ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nor like(yaoi)

    ลำดับตอนที่ #35 : Nor like 28 – Heart revelation [A]

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 53


    Nor like

    28– Heart revelation [A]

    ซวย...

    คำๆเดียวที่สึโยชินึกถึงหลังจากต้องแบกสัมภาระบนล้อเลื่อนซึ่งหนักเกือบหกสิบกิโลขึ้นภูเขาสูง ไอ้สัมภาระที่ว่านี่ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล... ‘ทาคาฮาระ มิสึรุ’ เพื่อนตั้งแต่เด็กของเขาซึ่งนั่งสบายใจเฉิบ แถมยังเป่านกหวีดสั่งพวกข้างหลังเป็นจังหวะอีกต่างหาก

    “เอ้า...ข้างหลังน่ะเร็วๆหน่อย พวกข้างหน้าน่ะเขาแบกของหนักกว่าพวกนายอีกนะ”

    ใช่... คนรับกรรมไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวแต่มีถึงสี่...คนแรกไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนารุมิ สัมภาระของมันคือยูยะสุดที่เลิฟที่มันหวงนักหวงหนา เพราะตอนนี้ยูยะได้ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการชมรมเรียบร้อยจึงไม่จำเป็นต้องมาร่วมฝึกซ้อม แม้ตอนแรกยูยะจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่พอได้ฟังเหตุจำเป็นของกัปตันที่ว่า “เพื่อไม่ให้สาวๆที่สมัครเป็นผู้จัดการชมรมฆ่ากันตายซะก่อน”เด็กหนุ่มจึงจำใจรับอย่างเสียไม่ได้

    สึโยชิลองประเมินจากสายตา...กะคร่าวๆขนาดตัวของยูยะน่าจะพอกะมิสึรุ เพราะงั้นคงหนักไม่เบาเหมือนกัน... แต่หน้าของนารุมิมันยังนิ่ง... ทำเหมือนไม่สะทกสะท้านทั้งๆที่เหงื่อเริ่มซึมชื้นบริเวณไรผม

    ส่วนคนรับกรรมอีกสองคนที่เหลือคือรุ่นพี่มัตซึริ กับรุ่นพี่ยานางิกัปตันชมรมเคนโด้... สภาพนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาสักเท่าไหร่ เพราะต้องแบ่งกันแบกสัมภาระของพวกเขากับมิสึรุและยูยะ แถมด้วยก้อนหินขนาดเขื่องๆซึ่งมิสึรุยกวางบนกระบะสบายๆเหมือนไม่หนัก แต่พอพี่มัตซึริลองยกดูกลับแทบยกไม่พ้นพื้น ...ยังดีที่มีล้อเลื่อนให้...ไม่งั้นสามวันยังไม่รู้จะถึงยอดเขารึเปล่า...

    “อีกไกลไหมเนี่ยทาคาฮาระ”คนถามคือรุ่นพี่มัตซึริที่สภาพไม่ผิดแผกไปจากศพ... ร่างสูงนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนกำลังอาบน้ำ แถมสัมภาระข้างหลังก็เริ่มจะดึงรุ่นพี่ให้ถอยหลังมากกว่าเดินหน้า

    “ใกล้ถึงแล้ว ทุกคนพยายามหน่อย”มิสึรุร้องเชียร์เหล่าสมาชิกชมรมที่เดินขึ้นเขา

    และคำพูดนั้นทำให้สึโยชิเบ้หน้า

    ใกล้ถึงกะผีน่ะสิ...

    สึโยชิเคยมาที่นี่ตั้งแต่เด็กจึงคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี... ที่นี่เป็นภูเขาสูงชัน มีทางเดินขึ้นได้หลายทาง และทางที่มิสึรุเลือกให้พวกเขาเดินนั้นก็เป็นทางที่ อ้อมที่สุด จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่เดินมาตั้งแต่ช่วงสายๆ จนป่านนี้ตะวันเลยหัวไปไกลแล้วทำไมถึงยังไม่ถึง

    “ใกล้ถึงรึยังสึโยชิ”นารุมิเขยิบเข้าไปใกล้พลางกระซิบถามสึโยชิ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเป็นอีกคนที่ไม่เชื่อถือคำว่า ใกล้ถึงแล้ว ของมิสึรุ

    สึโยชิส่ายหน้า เขากำลังจะอ้าปากตอบแต่ก็ต้องรีบหุบฉับเมื่อรู้สึกถึงแรงมือหนักๆบริเวณหัวไหล่...

    เด็กหนุ่มหันขวับ เขาสบสายตากับมิสึรุซึ่งใบหน้านั้นประดับรอยยิ้มกว้างจนแลเห็นลักยิ้ม ถึงมันจะดูน่ารักก็เถอะ...แต่ทำตาอย่างนี้...อย่าบอกนะว่า...

    “เอาล่ะ....วิ่งเดี๋ยวนี้! ใครไปถึงทีหลังฉันจะต้องเจอเกมส์ลงทัณฑ์”

    ไม่ว่าเปล่า มิสึรุยังกระโดดกอดคอสึโยชิหมับจนเด็กหนุ่มเกือบหงายท้อง เขาลองหันไปข้างๆก็พบว่ายูยะก็ขี่คอนารุมิอยู่เหมือนกัน...แต่ท่าทางเหมือนนารุมิจะดูสุขใจมากกว่า...

    “สึโยชิ...คาวามูระ...ถ้านายยอมให้พวกนั้นไปถึงก่อนพวกนายเจอเกมส์ลงทัณฑ์ฉบับพิเศษแน่”

    สึโยชิสะดุ้งโหยง ความทรงจำเลวร้ายเกี่ยวกับ ‘เกมส์ลงทัณฑ์ฉบับพิเศษ’ ที่เคยเจอสมัยเด็กๆพุ่งเข้าสมอง เด็กหนุ่มถึงกับลืมความหนักของสัมภาระ วิ่งสุดฝีเท้าแซงหน้าสมาชิกชมรมที่ได้แต่มองกันตาค้าง และนั่นทำให้นารุมิต้องรีบวิ่งตาม เพราะจากการคาดเดาของเด็กหนุ่ม... ไอ้อะไรก็ตามที่สามารถทำให้สึโยชิหวาดผวาได้ขนาดนั้น...มันไม่น่าจะใช่เรื่องดี...




    สึโยชินอนหอบฮั่กอยู่บนระเบียงไม้เก่าคร่ำคร่า เนื้อตัวชุ่มด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งตกน้ำ ข้างๆเขานารุมิก็มีสภาพไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าหมอนั่นดูจะเก็บอาการกว่ามาก เด็กหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนระเบียงเดียวกันพลางเหลียวซ้ายแลขวาขณะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลลงอาบหน้า

    “พักอยู่นี่กันก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปตามคนที่เหลือก่อน”มิสึรุว่าพลางคว้ามือยูยะออกไปด้วยกัน ระหว่างทางทั้งสองสวนกับมัตซึริและยานางิ มิสึรุหยุดยืนพูดอะไรกับสองคนนั้นครู่หนึ่ง และเปลี่ยนให้ใบหน้าของทั้งสอง ซีดยิ่งกว่าเดิมจนเหมือนจะเป็นลม...

    “ปกติหมอนั่นโหดแบบนี้รึเปล่า?”มัตซึริถามขณะทิ้งร่างลงนอนแผ่หลาอย่างสิ้นสภาพข้างๆสึโยชิ หน้าของเด็กหนุ่มซีดจนไร้สีเลือด สึโยชิต้องรีบค้นกระเป๋าที่มิสึรุทิ้งไว้ก่อนจะโยนเครื่องดื่มเกลือแร่ให้มัตซึริกับกัปตันชมรมเคนโด้คนละขวด

    “มิสึรุจะจริงจังเฉพาะเรื่องนี้ล่ะ…ผมบอกพี่แล้วว่าให้ชวนคนอื่น”สึโยชิว่าพลางยื่นอีกขวดให้นารุมิ “แล้วคนอื่นในชมรมล่ะรุ่นพี่?”

    “มันอู้กัน...”มัตซึริสูดลมหายใจเข้าลึกๆขณะยันกายลุกขึ้นนั่ง “นายก็รู้ว่าพวกนั้นน่ะ...จะพูดว่าไงดี...เป็นโรค...ผู้ดียึดขามั้ง”

    สึโยชิสำลักน้ำทันทีที่ฟังจบ เด็กหนุ่มหัวเราะลั่นขณะทิ้งตัวลงนอนบนพื้น เรียวปากบางแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี

    “ถ้าพวกนั้นอู้...เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่านรกน่ะมีจริง...”ว่าแล้วสึโยชิก็หันไปสบตากับมัตซึริ ความหมายนั้นรู้กันโดยนัย…

    เป็นไปตามคาด...

    ไม่กี่นาทีต่อมาเหล่าสมาชิกชมรมคาราเต้และเคนโด้ก็วิ่งตาเหลือกมายังจุดหมาย แต่ละคนหน้าตาเหมือนเจอผี ปากซีดมือสั่นเป็นเจ้าเข้า ...ซึ่งสึโยชิก็รู้ทันทีว่าฝีมือใคร..
    .
    “อ้าว...สึโยะจัง ทำไมไม่เข้าไปตามตาล่ะ?”มิสึรุที่เดินรั้งหลังขบวนถามขึ้นเรียบๆ เสียงนั้นเรียกให้กลุ่มที่เพิ่งวิ่งตะลีตะลานมาสะดุ้งโหยง รีบวิ่งไปเกาะกลุ่มรวมกันตรงหน้าประตูซึ่งเป็นลานเล็กแคบอย่างรวดเร็ว อาการนั่นทำให้สึโยชิหัวเราะ

    “ไม่ต้องห่วง ตาแก่นั่นน่ะ คนมาขนาดนี้รู้ตัวอยู่แล้ว หูผีจะตาย โอ๊ย!”ประโยคสุดท้ายสึโยชิร้องลั่นเมื่อดาบไม้ไผ่ฟาดเข้ากลางกระหม่อมพอดิบพอดี เด็กหนุ่มหันหลังขวับ นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายวับ “แก่ง่ายตายยากจริงๆ พูดถึงก็โผล่เลยนะตาแก่ โอ๊ย! จะฟาดทำไมบ่อยๆเนี่ย เดี๋ยวโง่หมด”

    “โง่อยู่แล้วจะโง่อีกไม่เป็นไรหรอก”อีกฝ่ายพูดตอบเสียงเย็น “นินทาผู้มีพระคุณ ระวังเถอะ...”

    “ตา!”ชายแก่สะดุ้ง คำพูดกลืนหายไปในลำคอเมื่อมึสึรุก้าวเข้ามาประชิดพลางจ้องหน้าตาขวาง “ทำไมชอบหาเรื่องกับสึโยะจังอยู่เรื่อยเลยนะ”

    ทำไมชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย...

    สึโยชิขยับปากโดยไม่มีเสียงส่งให้ตาผู้ยืนหงอหลาน... อีกฝ่ายจ้องกลับด้วยความคับแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อหลานสุดที่รักกำลังเขม่นมองอย่างคาดโทษ

    “ไป เริ่มฝึกเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว ทุกคนลุก! เอากระเป๋ากองไว้ที่นี่”มิสึรุสั่งเสียงเข้ม เป็นผลให้ทุกคนรีบลุกพรวด ไม่มีใครกล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว...





    “เอ้า...นั่งล้อมวง...กระจายๆกันไป”ปู่พูดเรียบๆพลางนั่งลงตรงกลางโรงฝึกโดยมีสมาชิกชมรมนั่งล้อมรอบเป็นวงกลม…

    โรงฝึกนี้ทั้งแคบและเหม็นอับ เสื่อทาทามิบางแผ่นอยู่ในสภาพชำรุด กำแพงโรงฝึกมีกระดาษลอกออกมาเป็นขุยและมีใยแมงมุมโยงรยางค์เหมือนขาดการดูแลมานานปี หลายคนพยายามหาที่นั่งซึ่งดูสะอาดที่สุด และนารุมิก็เป็นหนึ่งในนั้น...

    “นั่งเถอะน่ะ”สึโยชิกระซิบพลางดึงอีกคนให้นั่งลงข้างๆ

    ตัวเขานั้นไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเพราะคุ้นเคยกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก... สึโยชิเหยียดขาอันอ่อนล้า เขานวดเบาๆพลางหันไปพูดกับนารุมิที่สีหน้าดูไม่ค่อยจะศรัทธาในสถานที่

    “เดี๋ยวนายคอยดูนะนารุมิ...ค่ายนี้ต้องมีคนตายบ้างล่ะ...”สึโยชิหัวเราะอย่างสาแก่ใจขณะตวัดมองไปรอบห้อง “ไอ้ท่าทางคุณชายๆเนี่ย ตาแก่นั่นล่ะเกลียดนัก... มิสึรุก็ไม่ค่อยปลื้มเหมือนกัน...”

    นารุมิมองสึโยชิด้วยแววตาแปลกๆ แต่สึโยชิก็เข้าใจความหมายได้ในฉับพลัน เขาหัวเราะร่า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าเดิม

    “ถึงแกจะคุณชาย แต่ก็ไม่ได้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนี่หว่า”

    แต่การสนทนาก็หยุดชะงักลงฉับพลันเมื่อใครคนหนึ่งเคลื่อนกายเข้ามาใกล้... สึโยชิเงยหน้าขึ้นมองยูยะที่ก้มหน้าก้มตาวางถ้วยใส่เม็ดหมาก 5-6 เม็ดไว้ข้างหน้าเขา ดูเหมือนว่าจะตั้งอกตั้งใจมากจนไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับสึโยชิ...

    “เหนื่อยไหมยูยะ?”คำถามของสึโยชิเรียกให้ยูยะสะดุ้ง พลางค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ และเมื่อพบกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับกว้างของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก

    “ทำไม?...หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ?”

    “ป...เปล่า”ยูยะยิ้มกลบเกลื่อนพลางรีบเลื่อนตัวไปยังคนข้างๆสึโยชิ...และเหตุการณ์ก็ยิ่งแย่ลงไปใหญ่...เพราะข้างๆนั้น...ดันเป ็นนารุมิ...

    ยูยะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย... เด็กหนุ่มแก้มร้อนวาบ มือที่หย่อนเม็ดหมากลงไปนั้นสั่นเทา... เขาทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและรีบเลื่อนตัวไปยังคนถัดไปอย่างรวดเร็ว

    “นายยังไม่พูดกันอีกเหรอ?”สึโยชิกระซิบถามเบาๆขณะไล่สายตามองตามการเคลื่อนไหวชองยูยะ นารุมิเพียงส่ายหน้า

    คำตอบนั้นทำให้มุมปากได้รูปของสึโยชิกระตุกยิ้มบางๆ... แต่เมื่อรู้สึกตัว... เด็กหนุ่มก็แทบจะเอาหัวโขกข้างฝาโทษฐานทำตัวเหมือนนางร้ายในละคร

    ทำไมฉันต้องดีใจที่มันทะเลาะกันด้วยวะ!!





    “เอาล่ะ ทุกคน หลับตาลง”คำสั่งของมิสึรุที่คนฟังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เพียงนัยน์ตาของมิสึรุปรายผ่าน ทุกคนก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว

    ผ่านไปห้านาทีทั้งโรงฝึกก็ปกคลุมด้วยความเงียบ... บางคนขยับตัวยุกยิกด้วยความอึดอัดแต่ไม่กล้าลืมตา อากาศนั้นร้อนอ้าวแต่กลับรู้สึกหนาวถึงไขสันหลัง...

    เฟี้ยววววว ตุบ!

    “โอ๊ย!”

    เสียงร้องโอยด้วยความเจ็บเรียกให้ทุกคนลืมตาโพรง ต้นเสียงนั้นกำลังเอามือกุมหน้าผาก นัยน์ตาที่หรี่ลงด้วยความเจ็บเพ่งมองเม็ดหมากในชามที่ถูกหยิบออกไปหนึ่งชิ้น

    “ลืมบอกไป...”มิสึรุลากเสียงยาวพลางแย้มรอยยิ้มกว้างขณะเดาะลูกแก้วในมือ “ตอนที่พวกนายหลับตา คุณตาจะขว้างลูกแก้วนี่.... ถ้าใครหลบไม่ทัน จะโดนริบเม็ดหมากไปคนละชิ้น กลับกัน ถ้าหลบได้ จะได้เม็ดหมากเพิ่ม เม็ดหมากสีขาวแทนข้าว สีดำแทนกับข้าว ใครกินจุก็พยายามหน่อยล่ะ”

    “อีกอย่าง...”มิสึรุเสริมท้าย น้ำเสียงแหบต่ำชวนสยอง “ถ้าใครแอบลืมตา...อยากรู้จะโดนอะไร...ก็ลองดูละกันนะ”

    ตบท้ายด้วยรอยยิ้มหวานจนเห็นลักยิ้มสองแก้ม แต่กลับดูน่ากลัวกว่าตอนปกติไม่รู้กี่เท่า...

    เสียงแหวกอากาศดังต่อเนื่องเป็นชุดๆเรียกให้คนที่เหลือหน้าซีดตัวสั่นคล้ายจับไข้ บางคนเอนตัวไปมาหวังให้คนปาพลาดเป้าแต่ไม่มีทางที่ยอดฝีมืออย่างตาลุงปิศาจจะปล่อยให้รอดไปได้ บรรยากาศภายในห้องเหมือนย้อนไปสมัยยุคหินที่ใช้ความแข็งแกร่งเพื่ออยู่รอด

    ปัง!

    สึโยชิเอี้ยวตัวหลบลูกแก้วลูกแรกที่มาทางเขา มันพุ่งผ่านหูขวาแล้วกระทบกับผนังไม้เสียงดังสนั่นแบบที่รู้ได้ทันทีว่าคนปาใช้แรง ‘มากเป็นพิเศษ’

    ปัง!

    ลูกที่สองวืดจากนารุมิแต่กระเด็นไปโดนหลังหัวของพี่มัตซึริที่นั่งข้างๆจังเบ้อเร่อจนร้องโอดด้วยความเจ็บ

    เสียงแหวกอากาศยังดังต่อเนื่องเป็นชุดๆ... บางคนที่เม็ดหมากหมดมิสึรุจึงให้ลืมตาได้ และได้แต่จ้องมองเพื่อนๆที่ถูกลูกแก้วสังหารทีละคน สองคน...จนเหลือแค่...

    “บ้าชะมัด”มัตซึริสบถพลางถูหัวป้อยๆ เขาเป็นสี่คนสุดท้ายและโดนเก็บเป็นคนแรก เด็กหนุ่มค่อยๆเลี่ยงตัวออกมาเล็กน้อยเฝ้าดูการโดยนลูกแก้วที่ชักจะเริ่มโหดขึ้นทุกที

    ไม่กี่นาทีต่อมา ยานางิ ประธานชมรมเคนโด้ก็จำใจเดินมาสมทบกับมัตซึริ ลูกแก้วในโถของสึโยชิกับนารุมิกองพูนจนล้นและดูเหมือนหลังๆคนเติมลูกแก้วจะไม่มีช่องว่างให้ได้เข้าไปเติม สองหนุ่มหลบซ้ายเบี่ยงขวาอย่างน่าหวาดเสียว เรียกให้คนมองลุ้นระทึกด้วยความตื่นเต้น...

    โครม!

    “โอ๊ย!! บ้าชะมัด ไม่ระวังเลยนะนารุมิ”สึโยชิสบถลั่นเมื่อหลบไปหลบมาทั้งสองก็ดันหัวมาโขกกันเองจังเบ้อเร่อ

    “ใครจะรู้...นายบ้ารึเปล่า”นารุมิพูดเรียบๆ แต่กลับเรียกสายตาของอีกคนให้ลุกโชน

    “เอาล่ะๆ อย่าทะเลาะกันเลยน่า”มิสึรุรีบเข้ามาห้ามทัพ เด็กหนุ่มยื่นกระเป๋าเดินทางของทั้งคู่ให้ขณะแย้มรอยยิ้มกว้างอย่างไม่น่าไว้ใจ

    “เอ้า จบเกมส์แค่นี้ ที่เหลือไปหยิบกระเป๋ามาวางไว้ที่โรงฝึกนี่ล่ะ คืนนี้นอนกันที่นี่”มิสึรุหันไปสั่งคนอื่นๆซึ่งทำหน้าเหมือนปิศาจกระหายเลือดและลากสังขารออกไปข้างนอกอย่างอ่อนระโหย

    สึโยชิกำลังจะเดินตามคนอื่นไปแต่ใครบางคนกลับคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน... เจ้าของมือคือมิสึรุที่แย้มยิ้มกว้างกว่าเก่า และไม่น่าไว้ใจขึ้นด้วย...

    “สี่คนนี้น่ะไม่ต้องนอนข้างนอก นอนในบ้านเป็นรางวัลที่มาถึงสี่คนแรกไง”มิสึรุอวดลักยิ้มบุ๋มขณะเดินนำไปยังอีกทางหนึ่ง และทั้งสี่ก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

    ผ่านไปสักพักร่างเล็กก็หยุดยืนตรงหน้าห้องพักห้องหนึ่ง สึโยชิถอนหายใจเฮือก ขยับจะเดินเข้าไปข้างในแต่มือของมิสึรุกลับกั้นเอาไว้

    “วันนี้สึโยะจังไม่ได้นอนห้องนี้...ห้องนี้น่ะของ รุ่นพี่มัตซึริ กับรุ่นพี่ยานางิ”

    คำพูดเรียบง่ายแต่เรียกให้ใบหน้าของสึโยชิซีดจัด เด็กหนุ่มรีบตวัดมองนารุมิก่อนจะหันกลับมาที่มิสึรุอย่างรวดเร็ว

    “อย่าบอกนะ...ว่าจะให้ฉัน...นอนกับ...”

    “ใช่ สึโยะจังก็นอนห้องเดียวกับนารุมิ...ที่ห้องของพี่มิสึกิ”

    ม่ายยยยยยยยยยยยย!!!!!! สึโยชิกรีดร้อง แข็งขาอ่อนเหมือนจะเป็นลมล้มพับ

    ให้นอนกับนารุมิสองต่อสองก็แย่พออยู่แล้ว....นี่จะ...ให้นอนห้องมิสึกิ

    ให้ตายก็ไม่นอนโว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!



    “ปัดโธ่เว้ยนายจะเบียดทำไมเนี่ย... ถอยไปนะเว้ยนารุมิ...”

    “โอ๊ย!!! ร้อนนะเว้ยนารุมิแกจะเบียดหาพระแสงหอกแกเหรอ”

    “นารุมิ ฉันจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะเว้ย...”

    “นายจะบ่นทำไมเนี่ยสึโยชิ”นารุมิเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดเมื่อคนข้างๆเขาบ่นเป็นชุดไม่หยุดมาได้พักใหญ่ “ต้นไม้มันก็ต้นเค่นี้จะให้ฉันขยับไปไหน นายเป็นคนปีนมาต้นเดียวกับฉันเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่พอใจก็ไปต้นอื่น”

    “จะไปได้ไงวะ ก็แถวนี้มันมีที่ให้ซ่อนตัวแค่ต้นนี้ต้นเดียว”

    “งั้นก็เลิกบ่น เดี๋ยวพวกนั้นก็มาแล้ว ขืนนายโดนพวกนั้นจับได้ว่า ...รับรองว่าทาคาฮาระไม่ปล่อยนายไว้แน่”

    “ขู่ฉันเหรอ...”

    “ก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ขู่...”น้ำเสียงนารุมิยังนิ่งเรียบแม้อีกฝ่ายกำลังทำท่าเหมือนอยากฆ่าคน สึโยชิพยายามนับ 1-10 ในใจอย่างยากลำบาก ขณะเพ่งมองลงไปอย่างเบื้องล่าง รอคอยเหยื่อผู้โชคร้ายที่ใกล้จะผ่านมา...

    ใช่...นี่คือเกมส์ลงทัณฑ์ที่สึโยชิเคยหวาดกลัว.... แต่ดูเหมือนคราวนี้จะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่เพราะไม่มีตัวหลอกหลอนอันเลวร้ายอย่าง มิสึกิ คอยมาทำหน้าที่ผี

    ตอนเขาโดนนั้น... เขาต้องเดินคนเดียว ไม่มีแม้แต่ตะเกียง ซ้ำร้าย ยังต้องไปนอนในกระท่อมร้างคอยให้มิสึกิหลอกหลอนจนหัวโกร๋นทั้งคืน เป็นประสบการณ์อันเลวร้ายที่ชั่วชีวิตสึโยชิไม่มีทางลืมได้เลย...

    “มากันแล้ว”นารุมิกระซิบเบาๆให้สึโยชิที่พยักหน้ารับ

    กลุ่มแรกที่เดินมาๆกัน 3 คน... แถมยังดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า...

    “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”ทั้งสามร้องลั่นก่อนจะโกยสุดฝีเท้าเมื่อจู่ๆร่างๆหนึ่งก็ห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ ร่างนั้นกำลังตาเหลือ ลิ้นจุกปาก และ....

    “กร้ากกกกกกกกกก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”สึโยชิหัวเราะอย่างสาแก่ใจขณะปีนกลับมานั่งที่เดิม เขายกกระจกขึ้นส่องใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มไว้เป็นอย่างดีของตนเองด้วยความชอบใจ

    “ฝีมือมิสึรุนี่เข้าท่า”

    “เรื่องแกล้งคนอื่นนี่ชอบใจเหลือเกินนะ”นารุมิพูด พยายามกลั้นยิ้มไว้ อีกฝ่ายเพียงยักไหล่

    “แน่ล่ะ ดัดนิสัยซะบ้าง ฉันโดนมาหนักกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า”สึโยชิฉีกยิ้ม เด็กหนุ่มเตรียมตั้งหลักห้อยหัวอีกครั้งเมื่อเห็นกลุ่มใหม่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีระแวดระวังกว่าเดิม....




    “กลับกันเถอะ”นารุมิกระโดดลงจากต้นไม้เมื่อกลุ่มสุดท้ายวิ่งหนีจากไปด้วยอาการขวัญผวา เขาก้มลงปัดกางเกงเบาๆขณะรอให้อีกคนตามลงมาสมทบ แต่ว่า...

    “ไม่ลงมาล่ะ”

    “ฉันไม่กลับ...”

    “หา?”นารุมิเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนต้นไม้ เขามองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเพราะความมืด “นายเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย ลงมาเร็ว”

    “ฉันไม่กลับ”สึโยชิยังยืนยันเสียงแข็งเป็นเด็กเล่นเอานารุมิถอนหายใจเฮือก

    “ตามใจ งั้นฉันไปล่ะ”

    “นายอย่าเพิ่งไปนะนารุมิ”สึโยชิกระโดดลงมายืนข้างๆนารุมิพลางจับแขนอีกฝ่ายไว้แน่น ยิ่งสร้างความแปลกใจให้นารุมิมากขึ้นไปอีก

    “อะไรของนาย...”คำพูดต่อไปของนารุมิกลืนหายไปในลำคอเมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกคนนั้นซีดจัด “นาย...เป็นอะไรรึเปล่า”

    สึโยชิส่ายหน้า ท่าทางอวดดีกับขี้แกล้งแบบเมื่อครู่หายวับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    “ฉันไม่อยาก...กลับไปนอนห้องมิสึกิ...”

    “ห้องนั้น? ทำไม?”

    “ฉันมีความทรงจำที่ ‘เลวร้ายสุดๆ’ กับห้องนั้น...”

    “เลวร้าย? ยังไง?”

    “ทำไมนายต้องถามทุกเรื่องด้วยนะ”

    “งั้นก็กลับ”

    “อย่าเพิ่งไปดิ่นารุมิ”สึโยชิรีบกระชากแขนของนารุมิสุดแรง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเหมือนกับจะอ้อนวอน เรียกให้อีกคนใจอ่อนยวบอย่างไม่ทราบสาเหตุ...

    “งั้นฉันมีคำถาม”นารุมิพยายามไม่มองดวงตาที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแปลกๆ เด็กหนุ่มทำเป็นเหลียวไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ถ้าไม่กลับไปนอนที่นั่น งั้นคืนนี้จะไปนอนไหน”

    “สบายใจได้ แถวนี้ถิ่นฉัน”น้ำเสียงของสึโยชิสดใสขึ้นมาทันควันก่อนจะตบหลังนารุมิป้าปใหญ่ “รับรอง ว่าที่นั่นน่ะดีกว่าห้องมิสึกิไม่รู้กี่เท่า!”






    นารุมิถึงกับช็อคพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่เมื่อพบกับสถานที่ซึ่งสึโยชินั้นบอกว่า “ดีกว่าไม่รู้กี่เท่า” เขาไม่แน่ใจนักว่าส่วนไหนที่มันดี... หรือจะพูดให้ถูก... มันไม่น่าจะมีดีสักส่วน…

    “เป็นไง?”สึโยชิยืดอกพูดด้วยความภาคภูมิ นารุมิมองอย่างไม่อยากเชื่อ

    “ฉันจะกลับ”เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ ขยับจะเดินหนีแต่สึโยชิกลับกระโดดคว้าไหล่เอาไว้แน่น

    “อย่าเพิ่งไปสินารุมิ... นายไม่คิดว่ามัน ‘สุดยอด’ บ้างเหรอ”

    “ฉันไม่คิดว่าไอ้กระท่อมต้นไม้ที่ท่าทางจะพังไม่พังแหล่นั่นดีหรอก วางใจได้”นารุมิประชด ตวัดมองขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์ที่มีสิ่งที่เหมือนกล่องพาดอยู่ระหว่างกิ่งขนาดใหญ่ “ฉันไม่อยากเสี่ยงกับไอ้ที่....แบบนั้น”

    “หมายความว่าไง ‘ที่แบบนั้น’ นี่มันเป็นฐานทัพลับของฉันเชียวนะ นายน่ะมันคนไม่มีจินตนาการ”

    “งั้นก็เชิญจินตนาการต่อตามสบาย ขอตัว”

    “อย่าเพิ่งไปเซ่ นารุมิ”

    หลังจากยื้อยุดฉุดกระชากอยู่ได้ครู่ใหญ่นารุมิก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เขาจำใจปีนขึ้นมาบนกระท่อมต้นไม้ที่ดูท่าทางง่อนแง่นอย่างไม่น่าไว้ใจ เด็กหนุ่มก้มลงมองสึโยชิที่ปีนตามขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกด้วยความเบื่อหน่าย

    ทำไมเขาต้องแพ้สายตาของหมอนั่นด้วยนะ บ้าชะมัด!




    สภาพภายในไม่ได้ดีไปกว่าภายนอกสักเท่าไหร่ หรือจะพูดให้ถูกคือ มันไม่ได้แย่เกินกว่าที่นารุมิจินตนาการ...

    มันเป็นกระท่อมว่างเปล่า... มีเพียงผ้าเก่าๆขาดๆกองสุมกันอยู่มุมหนึ่ง ขนาดของบ้านพอแค่ให้ผู้ใหญ่สองคนนอนได้ และนั่นทำให้นารุมิรู้สึกปลงยิ่งกว่าเดิม

    “ไม่เปลี่ยนไปเลยแหะ...”สึโยชิที่ตามมาด้านหลังพูดด้วยเสียงที่แสนจะคิดถึง เขาถลันตัวไปที่อีกมุมหนึ่งก่อนจะลูบรอยสลักบนไม้ที่เขียนไว้ติดๆกันจนแยกแทบไม่ออก

    “นายเขียนเหรอ?”นารุมิเขยิบเข้ามาใกล้ เพราะแสงสว่างในนี้น้อยมาก...เขาจึงอ่านไม่ออกว่าบนนั้นมันเขียนว่าอะไร

    “นี่น่ะมันเป็นลายมือฉัน มิสึกิ มิสึรุ แล้วก็สึโบมิ...”

    “หืม...”นารุมิรับคำในลำคอก่อนจะนิ่งเงียบไป เขารู้ดีว่าไม่ควรถามอะไรที่มันเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่ทว่า...

    ทุกอย่างกลับปกคลุมด้วยความเงียบ...

    แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศบนภูเขาสูงก็ยังหนาวเย็น... นารุมิขยับไปหยิบผ้าห่มที่ถูกซุกไว้มุมห้องขึ้นมาถือไว้ในมือ คิ้วเรียวนั้นขมวดมุ่น

    มันไม่ได้จับไปด้วยฝุ่นหนาแบบที่เขาคาด... ผ้าเก่าๆนี้ยังมีกลิ่นหอมจางๆเหมือนเพิ่งซักมาหมาดๆ แสดงว่ากระท่อมนี้ต้องมีคนมาดูแลสม่ำเสมอ...

    “สึโยชิ...”นารุมิกำลังจะหันไปถามอีกคนแต่กลับพบว่า
    เจ้าตัวปัญหาดันชิงหลับไปเสียก่อน...

    “เงียบปุ๊บหลับปั๊บ นายนี่นอกจากสมองยังไม่โตแล้วนิสัยก็ยังไม่โตอีก...”ว่าพลางก็ค่อยๆคลุมผ้าห่มให้อย่างเบามือ เขายิ้มให้ร่างที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราแว่บหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ทางเข้า ทอดสายตามองออกไปยังความมืดเบื้องล่าง...

    ไม่รู้ว่าป่านนี้ยูยะจะตามหาเขาอยู่รึเปล่า...





    “ไม่ต้องออกไปตามหรอกน่ะ”คำตอบของมิสึรุที่ยูยะอ้าปากค้าง

    เวลาตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว... ยูยะดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นว่านารุมิกับสึโยชิหายไป เพราะทุกคนต่างนอนหลับสนิทด้วยความอ่อนล้าที่สั่งสมมาทั้งวัน... และเมื่อเขาชวนทาคาฮาระออกไปตามหา คำตอบที่ได้กลับผิดคาดอย่างไม่น่าเชื่อ...

    “แต่มืดขนาดนี้...สองคนนั่นยังไม่กลับมา”เด็กหนุ่มพยายามแจงเหตุผลอีกครั้ง แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ค่อยสนใจฟัง

    “ไม่ต้องห่วง สึโยชิน่ะเขามาที่นี่ทุกปี เขาชินเส้นทางแถวนี้ดี”

    “แต่...”

    “ฉันว่านายควรไปนอนได้แล้วนะ เอจิซึ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”มิสึรุตัดบทก่อนจะล้มตัวลงนอน ยูยะถึงกับนิ่งงัน

    จะให้เขาเย็นใจอยู่ได้ไงในเมื่อทั้งสึโยชิและนารุมิหายไปด้วยกันทั้งคู่!

    จริงอยู่ที่ว่าเขายังไม่กล้าพูดกับนารุมิ... แต่ถึงยังไง... เขาก็ยังเป็นห่วงนารุมิเหมือนๆกับที่เคยเป็นมาตลอด...

    มันทำให้ยูยะย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต... มีครั้งหนึ่งที่พ่อห้ามเขาเล่นกับนารุมิ เขาหนีออกจากบ้าน แล้ว...

    “กลับบ้านเถอะยูยะ”น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของนารุมิเขายังจำได้ดี จำได้แม้กระทั่งร่างเล็กๆในชุดกิโมโนเด็กผู้หญิงที่หลุดลุ่ยและเปียกปอน
    นารุมิเป็นห่วงเขาเสมอ...

    “ฉันจะไปตามหาสองคนนั้น”ยูยะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาขยับจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่า...

    “โอ๊ย! ปล่อยนะทาคาฮาระ”ยูยะร้องลั่นเมื่อข้อมือของตนถูกกระชากกลับมา เด็กหนุ่มพยายามจะสลัดทิ้ง แต่แรงมือนั้นกลับมากเกินกว่าที่เขาคาดไว้

    “นายจะออกไปตามหาคนเดียว? ประสาทรึเปล่าอย่าทำตัวเป็นภาระไปหน่อยเลย”มิสึรุพูดเสียงเย็น คราบเด็กหนุ่มใจดีที่ยูยะเคยรู้จักถูกสลัดทิ้งจนไม่เหลือเค้า แต่เขายังไม่ยอมแพ้

    “งั้นนายก็ไปกับฉัน ไม่งั้นฉันจะตามคนอื่นไปด้วย”

    “คนอื่น? เขาฝึกกันเหนื่อยแทบขาดใจยังจะต้องมาคอยทำตามคำสั่งนายอีกงั้นเหรอ”

    ยูยะรู้สึกเหมือนโดนตบจนหน้าชา เขาพยายามแข็งใจสบตากับอีกคนที่นัยน์ตาเป็นประกายระริกอย่างน่ากลัว

    “งั้นฉันจะไปคนเดียว ปล่อยนะทาคาฮาระ!”

    “ถ้านายหลุดจากฉันได้ก็ไปได้เลย...ถ้าหลุดได้น่ะนะ...”

    เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดแต่ก็ไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ทั้งๆที่ร่างกายของหมอนั่นก็ไม่ได้สูงใหญ่ไปกว่าเขาสักเท่าไหร่ แต่ทำไมแรงเยอะขนาดนี้นะ!

    “ปล่อยนะ นายไม่เป็นห่วงสองคนนั้นบ้างรึไง”

    “ห่วงสิ...”มิสึรุพูดเสียงเบา นัยน์ตาโชนแสงนั้นค่อยๆอ่อนลง “แต่สึโยชิอยู่กับนารุมิ...”

    “หมายความว่าไง?”

    “ฉันก็หมายความว่าไม่ต้องเป็นห่วงยังไงล่ะ นายไปก็รังแต่จะเพิ่มภาระ ตัวเล็กกระจิ๋วไร้เรี่ยวแรงแล้วก็น่ารำคาญอย่างนายน่ะ...ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่านารุมิชอบนายเข้าไปได้ยังไง”

    “นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย ยังไงฉันก็จะไปตามหานารุมิ”หน้าใสขึ้นสีก่ำ แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมง่ายๆ

    “ถ้านายยังไม่หยุดโวยวายอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ เอจิซึ”

    “ฉันไม่...”

    ตุบ!

    ร่างของยูยะยะทรุดฮวบลงบนฟูกทันทีที่สันมือของมิสึรุกระแทกลงบนต้นคอ เด็กหนุ่มค่อยๆคลุมผ้าห่มให้อีกคนอย่างเบามือก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “นายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลยนะเอจิซึ... ฉันปล่อยให้นายไปตามหาสึโยะจังไม่ได้หรอกนะ...ถึงแม้ฉันจะ...”

    อยากขัดขวางอยู่เหมือนกันก็เถอะ....

    “เพื่อสึโยะจัง ฉันจะทำ...”เด็กหนุ่มกล่าวเตือนกับตนเองอีกครั้ง พยายามสลัดความอ่อนแอในหัวใจ

    คืนนี้ก็ไม่ถือว่าพลาดซะทีเดียว...ยังมีพรุ่งนี้อีกคืน...

    รู้ใจตัวเองให้ได้นะสึโยะจัง ก่อนที่มันจะสายเกินไป...




    นารุมิกับสึโยชิกลับมาตอนเช้า และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

    ดูเหมือนนอกจากมิสึรุแล้วจะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไม่ได้กลับมาเมื่อคืน หรือบางทีอาจจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะท่าทางของแต่ละคนเหมือนศพเดินได้ แถมการกินข้าวนี่ก็... สึโยชิจำได้ดีนักว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนพวกนี้แต่ละคนต้องกินอาหารชั้นดี เวลากินทีก็ละเลียดทีละคำ...แต่ตอนนี้...

    บางคนแทบจะอัดข้าวทั้งชามใส่ปากในคำเดียว แถมพอคนใดคนหนึ่งกินเสร็จ คนนั่งข้างๆก็ต้องคอยระแวงว่าอาหารของตัวเองจะโดนแย่ง สภาพเหมือนหลุดกันมาจากยุคหิน ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเด็กลูกผู้ดีมีตระกูลเขาจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด...

    ปกติเวลากินข้าวกับคนในชมรม เขาจะดูเป็นชนชั้นเดียวกับแค่รุ่นพี่มัตซึริ ...แต่วันนี้...ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มดูเป็นพวกเดียวกับเขาขึ้นมาหน่อย…

    เว้นอยู่คนเดียว...

    สึโยชินึกหมั่นไส้ไอ้คนที่นั่งกินข้าวข้างๆเขาขึ้นมาตงิดๆ... ไอ้ท่าทางการกินของนารุมิที่ดูแว่บแรกก็รู้ว่าผู้ดีนี่มัน...ดูแล้วน่าหมั่นไส้มากกว่าจะนึกชื่นชม…

    แดกทีละนิดแค่นั้นชาติไหนมันจะไปอิ่มวะ!

    “ไม่ต้องรีบก็ได้นะ ฉันรออยู่”เขากระดิกเท้าพลางนั่งจ้องนารุมิที่มันยังกินไปเรื่อยๆเหมือนไม่ทุกข์ร้อน

    “ขอบคุณในความหวังดี...แต่ไม่เคยบอกให้รอ”นารุมิค่อยๆคีบข้าวเข้าปาก หน้าตานั้นยังนิ่งจนอีกคนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นงิ้วด้วยความโมโห

    หมั่นไส้โว้ยยยย!

    เพี้ยะ!

    “โอ๊ย! เจ็บนะโว้ย ฟาดมาได้”สึโยชิกุมมือตัวเองที่โดนตะเกียบฟาดลงมาเต็มแรง คนฟาดเพียงปรายตา

    “คนที่แย่งอาหารคนอื่น...เขาเรียกว่าตะกละ”

    “ไอ้คนไม่ให้ก็ตะกละเหมือนกันล่ะวะ”

    “นายควรจะรู้ว่านี่เป็นของๆฉัน...ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่ง”

    “นายอยากกินช้าเองทำไม?”

    “ฉันจะกินช้าหรือเร็วมันก็เป็นเรื่องของฉัน”นารุมิค่อยๆซดซุปอย่างช้าๆแบบที่สึโยชิคาดว่ามันคงค้นหาส่วนผสมแปลกปลอม “แล้วอาหารนี่...ยูยะทำ”

    “หา?”

    สึโยชิกระพริบตาปริบๆ มองสลับอาหารในจานกับคนกินไปมา และเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจางๆ...

    ออ... มิน่าล่ะ

    ...เขามองจานว่างเปล่าของตนเองก่อนจะมองจานที่ค่อยๆพร่องไปอย่างช้าๆของนารุมิ... ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทันที...

    “เพราะยูยะทำนายถึงได้ค่อยๆกิน ไม่อยากให้มันหมดเร็วใช่มั้ยล่ะ...”

    น้ำเสียงของคนพูดฟังแปร่งหูคนนารุมิต้องหันมามอง เขาทันเห็นประกายประหลาดในดวงตานั้นเพียงครู่เดียว ก่อนที่มันจะจางหายไปโดยมีรอยยิ้มกว้างเข้ามาแทนที่

    “ถ้าอย่างนั้นก็บอกกันก่อนสิวะ งั้นนายนั่งกินคนเดียวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันขอไปคุยอะไรกับมิสึรุแปปนึง”

    โดยไม่รอคำตอบ สึโยชิรีบลุกพรวดก่อนจะก้าวฉับๆข้ามห้องออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว... เรียกให้คนฟังงงงันจนพูดอะไรไม่ออก

    “บ้าชะมัด ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นสักหน่อย”นารุมิโยนตะเกียบทิ้งก่อนจะถอนหายใจพรืดใหญ่ เขาก็แค่จำฝีมือของยูยะได้จากรสชาติของซุปมิโสะก็แค่นั้น...

    เด็กหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปบอกความจริงกับสึโยชิ แต่ก็กลับเปลี่ยนใจทรุดกายลงนั่งที่เดิม

    “ทำไมฉันจะต้องบอกหมอนั่นด้วยนะ”คำถามที่เขาไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้
    เขารู้แค่ว่า... ไม่อยากให้สึโยชิเข้าใจผิด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...







    วันนี้ยังคงเป็นวันนรก...

    นอกจากอากาศที่ร้อนจัดจนเกือบทำให้คลั่งแล้ว ยังมีการฝึกนรกที่ทำให้คนในชมรมแทบจะเป็นบ้าไปตามๆกัน

    โปรแกรมการฝึกของมิสึรุก็ไม่มีอะไรมาก แค่ให้คนในชมรวมวิ่งขึ้นลงเขาหนึ่งรอบ ก่อนจะไปนั่งแบกถังน้ำใต้น้ำตกหนึ่งชั่วโมง ใครทำถังน้ำหกต้องไปวิ่งขึ้นลงเขาอีกรอบ เสร็จแล้วก็จ้องจับคู่กันตัดต้นไม้ ต้นไม้ล้มฝั่งใครจะได้ข้าวเพิ่มคนแพ้ต้องวิ่งเพิ่มเป็นสองรอบ ซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน...

    ...แต่แทบไม่มีใครกล้าปริปาก... เพราะนึกหวาดยมบาลในคราบเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่คอยคุมเชิงอยู่ด้านหลัง...

    สึโยชิเฝ้ามองคนในชมรมที่วิ่งจนลับตาไปตาละห้อย... แม้ปกติเขาจะไม่ได้พิศวาสการฝึกของมิสึรุสักเท่าไหร่ แต่วันนี้มันมีข้อยกเว้น...

    เพี๊ยะ!

    แค่เขาเผลอเหม่อไปแว่บเดียวดาบไม้ไผ่ก็ฟาดลงอย่างรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบได้เฉียดฉิวฝ่ายตรงข้ามเลยหวดโดนแค่แขนแทนที่จะเป็นหัวแบบที่เล็งไว้ตอนแรก

    ใช่... สิ่งที่เขาต้องทำวันนี้คือ...สู้กับนารุมิ

    เป็นอะไรที่ไม่อยากทำเอาซะเลยเพราะความรู้สึกแปลกๆในหัวใจของเขาที่มีมาตั้งเช้านั้นยังไม่ยอมจางหายไป... แถมให้เขามาเล่นเคนโด้นี่ก็... ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้วสิ

    “ทำไมนายไม่เข้าชมรมเคนโด้?”นารุมิถามขณะหวดดาบลงมาอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายยกดาบขึ้นป้องรับ

    “เพราะฉันคิดว่าคาราเต้มันเท่กว่า”

    “เหตุผลแค่นั้น?”

    “มันก็เพียงพอแล้ว...ฉันยังไม่เห็นอยากจะถามนายเลยว่าทำไมไม่เข้าชมรมคาราเต้”สึโยชิพูดพลางเสยเข้าไปใต้หน้ากากแต่อีกคนเบี ่ยงหลบทันท่วงที

    หลังจากที่เขาได้รับคำสั่งจากตาของมิสึรุว่าให้สู้กับนารุมิเขาก็ประจักทันทีว่านารุมิน่ะเหมือนกับเขา... หมอนั่นได้รับการสั่งสอนศิลปะป้องกันตัวมาเกือบทุกประเภท แถมที่สำคัญ...

    “เธอเป็นลูกชายของ คาวามูระ โซเมยะเหรอ?”ตาลุงนั่นถามหลังจากเห็นใบหน้าของนารุมิชัดๆ และหมอนั่นก็พยักหน้ารับ

    “งั้นก็เป็นศิษย์ของ โซอิจิใช่มั้ย?”

    นารุมิพยักหน้ารับอีกครั้ง

    คราวนี้ตาแก่นั่นระเบิดเสียงหัวเราะลั่นแล้วเดินมาตบไหล่ของนารุมิดังป้าบ เรียกให้ไอ้คุณชายคาวามูระมองกลับตาขวาง

    “ใครๆก็บอกว่าฉัน อิจิอิคนนี้ กับโซอิจินั้น...เป็นศัตรูมาตั้งแต่เกิด”น้ำเสียงนั้นกระซิบกระซาบอย่างมีลับลมคมนัยจนสึโยชิเกือบหลุดขำ “ถ้าเปรียบหมอนั่นเป็นเสือ ฉันก็เป็นมังกรคอย้ป็นศัตรูคู่แค้นกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย”

    “มังกรเหรอ...งูเขียวมากกว่ามั้ง”สึโยชิระเบิดหั้วเราะดังลั่น เรียกให้อีกคนมองตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์

    “อย่าปากดีไอ้เด็กเปรต ฉันเป็นอาจารย์แกนะ”

    “ก็แล้วไงเล่า...หืม”ไอ้เสียงกวนประสาทอย่างน่ากระทืบนี่ไม่มีใครเก่งไปกว่าสึโยชิ แล้วเขาก็มักจะทำได้ดีเสมอ…

    “แกจะลองดีกับฉันเหรอ?”

    “มีดีให้ลองด้วยรึไง?”

    “แก๊!!!!”สึโยชิกระโดดหลบลูกเตะพิฆาตได้ทันเฉียดฉิว เขาแลบลิ้นหลอกแบร่ ก่อนที่จะรู้ได้ว่า ไม่น่าเลย....

    เพราะเขาต้องมาติดแหง่กกับนารุมิ สลับกันสู้ด้วยคาราเต้กับเคนโด้ทุกๆชั่วโมง แถมกฎนรกอีกข้อก็คือ...

    “อิปป้ง!”

    “บ้าเอ๊ย!”สึโยชิโยนดาบลงพื้นอย่างหัวเสีย เขามองไอ้เจ้าแก่ที่ขานอิปป้งอย่างเคียดแค้นก่อนจะจำใจก้มลงกับพื้นแล้วหมอบคลานที่แทบเท้าของนารุมิ

    หงุดหงิดโว้ย อ้ากกกกกก!!!!

    สึโยชิถลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเป็นสีแดงเข้มด้วยความโกรธจัด

    กฎของวันนี้คือคนที่เสียอิปป้งต้องก้มลงคารวะที่แทบเท้าของคนแพ้ สุดแสนจะเสียศักดิ์ศรีจนนึกโมโหฝ่ายตรงข้ามขึ้นมารำไร... ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไอ้หมอนั่นไม่ใช่คนคิดกฎก็เถอะ...





    สึโยชิลากสังขารอันอ่อนระโหยไปยังห้องอาบน้ำก่อนจะทิ้งตัวลงในบ่ออย่างสิ้นสภาพ ร้อนถึงรุ่นพี่มัตซึริต้องช่วยพยุงเขาขึ้นมาไม่ให้จมน้ำตายไปซะก่อน

    “เหนื่อยแย่เลยนะ...วันนี้”มัตซึริหัวเราะเฝื่อนๆ เด็กหนุ่มเห็นการฝึกวันนี้ของสึโยชิโดยตลอดเพราะเขาต้องฝึกอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายพยักหน้ารับเนือยๆ

    “แล้วพวกคนอื่นล่ะครับรุ่นพี่...”สึโยชิเหลียวไปรอบๆห้องอาบน้ำ
    ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ดูโหรงเหรงลงไปถนัดตาเมื่อในห้องมีเขากับรุ่นพี่มัตซึริแค่สองคน ทั้งๆที่เขาได้ยินเสียงแว่วๆว่าคนอื่นในชมรมกลับมาเมื่อครู่

    “นอนแล้ว”

    “ไม่อาบน้ำ?”

    “น่าจะไม่มีแรงอาบมากกว่า”รอยยิ้มของมัตซึริเฝื่อนกว่าเดิมและก็รู้กันโดยทันทีว่าหมายถึงอะไร

    โปรแกรมฝึกนรกของมิสึรุ…

    “แล้วนี่...คาวามูระล่ะ?”มัตซึริถามถึงอีกคนที่เขาเห็นอยู่กับสึโยชิเป็นประจำ อีกฝ่ายเพียงยักไหล่

    “มันอาบน้ำไปก่อนแล้ว”

    “อืม...เหรอ”มัตซึริรับคำก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำต่อ และไม่ได้สังเกตถึงสายตาที่มองมาอย่างมีความหมายของสึโยชิ

    “นี่ รุ่นพี่... คืนนี้...รุ่นพี่แลกห้องกับผมมั้ย”คำพูดที่เรียกให้มัตซึริที่กำลังก้าวออกจากบ่อแทบล้มหัวฟาดพื้น เขาหันกลับไปมองคนพูด ก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆซีดลงทันตา

    “อ...เอ่อ...คงจะไม่ได้”

    “นะ พี่นะ ขอร้อง”สึโยชิกระพริบตาปริบๆหวังจะให้ดูน่าเอ็นดู แต่ยิ่งเรียกให้อีกฝ่ายหน้าซีดกว่าเก่า

    “ท ทำไมล่ะ...นายไม่อยากนอนกับแฟนตัวเองเหรอไง”

    “ใครเป็นแฟนหมอนั่น!”สึโยชิตะโกนลั่น ใบหน้าขึ้นสีแดงจางๆ

    “อ้าว...ก็พวกนายไง”คราวนี้รุ่นพี่มัตซึริตอบด้วยสีหน้าที่ดูมั่นอกมั่นใจ แต่ยิ่งเรียกให้อีกคนของขึ้น

    “ผมไม่ได้เป็นแฟนกับหมอนั่น!”

    “อ้าว...ก็วันนั้นเห็น........นั่นน่ะ”รุ่นพี่ละไว้ในฐานที่เข้าใจกันพลางส่งยิ้มจืดๆให้สึโยชิ ที่ใบหน้านั้นบอกยากว่าเขินหรือโกรธกันแน่

    “นั่นมัน...เข้าใจผิดน่ะ แต่ถึงยังไงก็เถอะ คืนนี้รุ่นพี่ก็ต้องแลกห้องกับผม”

    “คิดว่าคงไม่ได้”

    น้ำเสียงที่เรียกให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก

    ...คนตอบคือมิสึรุที่กำลังเดินตรงมาที่คนทั้งสองก่อนจะแย้มรอยยิ้มหวาน มัตซึริกลืนน้ำลายอึกใหญ่

    “นั่นน่ะ...ตกลงเอาตามที่ทาคาฮาระบอกละกัน”มัตซึริสรุปอย่างรวดเร็วเรียกให้สึโยชิมองกลับตาขวาง

    “งั้นคืนนี้ฉันจะไปนอนที่โรงฝึก”

    “ฉันล็อคไปแล้ว”มิสึรุยังว่าเรียบๆ และเรียกรอยแดงให้พาดผ่านใบหน้าลามไปจนถึงหูของสึโยชิ

    “ไม่งั้นคืนนี้ฉันจะไปนอนที่ห้องพี่มัตซึริ ปล่อยให้นารุมิมันนอนคนเดียว”

    “อย่าเบียดเบียนคนอื่นนะสึโยชิ พี่มัตซึริเขาก็ต้องพักผ่อน ใช่มั้ยครับ?”มิสึรุหันไปถามความเห็นอีกคนที่สะดุ้งโหยง ก่อนรีบพยักหน้ารับ

    “เอ่อ...ฉันไปก่อนดีกว่า”มัตซึริรีบเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว เขาลุกพรวดก่อนจะจ้ำออกไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งสึโยชิที่โกรธจนควันออกหูไว้กับมิสึรุ

    “ยังไงๆคืนนี้ฉันก็ไม่นอนห้องนั้น”เขายืนยันเสียงแข็ง อีกฝ่ายเพียงแย้มรอยยิ้มกว้าง

    “อืม...แล้วจะไปนอนที่ไหน”

    “ข้างนอก”

    “ฉันล็อคประตูไปแล้ว”

    “ระเบียง!”

    “ระเบียง...แน่ใจเหรอสึโยชิ?”มิสึรุยิ้มหวาน และเรียกสีเลือดให้หายไปจากใบหน้าของสึโยชิ

    ระเบียง...ถ้าจำไม่ผิดมันก็...

    “อย่าดื้อน่ะสึโยชิ...”มิสึรุทิ้งกายลงในอ่างอาบน้ำข้างๆสึโยชิ “พี่มิสึกิรู้เสียใจตายเลยนะ”

    “นายอย่าเอามิสึกิมาขู่ฉันนะ”

    “ฉันไม่ได้ขู่...แต่นายไม่กลัวว่าคาวามูระจะรู้รึไง...ว่านายน่ะ...กลัว”

    “หมอนั่นรู้อยู่แล้ว”สึโยชิตอบเบาๆ ใบหน้าขึ้นสีก่ำ “เพราะงั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องเสีย”

    “ใช่ ไม่มีอะไรจะต้องเสีย”มิสึรุพูดพลางแย้มรอยยิ้มกว้าง “เพราะงั้น...ยังไงคืนนี้นายก็ต้องนอนที่นั่น ไม่มีข้อยกเว้นอะไรทั้งนั้น”

    ใช่...และฉันก็จะไม่ยอมให้มันมีข้อยกเว้นอะไรทั้งนั้นด้วย....





    หลังจากยืนทำใจอยู่พักใหญ่สึโยชิก็ค่อยๆเลื่อนมือไปที่ประตู...

    มือของเด็กหนุ่มเย็นเฉียบแถมยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเหลือบไปมองรอยยิ้มของมิสึรุที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะกลั้นใจ…

    “ยืนนิ่งอะไรอยู่หน้าประตู”น้ำเสียงเย็นเยียบจากด้านหลังเรียกให้เขาสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันหันไปมองชัดๆว่าใครมือๆหนึ่งก็เอื้อมดึงบานเลื่อนก่อนจะเปิดมันออก

    นารุมิเดินผ่านเขาไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง ระหว่างชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าดีหรือไม่เข้าดี เสียงหัวเราะสดใสก็ดังมาจากเบื้องหลัง

    “ฝันดีนะสึโยะจัง”คำกล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนที่เจ้าของมือจะดันร่างของเขาจนหน้าทิ่มพรวด แล้วปิดประตูไล่หลัง

    “อะไรของนาย?”นารุมิมองมาทางเขาที่หน้าคะมำอยู่ที่พื้นด้วยอาการแปลกใจหน่อยๆ เขามองไปที่ประตูสลับกับสึโยชิไปมา แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร

    “หกล้มมันแปลกรึไง”ในเมื่ออีกคนไม่พูดเขาจึงเริ่มเดาส่ง เด็กหนุ่มค่อยๆชันตัวลุกขึ้นพลางสำรวจข้อศอกที่ถลอกเล็กน้อยของตนเอง

    “ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”คราวนี้น้ำเสียงของนารุมิเริ่มฟังดูหงุดหงิด เขามองไปที่ประตูก่อนจะมองกลับมาที่ฟูก คิ้วสวยขมวดมุ่นยิ่งกว่าเก่า “คืนนี้...นายไม่ได้ไปนอนห้องรุ่นพี่มัตซึริเหรอ?”

    “ก็อยากอยู่เหมือนกัน”สึโยชิตอบเรียบๆพลางมองไปรอบห้อง เพียงเท่านั้นเขาก็รีบกระโดดผลุงไปนั่งข้างๆนารุมิโดยอัตโนมัติ

    ห้องๆนี้ประดับด้วยของตกแต่งหลายอย่างที่ห่างไกลจากคำว่าน่าเจริญใจ...

    ชั้นวางของที่กินพื้นที่ไปด้านหนึ่งของห้องอัดแน่นด้วยหัวกะโหลก หนังสือเปื้อนอะไรดำๆแดงๆ ขวดโหลดใส่สมุนไพรแปลกๆ ตุ๊กตาสาปแช่ง และเครื่องมือพิธีกรรมที่สึโยชิคุ้นตาเป็นอย่างดี ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดลงเรื่อยๆขณะไล่ไปยังชั้นวางตุ๊กตา...ขนาดยักษ์...ที่ยิ่งห่างจากคำว่าน่ารักเข้าไปใหญ่ ...มันเป็นตุ๊กตาญี่ปุ่นที่โดนตัดผมจนเหลือแค่ประบ่า ผมสีดำนั้นชี้ทุกทิศทุกทางและปรกหน้าปรกตา คอตุ๊กตาห้อยร่องแร่ง มันสวมชุดกิโมโนสีออกเหลืองอ่อนที่เปื้อนคราบอะไรบางอย่าง...ที่สึโยชิไม่อยากจะคิดว่ามันคือคราบอะไร...

    “สึโยชิ”เสียงเรียกของนารุมิเรียกให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว เขาหันมายิ้มเจื่อนๆให้คนข้างๆทีหนึ่งก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเก่า “นายฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย?”

    “หา?”

    “เฮ้อ ให้ตาย”นารุมิกุมขมับก่อนจะมองไปรอบๆเหมือนจะรู้ว่าอะไรทำให้อีกคนดูเหมือนสติสตังไม่อยู่กับตัว เด็กหนุ่มพยายามสงบจิตสงบใจ ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันบอกว่า...ห้องนี้มันมีฟูกอันเดียว...”

    “หา!”สึโยชิเบิกตาโต สติกลับมาแทบจะทันที “นายบอกว่า มีฟูกอันเดียว ทำไมไม่บอกก่อนเล่า จะได้ไปเอาจากห้องอื่น”

    “ฉันบอกมิสึรุไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่หมอนั่นบอกว่าคืนนี้นายนอนห้องรุ่นพี่มัตซึริ”

    “แต่มิสึรุไม่ยอมให้ฉันนอนห้องนั้น”

    ทั้งสองสบตากันอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจอะไรบางอย่างเริ่มฉายชัดในแววตาก่อนที่สึโยชิจะพุ่งพรวดไปที่ประตูแล้วกระชากสุดแรง

    “เฮ้ย! มันล็อค!”เด็กหนุ่มตะโกนลั่น พยายามเลื่อนอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล มันยังคงปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าจะขยับด้วยซ้ำ

    นารุมิเดินเข้ามาสมทบ เขาลองพยายามดูแต่ผลยังคงเป็นเช่นเดิม ทั้งสองมองหน้ากัน...ก่อนที่นารุมิจะไล่สายตาไปรอบๆห้องอย่างสำรวจ

    นัยน์ตาคู่คมหยุดชะงักลงที่ประตูบานเลื่อนฝั่งตรงข้าม... คิ้วสวยขมวดมุ่น ก่อนจะพยักเพยิดให้สึโยชิมองไปยังเป้าหมายเดียวกัน

    “หลังบานประตูนั้นมีอะไร?”

    “ประตูสู่โลกวิญญาณ...”คำตอบที่นารุมิตวัดกลับมามองหน้าคนพูด ตอนแรกว่าจะด่าแต่พอเห็นใบหน้าซีดเผือดเหมือนจะเป็นลมของหมอนั่นแล้วถึงได้เข้าใจ

    มันกลัวจนเสียสติไปแล้ว...

    นารุมิก้าวฉับๆข้ามห้องโดยไม่สนใจฟังเสียงห้ามของสึโยชิ เขาเอื้อมจับลูกบิดก่อนที่จะเซถลาเมื่ออีกคนกระโดดคว้าเอวของเขาก่อนจะกระชากกลับมากลางห้อง

    “ห้ามเปิดนะนารุมิ ถ้านายเปิด...วิญญาณจากโลกนู้นจะตามเข้ามา”

    “ใครบอกนายเนี่ย เชื่อเข้าไปได้ไง นายอยู่ไฮสคูลแล้วนะสึโยชิ”นารุมิพยายามแกะมือที่กอดเขาแน่นออก แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ฟังเสียง เพราะยังคงเกาะเขาแน่นไม่ปล่อยแม้มือจะสั่นและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

    “มิสึกิบอกไว้...ประตูนั่นเป็นประตูเชื่อมกับโลกวิญญาณจริงๆนะฉันเคย...”แต่สึโยชิพูดไม่ทันจบเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขัดขึ้นมา เสียก่อน

    เสียง แกร่กๆ เหมือนเสียงคนขูดผนังเรียกสีเลือดให้หายวับไปจากใบหน้าของสึโยชิ... เด็กหนุ่มเหลียวไปรอบห้อง และพยายามหลีกเลี่ยงการมองตุ๊กตาหลอนประสาท...

    ตุบๆๆๆ

    คราวนี้มีเสียงเหมือนคนย่ำเท้าไปมาดังมาจากหน้าห้อง อาการของสึโยชิเข้าใกล้คนจะเป็นลมจนนารุมินึกกลัวแทน

    คิกๆๆๆๆ

    คราวนี้เป็นเสียงหัวเราะ... เสียงหัวเราะเบาๆของเด็กเรียกสติสุดท้ายไปจากสึโยชิ เขาล้มตัวลงบนฟูกก่อนจะผ้าห่มมาคลุมโปงไว้ และไม่ยอมปล่อยมือจากนารุมิ...

    “ผีร้ายจงออกไป ความดีจงเข้ามา ข้าน้อยขอคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้ง...”สึโยชิพึมพำเหมือนคนเสียสติและเรียกให้อีกคนแทบจะจิตหลุดตามไปด้วย นารุมิพยายามแกะมือคนที่เกาะแขนเขาออก แต่ดูเหมือนวิญญาณปลิงจะเข้าสิงสึโยชิถึงได้แงะเท่าไหร่ก็แงะไม่ออก

    “นายเลิกบ้าสักทีสึโยชิ”นารุมิพูดอย่างหงุดหงิด เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเฃชยับเข้ามาใกล้จนแทบจะทับเขาอยู่รอมร่อ

    “นายไม่ได้ยินเหรอนารุมิ เสียงนั่นน่ะ...”

    “ได้ยิน ก็แล้วไงล่ะ นายใจเย็นๆหน่อยได้มั้ย”

    “ฉันใจเย็นแล้ว ฉันใจเย็นอยู่”

    ใจเย็นกะผีน่ะสิ!

    คำตอบของอีกคนเรียกให้นารุมินึกปวดหัว สึโยชิยังคงขยับเข้ามาใกล้ แถมฟูกมันก็เล็กแค่นี้นารุมิก็ขยับไปไหนไม่ได้ หรือพูดให้ถูก...มันไม่ยอมให้ขยับต่างหาก

    แถมไอ้เสียงบ้านี่ที่สึโยชิกลัวจนประสาทกลับเขาก็ว่ามันมีอะไรแปลกๆ... เสียงหัวเราะนั่นมันคุ้นๆหูชอบกล หรือว่า...

    แต่แล้วความคิดของนารุมิก็หยุดชะงักลง...

    เสียงกระซิบพึมพำของสึโยชิยังดังต่อเนื่องแต่คราวนี้มันดังอยู่ข้างหู... ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่ซอกคอ ความรู้สึกบางอย่างผุดวาบจนเด็กหนุ่มต้องรีบหักห้ามอารมณ์อย่างรวดเร็ว...

    เป็นอย่างนี้ต่อไปแย่แน่ๆ…

    ไวเท่าความคิด นารุมิรวบรวมแรงทั้งหมดพลางสลัดหลุดจากการเกาะหนึบของอีกฝ่าย เขากระชากผ้าห่มออกก่อนจะถลันลุกขึ้นแล้วพุ่งไปที่ประตูซึ่งอีกฝ่ายบอกเขาว่าเป็น ‘ประตูสู่โลกวิญญาณ’

    “อย่าเปิดนะนารุมิ!”

    ปัง!

    นารุมิยืนตะลึงค้างอยู่กับที่ ...ภาพที่เห็นตรงหน้าเล่นเอาเขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กหนุ่มเหลียวไปมองด้านหลังก่อนจะขยับยิ้มกว้าง

    “นายมาดูประตูสู่โลกวิญญาณสิ”นารุมิกระซิบข้างหูคนที่นั่งหลับตาปี๊พลางเอามือปิดหูแน่น สึโยชิส่ายหัวแทนคำตอบเรียกให้คนที่เห็นหลุดขำออกมาพรืดใหญ่

    “มานี่ สึโยชิ”ว่าแล้วก็ดึงแขนของคนที่ยังฝืนดื้อดึงออกไป

    สึโยชิรู้สึกว่าตัวเองโดนลากผ่านประตูบานเลื่อนออกไปยังอีกฝั่ง ลมเย็นๆพัดโดนผิวจนหนาวเยือก กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างโชยมาแตะจมูก แต่เขายังไม่กล้าลืมตา...

    “ลืมตาได้แล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย”

    “ไม่!”สึโยชิยืนยันเสียงแข็ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

    “ตามใจนาย...”

    แล้วนารุมิก็ไม่พูดอะไรอีก...

    สึโยชิขยับตัวขยุกขยิก ใจหนึ่งก็อยากลืมตา แต่อีกใจก็ไม่กล้า... เด็กหนุ่มลองเอื้อมๆมือไปข้างหน้า เขาก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า

    “ฉันล่ะเชื่อนายจริงๆ”นารุมิขำอย่างสุดจะกลั้น

    แล้วก่อนที่สึโยชิจะทันได้ตั้งตัว... นารุมิก็เอื้อมโอบร่างของเขาไว้แน่นก่อนที่จะพยายามถ่างตาของเขาให้เปิดออก

    เด็กหนุ่มดิ้นขลุกขลัก ก้มหลบมือที่พยายามดึงหนังตาของเขา แต่จะหนีก็หนีไม่ได้เพราะแขนของนารุมิกันไว้สองด้าน สุดท้าย หลังจากที่สู้กันพักใหญ่ สึโยชิก็จำใจลืมตาขึ้น…

    นี่เป็นสิ่งที่สึโยชิไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเห็น...

    ทุ่งดอกอะไรบางอย่างบานสะพรั่งชูช่อกินเนื้อที่เกือบสิบเมตร... กลีบดอกบอบบางสีขาวสะอาดแข่งกันชูช่อต้านลมหนาว กลิ่นหอมอ่อนๆโชยมาแตะจมูก ปลอบประโลมความหวาดกลัวในหัวใจให้คลายลง...

    “นี่มัน...”

    “ทุ่งดอกป๊อปปี้”นารุมิกระซิบตอบ ดูเหมือนมันจะแตะเศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนรางของสึโยชิ...

    “ดอกป๊อปปี้...สีขาว”เขาเอ่ยทวนกับตนเอง ภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในมโนภาพเรียกให้หัวใจของเขากระตุกวูบ

    “มันเป็นดอกไม้ที่แม่ของมิสึกิชอบ...”น้ำเสียงแผ่วหวิวคล้ายจะกล่าวกับตนเองมากกว่าใครอื่น…

    และห้องนี้ก็เป็นห้องเก่าของแม่มิสึกิ...เขาลืมไปได้ไงนะ…

    ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นมาทันตา... สึโยชิเหม่อมองออกไปยังทุ่งดอกไม้ ....รอยยิ้มอ่อนโยนค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น...

    และเรียกให้หัวใจของนารุมิเต้นรัว...

    ดูเหมือนสึโยชิจะลืมไปแล้วว่าตัวเองโดนกอด และคนกอดก็จงใจไม่ปล่อย... สึโยชิมัวแต่ให้ความสนใจกับทุ่งดอกไม้ ...จนไม่ทันรู้สึกตัว...ว่าอ้อมแขนเริ่มโอบรอบกายของเขากระชับขึ้น

    “นายรู้ความหมายของดอกป๊อปปี้สีขาวรึเปล่า”น้ำเสียงกระซิบข้างๆใบหูเรียกให้สึโยชิหน้าขึ้นสี ขยับจะผละออกแต่แรงมือนั้นกลับกระชับรอบกายมากยิ่งขึ้น แถมนัยน์ตานั่น...

    “ปล่อยสิวะนารุมิ”เขาก้มหน้าก้มตาพูด รอยแดงพาดผ่านไปจนถึงใบหู

    “ฉันถามว่า นายรู้รึเปล่า?”คนพูดยิ่งขยับใกล้มากขึ้นจนคนดิ้นเริ่มมือสั่น สีแดงจางๆลามไปถึงลำคอ

    “จะไปรู้ได้ไงล่ะ!”

    “ฉันหลงรักคุณเข้าแล้ว...”

    คำพูดที่เรียกให้สึโยชิเงยหน้าขึ้นมอง เขาสบตากับนารุมิที่กำลังจ้องมองนิ่งๆ เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ต้องรีบก้มหลบอย่างรวดเร็ว

    “ความหมายของดอกป๊อปปี้สีขาวคือ...ฉันหลงรักคุณเข้าแล้ว…”นารุมิกระซิบซ้ำข้างๆใบหูจนสึโยชิมือสั่นเหมือนจับไข้ เขาฝืนหัวเราะเสียงแห้ง

    “อ่า....เหรอ...ความหมายดีนะ”สึโยชิพูดติดตลกทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ขำ อ้อมแขนนั้นเริ่มโอบกระชับขึ้นและสึโยชิก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลม

    โอย! ตูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย!

    แล้วจุมพิตเบาก็เรียกสติของสึโยชิให้กระเจิดกระเจิง... เหมือนทั้งร่างของเขาโดนไฟช็อต แทบจะไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากริมฝีปากที่โน้มลงมาสัมผัสซ้ำ ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวานกว่าเดิม...

    สึโยชิเอื้อมโอบรอบคอของนารุมิ เหตุผลและทิฐิถูกกระชากออกจากร่างเหลือไว้เพียงความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจ...ทันทีที่ถอนริมฝีปาก ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกัน และไม่มีใครพูดอะไรอีก...

    นารุมิช้อนร่างของสึโยชิเข้าไปในห้องและวางลงบนฟูก ...ฟูกเพียงที่เดียวถูกปูเตรียมไว้เหมือนรู้งานแต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจในข้อนี้อีก เมื่อริมฝีปากร้อนๆเริ่มไล่ไปตามลำคอ ความรู้สึกเหมือนถูกหยุดไว้ที่ทุกๆที่หมอนั่นสัมผัส และความรู้สึกนั่นเป็นเพียงอย่างเดียวที่สึโยชิเพิ่งแน่ใจ

    เขาหลงรักคาวามูระ นารุมิ...









    TBC เนื่องจากติดสอบเลยลืมมาต่อเสียสนิท-*-

    ไหนใครคิดถึงตอนพิเศษบ้างคะ? ยกมือหน่อยเร้ว ไว้จะเอามาลงให้นะ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×