ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic sj]Hey you! คุณชายไฮโซกับนายจิ๊กโก๋บ้านนอก! [WonHyuk]

    ลำดับตอนที่ #3 : chapter 2 - รูมเมท

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 53


    Hey you! คุณชายไฮโซกับนายจิ๊กโก๋บ้านนอก










    ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมกลับถึงบ้านได้ยังไง...

                    ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เสียงของจุนซูเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับแม้จะไม่เข้าหัวสักคำเดียว 

    ผมนั่งนิ่งจนจุนซูมันยอมแพ้ไปเอง เราสองคนนั่งเงียบๆ มาจนถึงบ้านก่อนไอ้โลมามันจะลากผมเข้าห้องอย่างถือวิสาสะ ตอนเดินผ่านผมเห็นหน้าดงเฮแว่บหนึ่ง หมอนั่นมองผมกับจุนซูสลับกัน สายตาของดงเฮอ่านไม่ยาก ...หมอนั่นคงคิดว่าผมกับจุนซูเป็นคู่เกย์กัน

                    เดี๋ยวนะ...

                    ผมชะงักฝีเท้าเอาดื้อๆ ยิ่งทำให้จุนซูงงเข้าไปใหญ่

                    “เป็นอะไรฮยอกแจ”

                    ผมไม่ตอบ สมองของผมวนเวียนไปที่ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในมโนภาพ น่าแปลก...สติของผมค่อยๆ กลับมาช้าๆ ในขณะที่ใบหน้านั้นกลับค่อยๆ เลือนรางลงไป แต่ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ สาบานได้...คำพูดของอีดงเฮเมื่อเช้าลอยวนเวียนอยู่ในสมอง 

    หมอนั่นบอกว่าผมเป็นเกย์...

                    “ไม่ใช่!” ผมโพล่งออกมาดื้อๆ เล่นเอาดงเฮกับจุนซูสะดุ้งพร้อมกัน 

                    จุนซูมองผมอย่างใช้ความคิดก่อนจะตัดใจลากผมขึ้นห้องไปในที่สุด หมอนั่นปิดห้องแล้วล็อคกลอน ดันผมไปนั่งอยู่บนเตียงก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเบื้องหน้า

                    “นายเป็นอะไร ฮยอกแจ...จู่ๆ ก็วิ่งออกมา แถมถามอะไรก็ไม่ตอบ ฉันใจเสียรู้ไหม”

                    ผมรู้...แต่ผมพูดอะไรไม่ออก ผมจะตอบอะไรได้ล่ะ ผมยังไม่พร้อมจะเล่าความจริง ผมจะบอกได้ยังไงว่าผมใจเต้น...แล้วก็เสียสติแค่เห็นผู้ชายคนนั้น ทั้งที่ไม่รู้ชื่อแล้วก็ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ

                    “ฉัน...โทษทีจุนซู ฉันยังไม่พร้อมจะเล่า” แล้วผมก็คงไม่พร้อมเร็วๆ นี้ด้วย ผมรู้ว่าจุนซูเป็นห่วงผมมาก แต่ผมไม่พร้อมจะเล่าจริงๆ

                    เจ้าโลมานั่นถอนใจเฮือกก่อนจะชกไหล่ผมเบาๆ “ช่างเถอะ นายพร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็ได้”

                    ผมพยักหน้ารับ รู้สึกโล่งใจลงไปเยอะไม่รู้เพราะอะไร ...เหตุการณ์เมื่อกี้เหมือนฝันไป ผมกำลังคิดว่าผมอาจจะโดนผีเข้า เหมือนกำลังฝันกลางวันทั้งที่มีสติอยู่ครบ

                    แล้วจุนซูก็ชวนผมพูดเรื่องอื่น เราคุยกันติดลมเหมือนทุกครั้ง หมอนั่นบ่นผมว่าเพราะผมรีบกลับมาเลยอดไปตัดผม มันยังบอกอีกว่าทรงผมของผมตอนนี้เชยบรรลัย แล้วการแต่งตัวของผมก็ไม่เข้าท่า ผมไม่อยากจะบอกมันหรอกว่ารสนิยมของมันนั่นล่ะที่มีปัญหา...จริงๆ นะ เซ้นต์ด้านแฟชั่นของจุนซูแย่มาก เวลาไปซื้อเสื้อผ้า หมอนั่นจะไม่คิดอะไรเลยนอกจากชี้ไปที่หุ่นลองชุดแล้วซื้อตามนั้น แล้วคนแบบนี้มาว่ารสนิยมของผมมีปัญหา คุณว่าผมควรเชื่อรึเปล่า?

                       เราคุยกันจนถึงเย็น ผมพยายามชวนเจ้าโลมาอยู่กินข้าวด้วยกันแต่หมอนั่นกลับปฎิเสธ ผมเดินไปส่งเพื่อนรักขึ้นรถ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนเดินผ่านอีดงเฮ เจ้าจุนซูมันจะนึกสนุกดึงผมเข้าไปกอดแล้วกระซิบริมหูซะจนขนลุกกราว

                    “อีดงเฮมองใหญ่เลยแหนะ” ผมขำ และก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ เจ้าหมอนั่นสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างหมั่นไส้ผมเสียเต็มประดา แต่ผมเห็นนะว่าตานั่นน่ะเป็นประกายลุกวาวเลยเชียวล่ะ

                    แล้วชีวิตผมก็ผ่านไปอย่างปกติสุข...แต่ก็แค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้นล่ะ เมื่อเริ่มเปิดเทอม ชีวิตของผมก็ก้าวเข้าสู่หายนะของจริง

                คุณรู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงบอกว่าชีวิตของผมมันเกิดหายนะ? เดาไม่ยากหรอกครับ จะพูดให้ถูกก็คือมันเกิดหายนะกับความเป็นผู้ชายของผม เพราะหมอนั่น!

                ถ้าไม่เจอกับชเวซีวอน ชีวิตของผมคงไม่เป็นแบบนี้!!

     




    ¢¢¢~~Mr.Choi and Crazy chick~~¢¢¢

     




                นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทอง ที่ผมปองมาสู่~

                ผมเล่นมุขนี้ไปรึยัง? คงยังเนอะ ผมคงไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้นหรอก ...ที่ผมร้องเพลงนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่พอเห็นโรงเรียนที่ผมต้องมาอยู่ ผมก็อดจะถามตัวเองในใจไม่ได้ว่า 

    นี่ใช่โรงเรียนแน่เหรอ?

                    ผมรู้ก่อนหน้าวันเดียวว่าโรงเรียนที่ผมมาอยู่เป็นโรงเรียนประจำ และก็เป็นวันที่ผมต้องหอบข้าวของมาเตรียมอยู่แล้วด้วย ตัวผมน่ะไม่รู้สึกอะไรหรอก...แค่เซ็งนิดหน่อยที่มันเป็นโรงเรียนชายล้วน แต่ท่าทางของดงเฮนี่สิ เหมือนจะขาดใจตายเอาซะให้ได้ หมอนั่นเอาแต่บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้สารพัดจนผมเบื่อ ...จริงๆ ผมคงจะไม่สนใจนักหรอกถ้าหมอนั่นจะไปบ่นไกลๆ ผม

                    กลับมาบรรยายโรงเรียนต่อ...เนื่องจากบ้านผมค่อนข้างห่างไกลความเจริญ นานๆ ครั้งถึงจะจูนโทรทัศน์ติดทำให้ผมไม่เคยเห็นคฤหาสน์ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ที่ไหนมาก่อน แถมช่วงที่ผมมาอยู่ที่บ้านคุณลุงก็แค่อาทิตย์เดียวผมเลยไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ครบ...ผมว่าบ้านของคุณลุงใหญ่เกินสมควรแล้วนะ แต่โรงเรียนนี่มัน...

    นั่นล่ะครับ ผมเลยยิ่งสงสัยว่านี่มันใช่โรงเรียนแน่เหรอ?

                    แต่ก็บอกไปแล้วนี่ว่าผมไม่มีปัญหา ยิ่งคุณลุงให้เงินรายเดือนของผมมาเหมือนจะให้ผมไปซื้อที่ดินปลูกบ้านในโรงเรียนผมยิ่งไม่มีปัญหาเข้าไปใหญ่ แถมด้วยบัตรเครดิตชื่อผมที่คุณลุงโอนให้อย่างถาวร 

    แล้วผมจะต้องบ่นเรื่องอะไรอีกเหรอครับ?

                    “อยู่โรงเรียน ห้ามบอกใครว่ารู้จักฉันเด็ดขาด” เสียงตวาดห้วนของดงเฮดังขึ้นข้างๆ ทันทีที่หมอนั่นทำใจเดินออกมาจากรถได้สำเร็จ ผมทิ้งหางตามองร่างโปร่งที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ

                    “งั้นให้บอกว่าอะไร? บอกว่าเป็นญาติไปเลยดีไหม?” ผมยังไม่เลิกก่อกวน ผมยอมรับว่ายังเคืองอยู่เพราะตอนนี้ฮยอกกี้น้อยของผมหน้ามันยังมีรอยดำปื้นๆ จากฝ่าเท้าของดงเฮอยู่เลย

                    หมอนั่นตวัดมองผมฉับ สายตาคล้ายๆ กับมองอุจจาระหมา “อย่าเอาฉันไปเกลือกกลั้วกับนาย”

                    แหม...รอยช้ำบนหน้าเพิ่งหายอยากมีรอยใหม่อีกใช่ไหมครับ?

                    ผมเลิกใส่ใจอีดงเฮเหมือนๆ กับที่หมอนั่นเดินสะบัดตูดห่างจากผมไปแล้ว ผมเหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดีเพราะมันกว้างไปหมด จะถามอีดงเฮก็คงไม่ได้เดี๋ยวเสียฟอร์ม

                    แล้วหางตาผมก็สะดุดกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งลงจากรถแล้วลากกระเป๋าผ่านมาพอดี หมอนั่นตัวสูงกว่าผมนิดหน่อย ใบหน้ากลมๆ หางตาชี้ๆ แต่มองแวบแรกผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าสัญญาณคลื่นเราน่าจะตรงกัน

                    “เอ่อ ขอโทษครับ” ผมพูดสุภาพ หมอนั่นเงยหน้าขึ้นมองผม เลิ่กคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม “นาย เอ่อ เพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ใช่ไหม?”

                    ผมรู้สึกว่าคำถามของผมฟังดูไร้สาระก็เมื่อผมถามออกไปแล้ว แต่หมอนั่นกลับยิ้มให้ พยักหน้าหงึกหงักอย่างกระตือรือร้น “นายก็เข้ามาเรียนปีหนึ่งเหมือนกันเหรอ?”

                    ผมบอกแล้วว่ารู้สึกได้ว่าสัญญาณคลื่นตรงกัน! แม้หมอนี่จะลากกระเป๋าลงมาจากรถหรูระยับน่าจับขาย แต่ท่าทางไม่ใช่คุณหนูหยิ่งยโสระยะสุดท้ายแบบอีดงเฮ “ใช่ ฉันชื่อฮยอกแจนะ นายล่ะ?”

                    “เยซอง” จากตอนแรกจะเข้ามาถามทาง ก็กลายเป็นได้เพื่อนไปซะอย่างนั้น 

                    ท่าทางเยซองจะเตรียมพร้อมมามากกว่าผม หมอนั่นบอกว่าวันแรกต้องไปที่หอพักเพื่อดูว่าอยู่ห้องไหน เอาของเข้าที่พักแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยไปดูห้องเรียน ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วง...แม้เยซองจะไม่รู้ทางเหมือนกันแต่มีความฉลาด เอ้ย! รอบคอบมากพอที่จะเห็นป้ายบอกทางที่มันจะทิ่มตาผมอยู่แล้ว

                    ตลอดทางเราคุยกันอย่างถูกคอ เยซองสามารถทำลายภาพพจน์คุณหนู(ที่ผมดูมาจากอีดงเฮ)ไปได้อย่างสิ้นเชิง หมอนี่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ หัวเราะเฮฮา จนผมรู้สึกสนิทใจอย่างบอกไม่ถูก

                    “นี่ไงๆ ...อ๊ะ นายกับฉันอยู่ห้องติดกันเลยฮยอกแจ” เยซองที่รับหน้าที่ไปดูห้องบอกผมเสียงร่าเริง ผมยิ้มรับก่อนจะยื่นกระเป๋าคืนไปให้

                    “ดีเลย ฉันจะได้แวะไปหานายบ่อยๆ”

                    “มาเลยพวก” 

                    แล้วเราก็ลากกระเป๋าขึ้นห้องไปด้วยกัน เยซองบอกผมว่าห้องหนึ่งอยู่ด้วยกันประมาณ 4 คน แสดงว่าห้องต้องใหญ่ไม่เบา

                    พวกเราล่ำลากันหน้าห้องก่อนที่เยซองจะลากกระเป๋าเข้าห้อง 701 ทิ้งผมยืนอยู่หน้าห้อง 702 ที่อยู่ติดกัน ดูจากระยะห่างระหว่างประตูห้องมันต้องใหญ่มากแน่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก ผมห่วงแค่ว่าจะเข้ากับคนในห้องไม่ได้นี่สิ

                ผมทำใจอยู่ครู่ก่อนจะหมุนลูกบิดแล้วผลักเปิดออก ปั้นรอยยิ้มหวานโคตรจริงใจแบบที่ทำให้สาวๆ ในหมู่บ้านหลงกันหัวปักหัวปำขึ้นมาไว้บนใบหน้า

                    ผมเห็นคนสองคนนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา คนหนึ่งนั่งหันหลังให้ผม ส่วนอีกคนเงยหน้าขึ้นมามองแต่ผมมองเลยผ่านไปก่อนเพราะสภาพในห้องมันทำให้ผมตะลึง

    โอ้โห...หอพักโรงเรียนหรือโรงแรมเนี่ย? ห้องพักนักเรียนบ้าอะไรมีโซฟากับโฮมเทียเตอร์ แถมมีโต๊ะกินข้าวขนาดสี่คนนั่งถูกกั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยเคาท์เตอร์แบบบิ้วอิน อีกฝากห้องเป็นระเบียงกั้นด้วยประตูกระจกเหมือนฉากที่ผมเคยเห็นในละคร... แม้จะไม่ใหญ่เท่าบ้านคุณลุงแต่สาบานได้ว่าคงไม่มีหอพักนักเรียนที่ไหนหรูเท่านี้

                    อ้าว...สวัสดี เสียงทักทุ้มต่ำดึงความสนใจผมกลับมา เด็กหนุ่มร่างสูงที่ตอนแรกนั่งอยู่บนโซฟายืนขึ้น...ผมสารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนี่เลย เพราะหมอนี่สูงกว่าผม! แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก...ประเด็นคือมันหล่อกว่าผมต่างหาก!

                    โอยยยยย ผมเกลียดโซลเป็นบ้า!!

                แต่ฝ่ายตรงข้ามเล่นส่งยิ้มมาให้ ผมจะไม่ตอบก็ยังไงอยู่ ...ผมจึงอ้าปาก เตรียมจะตอบรับแต่คำพูดก็ชะงักอยู่ที่ลำคอเมื่อผู้ร่วมห้องอีกคนที่ตอนแรกนั่งหันหลังให้ผมผุดลุกขึ้นแล้วหันมามอง..

                    อีดงเฮ!!”

                    อีฮยอกแจ!!”

                    ผมกับหมอนั่นตะโกนพร้อมกัน เจ้าคนที่เตรียมเดินมาทำความรู้จักกับผมชะงักกึก นายรู้จักกันเหรอ?

                    ก็หมอนี่ไงไอ้เกย์หน้าไก่ที่ฉันเล่าให้ฟัง!!” ดงเฮเอ่ยเสียงดัง 

    ผมฉุนปรี๊ด! “อย่ามาเหมารวมว่าทุกคนจะเป็นเหมือนนายนะเว้ย!” 

                อย่ามาทำปากแข็ง! แล้วนาย...อย่าบอกนะว่าอยู่ห้องนี้!!”


                   
    นี่อย่าบอกนะว่านายอยู่ห้องนี้? ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ หน้าตาตื่นของดงเฮเป็นคำตอบอย่างดีเล่นเอาผมอยากจะกัดลิ้นตายเสียจริง ให้ตายเถอะ

    ชีวิตผมมันจะบัดซบไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย?!

                น่า...ใจเย็นก่อน ไอ้หน้าหล่อเอ่ยปรามๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผม ฉันลืมแนะนำตัวไปเลย ฉันชื่อโจคยูฮยอนนะ เป็นรูมเมทนายเหมือนกัน ฝากตัวด้วย

                    อืม ฉันอีฮยอกแจ ผมงึมงำตอบ นึกด่าไอ้บ้านี่ในใจว่าทักทายไม่ได้ดูสถานการณ์เลย แหกตาดูซะบ้างว่าคนทะเลาะกันจะตายอยู่แล้ว! อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ดีพอจะผูกมิตรกับใครทั้งนั้นล่ะ!

                    ฉันจะย้ายห้อง!” ดงเฮเหวี่ยงขึ้นมาอีกรอบ ผมกับหมอนั่นจ้องตากันและสายตานั่นล่ะที่ดันไปสะกิดต่อมอยากกวนตีนของผมให้ทำงาน

                    เชิญ ตามสบาย ไม่ส่งนะ

                    เฮ้ยยยย ดงเฮ มันย้ายได้ที่ไหนล่ะ ใจเย็นก่อนสิเสียงนี้เป็นของคยูฮยอน จริงๆ ผมไม่ต้องบอกก็ได้เพราะยังไงมันก็มีกันอยู่แค่สามคน

                     ฉันอยู่ร่วมห้องกับหมอนี่ไม่ได้หรอก!”

                    โอยยยยย หยั่งกับฉันพิศวาสนายตายล่ะ~” ผมเอ่ยยวน เลิกคิ้วข้างหนึ่งแบบน่ากระทืบเป็นที่สุด จะไปก็ไปเร็วๆ เลยนะ ไม่งั้นฉันจะคิดว่านายดีแต่ปาก

                    ดงเฮดูโมโหจนจะกลายร่างเป็นปลาฉลามอยู่แล้ว แต่ผมเหรอจะกลัว? ตัวผมกับหมอนั่นก็พอๆ กัน แถมต่อยกันแต่ละครั้งหมอนั่นก็สู้ผมไม่ได้สักที

                    เอาน่า เราต้องอยู่กันอีกตั้งสามปี สงบศึกกันไว้ดีกว่า คยูฮยอนพยายามหย่าศึก แต่ดูท่าจะยากเพราะขนาดคุณลุงห้าม ผมกับดงเฮยังไม่ฟังเลย

                    แต่เอาเถอะ...จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรดงเฮหรอก พูดตรงๆ คือหมอนั่นมันตั้งแง่รังเกียจผมฝ่ายเดียวมากกว่า แล้วถ้ามันไม่มีทางเลือกต้องอยู่ด้วยกันไปอีกสามปี ...ขืนต้องทะเลาะกันทุกวัน...

    แค่คิดผมก็สยองแล้ว

                    เออ เอาเหอะ ฉันก็เบื่อจะเถียงกับนายแล้ว ผมตัดบทเอาซะดื้อๆ นึกในใจว่าเอากระเป๋าไปวางไว้ในห้องแล้วไปนั่งห้องเยซองสงบสติอารมณ์ดีกว่า

    แต่พอมองไปยังประตูสองบานที่ตั้งอยู่ข้างๆ ผมก็เลิ่กคิ้วสูง มีห้องนอนสองห้องเหรอ?

                    ประโยคหลังผมถามคยูฮยอน หมอนั่นพยักหน้า นอนห้องละสองคน พูดจบหมอนั่นก็มองหน้าผมกับดงเฮสลับกันไปมา 

    ...อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะให้ผมนอนห้องเดียวกับเจ้าปลาเน่า ไม่อย่างนั้นมันได้กลายเป็นนิยายฆาตกรรมแน่ๆ


                    แล้วดูเหมือนคยูฮยอนจะคิดเหมือนผมจริงๆ นายนอนห้องริมหน้าต่างแล้วกัน เดี๋ยวฉันนอนกับดงเฮที่ห้องนี้เองพูดพลางก็ชี้ไปยังประตูที่อยู่ใกล้กว่า

                ดงเฮแค่ย่นหน้าใส่ผม ปากยื่น หน้าบึ้งแต่ไม่ได้ทักท้วงอะไร แล้วมันก็ทำให้ผมอยากจะรีบอัญเชิญตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้ไวที่สุด

                    แล้วอีกคน?

                    พอดีหมอนั่นไปทำธุระน่ะ กว่าจะถึงนี่คงมืด ผมพยักหน้ารับ ได้แต่หวังว่ารูมเมทผมจะไม่งี่เง่าเท่าดงเฮนะ แล้วจริงๆ ผมว่าคยูฮยอนก็โอเค ท่าทางไม่งี่เง่า ไม่เรื่องมาก ไม่น่ากัดหูขาดแบบเจ้าปลาป่วน

                    น่าสงสารซีวอน...หมอนั่นคงจะนอนไม่หลับเพราะข้างเตียงมีแต่หน้าเน่าๆ นั่นปะไร ด่าในใจได้ไม่ถึงนาทีปากของดงเฮก็ตีรวนขึ้นมาอีกแล้ว ผมกลอกตาขึ้นฟ้า 

    ได้...จะไม่จบใช่ไหม?

    พูดอย่างนี้นายอยากจะนอนห้องเดียวกับฉันแทนงั้นสิ?คำพูดของผมกวนตีนไม่ได้ครึ่งของสีหน้า ทำมาพูดว่าฉันเป็นเกย์...จริงๆ แล้วนายแอบชอบฉันอยู่ล่ะสิ?

    แหยะ! หลงตัวเอง!” ดงเฮขยับเท้ามาใกล้ผม เตรียมตัวมีเรื่องกันเต็มเหนี่ยว หน้าตาเหงือกๆ อย่างนายน่ะ...กินขี้เล็บฉันไปก่อนเถอะ

    หมอนี่ด่าเจ็บขึ้นเยอะ...แต่ผมจะชมไม่ได้! “ขี้เล็บปลาเน่ามันก็เน่าเหมือนตัว!”

    ว่าไงนะไอ้หน้าไก่!”

    จะเอาไหมล่ะไอ้หน้าปลา! อยากปากแตกก่อนเปิดเทอมก็เอาเลย!”

    แล้วหลังจากนั้นผมกับดงเฮก็ด่ากันไฟแล่บ...แต่แค่ด่าอย่างเดียวไม่ได้ลงไม้ลงมือกันนะครับ ผมก็ห่วงหล่ออยู่เหมือนกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เปิดเทอมหน้าช้ำล่ะอายเขาตายเลย...

    คยูฮยอนมองผมกับดงเฮแล้วส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์ ขนาดยืนเถียงไม่หยุดผมยังอุตส่าห์รู้ว่าหมอนั่นคุยกับคนที่ชื่อซีวอนอะไรสักอย่างที่จะมาเป็นรูมเมทผม ท่าทางสามคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน 

    แล้วอย่างนี้ผมจะโดนรุมไหมครับ?

    ให้ตาย...ยังไม่พ้นวันแรกชีวิตผมก็ท่าจะไม่สดใสซะแล้ว มันจะมีอะไรซวยไปกว่านี้อีกไหมครับเนี่ย!!












    TBC

    ยังจะซวยอีกยาวเลยจ้ะฮยอกจ๋า^^

    ย้ำอีกครั้งว่านี่วอนฮยกไม่ใช่อึนเฮแม้มันจะดูอึนเฮก็ตาม พระเอกเป็นตัวประกอบมาสองตอนติดต่อกัน ตอนหน้าจะเด่นแล้วค่า อิอิ 

    เรื่องรั่วนี่ขอให้บอก ไรท์เตอร์ถนัด แต่ถ้าจริงจังนี่เค้นเกือบตาย

    เข็นสามตอนจนหมดสต็อค แต่เป็นเรื่องที่แต่งได้ไวมากๆเลยเพราะความรักที่มีต่อน้องไก่

    ชอบไม่ชอบก็บอกด้วยนะคะ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×