ่น

     

    "ขอบคุณครับ" เหยียจิ้งนั่งทานหมั่นโถวที่ยังอุ่นๆอยู่ แม้ว่ามันจะไม่อิ่มแต่เขาก็รู้สึกซึ้งใจ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคนรักเขา ต่างจากชีวิตที่แล้ว ที่เขาอยู่ตัวคนเดียว ในแต่ละคำที่กัดเข้าไปนั้น ก็ได้สัญญากับตัวเองว่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขมากที่สุด ชาตินี้เขาไม่หวังร่ำรวยพันล้าน ขอเพียงมีกินมีใช้ไม่ลำบากก็พอ

     

    "ผมอยากจะแยกบ้านออกมา แม่คิดเห็นเช่นไร" เมื่อกินหมด เขาก็เอ่ยเรื่องที่เขาต้องการจะทำให้เร็วที่สุดออกมากับเมิ่งเหลียน 

    "เรื่องแบบนั้นทำไม่ได้ อาจิ้วจะออกไปอยู่คนเดียวได้ที่ไหน แล้วจะไปอยู่ที่ไหน" แม้ว่าจะพูดไปเช่นนั้น แต่เธอก็แอบคิดไม่ได้ว่าถ้าหากย้ายออกไปแล้ว อาจิ้งอาจจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่  "อาจิ้ง เจ้าเพิ่งจะ 13 ปีเองนะ รออีก สองปีได้หรือไม่" 

     

    "ผมจะทำงานเพื่อที่จะได้รับเงิน อาจจะเหนื่อยในช่วงแรก แต่ผมคิดว่ายังไงก็มีความสุขมากกว่านี้ เวลาสองปีนั้นนานเกินไป"  เมื่อเห็นสายตาของเมิ่งเหลียน เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และเมื่อคิดดูแล้ว ถ้าหากเขาแยกออกไป แล้วเมิ่งเหลียนจะเป็นอย่างไง ทุกวันนี้เหยียจิ้งคนเก่าก็แบ่งเบางานหลายอย่างมาได้ ถ้าแยกออกไปแล้วงานทุกอย่างคงต้องเป็นเมิ่งเหลียนคนนี้แล้วที่เป็นคนทำ

    “แม่ ออกไปกับผมนะ” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ถามออกไปทันที ออกไปด้วยกันยังดีเสียกว่า “แม่เอาเรื่องนี้ไปคิดนะ” เหยียจิ้งเห็นว่าสือซาน เดินเข้ามาใกล้ๆ เขาก็หลบเลี่ยงออกไป ให้อาหารไก่ทันที 

    เธอนั้นนึกสงสารลูกเลี้ยงคนนี้ เพราะชีวิตเขานั้นแลกมาด้วยมารดาของตนเอง นายหญิงของตนเธอจึงพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะล้มเหลวสินะ ความคิดที่จะออกไปใช้ชีวิตเองนั้นก็เกิดขึ้นหลังจากที่ถูกเหยียจิ้ง กระตุ้นความต้องการของเธออีกครั้ง เพราะหากไม่มีเขาเเล้ว เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่ตระกูลนี้ต่อ เธอไม่ได้รักสือซาน เรื่องของการเสียตัวให้เขาแล้ว ผู้หญิงเป็นทาสของผู้ชายนั้นไม่ใช่ทัศนคติของเธอ เพราะได้รับการศึกษามาพร้อมๆ กับไช้สือทำให้เธอมีความคิดที่เป็นของตัวเองมากเช่นกัน

     

     

    หลังมื้ออาหารเย็น เหยียจิ้งก็ตั้งใจว่าจะกล่าวกับพ่อเรื่องแยกบ้านออกไป ทันทีในคืนนั้นเลย เพราะเขาหาวิธีที่จะมีเงินขึ้นมาได้แล้ว 

     

    "พ่อ ผมมีเรื่องที่จะขอ" เหยียจิ้งเอ่ยขึ้นมา ก็ได้รับสายตาที่ไม่พอใจจากพ่อของตนเองทันที 

    "เรื่องอะไร ถ้าอยากจะไป โรงเรียน ฉันไม่ให้ไปหรอกนะ สิ้นเปลืองเปล่าๆ" ตอนนี้ต้าไห่ ได้เริ่มเข้าโรงเรียนแล้วทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น แต่กับเหยียจิ้งนั้นไม่ได้ไปเพราะไม่อยากเสียเงินค่าโรงเรียน ให้อยู่บ้านทำงานเสียดีกว่า 

    "ไม่ใช่เรื่องนั้นแน่นอน แต่เป็นเรื่องทำสัญญาแยกบ้าน" เมื่อเขาพูดเสร็จ สือซานก็มองมาอย่างอึ้ง แต่เพียงไม่นานเท่านั้น 

    “หึ อวดดีนัก อายุเท่านี้คิดจะอตัญญู ไม่คิดจะทำงานชดใช้ให้กับค่าข้าวค่าน้ำที่ต้องเสียไปเพื่อเลี้ยงดูแกเลยหรือไง” สือซานตะคอกกลับมา 

    “ที่ผ่านมา ผมก็ช่วยทำงานทุกอย่าง ไปเก็บฟืน ให้อาหารไก่ ไหนจะเก็บฟืนขายเพื่อให้เงินมาอีก กินก็ได้กินแค่สองมื้อบางวันก็มื้อเดียว ถ้าพ่อจะเลี้ยงผมแบบนี้ก็ปล่อยให้ผมไปตายเอาข้างหน้าดีกว่าต้องอดตายอยู่ในบ้านให้เป็นเรื่องอัปมงคลอีกเลย” เขานั้นพูดออกมา ส่วนหนึ่งก็เป็นความรู้สึกของเหยียจิ้งที่น้อยใจในโชคชะตาและพ่อของตน เขานั้นไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร พ่อถึงได้โกรธและเกลียดเขามาถึงขนาดนี้ แต่ไม่ใช่กับเหยียจิ้งคนนี้แน่นอน เขาไม่คิดที่จะสนใจด้วยซ้ำ 

    "อยากจะแยกก็แยกไป แต่แกจะไม่ได้อะไรสักอย่างเดียว" เขาตะหวาดกลับไป ด้วยความไม่พอใจ เพราะในสายตาของเขาแล้ว การที่เขาเลี้ยงเหยียจิ้งมาจนโตปานนี้ก็เท่ากับว่าเขานั้น ใจดีมากพอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้รู้สึกผิดขึ้นมาในใจลึกๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของเหยียจิ้ง แต่เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเสียภรรยาที่รักไป เขาก็รู้สึกชังน้ำหน้าลูกชายคนนี้ขึ้นมา แล้วยิ่งมากขึ้นเมื่อเจอกับการกระทำของเหยียจิ้งในวันนี้ 

     

    "อาจิ้ง คิดดีแล้วจริงๆ งั้นหรือ" เป็นเมิ่งเหลียน ที่ยังคงเป็นห่วงเหยียจิ้งมากกว่าใคร

    "ผมคิดดีแล้วครับ แม่อย่าได้กังวลไป เมื่อไรที่ผมตั้งตัวได้แล้วจะมารับไปอยู่ด้วยนะ" ตอนนี้เขาไม่อยากพาแม่เลี้ยงออกไปลำบากด้วย อยู่ที่นี่แม้ว่าจะทำงานหนักแต่อย่างน้อยก็มีข้าวและที่นอน 

     

    "ถ้าคิดดีแล้ว แม่คงห้ามอะไรเจ้าไม่ได้อีก นี่คือเงินที่แม่แอบเก็บเอาไว้ มันจะใช้สำหรับแต่งภรรยาให้เจ้า แต่ตอนนี้เจ้าคงต้องใช้มันก่อน" เมิ่งเหลียนแอบนำเงินออกมาให้กับเหยียจิ้ง

     

    "ขอบคุณครับ" เงินเกือบ 100 หยวน ถูกยืนเข้ามาในมือเขา แต่เหยียจิ้งก็นำออกมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเพราะเขานั้นไม่อยากให้แม่เลี้ยงของตัวเองต้องเดือดร้อน หากถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ จะได้มีใช้

     

    เช้าต่อมา 

     

    เหยียนจิ้งก็เดินแบกสัมภาระของตนเอง ออกจากบ้านไปทางที่ดินในป่าทันที เพราะเขานั้นจะทำที่อยู่แบบชั่วคราว แบบการเข้าป่าหากเขามีเงินเมื่อไร เขาจะเช่าบ้านอยู่ในเมืองแล้วทำธุรกิจลับๆ ขึ้นมา

    เมื่อวางของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับสร้างที่อยู่ชั่วคราวและทำที่เพาะปลูก และสำรวจตลาดที่แท้จริง แต่ก่อนที่จะออกจากป่านั้น เขาก็แวะไปยังจุดที่เขาทำสัญลักษณ์เอาไว้ มันคือสมุนไพรหายากอย่างโสมคน ที่ยังคงมีอยู่เยอะนั้นเป็นเพราะชาวบ้านนั้นไม่รู้จักหน้าตาของมัน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีโอกาสได้เก็บและขายมันแบบนี้ ถ้าถามว่าเขารู้ได้อย่างไง ก็คงต้องท้าวความไปถึงตอนที่เขานั้นเริ่มเจาะตลสดสุขภาพ ทำให้เขาเรียนรู้เรื่องของสมุนไพรมาพอสมควร และเขาเองก็ชื่นชอบในการเข้าป่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงมีความรู้ในการเอาชีวิตรอดในป่า และสร้างที่พักง่ายๆ ได้นั่นเอง 

     

    การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา ขอเพียงแค่มีอาหาร มีน้ำ ก็สามารถอยู่ได้แล้ว 

     

     

     

    รีไรท์ ครั้งที่ 1 

    ปรับโครงเรื่องนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวตอนอื่นๆ จะตามมานะคะ

    ไรท์จะมีการรีไรท์อีกครั้ง ในตอนนั้นจะมีการใส่สถานการ์ณบ้านเมืองเข้าไปเพิ่ม ตอนนี้ไรท์ยังหาข้อมูลได้ไม่แน่นพอที่จะนำมาจิตนาการแล้วเขียน เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ที่นำมาอ้างอิงในจิตนาการของไรท์

    ที่ไรท์เขียนอาจจะมีการผสมระหว่างยุคอยู่บ้าง อย่ายึดติดกับความเดิมๆ ของค่าตัวเลข มารตวัต หรือ ค่าเงินจากเรื่องอื่นมา เลยนะคะ 

    ชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน รู้สึกว่าตรงไหนไม่ได้อธิบายก็เมนต์บอกกันได้นะคะ 

    ตอนนี้จะสั้นหน่อย แต่ว่า จะพยายามเขียนให้ยาวขึ้นในตอนต่อๆไปนะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×