ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate chain[yaoi]

    ลำดับตอนที่ #17 : Fate chain 6.1 - หนทางสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 54


    Fate chain













    ตอนนี้โยกำลังรู้สึกอับจนหนทาง...

    เด็กหนุ่มวางผ้าขนหนูพาดไว้บนกะละมังเล็กๆ พลางถอนหายใจเฮือก ดวงตาคมเพ่งมองใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ของเพื่อนรักที่หายตัวไปนานนับเดือน ร่างนั้นนอนหอบหายใจระรวย ใบน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมานซึ่งโยไม่ค่อยแน่ใจว่ามันมาจากการป่วยอย่างเดียวรึเปล่า...เขาเม้มริมฝีปากแล้วขยี้หัวตัวเองแรงๆ

    สภาพของเรียวที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็นเหมือนคนไร้วิญญาณ...ในแว่บแรกที่เห็น เขาแทบจำอีกฝ่ายไม่ได้ เรียวประคับประคองมารดาซึ่งน้ำตาไหลชุ่มแล้วพร่ำเพ้ออะไรไม่ได้ศัพท์ หากเจ้าตัวกลับทำหน้าเหมือนคนไม่มีความรู้สึก ใบหน้าที่เขาจำได้ว่ามักมีรอยยิ้มเสมอ...กลับเฉยชา ราบเรียบ ว่างเปล่า และไร้หัวใจ

    เมื่อเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ เรียวก็เพียงเงยหน้าขึ้นมองเขา...ก่อนร่างนั้นจะทรุดฮวบ เขาแทบคว้าไว้ไม่ทัน

    แม่ของเขาอาสาพาคุณนาเดชิโกะไปดูแล และทิ้งเรียวไว้ภายใต้การดูแลของโย เจ้าเพื่อนรักของเขาไข้ขึ้นสูง...เหงื่อไหลโทรมกายจนเขาตัดสินใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ทันทีที่ปลดกระดุมเสื้อ โยก็รู้สึกเหมือนโดนกระชากลมหายใจ เขาจ้องมองรอยแดงช้ำที่กระจัดกระจายทั่วแผ่นอก เด็กหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตา...แต่พอเขาถอดกางเกงและเห็นรอยเลือดแห้งๆ เกาะบริเวณต้นขาด้านในของเพื่อนรัก เขาก็รู้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    เรียวโดนข่มขืน

    โยไม่อยากจะเชื่อ แต่หลักฐานที่ปรากฏก็ฟ้องชัดว่ามันเป็นเรื่องจริง...เขารู้สึกมึนงงและโกรธแค้นไปพร้อมๆ กัน เรียวไม่ได้เป็นเกย์และไม่ได้ชอบผู้ชาย เขารู้จักเพื่อนรักดี การถูกบังคับขืนใจแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับฆ่าเรียวทั้งเป็น

    แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่โยยังสงสัย...

    ฮึก...ขอโทษ ริมฝีปากแดงจัดพร่ำเพ้อออมาไม่รู้สติ มันไม่ใช่คำแรกที่หลุดออกมาจากปากเรียว... อึก...ยอมแล้ว ได้โปรด...

    เรียวที่แสนจะใจแข็งหายสาบสูญไปแล้ว...ตอนนี้เพื่อนรักของเขาไม่ต่างอะไรกับกระจกร้าวๆ ที่ต่อไว้ด้วยกาวหยาบๆ แค่กะเทาะเบาๆ ก็พร้อมจะพังพินาศ แหลกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ

    โยโกรธแค้น...เขาโกรธแทนเรียว สำหรับเขาเรียวคือเพื่อนรักที่เขาสนิทและไว้ใจที่สุด ถ้าเขารู้ว่าใครทำให้เรียวเป็นแบบนี้ เขาไม่มีทางปล่อยมันไว้แน่!

    เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เรียวหายตัวไปดื้อๆ จำได้ว่าก่อนจากกัน เรียวบอกเขาว่าจะไปอยู่กับเพื่อนแม่ หรือว่าไอ้เพื่อนแม่คนนั้น...

    โย... เสียงแหบเครือดึงโยออกมาจากห้วงความคิด

    เด็กหนุ่มรีบเข้าไปประคองคนป่วยที่พยายามจะยันกายลุกขึ้น ใบหน้าของเรียวยังซีด เหมือนจะไม่ได้ดีขึ้นเลย รีบตื่นขึ้นมาทำไม นอนต่อเถอะ เขาเอ่ยเสียงดุ

    เรียวมองหน้าเขา ดวงตาคู่นั้นเรียบนิ่งไร้ประกายแม้มุมปากจะยกยิ้ม ฉันไม่เป็นอะไร

    ไม่เป็นบ้าอะไร! นายป่วยจนเป็นลมไปหน้าบ้านฉันยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก เขาตีหน้าผากเจ้าคนดื้อเบาๆ นอนซะ...นายดูไม่ได้เลยตอนนี้ เหมือนศพไม่มีผิด...

    แม่ล่ะ... เรียวยังดึงดันจะไม่นอนแม้เพื่อนรักจะจ้องตาแทบถลน

    แม่ฉันดูแลให้อยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก โยโกหกคำโต เพราะเมื่อห้านาทีก่อนเขายังได้ยินเสียงอาละวาดของ วาคาบะ นาเดชิโกะมาจากห้องข้างๆ นายควรจะนอนให้มากๆ หรือว่าหิว? กินอะไรรองท้องไหม?

    ฉันไม่หิว...ขอบคุณมากนะโย พูดจบเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงก็เบียดซุกเข้ากับผ้าห่มอย่างว่าง่าย

    เรียวเปลี่ยนไปจริงๆ...โยยอมรับอย่างขมขื่น เรียวที่เขารู้จักมักจะพูดจาโพงพาง โวยวาย แต่ก็เป็นที่รักของคนรอบด้าน ท่าทางเปิดเผยจริงใจ สดใสเหมือนดวงตะวัน แต่นี่...คนที่ท่าทางอมทุกข์ตลอดเวลาคนนี้เป็นใครกัน? เขาเห็นว่าดวงตาของเรียวยังแดงจัดและบวมช้ำ อะไรเป็นสาเหตุให้คนที่เข้มแข็งแบบเรียวเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้?

    เด็กหนุ่มอยากถามใจจะขาดแต่ก็ต้องกลั้นใจไว้ เขาคิดว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะถาม...เรียวดูบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ เขาว่าสาเหตุมันไม่ได้มาจากการถูกข่มขืนอย่างเดียว มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เด็กหนุ่มพยายามครุ่นคิดและวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่...

    เขาคงไม่คาดคิดว่าเรื่องจริง...น่ากลัวจนเขาจินตนาการไปไม่ถึง

















     

     

     

     

    เป็นห่วงรึไง?

    ไทระถามอย่างอดไม่อยู่เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วยแล้วเห็นคุณชายทาคาซึกินั่งกุมมืออยู่เพียงลำพัง วาคาบะ เรียวน่ะ...นายห่วงเขาเหรอ?

    ทาคาโตะไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตาเรียวรีเบื้องหลังกรอบแว่นเหลือบมองเขาเพียงครู่ ก่อนจะเบือนกลับไปตามเดิม

    ปากแข็งจริงนะ... ไทระทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย ริมฝีปากได้รูปบิดยิ้มเยาะ จะไม่ถามรึไง...ว่ารสชาติของหมอนั่นน่ะ เป็นยังไง?

    คำถามยียวนพุ่งตรงไปหาเป้าหมาย ทาคาโตะระบายลมหายใจ เอ่ยพูดแม้ไม่ได้หันไปมอง อยากบอกก็พูดมาเถอะ

    คนฟังยิ่งยิ้มกว้างอย่างสมใจ แล้วอยากรู้ไหมล่ะ?

    ดวงตาสีดำมืดหันกลับมาสบกับไทระตรงๆ ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกำลังระอา หากเรียกให้คนมองหัวเราะแผ่วๆ ในลำคอ โอเค บอกก็ได้ เด็กหนุ่มชูสองมืออย่างยอมจำนน


     

    ฉันจะไม่กินวาคาบะ เรียวอีกแล้ว...ครั้งเดียวก็มากเกินพอ


     

    ดูเหมือนคำตอบที่ได้จะผิดคาด... ทาคาโตะเลิ่กคิ้ว มองท่าทางอารมณ์ดีของไทระอย่างประหลาดใจ แย่ขนาดนั้น?

    เกิดความเงียบครอบคลุมชั่วอึดใจ ดวงตาของคนเล่าเป็นประกายวาววาม แลบเลียริมฝีปากเมื่อไพล่คิดถึงร่างที่ได้ลิ้มลองเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา

    ดีต่างหากล่ะ...ดีเกินไป... มุมปากสวยยกยิ้ม ไม่หวานจนเลี่ยน ถ้าเปรียบก็คงจะเหมือนกาแฟ หอม ละมุน แต่ขมเฝื่อนติดปลายลิ้น กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ...

    กาแฟงั้นเหรอ? เป็นคำเปรียบเปรยที่แปลกประหลาด ทาคาโตะมองไทระที่จ้องตอบเขา หมอนั่นยักไหล่ ท่าทางสบายๆ คล้ายกำลังรอดูเรื่องสนุกๆ

    ก็ไม่แน่ใจ...แต่ว่า... ไทระวรรคช่วง

    กาแฟน่ะ เป็นยาเสพย์ติดอย่างอ่อน...ฉันได้กินแค่ครั้งเดียวเลยไม่แน่ใจว่าไอ้ที่กินไปน่ะ กินกาแฟ หรือสูบกัญชากันแน่...

    ทาคาโตะมองคู่สนทนานิ่งเงียบอยู่อึดใจ เด็กหนุ่มระบายลมหายใจหนัก ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น ไทระเบ้ปากอย่างเอือมระอา

    ไม่สนุกเลย...นายไม่สนใจจริงๆ งั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่เขามั่นใจเต็มที่ว่าทาคาซึกิน่ะถูกใจวาคาบะจะตาย แต่ไอ้ท่าทางเย็นชานี่มันอะไร?

    สน ทาคาโตะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่ได้หันกลับไป แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อฉันตัดสินใจปล่อยเขาไปแล้ว...ของที่ฉันปล่อยไป ฉันจะไม่มีวันตามคืน

    แต่ถ้าเขากลับมาเองล่ะ? ไทระเอ่ยอย่างนึกสนุก เขารู้สึกถึงรอยยิ้มของทาคาโตะได้แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้หันหน้ามา

    ...ก็รอดูกันต่อไป ทิ้งปริศนาไว้ให้ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าออกจากห้องทิ้งให้ไทระนั่งยิ้มอยู่คนเดียว เด็กหนุ่มหัวเราะ ลูบคางอย่างใช้ความคิด

    พูดแบบนี้...หมอนั่นก็กำลังเปิดทางให้เขาน่ะสิ

     










    *************








     

    โยกำลังกลุ้มใจ

    ยิ่งพอเหลือบมองเรียวที่คุยหัวเราะอย่างร่าเริงกับพ่อของโย เด็กหนุ่มก็ยิ่งกลุ้มใจหนักจนอยากจะเอาหัวมุดชามข้าวตายไปเสียเดี๋ยวนั้น มองเผินๆ ท่าทางของเรียวดูมีความสุขกับบทสนทนา แต่ถ้ามองลงไปในดวงตา...มันไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย เพื่อนสนิทอย่างเขารู้ดี เรียวแค่ทำเพื่อให้พ่อของเขาสบายใจ อาจจะรวมถึงเขาด้วย หมอนั่นแค่ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง เรียวไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

    “ผมอิ่มแล้วครับ” โยวางตะเกียบอย่างหมดอารมณ์ เขาเห็นท่าทางเคี้ยวข้าวหมือนเคี้ยวยางของเรียวแล้วก็ให้เซ็งแทน หมอนั่นรีบวางตะเกียบตามเขาทันที คงจะอยากวางตะเกียบนานแล้วแต่ไม่กล้า

    “อิ่มแล้วเหรอเรียว? แม่ว่าทานอีกหน่อยดีไหม? ผอมลงไปตั้งเยอะนะ” แม่ของโยเอ่ยอย่างเป็นห่วง เธอเห็นเรียวมาตั้งแต่เด็ก รักเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง

    “ผมอิ่มแล้วครับ” เรียวค้อมศีรษะ ระบายยิ้มอบอุ่นชวนให้โยหวั่นใจ “ได้เวลาทำงานแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

    โยรีบคว้ากระเป๋าเดินตามเพื่อนรักออกไปด้วย ทันทีที่เดินออกมาจากตัวบ้าน รอยยิ้มของเรียวก็ระเหยหายไป เรียกให้คนมองถอนหายใจหนักๆ

    “ฉันว่านายล้มเลิกความคิดจะย้ายออกไปจากบ้านฉันดีกว่า เรียว...ตอนนี้นายแทบจะเหมือนศพอยู่แล้วนะ อย่าทำแบบนี้เลย” น้ำเสียงของโยทั้งบังคับและอ้อนวอน

    เกือบเดือนแล้วที่เรียวมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา และเป็นเดือนที่เรียวทำงานไม่ได้หยุดพัก...เพื่อนรักจะตื่นก่อนเขาเพื่อมาช่วยแม่ทำอาหาร และออกจากบ้านพร้อมเขาเพื่อไปทำงาน ใจจริงโยอยากจะไปช่วยเพื่อนทำงานเหมือนกัน แต่ติดที่ว่าเขาต้องไปเรียน ตอนนี้สิ่งที่ทำได้มีแค่ช่วยเรียวทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเท่านั้น แถมก็ช่วยได้ไม่เต็มที่เพราะเขาต้องไปซ้อมดนตรี โยทั้งกลุ้มทั้งหงุดหงิดจนแทบจะเป็นบ้า

    ถ้าอยู่กับเขาสองคน เรียวพูดนับคำได้...แถมแต่ละเรื่องที่พูดออกมาก็ทำเอาโยโกรธจนสมองจะระเบิด ทั้งเรื่องยืนกรานจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ทั้งเรื่องไม่ยอมให้เขาไปทำงานด้วย เขารู้ว่าเรียวเกรงใจ...แต่ตอนแรกเรียวไม่ใช่คนแบบนี้ ไม่ใช่คนอมทุกข์เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบคนเดียวแบบนี้ ก่อนที่เรียวจะหายตัวไป เขาก็เคยไปทำงานพิเศษแล้วเอาเงินไปช่วยเรียวหลายครั้ง แต่พอเรียวกลับมาคราวนี้...กลับพยายามปฏิเสธทุกความช่วยเหลือของเขา โยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม?

    “ฉันหาห้องเช่าได้แล้วนะ...อาทิตย์หน้าคงย้ายออก” ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งบ่นไปแหม่บๆ เรียวกลับพูดเรื่องน่าหงุดหงิดออกมาได้ไม่ละอายปาก โยตวัดมองเพื่อนรักอย่างหงุดหงิด ก่อนจะประชดอย่างอดไม่อยู่

    “แล้วมีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลแล้วรึไง?” พูดจบก็นึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาติดหมัด ร่างของเรียวเกร็งเครียด ยิ่งทำให้คนพูดรู้สึกผิด “ขอโทษนะเรียว...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ...”

    “นายไม่ต้องกังวลหรอก” ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นแต่น้ำเสียงคนพูดกลับเจือไปด้วยความกังวลเสียเอง “ฉันหาทางออกได้ ไม่ต้องห่วง”

    โยอยากเถียงใจจะขาดแต่ก็รู้ว่ามันไม่สมควร เขาระบายลมหายใจพลางทึ้งผมตัวเองระบายอารมณ์ “ตามใจนาย ฉันไปเรียนล่ะ!” พูดจบก็สะบัดตัวเดินจากไป

    เรียวยิ้มขื่นกับตนเอง มองแผ่นหลังของโยที่เดินจากไปแล้วเม้มริมฝีปาก

    เขารู้ดีแก่ใจว่าโยเป็นห่วงเขามากแค่ไหน ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของโยก็ดีกับเขามาก แต่ว่า...เขาไม่อยากทำตัวเป็นภาระของใคร ทุกเรื่องพวกเขาแม่ลูกเป็นคนก่อ ไม่ควรที่จะดึงคนอื่นมาร่วมด้วย

    โยอาจจะไม่รู้ แต่เขาเคยแอบได้ยินพ่อแม่ของโยคุยกันเรื่องที่ว่าคุณพ่อของโยอาจโดนปลดออกจากงาน แล้วเขาจะไปหน้าด้านขออยู่ต่อได้ยังไง? แค่นี้เขาก็ซาบซึ้งใจจะแย่แล้ว ทั้งเรื่องที่พ่อของโยออกตัวจะรับเขามาอุปการะ หรือเรื่องที่จะช่วยออกค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งเรื่องที่เพื่อนรักของเขาพยายามจะไปทำงานพิเศษช่วยเหลือเขาทั้งๆ ที่วันหนึ่งแค่เรื่องเรียนกับซ้อมดนตรีก็ช่วงชิงเวลาว่างของหมอนั่นจนแทบหมด ...แต่เขารู้ว่าเงินที่บ้านนี้จะนำมาช่วยเหลือเขาเป็นเงินเก็บสำหรับอนาคต เขาไม่กล้าและไม่หน้าด้านพอที่จะรับ

    ค่าแรงที่เรียวได้มาในแต่ละวันไม่มากเลย แต่สำหรับคนที่จบแค่ ม.ต้น แบบเขาได้เท่านี้ก็ดีถมเถ เรียวทุ่มแรงใจและแรงกายทั้งหมด ทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เงินที่ได้มาในแต่ละเดือน แม้จะไม่ตัดค่าใช้จ่าย ก็แทบไม่พอจะจ่ายค่ารักษาในโรงพยาบาลของแม่ด้วยซ้ำ...

    โรคของแม่นับวันจะยิ่งทรุด แถมตอนนี้มีอาการทางประสาทร่วมด้วยก็ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงเป็นเท่าตัว แม่เอาแต่เหม่อ บางทีก็ร้องไห้ เล่นเอาเรียวเครียดจนแทบกินไม่ได้ หมอบอกเขาว่าแม่มีอาการทางประสาทอ่อนๆ คล้ายๆกับหวาดระแวงผสมกับวิตกกังวล ตัวเขาที่เป็นลูกได้แต่พยักหน้ารับ นึกสมเพชตัวเองว่าเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าแม่เลย เพียงแต่ว่าเขาเก็บความกลัวและหวาดหวั่นให้ลึกสุดใจ

                    ข่าวร้ายที่สุดคือ...แม่อาจจะต้องผ่าตัด

                    แต่จะผ่าตัดเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะหาเงินมาได้ครบเมื่อไหร่เท่านั้น เนื่องจากอาการของแม่ทรุดเต็มที หมอก็บอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขาเร่งมือไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ทันเวลา แต่เรียว...ไม่รู้จะหาเงินยังไงแล้วจริงๆ

                    เขาทำงานจนแทบเป็นบ้า แม้จะอยากรับเงินจากพ่อของโยใจจะขาดแต่เขาไม่กล้าพอ ครอบครัวของโยเป็นคนสำคัญคนท้ายๆ ที่เขาเหลืออยู่ ไม่ควรจะมาร่วมรับผิดกับสิ่งที่เขาก่อ แต่จิตด้านมืดก็ร้องระงมให้เขาเห็นแก่ตัว เรียวทั้งสับสนและหวาดกลัว

    เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขาก็เป็นแค่เด็กอายุ 16 ปีคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย เมื่อกะเทาะเปลือกนอกที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งออกไปเขาก็เป็นแค่ไอ้บ้าที่ไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้นเอง...

    “จะกลับแล้วเหรอวาคาบะ?” คาสึกิ หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่งถามขึ้นตอนเจอกันหน้าร้านพอดี เขาเพียงพยักหน้ารับ อีกฝ่ายแย้มรอยยิ้มน้อยๆ “แล้วหมอนั่นไม่มารับเหรอ?”

    เขารู้ว่าคาสึกิหมายถึงโย ปกติโยที่เลิกงานก่อนหน้าเขาจะมารับเขาไปทำงานพิเศษต่ออีกที่เพราะกลัวว่าเขาจะแอบชิ่งหนีออกจากบ้านแล้วก็รีบตาลีตาลานไปซ้อมวงก่อนจะไปรอเขากลับบ้านพร้อมกัน ซึ่งไม่จำเป็นเลยสักนิด...เพราะถ้าเขาจะออกจากบ้านโย ต่อให้ขวางแค่ไหนเขาก็จะย้ายออกไปอยู่ดี

    “ไม่รู้...” เรียวตอบตามตรง เมื่อเช้าเขาทะเลาะกับโยไปนิดหน่อย เป็นไปได้ว่าหมอนั่นน้อยใจจนงอนไม่ยอมมารับ และเขาค่อนข้างรู้สึกดีที่เป็นแบบนั้น...โยไม่จำเป็นต้องมาทรมานตัวเองเพื่อเขาเลย ไม่จำเป็นเลยสักนิด

    คาสึกิเหลือบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายนิดหน่อยก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ “หมอนั่น...เป็นแฟนนายเหรอ?”

    เรียวเลิ่กคิ้ว มองหน้าตาจริงจังของคนถามแล้วก็ยิ่งงุนงง “เป็นเพื่อนกัน” ดวงตาของคาสึกิเป็นประกายเหมือนจะพึงพอใจและไม่เชื่อไปในคราวเดียวกัน

    “เพื่อนกันต้องคอยมารับมาส่งกันขนาดนี้ด้วยรึไง?”

    “ใช่” เด็กหนุ่มรับง่ายๆ เล่นเอาอีกฝ่ายเม้มปากอย่างขัดใจทันที แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เรียวต้องเก็บมาใส่ใจ แค่นี้เรื่องเครียดก็มากพอจะทำให้เขาเป็นบ้าตายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

    แต่คาสึกิไม่เลิกราง่ายๆ หมอนั่นคว้าข้อมือเขาแน่น เรียกดวงตาของเรียวให้ช้อนมอง คาสึกิอึกอัก ดวงตาที่มองประสานกับเขาไหวระริก “เรียว...คบกับฉันได้ไหม?”

    คบ...?

                    แต่ดวงตาที่แฝงประกายร้อนแรงก็ทำให้เขาเข้าใจได้ไม่ยาก มันไม่ต่างอะไรกับดวงตาของฟูมิโนะซาโตะ...น่ารังเกียจพอๆ กัน “ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย”

    หมอนั่นทำหน้าไม่เชื่อ “อย่าปฏิเสธฉันสิเรียว...ฉันรู้ว่านายคบกับไอ้หมอนั่นอยู่ แต่ให้โอกาสฉันเถอะ รู้ไหม... แค่เห็นนายฉันก็แทบคลั่งแล้วนะ...”

    ใบหน้าเคลิ้มฝันน่าขยะแขยง ดวงตาหวานเชื่อมก็เลวร้ายพอๆ กัน

    เรียวมองอย่างสงบ เขาสงบจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ เด็กหนุ่มหลุบตามองฝ่ามือสั่นระริกของฝ่ายตรงข้ามที่ดึงมือของเขาไปทาบไว้ที่อก ส่งผ่านเสียงระรัวของหัวใจมาทางฝ่ามือ ได้โปรด...

    แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า แรกเริ่มมันยังเจือจางบางเบา แต่พอมองลึกลงไปในดวงตาลึกล้ำคลั่งไคล้ มันก็ยิ่งชัดเจนจนเรียวหลุดปาก

    เท่าไหร่?

    หืม? ฝ่ายตรงข้ามหยุดชะงัก มองเรียวที่ยังคงทำหน้าสงบราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง

    ถ้าฉันคบกับนาย จะให้เท่าไหร่?

    คำพูดของเขาพุ่งตรงเหมือนคมหอก ทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามจนผงะถอยหลัง แต่เรียวยังคงนิ่ง เขามองคาสึกิอย่างจริงจัง เห็นฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงจนพูดไม่ออกก็ให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

    น...นายขาย นะ...นายคาสึกิปากคอสั่น ไม่เห็นเข้าใจว่าจะตกใจอะไรหนักหนา เป็นธรรมดาของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไม่ใช่หรือ?

    คิดได้ว่าให้เท่าไหร่ ค่อยมาตอบแล้วกัน

    ขายอะไรกัน? น้ำเสียงกระชากห้วนเรียกให้คาสึกิผงะถอยหลัง หมอนั่นทำหน้าตื่น มองเรียวที่ใบหน้าราบเรียบแล้วตวัดกลับไปมองที่โย ปะทะกับสายตาคมปลาบเหมือนจะแทงทะลุ ก็รีบหมุนตัววิ่งจากไปอย่างตื่นตระหนก

    เรียวระบายลมหายใจก่อนจะเงยมองหน้าเพื่อนรัก พอเห็นท่าทางโกรธจนแทบจะควันออกหูเขาก็เลิกที่จะหุบปากแล้วเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับรั้งแขนเขาไว้

    “เรียว เมื่อกี้หมายความว่าไง!” เรียวมองท่าทางโมโหจนเจียนระเบิดของโยด้วยท่าทางครุ่นคิด ไม่น่าประหลาดเลยที่คาสึกิจะคิดไปว่าเขากับโยมีอะไรพิเศษต่อกัน ในเมื่อโยเป็นพวกขี้กังวลแล้วก็ช่างหวง และห่วงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เขาดูออกว่าในดวงตาของโยไม่มีประกายตาที่น่ารังเกียจแบบนั้น ไม่มีความปรารถนาซ่อนเร้น มีเพียงความเป็นห่วงอย่างบริสุทธิ์ใจเพียงอย่างเดียว

    “หมายความตามที่พูด” เขาตอบเสียงเรียบ บิดข้อมืออกจากการเกาะกุม “ฉันจะรีบไปทำงานพิเศษต่อ ขอตัว”

    “เรียว นายมันบ้าไปแล้ว!” โยตะโกนด้วยท่าทางโมโหแบบเลือดขึ้นหน้า “นายเป็นบ้าอะไร คิดโง่ๆ แบบนี้ได้ยังไง!!

    โง่?

    โอเค เรียวยยอมรับว่ามันเป็นความคิดที่โง่และน่าสมเพช ทำให้เพื่อนอย่างโยต้องผิดหวัง แต่เขามีทางเลือกหรือไง? ไม่มาเป็นเขา...ไม่โดนไล่ต้อนจนสุดทาง

    ใครจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไง

    วูบหนึ่งที่เรียวนึกถึงหน้าของทาคาซึกิ ทาคาโตะ ใบหน้าราบเรียบและดวงตาดำมืดที่โผล่มาจากซอกลึกของความทรงจำ ความเจ็บปวดและว่างเปล่าฉายชัดในหลุมดำมืดมิดคู่นั้น บางที...เขาคิดว่าเขากับทาคาซึกิคล้ายกัน ในมุมที่แตกต่าง พวกเขาคล้ายกันอย่างมาก

    พวกเขาเจ็บปวดจนไม่อยากจะยืนอยู่บนโลก แต่ก็เหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ด้วยเส้นไหมบางเบาและอุปโลกน์ขึ้นมาเองว่ายังเป็นที่ต้องการ



    พวกเขาทั้งคู่ว่างเปล่า...สกปรก และบิดเบี้ยวพอๆ กัน




    TBC

    ไม่มีอะไรจะแก้ตัวที่หายหัวไปนับครึ่งปี-*-
    เอาเป้นว่า นี่เป้นตอนสุดท้ายของภาคแรก ตัดมาให้อ่านครึ่งตอนก่อน จุดพีคสิตอนหน้า
    ใครอยากอ่านเรทพระนาย อดใจไว้นะคะ ตอนหน้าฟอร์ชัวร์ หุหุ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×