ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเวิ่นเว้อไร้หลักประกัน ของ nanda_ray

    ลำดับตอนที่ #1 : แนวเลิฟคอเมดี้ตลาดๆ กับหนุ่มข้างห้อง : Man next door is . . .!!!

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 57


    เรื่องนี้เป็นแนวตลาดบ้านๆ ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ กับพ่อหนุ่มสุดฮอทหล่อลากและไอ้หนุ่มคนดีที่แสนจืดชืดเหมือนแกงจืดลืมปรุง

    อารมณ์แบบว่า เบื่อนายเอกแบ๊วๆแล้ว ใสๆซื่อๆ ไปวันรอถูกหมาป่าจับกิน มาดูพ่อหมาป่าถูกแกะกินกันบ้าง (หืม????)







     

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    Man next door is . . .!!!

     

    หยุด. . .เถอะครับคุณคนข้างห้อง!!!

     

     

     

     

     

    Door 0

                    “อ๊า พี่แฟงค์ อ๊ะ ฮึก ฮื้อออ”

                    ตึง ตึง ตึง!

                    ผมรู้สึกเหมือนเส้นประสาทที่สมองกำลังกระตุก พยายามข่มอกข่มใจ ปลอบตัวเองว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงผมก็จะได้ออกไปจากหอบ้านี่ ไม่ต้องมาทนฟังเสียงประโลมโลกพวกนี้อีกต่อไป!

                    ผมโยนเสื้อผ้าที่พับเป็นระเบียบใส่กระเป๋าลวกๆ ซึ่งขัดกับนิสัยปกติของตนเอง แต่เพราะไอ้เสียงเตียงดังเอี๊ยดๆ แถมกระแทกกับกำแพงห้องผมดังกึกๆ มันหลอนประสาทจนผมอยากจะบ้าตาย เลยจำใจยัดทุกอย่างลงอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อรูดซิบกระเป๋าเดินทางปิดได้ผมจึงพรูลมหายใจออกมาแล้วดันกรอบแว่นตาให้ขึ้นไปตั้งตรงบนดั้งจมูก

                    “พี่แฟงค์ อ๊าาาาาาาาาาาา”

                    เออ เอากันเสร็จสักที!

                    ผมสบถอย่างหัวเสีย เหลือบมองกำแพงห้องด้วยสายตาจงเกลียดจงชังคล้ายจะสามารถส่งลำแสงจากดวงตาแผดเผาอีกฝากห้องให้เป็นจุล!

                    หลังจากเงี่ยหูจนแน่ใจว่าอีกห้องคงไม่มีต่อยกสอง เอ่อ หรือสามไม่ค่อยแน่ใจ ผมก็ย้ายตัวเองออกมาจากห้อง แล้วเคาะประตูห้องข้างๆ ที่เพิ่งเกิดสงครามโรมรันกันกลางวันแสกๆ ด้วยหัวใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวัง

                     เอาวะ...อย่างน้อยนี่ก็ครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสีย!

                    แอ๊ด...

                    “ต...ตูน เราจะ...” น้ำเสียงตะกุกตะกักของผมเพิ่งคายได้ไม่ถึงประโยคเสียงผมก็สะดุดหยุดลง รอยยิ้มบนใบหน้ามลายหายไปเมื่อมองชัดแล้วว่าใครเป็นคนมาเปิดประตูห้อง

                    ผมดันกรอบแว่นขึ้นขณะจิกตาลงเล็กน้อยอย่างไว้เชิง คนตรงหน้าผมเลิ่กคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเปรยยิ้มหวานหยดแบบที่ตกเด็กหนุ่มๆ สาวๆ มาได้นักต่อนัก

                    “อ้าว ว่าไงน้องข้าว มีอะไรเหรอครับ?” ผมรู้สึกคล้ายเส้นประสาทกระตุกอีกรอบเมื่อได้ยินคำถาม ยิ่งพอใช้สายตามองคนฝั่งตรงข้ามแบบหัวจรดเท้าความหงุดหงิดก็ยิ่งพลุ่งพล่านจนต้องกัดฟันข่มอกข่มใจ

                    คนตรงหน้าตัวพอๆ กับผม อาจจะเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกิน 2-3 เซนติเมตร ซึ่งจัดว่าสูงพอตัวเมื่อมาคิดว่าส่วนสูงของผมก็ปาเข้าไป 187 เซนติเมตรเข้าไปแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ...

                    หมอนั่นอายุประมาณ 20 กว่าๆ แต่ไม่แน่ใจว่า 20 เท่าไหร่คงจะอยู่ในช่วงประมาณ 25-27 ปี ผิวไม่จัดว่าขาวแต่ก็ไม่คล้ำ ดวงตาเรียวรีเหมือนงูพิษ โครงหน้าได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน เอาแบบกำจัดอคติออกไปเลยนะ...ผมว่าไอ้หมอนี่หล่อแบบสมควรโยนมันเข้าคุกข้อหาทำให้ผู้ชายคนอื่นดูต่ำต้อยเวลามันยืนใกล้ๆ ยิ่งพอมายืนตรงหน้าผมในสภาพหอบน้อยๆ ใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมโชว์แผงอกและซิกแพคเป็นลอน แม่งเซ็กซี่กว่าพระเอกหนังโป๊เกย์ที่ผมดูอยู่เมื่อคืนซะอีก โอเค... แต่นี่มันยังไม่ใช่ประเด็นอยู่ดี...

                    ประเด็นมันอยู่ที่

    1. มันออกมาจากห้องของคนที่ผมแอบชอบมาเกือบ 1 ปี

                    2. มันออกมาในสภาพที่ต่อให้ตาบอดก็เดาได้ว่าเพิ่งจะเอากันมา

                    3. เมื่อวันก่อนผมเห็นมันออกมาในห้องทางซ้ายมือของผม ในขณะที่วันนี้มันออกมาจากห้องขวามือ

                    4. คนห้องซ้ายมือคือคนที่ผมเคยแอบชอบเมื่อ 1 ปีก่อน

                    5. เมื่อวันก่อนที่มันเข้าห้องทางซ้ายมือ ผมก็ได้ยินเสียงมันเอากันเหมือนวันนี้

                    6. ข้อสุดท้าย สำคัญมาก...

                    ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!! กูอิจฉามึงโคตร!

                    “ตูนล่ะ...ครับ” ผมข่มใจถามออกไป เสริมคำท้ายนิดหน่อยให้ดูสุภาพขึ้นเมื่อคิดได้ว่าอย่างน้อยมันก็โตกว่าหลายปีแม้ผมจะเกลียดขี้หน้ามันมากก็ตาม

                    มันปรือตาขึ้นก่อนจะยักไหล่น้อยๆ “เดินไม่ไหวน่ะ เพิ่งเอากันเสร็จเมื่อกี้”

                    ไอ้...!

                    ผมกัดฟัน ดวงตาขึงตึงจนเกือบดุ “ต่อให้ตูนเป็นผู้ชาย พี่ก็น่าจะให้เกียรติตูนบ้างนะครับ”

                    หมอนั่นเลิ่กคิ้ว มุมปากยกยิ้มนิดๆ พลางไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาพราวระยับ “น้องข้าวนี่เป็นสุภาพบุรุษจังนะครับ...” มันว่าเสียงเรียบเรื่อย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือประชด “พอดีเมื่อกี้เราเพิ่งออกกำลังกายในที่ร่มกันน่ะ...ตอบแบบนี้โอเคยัง?”

                    แม่ง กวนตีน....

                    ผมหงุดหงิดจนนึกหน่าย ระบายลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะขยับแว่นตา มองคนตรงหน้าด้วยสายตาตรงๆ ไม่หลบเลี่ยง “ช่างเถอะ ถ้าตูนออกมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมฝากบอกตูนด้วยว่าผมจะย้ายออกแล้ว แต่ถ้ามีอะไรก็โทรหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง...”

                    คนตรงหน้าเลิ่กคิ้ว ก่อนขยับยิ้มกว้าง “พี่จะบอกตูนให้ว่าน้องข้าวอยากจีบตูนแต่ไม่กล้าบอกตรงๆ นะครับ”

                    ไอ้....!

                    ผมรู้สึกเหมือนเลือดลมตีกลับ โกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง แถมยังหงุดหงิดที่ถูกจี้ใจดำ รู้สึกเกลียดมันอย่างสุดๆ จนพูดไม่ออก

                    “ผมเปล่า แต่ถ้าคุณอยากบอกว่างั้นก็ตามใจ” นั่นหมายถึง ถ้ามันบอกก็ดีไง ผมจะได้รู้ว่าตูนเต็มใจให้ผมจีบรึเปล่า

                    มันหัวเราะ

                    “เรียกพี่แฟงค์สิครับน้องข้าว”

                    กูไม่เรียกไอ้เหี้ยก็บุญแล้วครับ

                    “ถ้ายังไงผมฝากบอกตูนด้วยนะครับ ไปล่ะครับ” ผมตีมึนก่อนจะยกมือไหว้ แม้จะไม่นึกเคารพมันสักนิดแต่พ่อผมมักสอนเสมอว่ายังไงก็ควรจะไหว้คนที่เหนือกว่าด้วยคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ

                    เมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นมันยังคงมองผม ดวงตาพราวพรายพร้อมยกมือขึ้นกอดอก เอนตัวพิงประตูห้องด้วยท่าทางที่มันคงคิดว่าหล่อมาก “น้องข้าวน่ารักจัง”

                    คราวนี้ผมเลิ่กคิ้วบ้าง มันเอาตรงไหนมองวะว่าผมน่ารัก เอาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง สารรูปหน้าของผมมันไม่มีส่วนไหนตรงกับคำนั้น ไอ้หนุ่มแว่นหนา หัวยุ่ง ตัวก็โตหยั่งกับควายไบซัน

                    “พี่หมายถึงนิสัยน่ะ ไม่ใช่หน้า” มันยิ้มบางๆ

                    ไอ้ห่า มึงจะสื่อว่ากูหน้าตาขี้เหร่ใช่ไหม?

                    ผมดันกรอบแว่นตาขึ้นแล้วตีมึนไม่ตอบสนอง หากมันยังคงไม่ลด ละ เลิก “สนใจลองกับพี่ไหม? พี่เก่งนะ”

                    “ไม่ล่ะครับ ผมกลัวติดเอดส์” ผมหลุดด่ามัน ก่อนจะรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยว่าพูดจาแรงไปรึเปล่าเลยเหลือบมองมันตรงๆ ก็เห็นมันยังยิ้มกว้าง แลดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

                    “ใจร้ายจัง แต่ถ้าอยากลองกับพี่ ติดต่อได้ทุกเมื่อนะครับ สำหรับน้องข้าวพี่ว่างเสมอ” มันขยิบตาแบบที่ดูไม่ออกว่าพูดจริงหรือกะกวนตีนผมกันแน่

                    ผมถอนหายใจอย่างสุดระอา “ไม่ล่ะครับ ผมไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร”

                    “แต่น้องก็อยากได้ตูนนี่”

                    โอ๊ยมัน จึ้ก!

                    มุมปากผมกระตุกหงึก ยังดีที่ผมสูงกว่าเลยจิกมองมันได้อย่างถนัด “นี่คุณยังเก็บแต้มไม่พออีกหรือครับ?”

                    “ขาดน้องข้าวคนเดียวพี่ก็ได้ครบทั้งชั้นแล้วนะ....” ผมชะงัก มองหน้าตายิ้มแย้มไม่ทุกข์ไม่ร้อนของมันแล้วนึกสงสัย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น ชั้นนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเลยนะเฮ้ย แถมจำนวนก็ 6 คน มึงนี่มัน....

                    น่าอิจฉาว่ะ

                    “ใช้มากๆ ระวังเสื่อมนะครับ” ผมพูดพลางก็เหลือบมองเป้ากางเกงมันอย่างหยาบคาย นี่คือหยาบคายสุดแล้วในความคิดผม

                    แต่มันยังเลิ่กคิ้ว มุมปากเหยียดเป็นรอยยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะมองเป้ากางเกงผมบ้าง “แต่ถ้าไม่ใช้ระวังมันจะทู่จนแทงไม่เข้านะครับน้องข้าว”

                    โอ๊ย ไอ้...! มึงรู้ได้ไงว่ากูเวอร์จิ้น!

                    “อ่อ ลืมไป...”

                    มันเว้นช่วง ยื่นหน้ามาใกล้ผมที่ไม่ถอยหนี แต่สบมองมันตรงๆ “แต่น้องข้าว...ต้องเป็นรับให้พี่นะครับ”

                    “ไอ้...!” ผมกลืนคำด่าลงคอ มองหน้ามันแบบโมโห แม้มันจะหล่อลืมโลกแต่สันดานนี่เป็นอะไรที่เกินเยียวยาจริงๆ ให้ตาย!

                    “พี่แฟงค์! ทำไรอยู่คร้าบบบบ!!!” เสียงตูนที่ผมจำได้ขึ้นใจร้องเรียกมันมาจากในห้อง

                    ผมเจ็บปวดใจเล็กน้อย แต่อิจฉามันโคตรๆ ทำไมวะ...คนนิสัยดีแบบตูนถึงได้ตกหลุมพรางคนชั่วแบบไอ้แฟงค์นี่ วันหลังผมจะพาตูนไปไหว้พระ 9 วัดล้างเสนียดจัญไรออกไปให้หมด

                    “อ่า...น้องตูนเรียกแล้ว น้องข้าวยื่นมือมาสิครับ พี่จะเขียนเบอร์ให้” แม่ง...ประโยคต้นกับท้ายโคตรจะไม่ได้สอดคล้องกัน

                    “คุณครับ ผมว่าคุณควรจะดูแลแฟนดีๆ มากกว่าจะมาทำตัว...แบบนี้นะครับ” ผมละคำด่าในช่องว่างพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม “ตูนเป็นคนดีมาก ผมไม่อยากให้ตูนเสียใจถ้ารู้ว่าแฟนทำตัว...แบบนี้” ไอ้ที่ละไว้เป็นคำด่าล้วนๆ

                    มันเลิ่กคิ้วสูงขึ้น เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม “ใครว่าเป็นแฟน? เราแค่สนุกกันเป็นครั้งคราวหรอก...” ราวกับไอ้ที่พ่นออกมาไม่ชั่วพอ มันจึงพูดต่อ “ถ้าน้องข้าวอยากร่วมสนุกก็ติดต่อพี่ได้ มีที่ว่างให้น้องข้าวเสมอ”

                    แม่งวกกลับมาเรื่องใต้สะดือตลอด!

                    คุยกับมันผมรู้สึกเหมือนอายุจะสั้นลงไปอีกสัก 10 ปี ขมับเต้นตุบๆ ด้วยความเครียด ผมผ่อนลมหายใจยาว มองหน้ามันด้วยสายตาระอาใจ

                    “เอาเป็นว่าผมไม่สนใจ และผมต้องขอตัวก่อน หวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกนะครับ”

                    “ใจร้าย...”

                    “ลาขาด” ผมหมุนตัวกลับมาที่ห้องก่อนจะกระแทกประตูปิดดังปัง!

                    ในชั่วขณะไม่ถึง 5 นาทีในตอนที่ผมกลับมาห้องเพื่อรวบรวมข้าวของเตรียมย้ายไปคอนโด เสียงครวญครางจากห้องที่ผมเพิ่งจากมาก็ดังขึ้นราวกับจะตามหลอกหลอน เล่นเอาผมปวดหัวจี๊ด ทั้งหงุดหงิด ทั้งขัดใจจนอยากจะตะโกนด่าดังๆ สักที

                    มันจงใจแกล้งผมชัดๆ!

                    ไอ้เชี้ยเอ๊ยยยยยยย!!!!!!!

                    ชาตินี้ขออย่าให้ได้เจอะได้เจอกันอีกเลย!

                    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×