คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 วังวนแห่งสงคราม
บทที่ 1 วังวนแห่งสงคราม 5 ปีผ่านไป กาลเวลายังหมุนเวียนผ่านไปทุกคืนวัน มีสิ่งของใหม่ๆเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ก็ยังหลงเหลือสิ่งเก่าๆไว้ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง แต่ใครบ้างล่ะที่จะนึกถึงสิ่งพวกนี้ พวกเขารู้จักแต่ความสุขสบาย แต่ในเมืองที่เจริญเหล่านี้กลับไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง ในป่าสีเขียว บรรดาหมู่นกต่างๆบินโผไปตามท้องฟ้า ในป่าที่แสนจะเงียบสงบ .....? "เซรอธ มาช่วยหน่อยดิ พิโกะฤทธิ์มันเยอะว่ะ"เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลหยิกไม่เป็นระเบียบ ในชุดเรียบง่ายสีเทา มีดวงตาสีน้ำตาลกลมโตๆกำลังมองตรงไปข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ร่างกายมีแต่รอยไหม้เกรียม ดูสกปรกและมอมแมม เขาใช้ดาบที่มีสนิมเกาะอยู่เต็มไปหมดทั้งด้ามฟันใส่นกตัวเล็กๆสูงประมาณ สิบถึงสิบห้าเซนติเมตรสีส้มออกแดงนิดๆ ปากของมันเรียวยาวและคมกริบสีเหลืองทองสะดุดตา มันดูไม่มีฤทธิ์อะไร ออกจะน่ารักด้วยซ้ำถ้าผู้หญิงมาเห็นเข้าคงอดเข้ากอดมันไม่ได้ แต่พอได้ลองสู้เข้าจริงๆแล้วกลับตรงกันข้ามกับความน่ารักของมันเลย มันทั้งปราดเปรียวและว่องไวจนแทบใช้ดาบฟันไม่โดนซักครั้ง และที่เลวร้ายที่สุดมันยังสามารถพ่นลูกไฟขนาดหย่อมๆออกจากปากมันได้อีกด้วย แม้จะขนาดไม่ใหญ่มากพอที่จะเผาคนได้แต่ก็ทำให้คนที่โดนถึงกลับปวดแสบปวดร้อนและกระโดดโลดเต้นได้เลยทีเดียว โอ๊ย !!! ลูกไฟขนาดเล็กกว่าฝ่ามือพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวเกิดเป็นรอยไหม้เกรียมพร้อมกับส่งกลิ่นเหมือนเนื้อย่างขึ้นมาจากคนที่โดน เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลโมโหมากถึงขนาดใช้ดาบในมือหวังจะสับร่างเจ้านกบ้าให้หายแค้นทั้งๆที่ยังฟันมันไม่โดนสักนิดเดียว ร่างกายของมันทั้งเพรียว ฉลาด และมีขนาดเล็กจึงไม่แปลกที่ดาบทื่อๆจะฟันไม่โดน ฟ้าว เด็กหนุ่มผมสีดำอีกคนพุ่งผ่านร่างเขาตรงเข้าไปหานกสีส้มที่กำลังกระโดดไปมา กว่าเจ้าพิโกะจะรู้ตัวเท้าที่ใหญ่กว่าตัวเกือบสองสามเท่าก็พุ่งอัดเข้าใส่โดยที่มันไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องก็สักแอ๊ก ชายหนุ่มเตะมันราวกับเจ้าพิโกะเป็นลูกบอลก็ไม่ป่าน ปัก ต้นไม้สั่นเล็กน้อยก่อนเจ้านกน้อยตัวแสบจะค่อยๆร่วงสลบไสลอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วจึงเอาเชือกออกมาจากเอวมัดขาเล็กๆและปีกทั้งสองติดเข้าด้วยกัน ก่อนจะถือขึ้นหิ้ว "แค่เนี่ย ข้าสู้ตั้งนานยังไม่โดนขนมันเลย แต่เจ้าแค่วิ่งไปเตะมัน ไม่ยุติธรรมเลยว่าไหม"เสียงหงุดหงิดบ่นมาตลอดทางขากลับเข้าหมู่บ้านเขาชี้มือไปทางนู้นทีไปทางนี้ทีจนวุ่นวาย หลังจากการไล่ล่าพิโกะอย่างดุเดือดของเพื่อนเขาคนเดียวซะมากกว่า ผิดกับชายหนุ่มผมสีดำแค่วิ่งไปเตะหรือไม่ก็ไปต่อยมันก็สลบแล้ว คนที่บ่นมาตลอดทางสภาพร่างกายมีแต่รอยไหม้ไปทั้งตัวแถมยังมีรอยจิกอีกด้วย ส่วนคนที่เดินมาข้างๆมีแค่รอยข่วนกับรอยจิก 2-3 แห่ง และแน่นอนนกส่วนใหญ่ที่จับได้ในวันนี้ก็มาจากฝีมือของผู้ชายผมสีดำแต่ตัวธรรมดาคนนี่นี้เอง ส่วนของเพื่อนเขานั้นไม่ต้องพูดไม่ถูกพวกฝูงพิโกะรุมตายก็บุญแล้ว ถนนที่ทอดยาวไปทางเข้าหมู่บ้านเป็นดินลูกรังที่ขรุขระแล้วกันดาน สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจีนานจึงมีเสียงของสัตว์ป่าร้องให้ได้ยินสักครั้งหนึ่ง ลมเย็นๆพัดกระทบหน้าทีไรก็พาให้ร่างกายสั่นเมื่อนั้น เพราะนี้ก็ใกล้ฤดูหนาวแล้ว "ก็เจ้าอ่อนเองนี้ ดิก"เด็กหนุ่มผมดำสนิทใบหน้าขาวเนียนดวงตาคู่โตสีดำใสดูมีเสน่ห์จัดว่าหล่อใช้ได้เลยทีเดียว ส่งเสียงตอบกลับไปแบบกวนๆพร้อมกับหิ้วฝูงพิโกะมาในมือซ้าย 4 5 ตัว ในสภาพดิ้นไปดิ้นมา ถึงจะมัดปากมันไว้แล้วแต่มันก็ยังพยายามจิกคนถือมาตลอดทาง ชายหนุ่มตักสินใจหมุนเชือก 2-3 รอบเป็นวงกลมจนพวกมันสิ้นฤทธิ์เพราะเวียนหัว แม้ในใจจะสงสารพวกมันแต่เขาเองก็โดนพวกมันจิกมือจนเลือดออกซิบๆแล้ว กรี๊ดดดด !!! เสียงร้องของผู้หญิงดังมาจากในป่าที่พวกเขากำลังเดินอยู่ เซรอธไม่คิดอะไรให้มากความรีบกระโจมเข้าไปตามเสียงร้องนั้นโดยมีดิกวิ่งตามมาติดๆ วิ่งได้สักพักพวกเขาก็เจอพอมาถึงต้นเหตุของเสียง พวกเขาทั้งสองก็ต้องตะลึงกับ เด็กผู้หญิงผมยาวสลวยเลยไหล่สีดำเป็นประกายยิ่งเมื่อโดนแดดส่องกระทบเส้นผมของเธอก็ราวกับเส้นไหม ดวงตาสีฟ้าคู่งามกับใบหน้าที่สวยงามถึงแม้จะผ่านฝุ่นละอองมาก็ตาม ใบหน้าเธอก็ยังขาวเนียน ทำให้พวกเขาทั้งสองอึ้งในความสวยสดงดงามของหญิงสาวตรงหน้าจนต้องอ้าปากค้าง อายุของเธอน่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับพวกเขา ท่าทางและอาการที่ตื่นกลัวของเธอเหมือนกำลังวิ่งหนีตัวอะไรบางอย่างอยู่ แขนและขามีร่องรอยโดนกิ่งไม้เกี่ยวจนเสื้อผ้าสีขาวขาดและมีสีดำเล็กน้อย ตรงบริเวณที่ผ้าขาดมีเลือดไหลออกเล็กน้อย ฮ๊าก เสียงสัตว์ร้ายดังก้องมาจากทางที่หญิงสาวพึ่งวิ่งออกมาได้ไม่นาน ชั่วอึดใจเจ้าของเสียงก็เยื้องย่างให้เซรอธได้ประจักษ์เมื่อมันก้าวเท้าออกมาทำให้ดินตรงที่มันเหยียบแตกร้าวด้วยน้ำหนักอันมหาศาลของมัน ดวงตายาวเรียวแหลมคมเหมือนจะสะกดให้เหยื่อที่เจอต้องมนตร์ไม่ให้ไหวติงได้ ฟันของมันคมขนาดที่เซรอธคิดว่าถ้าเอาก้อนหินใหญ่ๆให้มันกัดคงแตกละเอียดเป็นผุยผงแน่นอน ลำตัวของมันมีเกร็ดสีเหลืองคล้ายทองดูแข็งแกร่งและสวยงามทนทานห่อหุ้มเอาไว้ ส่วนหางของมันหยักไปมาจนดูคล้ายสายฟ้าตรงปลายหางแหลมคมพอจะทิ่มต้นไม้ใหญ่ให้ทะลุได้เลย ขนาดลำตัวของมันยาวประมาณ เจ้าเสือร่างยักตัวนี้ค่อยๆก้าวออกมาหาเหยื่อตรงหน้ามัน จนเกือบจะถึงผู้หญิง ก้อนหินเล็กๆก็พุ่งเข้าที่ตามัน ประสาทที่ว่องไวของมันทำงานโดยอัตโนมัติ ปากพุ่งเข้ากัดหินจนแตกละเอียดราวกับขนมหวาน แต่ถึงมันโดนก็คงไม่สร้างความเสียหายให้กับฟันอันแข็งแกร่งของมันอยู่ดี แต่ที่เซรอธโยนไปก็เพราะตั้งใจจะล่อให้มันมาเขาแทนมากกว่า แล้วก็เป็นจริงอย่างที่หวังตอนนี้มันหันหน้ามาเล่นงานเหยื่อรายใหม่ที่เข้ามาจุ้นจ้านกับเรื่องของมัน และท่าทางจะน่ากินกว่าเหยื่อรายแรกเป็นไหนๆ ชายหนุ่มผมสีดำคิดว่ามันน่าจะเคลื่อนที่อุ้ยอ้ายเพราะขนาดตัวของมันบวกกับน้ำหนักของมัน แต่แล้วเขาก็คิดผิดอย่างมหันต์ถึงขนาดจะใหญ่โตแต่ความเร็วของมันก็ไวยังกับจรวด “ดิกหลบเร็ว” แต่ดูเหมือนคำพูดของเซรอธจะไม่ได้เข้าหูเพื่อนชายเลยสักนิด เจ้าตัวยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทำให้เซรอธตัดสินใจใช้เท้าถีบเข้าที่เอวด้านขวาของดิก ทำให้ทั้งสองล้มลงบนพื้นโดยที่มีบางอย่างกระโดดแหวกอากาศผ่านไปอย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังทิ้งรอยกรีดยาวที่เอวเล็กน้อยให้แก่เซรอธ แต่บาดแผลของมันก็สร้างความเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียวถึงแผลจะเล็กนิดน้อย “เฮ้ย ดิก เป็นไรไปเนี่ย”เซรอธเขย่าเพื่อนอย่างแรงแต่รู้สึกว่าเพื่อนของเขาจะไม่มีความรู้สึกตอบสนองสิ่งใดเลย อาจเป็นเพราะตกตะลึงกับเสือขนาดหน้าจนถึงกับช็อคไปเสียแล้ว ‘อย่างงี้เห็นทีต้องล่อไปไกลๆจากที่นี่หน่อยแล้ว’เซรอธคิดขึ้นก่อนจะใช้ก้อนหินปาใส่มันอีกรอบซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบสามเท่า แต่นั้นก็หมายถึงน้ำหนักก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน เขายกด้วยพลังกำลังเท่าที่มีก่อนจะทุ้มใส่มัน แต่ก็เหมือนเดิม หินถูกบดละเอียดด้วยฟันอันแหลมคม ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปทางตรงข้ามกับที่ดิก และหญิงสาวอยู่ เขาพยายามวิ่งหลบซิกแซกซ้ายขวาเพื่อป้องกันมันกระโดดจากข้างหลัง จนเซรอธคิดว่าวิ่งหนีจากมันพ้นแล้ว เพราะไม่เห็นมันวิ่งตามมาข้างหลังบวกกับเขาเองเริ่มมีอาการเหนื่อยจึงได้ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดพัก ฮาก ที่ไหนได้มันกับพุ่งมาจากด้านหน้าของเขา กรงเล็บแหลมยาวหมายจะฉีกร่างของเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ ก็พุ่งเข้าใส่ทันที “ตายแน่ๆ”เซรอธหลับตาปี๋เอามือทั้งสองขึ้นมากัน ถึงรู้ว่าจะไม่ชอบอะไรให้ดีขึ้น แต่ก่อนที่กรงเล็บอันแหลมจะสัมผัสกับร่างเซรอธ จี้รูปดาบที่เซรอธห้อยเอาไว้ในคอก็เปร่งประกายขึ้นมาทำให้เจ้าสัตว์ร้ายเบนหน้าหนี เซรอธหรี่ตามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขา มันคือดาบสีขาวไข่มุกขนาดกำลังเหมาะมือทีเดียวตรงกลางของดาบสลักคำว่า “Seven sword” เซรอธมองดาบตรงหน้าก่อนจะคว้าดาบขึ้นมาทันทีด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด พลังจากดาบนี้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว มันสัมผัสได้ถึงอันตรายจากอาวุธในมือของเหยื่อจึงเปลี่ยนแผลจากที่จะใช้ปากกัดเหยื่อให้ตาย มันจึงใช้หางของมันตวัดเข้าใส่ดาบในมือของเซรอธแทน เปรี้ยง เสียงกระทบระหว่างดาบและหาง ไม่น่าเชื่อว่าหางของมันจะแข็งแรงพอๆกับเหล็ก เมื่อสิ้นสุดการปะทะร่างของเด็กหนุ่มก็กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้จนใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เซรอธรู้สึกเจ็บที่หลังขึ้นมาทันทีแต่ก็ยังคงกำดาบในมือไว้แน่น เพื่อหยั่งเชิงเจ้าเสือข้างหน้าที่กำลังมองเขาด้วยสายตาอันเจ้าเล่ห์ มันไม่รอให้เหยื่อได้ตั้งตัวก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงพุ่งใส่เหยื่ออย่างหิวโหย ไม่น่าเชื่อที่กระแสไฟฟ้ากลับไหลเข้าดาบที่เกิดแสงเป็นประกายเพียงชั่ววูบแทนทำให้เขารอดจากการย่างสดของมัน และถ้าเซรอธ มองไม่ผิดเขาเห็นดาบในมือเปลี่ยนรูปร่างก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วจนเขาไม่แน่ใจว่าตาฝาดเองหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ช่าง เพียงเป็นผลดีต่อเขามันก็พอแล้ว เซรอธรู้เพียงอย่างเดียวถ้าโดนพลังของมันเข้าไปจังๆ เขาคงตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะถึงดาบจะสลายพลังไปจนหมดแต่มือเขาก็ยังรู้สึกชาขึ้นมาเล็กน้อย พอเซรอธได้สติก็รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเท่าที่จะมีเหลืออยู่ฟันดาบออกไปข้างหน้าก่อนที่เจ้าสัตว์ร้ายข้างหน้าจะทันรู้ตัว มันส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับเกิดรอยดาบที่หางของมันเป็นทางยาวจนเกือบถึงแผ่นหลังเลือดสีแดงบนปลายดาบค่อยๆหยดลงบนหญ้าสีเขียว มันส่งสายตาโกรธเกรี้ยวให้เซรอธเห็นแวบหนึ่ง ซึ่งนั้นก็เล่นเอาเขารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาตะหงิดๆเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการยุให้มันโมโหขึ้นมา แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็เห็นจะตรงที่ว่าจู่ๆดาบในมือก็กลับกลายเป็นจี้ดังที่มันเคยเป็น “งานนี้ท่าจะรอดยาก” เซรอธบ่นอุบอิบเหงื่อไหลออกพลั่กๆ สายตาจ้องเจ้าสัตว์ร้ายตรงหน้า ซึ่งมันก็จ้องเขาเช่นกันราวกับมันกำลังสังเกตท่าทีของเหยื่อ แต่ด้วยเลือดที่ไหลออกไม่หยุดทำให้เจ้าเสือร้ายรู้ตัวเองว่าคงทนพิษบาดแผลได้อีกไม่นาน จึงรีบกระโจมหนีเข้าไปในป่าทันทีโดยทิ้งรอยเลือดสีแดงสดไว้ตลอดทาง ถึงเขาจะพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดแต่แผลที่เอวก็ทำได้แค่วิ่งเหยาะๆ จะเร็วมากก็ไม่ได้ ไม่งั้นเลือดจะยิ่งไหลออกมาทั้งที่ชายหนุ่มเอาผ้าจากชายเสื้อมาพันที่แผลแล้วแท้ๆเชียว “นี่ตกลงอธิบายได้ยังว่าผู้หญิงคนเดียวมาทำอะไรในป่าอย่างนี้”เซรอธถามระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้าน โดยที่ใช้ขอนไม้ยาวเมตรกว่าพยุงตัวเอาไว้และมีดิกกับหญิงสาวช่วยจับเอาไว้อีกแรง “ฉันชื่ออีริน่า ฟีราล จากหมู่บ้านเฮมซึ่งอยู่ถัดจากหมู่บ้านเธอนะ และขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้” อีริน่าเอ่ยอย่างเป็นมิตร พร้อมก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ น้ำเสียงอ่อนหวานของเธอแทบหลอมหัวใจดิกและเซรอธให้ละลาย “ผมชื่อดิก เออร์วอน”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแนะนำตัวขึ้นก่อน เฮ้ย!!! ดิกพยายามสะกิดเพื่อนตัวเองที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แนะนำตัวให้เธอรู้จัก “อ้อ ผะ
ผม ชื่อ เซรอธ แอนด์กรีซ”ในที่สุดชายผู้มีดวงตาสีดำก็แนะนำตัวเป็นผลสำเร็จแม้จะพูดตะกุกตะกักไปบ้าง เมื่อเดินได้สักพักก็ถึงหมู่บ้านฮาเดนซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุข เพราะทุกคนอยู่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน มีอะไรก็แบ่งปันกันใช้ มันทำให้เซรอธรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก “สวัสดีครับลุงทอม สวัสดีครับป้าเชอรี่ ”เซรอธเดินทักทายให้กับผู้ชายหัวล้านมีหนวดเครายุ่งเหยิงสีน้ำตาล ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นการทักทายกลับมาให้ในมือถือเสียมทำงานสวนครัวอยู่ ไม่นานผู้หญิงรูปร่างท้วมๆกำลังหยิบน้ำออกมาให้แก่สามีได้ดื่มแก้กระหายจากการทำงาน “สวัสดีจ้าเซรอธ วันนี้ป้ามีสตูเนื้อให้กินด้วยนะจ้ะ”เธอส่งยิ้มอย่างอารีให้เขา รอยยิ้มของเธอยังสร้างความอบอุ่นให้เด็กหนุ่มเหมือนเช่นเคยเซรอธจึงส่งยิ้มกลับมา ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอีกนิดหนึ่งก็ถึงบ้านไม้สีขาวทั้งหลัง ที่ออกจะทรุดโทรมไม่น้อยซึ่งเป็นโรงเลี้ยงม้าของทอม สร้างด้วยไม้สักอย่างดีเพราะโรงเลี้ยงม้านี้ถูกสร้างมาหลายสิบปีแล้วก่อนที่เขาจะมาอยู่เสียอีก โรงเลี้ยงม้าถูกสร้างไว้สองชั้น โดยที่ข้างล่างไว้สำหรับเลี้ยงม้าซึ่งตอนนี้มีอยู่เกือบ 5 ตัวที่กำลังกินฟางหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย เขาเดินไปลูบหลังมันเบาๆ ทุกตัวแล้วจึงเดินขึ้นข้างบนซึ่งเป็นห้องนอนของเซรอธเอง โดยที่มีเตียงเล็กๆกับตู้เก่าๆเพียงเท่านั้น ไม่ได้ตกแต่งด้วยเฟอร์นีเจอร์ที่สวยงามอะไรให้มากความ ทำให้รับรู้ถึงนิสัยที่ชอบทำตัวติดดินของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี “เอ่อ คุณนอนที่นี่เหรอคะ”เสียงของอีริน่าเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง พลางมองสภาพห้องที่ไม่ต่างอะไรจากข้างล่างเลย มันดูไม่มีอะไรที่ชวนให้เรียกว่าเป็นห้องนอนได้เลย เสียแต่ว่ามีเตียงเท่านั้นที่พอจะเรียกได้อยู่บ้าง “ใช่ เจ้าเซรอธมันเป็นพวกชอบติดดิน พ่อกับแม่บอกให้มันไปอยู่ในบ้านด้วยกัน มันก็ไม่ไป มันอ้างว่านอนไม่ได้”ดิกพูดอย่างเหนื่อยหน่ายในความงี่เง่าของเพื่อน จะมีใครอีกไหมที่จะเหมือนกับเพื่อนของเขาคนนี้ สบายๆไม่ชอบกลับชอบลำบาก แต่นั้นแหละนะถึงได้เป็นเพื่อนของเขา “ฮ่า ฮะ ฮ่า ก็ฉันชอบอย่างนี้นิ จะให้ทำไงได้”เจ้าตัวหัวเราะอย่างร่าเริง พลางโยนขอนไม้ไว้ข้างๆเตียงกับสร้อยคอบนตู้ไม้ก่อนที่จะล้มลงบนที่นอนสีน้ำตาลที่มีแต่รอยนุ่นหลุดลุ่ยออกมา แล้วจึงใช้มือแกะผ้าออกจากแผล ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร อีริน่าก็เดินเข้ามาแล้วใช้มือทั้งสองของเธอวางที่แผลของเซรอธ แสงสีขาวอ่อนๆก็ปรากฏขึ้นเหนือบาดแผล แสงเหล่านี้ทำให้เซรอธอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตามด้วยแผลของเซรอธค่อยๆสมานกันจนติดเป็นเนื้อเดียวกันเหลือไว้แต่คราบเลือดโดยใช้เวลาไม่ถึงนาที “ธะ... เธอทำได้ไง”เสียงตื่นเต้นของเจ้าตัวพูดออกมาโดยมีดิกที่ยืนตะลึงอยู่ข้างๆเธอ พร้อมบิดเอวไปทางซ้ายทีขวาที แต่แล้วก็รู้สึกปวดขึ้นมาแปล๊บๆที่เอว โอ๊ย เจ้าตัวร้องเสียงหลัง จนหญิงสาวต้องรีบมาจับให้อยู่เฉยๆ “อย่าพึ่งขยับสิ ถึงบาดแผลจะหายดีแต่ก็ยังมีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ภายใน”อีริน่าอธิบายจนชายหนุ่มยอมอยู่เฉยๆในที่สุด “แล้วเธอทำได้ยังไงเหรอ”ดิกถามอย่างอยากรู้ “เอ่อ มันเป็นเวทมนตร์แสงนะพ่อฉันเป็นคนสอนให้”เธอพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ โดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม ทั้งสองคนไม่คิดเช่นนั้น เพราะคนในหมู่บ้านน้อยคนนักที่จะได้เห็นเวทมนต์ซึ่งนั้นก็หลายปีก่อนที่พวกเขาจะทันได้เห็น จึงถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับพวกเขาทั้งสองและชาวบ้านหลายๆคน “เอ่อ แล้วนี่เธอจะกลับยังไงละนี้ก็ใกล้จะมืดแล้วนะ ”ดิกเอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติมากที่สุด ถึงแม้จะทึ่งอยู่กับสิ่งที่เธอพึ่งทำลงไป “นั้นสิทำไงดีละ ฉันก็ไม่เก่งในเรื่องสู้ด้วยซิ”หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย “ถ้าไม่รังเกียจก็พักที่นี่ซักคืนก็ได้นะ”เสียงของเชอรี่จากข้างหลังดิกเอ่ยขึ้น หลังจากที่เธอทำกับข้าวเสร็จแล้วจึงกะจะเดินมาตาม แต่พอดีได้ยินเข้าเสียก่อนจึงได้เชื้อเชิญให้อยู่ค้างกันซะเลย “เอ่อ จะดีเหรอคะ”หญิงสาวเอ่ยอย่างเกรงใจใบหน้าก้มลงเล็กน้อยด้วยความขอบคุณ “ไม่เป็นไรหรอจ้า เดี๋ยวหนูก็มากินสตูด้วยกันนะจ๊ะแล้วค่อยไปอาบน้ำอาบท่า”ป้าเชอรี่กล่าวออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับเดินลงบันไดไป “แม่ข้าก็เป็นอย่างนี่แหละ ตกลงว่าอีริน่าพักสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปละกันนะ แล้วเซรอธเดี๋ยวไปกินสตูได้แล้วน่าโว้ย ช้าข้ากินหมดนะจะบอกให้”ดิกพูดขำๆก่อนจะวิ่งลงบันไดหายไป เหลือแต่เซรอธและอีริน่าไว้ตามลำพังสองคน “พวกเราก็ไปบ้างเหอะ เดี๋ยวเจ้าดิกจะกินสตูจนหมด”เซรอธหาข้ออ้างที่จะไปบ้าง เพราะการอยู่กับอีริน่าสองคนทำให้เขารู้สึกเก้อเขินแถมหัวใจยังเต้นแรงกว่าปกติจนชายหนุ่มสัมผัสได้ จึงชวนเธอตามดิกไป ซึ่งระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้นเดิน แผลเจ้ากำก็ดันเกิดปวดขึ้นมา ทำให้เซรอธเซไปข้างหน้า ระวัง!!! อีริน่าตะโกนเตือนพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาประคองเซรอธก่อนที่เขาจะล้ม มืออันนุ่มนวลโอบเอวของเซรอธเอาไว้ได้มันก่อนที่จะชายหนุ่มจะล้มหน้าคะมำ เซรอธหันมาสบตากับเจ้าของมือที่ช่วยประคองตัวเขาไม่ให้ล้มเอาไว้ ลมหายใจของเธอกระทบเข้าที่ใบหน้าของเซรอธจนสัมผัสไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมของเธอได้อย่างเด่นชัด ดวงตาสีดำส่องประกายแม้ในเวลาไม่มีแดดก็ตามแต่ตาคู่นี้ก็สวยอย่างมีเสน่ห์ ทำให้เซรอธเหมือนต้องมนต์ให้กับดวงตาคู่งามนั้นอย่างหักห้ามไม่ได้ อีริน่าเองก็จ้องสบตากับเซรอธเหมือนกัน เธอสังเกตเห็นแววตาที่อ้างว้างดูโดดเดี่ยวในดวงตาคู่สีดำนั้น เธอพึ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่าชายหนุ่มที่ชอบทำตัวร่าเริง สนุกสนานเฮฮา แท้จริงแล้วในดวงตากลับตรงกันข้ามกับการกระทำของเขา เซรอธร้องเสียงหลง ก่อนจะรีบผงะจากอีริน่าซึ่งนั้นก็ทำให้เจ้าตัวต้องหงายท้องตกบันได โครม ฟางปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ม้าที่กำลังกินฟางหญ้าอยู่ก็ตกใจวิ่งกันอลหม่านพร้อมกับส่งเสียงกันเจี้ยวจ้าว
ฮ๊ากกกกกกกกก
“โอ๊ย นึกว่าจะโดนกินซะแล้ว แต่ตะกี้อะไรกันจู่ๆจี้ห้อยคอก็เปลี่ยนเป็นดาบได้ แถมยังฟันมันได้อีก ฉันทำได้ไงเนี่ย เก่งสุดๆเลยแฮะ ”ถึงแม้เจ้าตัวจะงงงวยกับสิ่งที่เกิดแต่ก็อดที่จะชมด้วยเองไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีเพื่อนอีกสองที่อยู่ข้างหลัง เซรอธจึงรีบวิ่งกลับไปหาดิกและผู้หญิงที่เจอเมื่อครู่
“เฮ้ เซรอธ ทางนี้ วู้ ”ดิกยืนยิ้มแฉ่งพลางโบกมือเรียกเซรอธ โดยที่ใบหน้ายังมีเหงื่ออยู่เต็มและซีดเซียวอย่างเด่นชัด ส่วนผู้หญิงคนที่โดนสัตว์อสูรไล่ล่าเอาก็ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเธอยังตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หายแต่พอเซรอธเก้าเท้าออกจากป่ามาเธอก็แสดงสีหน้าดีใจจนเห็นได้ชัด
“เซรอธ โว้ย เมื่อไรจะไปกินข้าว รอนานแล้วน่าโว้ย”เสียงดิกดังมาแต่ไกล ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตัวขึ้น
เฮ้ยยยยยยย
“เป็นไรไหมค่ะ”เสียงร้องตกใจจากข้างบนถามด้วยความเป็นห่วงใย
“มะ....ไม่ เป็น ระ....ไร ครับ”เสียงตะกุกตะกะตอบกลับพร้อมกับเจ้าตัวก็รีบลุกจากกองฟาง โดยใช้มือทั้งสองปัดฟางออกจากตัว
“อ้าวเป็นไรอีกละ ไปแป๊บเดียวเอง”ดิกมองเพื่อนด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดมากก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปกินข้าว
ความคิดเห็น