คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 - แรกพบสบตา
Hey you! คุณชายไฮโซกับนายจิ๊กโก๋บ้านนอก! [WonHyuk]
“นายเหรออีฮยอกแจ...หน้าตาหนั่งกับลิง”
คำพูดมาพร้อมกับสายตาจิกทะลวงไปถึงลำไส้ทันทีที่ผมย่างเท้าก้าวแรกเข้ามาในคฤหาสถ์ตระกูลอี ผมว่าถ้าเขาทำได้คงจะใช้มือล้วงม้ามของผมแล้วเอามาเขวี้ยงใส่หน้าไปแล้วล่ะ!
ตกลงผมมาอยู่ผิดเรื่องใช่ไหมครับ? นี่ไม่ใช่เรื่องคุณชายไฮโซกับนายจิ๊กโก๋บ้านนอกแต่เป็น ฮยอกมานกับบ้านทรายทอง?
ผมทำหน้าเมื่อย ตาหยีๆ ของผมตวัดมองเจ้าคนปากเสียที่นั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟาก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าลงไปข้างๆ ตัว
“ไม่ต้องบอกฉันก็จำได้ว่านายคืออีดงเฮ...หน้าหยั่งกับปลาป่วยแบบนี้มีคนเดียวนั่นล่ะ” ดวงตาของหมอนั่นลุกโชนขึ้น ผมรู้สึกสะใจขึ้นมาเล็กๆ
จริงๆ แล้วผมก็จำหน้าหมอนี่ไม่ค่อยได้หรอกครับ คนไม่ได้เจอกันมาเป็น 10 ปีจะไปจำหน้าได้ยังไง สมองผมไม่ใช่กล้องวิดีโอสักหน่อย แต่คุณลุงญาติของผมมีลูกชายคนเดียวนั่นคือ อีดงเฮ เจ้าคนปากเสียจอมหาเรื่องที่มันทะเลาะกับผมมาตั้งแต่ 5 ขวบ คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปสิบปีนิสัยก็ยังไม่ดีขึ้น
“นายว่าฉันเหรอ!”
“ใครบอก ฉันชมต่างหาก” ผมประชด ได่แต่หวังว่าหมอนี่มันคงไม่เชื่อจริงๆ หรอกนะ เอ้า...ดูสิ กัดปากแล้วกระทืบเท้า ทำท่างอนอย่างกับผู้หญิง!
“ดงเฮ มาช่วยฮยอกแจหน่อยสิลูก” คุณลุงเดินเข้ามาขัดตาทัพ ผมหันไปยิ้มฝืดๆ ให้ท่าน
เอ่อ...ผมลืมเล่าสินะครับว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่นี่ที่ไหน(รู้สึกผมจะลืมเล่าบ่อยจัง) เอาเป็นว่าผมจะเล่าสั้นๆ ให้ฟังนะครับ
ผมโดนเสด็จแม่เฉดหัวออกจากบ้าน...
ครับ
ฟังไม่ผิดหรอก หลังจากตามไอ้จุนซูกลับบ้านระเบิดก็ลงกลางหัวผมพอดีเลย ไม่รู้ไอ้บ้าหน้าไหนมันไปฟ้องแม่ผมว่าผมวางแผนจะเป็นนักเลงคุมหมู่บ้าน!(ผมกำลังคิดว่าเป็นไอ้จุนซู รอผมมีหลักฐานก่อนผมเอามันตายแน่ๆ) คุณแม่ที่เคารพเลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเอาผมไปฝากไว้กับคุณลุงที่อาศัยอยู่ในโซล เผื่อผมจะมีความคิดที่มันเป็นผู้เป็นคนกว่านี้
เหอะ! ผมไม่อยากจะคุยหรอกนะครับ แต่คุณตาของผมท่านเป็นผู้ดีมีเงินมาก่อนที่ท่านจะย้ายไปอยู่บ้านนอก เอ้ย ชนบทกับผม เพราะท่านเบื่อชีวิตในเมืองกรุง
คุณตาของผมท่านมีลูกชายคน ลูกสาวคน และก็เหมือนพล็อตน้ำเน่าทั่วไป คุณแม่ของผมรักกับคุณพ่อที่เป็นเด็กเสิร์ฟจนๆ แต่คุณตาท่านคัดค้านทั้งคู่เลยหนีตามกันไป ผ่านไปไม่กี่ปีคุณแม่ก็กลับมาขอโทษคุณตาพร้อมกับอุ้มผมที่อายุยังไม่ถึงขวบมาด้วย คุณตาเห็นหน้าตาของผมก็ถึงกับใจอ่อน(ผมกำลังสงสัยว่าตอนนั้นท่านคงเห็นออร่าความหน้าตาดีจากตัวผม) และยอมยกโทษให้คุณแม่ จากนั้นไม่กี่ปีท่านก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ให้กับคุณลุงแล้วมาอาศัยอยู่กับคุณแม่ในช่วงบั้นปลายชีวิต
แล้วคุณตานั่นล่ะที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้ผมเข้ามาเรียนในโซล เพื่อเป็นการ ‘เปิดหูเปิดตา’ ตอนแรกผมก็ค้านหัวชนฝา แต่ทั้งคุณตาและคุณแม่ก็ดึงดันจะให้ผมเข้ามาเรียนจนได้ โชคดีที่ไอ้จุนซูมันจะเข้ามาเรียนกับผมด้วย ผมได้แต่หวังว่าเราจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน
“ยืนเซ่ออะไรอยู่ได้ เอาของไปเก็บสิ” เสียงกระชากห้วนดึงผมออกมาจากห้วงคิด คุณหนูดงเฮมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ เหมือนมองกองขี้หมา
ผมมองตอบกลับแม้จะขี้เกียจตอบคำถาม อีดงเฮสิบปีก่อนเป็นยังไง สิบปีผ่านไปก็เหมือนเดิมไม่มีผิด ในที่นี้ผมหมายถึงนิสัยจองหอง วางอำนาจ ชอบทำเหมือนผมเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่ำกว่า ส่วนหน้าตา...เอ่อ ผมยอมรับก็ได้ว่าหมอนี่มันหน้าตาดี ใบหน้าของดงเฮได้รูป ริมฝีปากเหยียดๆ นั่นเป็นสีชมพูเรื่อๆ หน้าเนียนใส ผมสีดำล้อมกรอบใบหน้าบูดบึ้ง ผมกำลังคิดว่าถ้ามีวิกผมยาวให้ดงเฮใส่แล้วมาบอกว่านี่คิดผู้หญิง ผมก็คงเชื่อสนิทใจ
ชิ! หงุดหงิดชะมัด ผมเริ่มเกลียดโซลมากกว่าเดิมอีก!
แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยอีดงเฮก็เป็นญาติผม จะมีเชื้อหน้าตาดีก็ไม่แปลก ดูหน้าผมสิครับ...ผมหล่อเทพขนาดนี้ญาติผมจะขี้เหร่ไปได้ยังไง? เฮ้อ...ผมล่ะกลุ้มใจ กลัวว่าสาวๆ ในโซลจะตบตีแย่งผมกันเป็นว่าเล่น
“ตะลึงมองอะไร เก็บของสิ!” ดงเฮใช้เท้าเขี่ยกระเป๋าผม เล่นเอาผมที่อยู่ในโหมดหลงตัวเองฉุนปรี๊ดขึ้นมาอีกรอบ
นี่เขาเรียกไม่มีมรรยาทนะโว้ยยยยยย!!!!
“คุณลุงบอกให้นายช่วยฉันไม่ใช่เหรอ งั้นนายก็แบกไปสิ” กับตัวผู้ผมไม่อ่อนข้อให้หรอกนะจะบอกให้!
ดงเฮมองผมเหมือนกำลังมองอุลตร้าแมนแปลงร่าง “ละเมออยู่รึไง? คนอย่างฉันน่ะเหรอจะถือกระเป๋าให้คนอย่างนาย?”
“อืม ฉันพูดไปแล้วนี่ว่าให้คนอย่างนายถือกระเป๋าให้ฉัน ถ้าฟังไม่เข้าใจก็แปลว่านายปัญญาอ่อน” พูดจบผมก็เดินนำไปก่อนเลยครับ มันจะได้โมโหให้จุกอกตายไปเลย ฮ่าๆๆๆ
“อีฮยอกแจ กลับมานี่นะ!”
ผมหมุนตัวกลับไป ตั้งใจจะยิ้มเยาะแต่รอยยิ้มก็ค้างกลางอากาศ สายตาโฟกัสไปที่เสื้อผ้าของผมที่กระจุยกระจายอยู่บนพื้น อีดงเฮแสยะยิ้ม ก่อนจะยกเท้านั้นขึ้นแล้วเหยียบเสื้อผ้าของผม!
ผมจิตหลุดทันที เสื้อตัวนั้นผมใส่มาตั้งแต่ ป.6 เป็นเสื้อตัวโปรดของผมเลยนะ! แล้วนั่น! กางเกงในตัวนั้นแม้ขอบมันจะขาดไปหน่อยแต่ผมก็ใส่บ่อยที่สุด! ที่สำคัญ มันบังอาจเหยียบตุ๊กตาไก่ตัวโปรดของผมจนหน้าเยินไปแล้ว!!! อร้ากกก ฮยอกกี้ลูกพ่อ!
ดงเฮ มึงตายยยยยยยยยยยยยย!!!!!!
หลังจากนั้นก็เป็นการตะลุมบอนระหว่าง...ฝ่ายแดง คุณหนูขี้วีนอีทงเฮ Vs ฝ่ายน้ำเงิน จิ๊กโก๋สุดหล่ออีฮยอกแจ!!!
สภาพหลังจากนั้นของผมสุดจะบรรยาย แต่สภาพของอีดงเฮแย่กว่าผมสักสามเท่า หมอนั่นหน้าเขียว ตาปูด หมดสภาพ เห็นแล้วสะใจชะมัด
“ฮือๆๆๆ คุณพ่อ อีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้ว ดงเฮไม่ไปโรงเรียนในสภาพนี้นะครับ” หมอนั่นออดอ้อนคุณลุงเหมือนเด็กสามขวบ ผมรีบตีหน้าใสซื่อสำนึกผิด ใครจะไปรู้... บางทีคุณลุงอาจจะเข้าข้างลูกชายแล้วหันมาจ้วงตับผมแทน
คุณลุงถอนหายใจ มองดงเฮกับผมสลับกันไปมาก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับ แหม...ผมเข้าใจนะครับว่ามีลูกชายแบบดงเฮเป็นใครก็เครียด
“พ่อเห็นนะดงเฮ ว่าเราไปหาเรื่องเขาก่อน...” ดงเฮเบิกตากว้าง ผมล่ะต้องรีบกลั้นยิ้ม ไม่ได้... ผมต้องทำตัวน่าสงสารไว้สิ! “แต่ฮยอกแจ...ลุงว่าเราไม่ควรใช้กำลังในการตัดสินปัญหานะ”
เอื๊อก!ผมตีหน้าใสซื่อ...เอาน่า โดนด่าทั้งคู่ยังดีกว่ารับเคราะห์เดี่ยว
หลังจากนั้นคุณลุงก็ให้แม่บ้านพาผมขึ้นห้อง ไม่รู้ซวยอะไร...ผมต้องนอนห้องติดกับอีดงเฮ ไม่รู้กลางคืนเจ้านั่นมันจะปีนข้ามระเบียงมาฆาตกรรมผมรึเปล่า ผมต้องล็อคกลอนเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน
เริ่มต้นวันแรกก็แย่ซะแล้ว...ผมหวังว่าวันถัดไปมันจะดีขึ้นนะ!
ผมคิดผิด...
เรื่องมันแย่ตั้งแต่ผมรู้ตัวว่าต้องไปเข้าโรงเรียนเดียวกับดงเฮ โรงเรียนชายล้วนชื่อดัง ไฮโซระยะสุดท้าย ทั้งคุณลุงและคุณตาเรียนจบมาจากที่นี่ดังนั้นมันจึงเหมือนไฟลท์บังคับสำหรับลูกผู้ชายตระกูลอี ที่เซ็งกว่านั้นคือจุนซูมันอยู่คนละโรงเรียนกับผม...ไม่ใช่ว่าผมพิศวาสไอ้โลมานั่นอะไรหรอกนะ แต่ผมเรียนกับมันมาตั้งแต่อนุบาล พออยู่คนละที่แล้วมันรู้สึกแปลกๆ พิกล
คุณลุงเรียกช่างตัดเสื้อมาวัดตัวผมแต่เช้าเพื่อตัดเครื่องแบบ ท่านพยายามบังคับให้ดงเฮออกไปเป็นเพื่อนผมเลือกซื้อของใช้ แต่หมอนั่นค้านหัวชนฝา เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมออกจากบ้านไปในสภาพตาปูด หน้าเขียว ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ หรือพูดตรงๆ คือผมพอใจอย่างมาก มันคงไม่สนุกนักหรอกถ้าต้องเดินซื้อของไปด้วยและระวังคนลอบฆ่าไปพร้อมๆ กัน
“ผมไปซื้อของกับจุนซูก็ได้ครับคุณลุง” ผมยิ้มบอก คุณลุงรู้จักจุนซูดีเพราะเคยไปเยี่ยมผมที่นั่นหลายครั้ง ท่านพยักหน้ารับก่อนจะส่งบัตรรูปร่างหน้าตาแปลกๆ มาให้ผม
“อยากได้อะไรก็ซื้อเลยนะฮยอกแจ ไม่ต้องเกรงใจ” ท่านบอกก่อนจะเดินจากไป ทิ้งผมให้ยืนมองการ์ดสีเงินๆ ดำๆ ในมืออย่างงงๆ
ไอ้นี่อะไร? ทำไมให้ผมไปซื้อของแล้วคุณลุงถึงไม่ทิ้งเงินไว้ให้ผมล่ะ ให้ไอ้แผ่นพลาสติกนี่มาทำไม?
ผมยืนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจไม่ถาม ผมว่า...มันคงจะเป็นอะไรสักอย่างที่ใช้แทนเงินได้นั่นล่ะ ไอ้จุนซูมันคงจะรู้ แต่ผมล่ะกลัวว่าเพื่อนรักมันจะไม่รู้พอๆ กับผมน่ะสิ
“มายืนทำซากกล้วยอะไรอยู่ตรงนี้ไม่ทราบ เหม็นกลิ่นบ้านนอก” ไม่ต้องหันไปผมก็เดาได้ว่าเป็นใคร แหม... ปากอย่างนี้ น่าจะต่อยไปอีกสักแผล
ผมยัดการ์ดใบนั้นใส่กระเป๋าก่อนจะควักมือถือใหม่เอี่ยมมากดโทรออก มือถือเครื่องนี้ก็เป็นอภินันทนาการจากคุณลุงสุดเลิฟ ...อีดงเฮเดินผ่านผมไปพร้อมกับมองจิกด้วยหางตา...ญาติเป็นปิรันย่ารึไง(วะ)ครับ?
‘ว่าไงไอ้ไก่’
“หุบปากไอ้โลมาหน้ากลม แกว่างไหม?”
‘ปากดีอย่างแกฉันไม่ว่างเสวนาด้วย’
“ไอ้คุณชายคิม! ถุย! เล่นตัวเหลือเกิน จะว่างดีๆ หรือจะว่างด้วยน้ำตา”
‘ฮ่าๆๆๆ ทำปากดีนะไอ้ไก่ บ้านย่าฉันในโซลแกก็ไม่รู้จักริจะมาขู่ฉันงั้นเหรอ?’
มันพูดถูก...แต่ผมไม่ยอมบอกมันหรอกเดี๋ยวได้ใจ “เออ จุนซู ฉันพูดดีๆ ก็ได้...ไปซื้อของเป็นเพื่อนฉันหน่อย เสื้อผ้าฉัน...แม่ง...โดนปลาขี้ใส่”
ปลาที่ถูกพาดพิงสำลักนม...ตาใสๆ ตวัดมองคนคุยโทรศัพท์ก่อนจะเม้มปากแน่น
“เออ...ปลาเน่าอ่ะแกอย่าใส่ใจ สงสัยแม่งเน่าตั้งแต่จับมาจากทะเล ฮ่าๆๆๆ เออ...ไปเหอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว” พูดพลางผมก็เหลือบมองเจ้าปลาตัวดีที่ทำท่าเหมือนข่มใจไม่ให้เขวี้ยงส้อมมาจิ้มหัวผม “เออ...ได้ๆ เดี๋ยวฉันไปหา เอาน่า ไปถูกสิ...แท๊กซี่มันคงไม่โง่หรอก เออ เดี๋ยวออกจากบ้านเลย แล้วเจอกัน บายๆ”
“มองฉันทำไม? ฉันหล่อใช่ไหมถึงจ้องเอาๆ?” ทันทีที่วางสายผมก็หาเรื่องทันที ไม่ใช่ผมเป็นคนชอบหาเรื่องหรอกนะครับ แต่ดงเฮต่างหากที่ทำหน้าอยากมีเรื่อง
เจ้าปลาเน่านั่นฟาดช้อนในมือลงจานดังลั่น มองผมตาลุกวาวแต่ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ คงจะฝังใจกับหมัดเมื่อวานอยู่ไม่ใช่น้อย
“เหอะ! อีฮยอกแจ ถ้าหน้านายหล่อนะ คงไม่มีใครขี้เหร่แล้วล่ะ”
“มีสิ...นายไง” ผมตอบเรียบๆ เริ่มภูมิใจตัวเองนิดๆ ว่าน่าจะไปลงแข่งชิงแชมป์เถียงโลก
“อ...ไอ้ปากเสีย ไอ้คนหลงตัวเอง!!”
นั่นเจ็บที่สุดแล้วใช่ไหมครับ? ผมฟังแล้วปวดแปลบเหมือนโดนก้างทิ่มเหงือก “ก็คนมันมีดีให้หลง”
“หนังหน้าอย่างนายน่ะนะ...” ดงเฮเว้นช่วง คล้ายกับพยายามเลือกถ้อยคำที่พยายามทำให้ผมเจ็บสะท้านทรวงใน “หล่อแค่เฉพาะในบ้านนอกของนายเท่านั้นล่ะ...ทำตัวเป็นกบในกะลาครอบ นายมันก็แค่ผู้ชายหน้าตาดาษดื่น หาได้ทั่วไปตามท้องถนน แถมมีกลิ่นบ้านนอกคอกนา หน้าตาก็หยั่งกับไก่ปัญญาอ่อน! ที่สำคัญ...ไอ้เหงือก!”
อร้ากกก!!! อันนี้เจ็บครับ! มันบังอาจเอาจุดอ่อนของผมมาจู่โจม เล่นเอาเจ็บไปถึงลิ้นปี่
ผมถลึงตากลับ แม่งเอ๊ย!! ปากดีนักเดี๋ยวมีสามีเป็นไก่ไม่รู้ตัว!
ผมจำได้ว่าเคยได้ยินแม่กับยายนินทากันเรื่องที่ว่าอีดงเฮเป็นเกย์ ทำเอาคุณลุงกลุ้มใจไม่น้อย ผมก็ไม่ใช่คนเลวชอบเอาจุดอ่อนคนอื่นมาล้อหรอกนะครับ แต่ปากแบบนี้นี่...
“พูดแบบนี้ระวังจะมีสามีเป็นไก่ไม่รู้ตัวนะเว้ย!!” ผมก็ขู่ไปงั้นแหละ ให้ทำจริงๆ คงทำไม่ลงหรอกครับ บรึ้ย~ แค่คิดภาพว่าต้องกอดผู้ชายก็ขนลุกแล้วครับ
แต่ดงเฮกลับกระโดดหนีผมไปอีกทางพร้อมทำตาโตเป็นปลานีโม่ ยกนิ้วขึ้นชี้ผมแล้วอ้าปากพะงาบๆ
“ฉันว่าแล้วว่านายต้องเป็นเกย์! ไอ้ไก่ซีด! ฉันบอกคุณพ่อไปท่านก็ไม่เชื่อ บอกไปแล้วว่าฉันดูออกว่านายเป็นกย์แต่ไม่มีใครเชื่อ! แล้วนายก็เป็นจริงๆ!”
อร้ากกกกกกก ถ้าจะด่ากันอย่างนี้เอาไม้มาตีผมให้ตายไปเลยดีกว่า!
ไอ้ปลานี่มันใช้ตาตุ่มหรือครีบมองวะว่าผมเป็นเกย์? เพลย์บอยสุดหล่ออย่างผมเนี่ยนะ? สุดหล่อโคตรเทพอย่างผม!?
“นายอย่าคิดว่าคนอื่นเป็นแบบนายนะเว้ย!” ผมตะคอก แต่ดงเฮกลับถลามาหาผม มือเรียวๆ นั่นผลักผมเกือบกระเด็น
“อย่ามาปากแข็ง! นายยอมรับมาเองเมื่อกี้ ฉันว่าแล้ว...ผู้ชายอะไรขาวจั๊วขนาดนี้ แล้วทำมาว่าฉัน ...รู้นะว่านายน่ะมันอีหรอบเดียวกัน!”
“ไม่ใช่โว้ย!!”
“ใช่! ดงเฮฟันธง นายน่ะเป็นเกย์ชัวร์ๆ ไอ้เกย์หน้าไก่!!”
ย้ากกกกกก ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม!!
“เอ่อ คุณฮยอกแจครับ ผมเตรียมรถไว้แล้วรีบไปกันเถอะครับ” สงครามถูกยุติลงแค่นั้นเมื่อคุณคนขับรถถูกส่งมาเป็นหน่อยกล้าตายห้ามทัพระหว่างคุณหนูทั้งสอง เมื่อท่าทางสถานการณ์ย่ำแย่จนเกือบจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด
ผมหอบหายใจแรงๆ สงบสติอารมณ์ มองคาดโทษดงเฮเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินจากไป แต่ท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ยอมสงบศึกง่ายๆ...
“คอยดูนะ...ฉันจะจับให้ได้เลยว่านายเป็นเกย์ อีฮยอกแจ!!”
หลังจากนั้นคนในบ้านก็ต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะแยกผมออกจากคุณหนูดงเฮที่โดนท้าวางมวยรอบสองจนได้...
¢¢¢~~Mr.Choi and Crazy chick~~¢¢¢
“อิยะฮะฮ่าๆๆๆ อีดงเฮนี่พูดถูกใจชะมัด” จุนซูหัวเราะลั่นแล้วตบเบาะรถดังป้าปๆ อย่างถูกใจ
ฮึ่ย! สาบานเลย...ผมจะไม่ยอมทำบุญปล่อยปลาไปตลอดชีวิต!
“หุบปากน่าจุนซู...ฉันไม่ขำนะโว้ยยยยย แม่งเอ้ย! เอาอะไรมองวะว่าฉันเป็นเกย์ เหอะ!” ผมยังไม่หยุดใส่อารมณ์ ก็มันน่าหงุดหงิดจริงๆ นี่ครับ มีอย่างที่ไหนมากล่าวหาผู้ชายแมนโคตรๆ อย่างผมว่าเป็นเกย์
คุณผู้อ่านว่าจริงไหมครับ?
“แกจะเครียดทำไมวะ มันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย” ไอ้โลมาเว้นช่วง ก่อนที่มันจะกระตุกยิ้มนิดๆ อย่างล้อเลียน “...นอกจากแกจะเป็นจริงๆ”
“พูดอย่างนี้มาพิสูจน์เลยมา” ผมแกล้งล็อคคอมันทำท่าจะดึงมาจูบ ได้ผลครับ มันสะดุ้งแล้วถอยกรูดไปติดประตูรถ มองผมด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ถ้าพูดเรื่องนี้อีกนะ...ฉันจะจับนายทำเมียแทนอีดงเฮ” ผมเอ่ยเสียงหงุดหงิด
คิดผิดจริงๆ ที่เล่าให้ไอ้บ้านี่ฟัง...นอกจากมันจะไม่ช่วยปลอบผมแล้วยังทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมอีก แล้วดูมันทำ... ผมก็แค่ขู่ไปงั้นแต่มันเล่นห่างผมไปสักโยชน์ ทำอย่างกับผมเป็นฆาตกรโรคจิตอย่างนั้นล่ะ
โอ๊ย!!! อีฮยอกแจโคตรเซ็งคร้าบบบบบบบบบบ
คุณลุงคนขับรถทิ้งผมไว้ที่ห้างแห่งหนึ่งก่อนจะบอกว่าถ้าจะกลับให้โทรบอก ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปกับจุนซูที่มันกลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด (ลองมันไม่กลับสิ ผมจะฆ่ามันหมกรถเนี่ยแหละ)
“แกมีงบเท่าไหร่?” พอจุนซูมันถามคำถามนี้ผมก็นึกขึ้นได้ ผมมีเงินติดตัวอยู่ไม่มาก...กับไอ้แผ่นพลาสติคแปลกๆ ใบนั้น
คิดจบผมก็ล้วงมาให้จุนซูดูพร้อมกับโบกไปมาตรงหน้า “ฉันมีนี่ล่ะ มันใช้ทำอะไรได้วะ?”
ผมแอบกังวลว่ามันจะไม่รู้ แต่พอเห็นตาจุนซูที่เบิกกว้างเป็นโลมาเห็นน้ำทะเลก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“ทำไม มีอะไรเหรอวะจุนซู?” ผมเริ่มใจไม่ดี ไอ้จุนซูคว้าการ์ดในมือของผมหมับ มองซะจนน้ำลายจะหยดอยู่แล้ว
“นี่มัน...บัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน?” สาบานได้ ผมไม่รู้ว่าคำแรกแปลว่าอะไรแต่คำว่า ‘ไม่จำกัดวงเงิน’ ทำให้ผมรู้สึกดี อะไรที่เกี่ยวกับใช้เงินได้ไม่อั้นมันไม่น่าแย่แน่นอน
ผมยิ้ม...แม้จะไม่รู้ว่ามันใช้ยังไงแต่จุนซูมันรู้แน่ แล้วไอ้เรื่องซื้อของไม่อั้นโดยไม่ต้องเสียตังค์สักแดงนี่ก็แทบลบอารมณ์หงุดหงิดสะสมของผมเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ^^
ผมเป็นหลานที่ดี...ผมเชื่อฟังคุณลุงทุกอย่าง คุณลุงบอกผมเองว่า ‘อยากได้อะไรก็ซื้อ ไม่ต้องเกรงใจ’ ผมเลยซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าจนมือสองข้างหอบข้าวของพะรุงพะรัง แน่นอน...รวมทั้งมือไอ้จุนซูด้วย
เราซื้อของกันจนเพลิน ตอนแรกจุนซูมันก็สนุกดีหรอกครับแต่หลังๆ เมื่อข้าวของชักเยอะหน้ามันก็เริ่มมุ่ยขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยชักเกรงใจมันขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่สามารถซื้อของตอบแทนให้มันได้เพราะนี่ไม่ใช่เงินผม(และถ้ายิ่งเป็นเงินผม ผมยิ่งไม่มีทางซื้อให้มันเข้าไปใหญ่) ผมเลยตัดสินใจเลี้ยวเข้าร้านอาหารเพื่อเลี้ยงข้าวตามที่เคยสัญญา จุนซูถึงได้หน้าบานขึ้นมาบ้าง
“อ๊ะ ดูคนนั้นสิ หล่อจัง” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้าน เสียงหวานๆ ของกลุ่มเด็กสาวที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าร้านก็ดังขึ้น ผมยืดอกขึ้นมาอัตโนมัติ พยายามกดรอยยิ้มให้จมลึก
แหม...ผมบอกแล้วว่าผมหล่อ สาวๆ โซลจะได้รับรู้วันนี้ล่ะครับ
ผมเดินตามจุนซูไปนั่งมุมหนึ่งของร้านซึ่งจะเห็นสาวๆกลุ่มนั้นได้ถนัดตา เมื่อนั่งลงได้ผมก็เงยหน้าขึ้น แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ...กลับพบว่าจริงๆ แล้วพวกเธอไม่ได้มองมาที่ผม!
แต่มองมาที่โต๊ะข้างๆ ผมต่างหาก!
ผมเสียหน้าเล็กน้อย นึกก่นด่าในใจว่าแม่สาวพวกนี้นี่ตาไม่ถึงเลยสักนิด แถมไม่ใช่แค่พวกเธอ ดูเหมือนบริกรหญิงที่เอาเมนูมาให้ผมก็ไม่ได้เหลือบแลผมแม้แต่นิดเดียว เธอคอยส่งสายตาไปยังโต๊ะข้างๆ ผมตลอดเวลายิ่งทำให้ผมหงุดหงิด
มันจะหล่อสักแค่ไหนกัน!
ผมคิดได้แค่นั้นก่อนจะหันไปมอง...และนั่นล่ะครับ ที่เปลี่ยนชีวิตผม
คุณเดาได้ไหมครับว่าผมเห็นอะไร? ผมคิดว่าผมรู้แต่สมองผมกลับไม่รับรู้ มันว่างเปล่า...หัวสมองผมขาวโพลนไปหมด หน้าตาตอนนั้นของผมต้องตลกมากแน่ๆ แต่ผมไม่มีสติพอที่จะคิดถึงอะไรได้แล้ว ...ใจของผมเต้นตึกตักๆ มันดังจริงๆ ครับ ...ดังจนผมกลัวว่าใครต่อใครจะได้ยิน
แล้วผมก็หายใจไม่ออก...
ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย สาบานได้...เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมเผลอมอง ‘เขา’ ตาไม่กระพริบ ใบหน้าหล่อเหลานั่น
ถ้าเทพบุตรมีจริงคงหน้าตาแบบนี้
แล้ววินาทีที่ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อเขาวางแก้วกาแฟในมือลงก่อนจะเหลียวมามองผม เราสบตากัน...ผมรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ จริงๆ นะ ผมคิดว่าตัวเองคงจะหมดลมหายใจไปแล้ว...
เคร้งงงง!!!
ผมเผลอปัดแก้วน้ำแตกกระจาย แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งออกนอกร้าน โดยไม่เหลียวกลับไปมองอะไรอีกทั้งสิ้น!
“เฮ้ย ฮยอกแจ!” จุนซูร้องลั่นเมื่อจู่ๆ เจ้าเพื่อนหน้าไก่ดันวิ่งเร็วจี๋ออกนอกร้านไปทิ้งให้เขานั่งงงเป็นไก่ตาแตก แถมวิ่งออกไปตัวเปล่า ข้าวของก็ไม่เอาไปสักชิ้น
จุนซูได้แต่ถอนหายใจก่อนจะยื่นเงินค่าแก้วให้พนักงานที่ดูตกใจไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มพยายามหอบสัมภาระทั้งหมด หันไปขอโทษพนักงานอีกครั้งก่อนจะเดินตามเพื่อนรักออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“อะไรของเขานะ...” เด็กหนุ่มโต๊ะข้างๆ พึมพำออกมาหลังจากความวุ่นวาย เขาตวัดสายตากลับไปมองเพื่อนรักที่ยักไหล่มาให้จากอีกฝากโต๊ะก่อนจะยกยิ้ม “...หรือว่านายไปโปรยเสน่ห์ใส่เขาหรือไง ซีวอน?”
ซีวอนหัวเราะเบาๆ ดวงตาคมกริบเป็นประกายเจิดจ้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย คยูฮยอน”
“ถ้าดงเฮมาได้ยินนายพูดแบบนี้นายโดนด่าจนหูชาแน่ นายก็รู้...เจ้าปลานั่นมันชอบเหวี่ยง” คยูฮยอนเอ่ยพาดพิงไปถึงเพื่อนรักอีกคนก่อนจะนิ่งไปนิดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ริมฝีปากได้รูปเผยรอยยิ้ม น้ำเสียงต่อมากลั้วหัวเราะจนปิดไม่มิด “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้...เมื่อวานฉันคุยโทรศัพท์กับหมอนั่น แล้วได้ยินเรื่องอะไรตลกๆ”
เด็กหนุ่มเว้นช่วงคล้ายจะให้คนรอฟังตื่นแต้น ซีวอนเพียงเลิ่กคิ้ว แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้คนอยากเล่าอยู่แล้วมีกำลังใจเล่าต่อ “ดงเฮมันเล่าว่าญาติมันจากบ้านนอกย้ายมาเรียนที่โซลแล้วมาอยู่บ้านมัน ทีนี้...เหมือนไปทะเลาะอะไรกันสักอย่างเจ้าหมอนั่นก็ต่อยดงเฮซะหมดสภาพ”
คยูฮยอนหัวเราะอีกครั้ง “ตอนแรกฉันฟังก็นึกว่าเป็นอันธพาลตัวใหญ่ๆ ชอบหาเรื่อง แต่ดงเฮมันบอกว่าหมอนั่นตัวเท่ามัน แถมตัวบางกว่า ขาวกว่า ฉันก็งงๆ ทีนี้ ...ประเด็นมันอยู่ที่เมื่อเช้า...”
เด็กหนุ่มคนเล่าหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ “สองคนนั้นก็มีเรื่องกันอีก แต่ดงเฮมันบอกว่า ...มันจับได้ว่าไอ้ญาติมันน่ะ...เป็นเกย์”
ซีวอนขำพรืด ตอนแรกเขาก็กังวลแทนเจ้าปลาปากมากนั่นอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ไหงถึงไปบอกว่าคู่กรณีเป็นเกย์ไปได้?
คยูฮยอนทวนความจำด้วยความสนุกสนาน “มันบอกว่าเมื่อเช้าทะเลาะกันอีก แล้วอีกฝ่ายขู่จะปล้ำมัน...มันเลยโพล่งไปว่าหมอนั่นน่ะเป็นเกย์ ไอ้เจ้านั่นก็เลยฉุนที่ถูกจับได้ เลยตบตีกันไปอีกยก ดงเฮโมโหใหญ่ มันบอกว่าเมื่อคืนมันล็อคห้องเพราะกลัวอีกฝ่ายลอบฆ่า แต่คืนนี้มันบอกจะไม่ล็อค...มันบอกว่าจะรอให้หมอนั่นปีนเข้ามาหาแล้วปล้ำกลับซะเลย”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะประสานเสียงกันโดยไม่ได้นัด ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าปลาเพื่อนรักน่ะฤทธิ์มากขนาดไหน ท่าทางคราวนี้จะได้คู่ปรับที่แสบไม่แพ้กัน
“แล้วเจ้าคู่ปรับนั่นชื่ออะไรล่ะ?” ซีวอนล่ะอยากจะเห็นหน้าคนที่ปราบดงเฮสักครั้ง
คยูฮยอนนิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนพยายามนึก “ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อฮยอกแจนะ...”
แล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน...ดวงตาคมกริบของซีวอนตวัดไปมองโต๊ะข้างๆ โดยอัตโนมัติ ถ้าจำไม่ผิด...เหมือนเจ้าคนที่วิ่งออกไปตอนแรก เพื่อนของหมอนั่นจะตะโกนเรียกชื่อฮยอกแจไม่ใช่เหรอ?
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้มั้ง...ชื่ออาจะแค่ซ้ำกัน โลกมันคงไม่กลมขนาดนั้นหรอก” คยูฮยอนเหมือนรำพึงกับตนเอง ก่อนจะตัดสินใจถามคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างใคร่รู้ “นายได้มองรึเปล่าว่าหมอนั่นหน้าตาเป็นยังไง?”
ร่างสูงพยักหน้า “ฉันมองแค่แวบเดียว จำได้แค่ว่าผิวขาว...ขาวมากๆ ตัวผอมๆ ปากแดงๆ หน้าเอ๋อๆ หน่อย”
แล้วก็เงียบกันไปอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
...โลกมันคงไม่กลมขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?
TBC^^
แต่งไปแต่งมาเริ่มไม่มั่นใจ-*-เรื่องนี้มันวอนฮยอกหรืออึนเฮกันแน่เนี่ย-*-
ชอบหรือไม่ชอบยังไงก็บอกกันด้วยนะคะ ไม่บอกไรท์เตอร์ก็ไม่รู้นะคะ กับแฟนฟิคเรื่องแรกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
ไรท์เตอร์ไม่ขออะไรมากเลย แค่คอมเม้นท์เท่านั้น มามีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องกันนะคะ สำหรับคนที่เคยอ่านเรื่องที่เราเขียนจะพบได้ว่าเราเป้นคนที่บ้าจี้มาก-*- สามารถเปลี่ยนพล็อตตามกระแสอย่างง่ายดายเมื่อโดนสปอย
แถมเคยแต่งเป็นแนวบรรยายจากตัวละครเดียวแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่มั่นใจเลยค่ะ แต่เพราะตอนนี้อยู่ในสภาวะรัก หลง เคลิ้มกับฮยอกอย่างแรงงงงง โฮกกกกก ผู้ชายอะไรน่ารักระยะสุดท้าย อร้ายยยยย
ปล.ใครเห็นผมทรงใหม่คุณนายอีบ้างคะT^T ไม่ไหวจะเคลียร์ ละเหี่ยใจเกินทน
ความคิดเห็น