ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงเพี้ยน กับ เหล่านายสนม

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12 พิษงู

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.67K
      972
      19 พ.ค. 64

    บทที่ 12

    พิษงู


                     จิ๊บ จิ๊บ..


                    “อึก...”


                    เมื่อแสงอรุณยามเช้าตรู่สาดแสงเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ หนิงหลงลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมทั้งยืดเส้นยืดสาย ช่างเป็นเช้าที่เหนื่อยล้าเพราะเมื่อคืนเธอเกือบจะมีปากเสียงกับซูฮวาไปซะแล้ว


                    พอเธอบอกว่าไม่ได้พกสิ่งนั้นมาซูฮวาก็โวยวายยกใหญ่ ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนั้นออกมาตอนนี้ เขาถอยตัวเองไปชิดที่ปลายเตียงและเขินอายอย่างหนัก สุดท้ายก็จบด้วยการนอนด้วยกันเพียงอย่างเดียวไม่มีอะไรเกิดขึ้น


                    รู้สึกโล่งใจสุดๆไปเลย...


         เธอเอามือทาบอกแล้วถอนหายใจอออกมา นึกว่าตัวเองจะต้องเสียเอกราชในคืนเดียวไปซะแล้ว ต้องขอบคุณตนเองที่ไม่ได้พกเจ้านั่นมาถึงความจริงควรจะพกมาเพื่อเหตุฉุกเฉินจริงๆก็ตามเถอะ ผู้ชายนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการสูงกว่าผู้หญิงพวกเขาทำเรื่องแบบนั้นได้ทุกเมื่อที่ขาดสติ


         ไม่ได้จะกล่าวหาว่าผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หื่นกระหายราวสัตว์ป่าเช่นนั้นหรอก แต่บางทีคนเราก็กลายเป็นสัตว์ป่าเมื่อความต้องการสามารถเอาชนะความยั้งคิดได้เสมอไม่ว่าหญิงรึชาย


         ถึงจะเช้าแล้วแต่ซูฮวาวก็ยังคงหลับสนิทอย่างมีความสุข คงจะดีกว่าถ้าเธอไม่ปลุกเขาในยามไก่โห่แบบนี้ หนิงหลงขยับตัวลงจากเตียงช้าๆทว่าเสียงเตียงที่ยุบข้างๆข้างหนึ่งก็ทำให้ซูฮวาลืมตาตื่น เขาค่อยๆหันไปหาหญิงสาวที่กำลังใส่เสื้อคลุมนอกเตรียมตัวกลับตำหนักหลัก


         “องค์หญิง...ท่านจะไปไม่บอกข้าสักคำเลยงั้นเหรอ?”ซูฮวายันตัวเองขึ้นจากเตียง สายตาของเขาทิ่มแทงไปทางหนิงหลงอย่างเอาเรื่อง เธอไม่เพียงจะไม่ปลุกเขาแถมยังคิดจะหนีกลับไปคนเดียวอีก...มันช่างน่านัก!


         “ข้าเห็นเจ้ากำลังนอนสบาย..ข้าขอโทษนะ”


         “มะ...ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก แล้วก็ท่านผูกสายคล้องเอวไม่เรียบร้อยเลย มานี่..ข้าจะผูกให้”เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอื้อมือเข้าไปจัดแจงผูกสายคาดเอวเป็นปมผีเสื้องดงาม


         ซูฮวาอยู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพอเขาผูกสายคาดให้เธอเช่นนี้ช่างราวกับว่าทั้งสองกำลังโอบกอดกันอยู่ก็ เสียงเต้นของหัวใจทั้งคู่ดังประสานกันเหมือนเสียงดนตรีที่บรรเลงคนละเพลงฟังดังอื้ออึงในหู บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความขัดเขินเล่นทำเอาทั้งคู่ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยต่อกัน


         “วะ...วันนี้ท่านจะมาที่นี่อีกหรือไม่?”ซูฮวากลั้นใจถามออกไป


         “หาก...ไม่ได้คิดธุระอันใด ข้าจะมาหาก็แล้วกันนะ”ความจริงคือในวันนี้เธอยังไม่มีแผนการใดๆนอกจากดื่มชายามบ่ายกับจินหลันเลย แต่การจะปฏิเสธในทันทีจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีเสียเปล่า


         “....ข้าจะรอ”


         “อย่ารอจนไม่ได้นอนล่ะ ข้าเองก็ต้องรีบไปแล้ว ถ้าง่วงก็นอนต่อเถอะ”รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าการค้าของหญิงสาว


         “ข้าจะไปส่งท่านที่หน้าตำหนักก่อน...แล้วจะค่อยกลับมานอน”


         “...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”


         หนิงหลงรอให้ซูฮวาหยิบตะเกียงออกมาแล้วจึงเดินออกไปที่นอกห้องด้วยกัน ในตำหนักของซูฮวามีนายกำนัลมากกว่าตำหนักอื่นๆเพราะด้วยฐานะองค์ชายของเขาแล้วจึงทำให้มีนายกำนัลจากแคว้นเก่าตามมาด้วยมากและยังมีนายกำนัลจากวังหลังที่ส่งมาด้วย ตั้งแต่เช้าที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยเหล่านายกำนัลออกมาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง


         “ท่านซูฮวากับองค์หญิงหนิงหลงล่ะ...ช่างเหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก”เสียงกระซิบกระซาบจากนายกำนัลโดยรอบกล่าวขึ้นเมื่อเห็นเขาทั้งสองเดินเคียงดันไปตามทางเดิน


         “ท่านซูฮวาก็งดงาม องค์หญิงก็งดงาม เหมาะสมกันกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”


         “เชื้อพระวงศ์ก็ต้องคู่กับเชื้อพระวงศ์”


         “เมื่อคืนองค์หญิงมาประทับที่นี่ก็หมายความว่า...”


         กระซิบกันดังไปแล้ว ข้าได้ยินนะ!


         หนิงหลงไม่อยากจะขัดความสุขของการได้จับกลุ่มพูดคุยแบบนั้นหรอกแต่เมื่อในคืนนี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่พวกเขาหวังหรอก! อย่าพูดถึงเด็กที่เกิดมาเป็นชายรึหญิงเชียว! ยังไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นเสียหน่อยอย่ามาสร้างแรงกดดันให้เธอเด็ดขาดเลย!


         ถึงจะตะโกนในใจแค่ไหนคนภายนอกก็ไม่ได้ยิน เธอต้องฟังเสียงซุบซิบว่าพวกเรานั้นเหมาะสมกับเพียงใดไปตลอดทางเดินจนมาถึงหน้าตำหนัก ในที่แห่งนั้นเธอก็ได้พบกับซิ่วเหว่ที่มายืนรอเธอหน้าตำหนักของซูฮวาอยู่ก่อนแล้ว


         เธอจำไม่ได้เลยว่าบอกให้เขามารอตั้งแต่เมื่อใดแต่คงเป็นเพราะหน้าที่ซิ่วเหว่จึงออกมายืนรอรับเธอแต่เช้าเช่นนี้


         “มีคนมารับแค่คนเดียวแบบนี้อันตรายนะพะย่ะค่ะองค์หญิง ข้าให้คนของข้าไปส่งด้วยดีกว่า”ซูฮวาจับไหล่ของเธอเบาๆแล้วพูดที่ข้างหู


         “ไม่เป็นไร...ถ้ามังกรฟ้ายังปกป้องข้าไม่ได้ ใครก็ปกป้องข้าไม่ได้หรอก”


         “...ถะ...ถึงอย่างนั้น”


         “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”


         “หากท่านกล่าวเช่นนั้น...ข้าจะขัดท่านได้ยังไงกันล่ะ?”


         ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ปล่อยให้เธอกลับตำหนักไปกับนายกำนัลเพียงสองคน แต่เหตุจึงมีแค่นายกำนัลคนนี้ที่มารับล่ะ? รึว่าคนนี้จะเป็นนายกำนัลคนโปรดขององค์หญิง? ชายหนุ่มจ้องไปยังซิ่วเหว่ที่สายตาคาดคั้นแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมาซิ่วเหว่ก็เข้าใจความหมายของสายตานั่นดีเขาจึงต้องหลบตาของซูฮวาอย่างหวั่นเกรง


         “ข้าไปก่อนนะซูฮวา”


         “พะย่ะค่ะ องค์หญิง”


         หนิงหลงหันไปบอกลาแล้วเดินนำหน้าซิ่วเหว่กลับไปยังตำหนัก ตลอดทางเดินมีแสงจากพระอาทิตย์ตรงขอบฟ้าคอยให้แสงสว่างอยู่ถึงไม่ใช้ตะเกียงก็สามารถเดินกลับได้โดยไม่มีปัญหาอะไร


         “องค์หญิงคืนนี้...ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ? ข้าอยากทราบเอาไว้เพื่อจะได้ไปรับท่าน..”อยู่ๆซิ่วเหว่อยู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา


         “อะ...เอ่อ เรื่องนั้น...”


         จะว่าไปตลอดสองสามวันมานี้เธอก็เทียวไปเทียวมาตำหนักนายสนมเป็นว่าเล่น ตอนนี้หนิงหลงก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองใกล้จะก้าวสู่หนทางของหญิงเจ้าสำราญเข้าไปทุกทีแล้ว ต่อให้ร้องตะโกนว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ! ออกไปก็ตามที แต่การกระทำของเธอมันส่อไปแล้วจะคงหมดข้อแก้ตัว


         “ข้ายังไม่มีแผนการน่ะ แต่เช้าขนาดนี้ออกมารับข้าเจ้าคงลำบากแย่เลยสินะ”หากแก้ตัวไม่ถูกก็ให้เบี่ยงประเด็นคือเทคนิคขั้นสูง!


         “ไม่เลยขอรับ! ข้าไม่ได้ลำบาก...อะไร”ความจริงนี่เป็นเหมือนรางวัลเสียมากกว่า ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับองค์หญิงแค่สองคน...มีเพียงเวลานี้เท่านั้น


         “ข้าเองก็รู้สึกดีที่เจ้ามารับแต่มันจะดีถ้าเจ้าไม่ได้ฝืนตนเองเกินไป ข้าเห็นเจ้าทำงานคนเดียวตลอด ที่ตำหนักไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม?”


         “...ไม่! ไม่เลยขอรับ”


         “จริงหรือ?”


         “ขอ...รับ”


        เขาโกหก...


         ใบหน้าของเขาก้มลงมองแต่พื้นท่าทีก็ดูเหมือนอยู่ไม่สุขแบบนี้ก็ชัดเขนแล้วล่ะว่าเขาพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง เห็นทีเธอคงต้องสั่งให้ตรวจสอบนายกำนัลในตำหนักอย่างจริงจังซะแล้ว


         ในทางกลับกันนั้น ซิ่วเหว่แอบเหลือบมองใบหน้าด้านข้างขององค์หญิง วันนี้เธอก็ยังคงงดงามอยู่เช่นเคยแม้เป็นเรื่องเล็กๆเธอก็ยังใส่ใจเขาอยู่เสมอ เขาก็เพียงนายกำนัลคนหนึ่งไม่มีอะไรจะเอาไปเทียบกับพระสนมจินหลันรึพระสนมซูฮวา เพียงแค่ช่วงเวลาเดินกลับตำหนักที่เขาจะได้อยู่กับเธอเพียงแค่นี้...ก็พอแล้ว


         ...แต่นับวันหัวใจของเขากลับรู้สึกย้อนแย้งกับสิ่งที่สมองคิดว่าถูกต้อง


         ยิ่งเห็นว่าองค์หญิงใส่ใจกับพระสนมของเธอมากเท่าใดหัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด แต่การไม่ได้เจอองค์หญิงเลวมันเจ็บปวดยิ่งกว่า นี่อาจจะเป็นความโลภมากที่ต้องแลกมาด้วยความปวดร้าวแต่เขาก็หยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้


         เมื่อมาถึงหน้าห้องของหนิงหลงทั้งสองก็ต้องแยกทางกันไป แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปส่งในห้องได้ นายกำนัลระดับล่างเช่นเขาไม่มีสิทธิได้เข้าห้องของเชื้อพระวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาต


         พอกลับมาถึงห้องหนิงหลงก็รีบมานั่งคิดว่าบ่ายนี้เธอจัดเตรียมเวลาน้ำชาอย่างไรดี?


         หากให้พูดถึงของที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจก็ต้องเป็นของทำมือ เธอไม่แน่ใจว่าจะมีของที่เธอสามารถทำได้ที่โลกนี้บ้างไหมนะ? ของว่างที่สามารถดื่มกับน้ำชาได้และทำได้ง่ายที่สำคัญต้องอร่อยด้วย


         แป้งสาลี...ที่นี่คงมีอยู่แล้ว ของที่เธอชอบทำกินที่บ้านอยู่บ่อยด้วยความง่ายและสะดวกสบายของมันแทบจะเรียกว่าไม่ต้องทำอะไรมากก็อร่อยได้ ใช่แล้ว...สิ่งนั้นคือแพนเค้กยังไงล่ะ!!


         ถึงจะไม่มีผงฟูสำหรับทำอาหารแต่ความอร่อยของแพนเค้กไม่ได้อยู่ที่ผงฟูเสียที่เดียว หากนำไข่ขาวมาตีจนขึ้นฟองฟูก็จะได้แพนเค้กที่หนานุ่มและเด้งดึ๋งไม่แพ้กัน!


         แค่คิดถึงรสชาติอาหารเก่ๆที่เคยกินเมื่อตอนยังเป็นมนุษย์เงินเดือนสาวแค่นี้น้ำลายก็จะหกอยู่แล้วจนอยากจะไปทำเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอต้องไม่ลืมว่าตัวเองเป็นองค์หญิงการกระทำทุกอย่างขององค์หญิงต้องอยู่ในสายตาคนสนิทของเธอเสียก่อน ทำอะไรโดยพลการจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ


         เมื่อถึงเวลางานตอนเช้าจิ้นอันก็มาหาที่ห้องเหมือนทุกๆวัน ดูเหมือนว่าร่างกายเธอจะสบายดีทุกอย่างแล้วจิ้นอันจึงมาแจ้งกำหนดการสิ่งที่เธอต้องทำให้วันพรุ่งนี้ให้ วันนี้จึงเป็นวันพักผ่อนของเธออีกหนึ่งวันก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานอย่างจริงจัง


         “จิ้นอัน..ข้าจะอยากจะยืมใช้ห้องครัวเสียหน่อย เจ้าช่วยจัดการให้ได้รึไม่?”หนิงหลงเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังจัดกองหนังสือลงไปจากโต๊ะ


         “ห้องครัว? จะทำอะไรหรือเพคะ?”


         “ข้าอยากเตรียมอะไรสำหรับน้ำชายามบ่ายเสียหน่อย เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”


         “กับพระสนมจินหลันสินะเพคะ? ได้เพคะข้าจะจัดเตรียมให้โดยเร็ว”


         “ข้าต้องการ แป้งสาลี นมวัว ไข่ไก่ แล้วก็น้ำมันหมู ฝากเจ้าด้วยนะ”


         “เพคะ...ว่าแต่องค์พักนี้สนิทสนมของพระสนมจินหลันขึ้นนะเพคะ”


         “หา? อะ...เอ่อ ก็นะ”


         จู่ๆจิ้นอันก็เพ่งคำถามตรงมายังเรื่องนี้มันเกือบจะทำให้เธอเสียศูนย์ไปเลยทีเดียว จิ้นอันจะต้องมองว่าเธอกลายเป็นองค์หญิงเจ้าสำราญไปแล้วเป็นแน่ สายตาที่คนสนิทของเธอราวกับพยายามจะจับไต๋ให้เธอจนมุมอย่างไรอย่างนั้น


         “แบบนี้คงไม่ต้องพึ่งถุงคุมกำเนิดแล้วล่ะมังเจ้าคะ?”


         “พะ...พูดอะไรน่ะจิ้นอัน!?


         “หากท่านตกลงปลงใจที่จะมีทายาทกับพระสนมคนใดเร็วมันก็คงจะดีมากเลยล่ะเพคะ ทุกวันนี้ท่านแม่ทัพยังบ่นกระปอดกระแปดในวงเหล้าว่าเมื่อไหร่จะได้อุ้มหลานเสียที”


         “อุก..”


         พอถูกคำถามจี้ใจดำของแม่ยายหนิงหลงก็กับต้องหายใจสะดุด เป็นเรื่องธรรมดาสุดแสนจะธรรมดาที่เล่าย่าๆยายๆอยากจะอุ้มหลานไวๆ แต่ในคำพูดเพียงแค่อยากอุ้มหลานมันคือแรงกดดันอันมหาศาลที่ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะต้านทานพลังของมันได้


         “ท่านแม่ทัพยังแอบบอกด้วยว่า ทั้งๆที่ลูกชายออกจะงดงามขนาดนี้องค์หญิงยังไม่ปลงใจ บางทีองค์หญิงอาจจะหมดสมรรถภาพไปแล้วก็ได้”


         “อย่าพูดเช่นนั้นสิ ข้าเพิ่ง 18 ไม่มิใช่หรือ?”


         “เมื่อก่อนท่านไม่เคยไปหาพวกเขาเลยก็มีคนคิดเช่นนั้นเยอะเพคะ”


         เรื่องของหนิงหลงคนก่อนเธอจะได้เข้าใจได้อย่างไรเล่า...


         แต่เอาเข้าจริงตอนนี้เธอก็เริ่มจะเข้าใจองค์หญิงขึ้นมานิดหน่อยซะแล้วสิ จะทั้งจินหลันก็ดีซูฮวาก็ดี พวกเขาล้วนมีอนุภาพในการทลายความยั้งคิดได้สูงมาก หากให้เลือกความสบายขอนอนอยู่ห้องยังจะสบายใจเสียกว่า


         “แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าอย่าเพิ่งเร่งรีบจะดีเสียกว่าเพคะ ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับผู้ร้ายที่ยังหาตัวไม่ได้ ตอนนี้พวกเขายังลอยนวลอยู่อาจจะทำร้ายท่านได้ทุกเมื่อ”จิ้นอันเดินมาที่โต๊ะทำงานของหนิงหลงแล้วยื่นกระดาษแผ่นเท่าใบที่ถูกพักมาอย่างดีให้


         “พวกเขาหรือ? มีมากกว่าหนึ่งคนสินะ?”


         “เพคะ...จากการตรวจสอบ เหตุครั้งนี้ไม่ได้ก่อโดยคนเดียว”


         เมื่อคลี่กระดาษออกภายในเป็นห่อผ้าสีแดงที่มีขวดแก้วขนาดเล็กบรรจุของเหลวสีม่วงเข็มเอาไว้ด้านใน เพียงมองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะสัมผัสมันโดยตรง ท่าทางของมันคล้ายกับยาพิษก็ไม่ปาน ไม่สิ...มันคือยาพิษไม่ว่าจะมองมุมไหนเลยล่ะ


         “ข้าแอบเอามาโดยพลการ แต่นี่คือส่วนหนึ่งจากจอดเหล้าที่ท่านดื่ม ข้าเอามาให้องค์หญิงดูเผื่อว่าท่านจะจำสิ่งใดได้บ้าง”


         “พิษนี่....เป็นพิษอะไรเจ้ารู้รึไม่?”


         “พิษงูเพคะ”


         “...พิษงู ในในจอกเหล้านี่นะ?”


         “จากการตรวจสอบของแพทย์หลวงและหมอยานับสิบคนให้ความเห็นเดียงกันว่ามันคือพิษงูเพคะ”


         มีงูบางชนิดที่เพียงได้รับพิษแม้ปลายเล็บเข้าสู่ร่างกายก็ทำให้ตายได้ แต่ใครกันที่จะสามารถนำพิษงูออกมาได้ คนๆนั้นต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับงูไม่ก็เป็นพรานป่าที่เชี่ยวชาญเรื่องงูเป็นอย่างดี แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้ทำด้วยผู้ร้ายเพียงคนเดียว อย่างไรเสียคนที่ทำคนใดคนหนึ่งต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน


         การจะเคลื่อนไหวภายในวังได้หากไม่มีคนในคอนช่วยเหลือยากนักที่จะสำเร็จ


         ไม่ไหว...ทุกอย่างมืดแปดด้านไปหมด


          หนิงหลงกุมขมับของตนเองแล้วพยายามเรียบเรียงความคิดใหม่ทั้งหมด งูพิษ...คนภายใน...การพิธีกรรม มีจุดที่เข้ากันอยู่แต่ก็ไม่มีจุดไหนแสดงตำแหน่งที่แน่ชัด หากให้เริ่มจากพิษงูก็คงต้องขวานหากันยาว แต่ให้เริ่มจากคนฝ่ายในการทำแบบนั้นจะทำให้คนร้ายตื่นตัวเกินไป จะต้องหาให้เร็วและเงียบที่สุดนั่นก็ยากเย็นไม่แพ้กัน


         พิธีกรรมนั้นเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ มีผู้คนมากมายเข่าร่วมและมีนายกำนัลและข้าหลวงที่จัดงานอยู่มากมาย คนร้ายจะต้องอาศัยช่วงไหนถึงจะเข้าถึงจอกเหล้าได้?


         นายกำนัลน่ะตัดทิ้งไปได้เลย พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พกสิ่งใดเข้าไปในห้องครัว มีการตรวจตราเข้มเว้นแต่จะมีใครสักคนหลุดรอดไปได้ ข้าหลวงทุกคนล้วนมีงานที่ชัดเจนแต่...หากมีใครสักคนละจากงานตัวเองชั่วคราวล่ะ? รึว่า...จะเป็นทหาร แต่ทหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับครัววังหลังได้อย่างไร?


         คำว่าใครสักคนนี่มันช่างราวกับงมเข็มในมหาสมุทร แถมที่นี่ยังเป็นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเสียด้วย


         “เฮ้อ...ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”


         “....เช่นนั้นหรือเพคะ”


         จิ้นอันถอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ เธอหวังว่าจะได้เบาะแสเพื่อตามจับคนร้ายให้เร็วที่สุดแต่ต่อให้นั่งจ้องยาพิษก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ถึงอย่างนั้นเธอจะอยากจะลองดูทุกความเป็นได้


          “จิ้นอัน ข้าขอสั่งกำชับเอาไว้ อย่าทำเรื่องนี้ตะโตกกระตาก คอยค้นหาแบบเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้”หนิงหลงห่อเก็บกระดาษให้เป็นดั่งเดิมแล้วยื่นคืนให้จิ้นอัน


         “ทำไมหรือเพคะ?”


         “ข้าคิดว่าคนในจะมีส่วนแน่ๆ หากตีน้ำปลาก็จะตื่นตัวพยายามอย่าให้คนนอกรู้เรื่องนี้ หากเรื่องเงียบไปข้าคิดว่าคนร้ายจะต้องพยายามเคลื่อนไหวรึหาทางออกจากพระราชวังเป็นแน่ พอถึงตอนนั้น...”


         “เข้าจับกุมโดยไร้ข้อกังขา...สินะเพคะ เป็นยุทธการที่เฉียบแหลมมากพะย่ะค่ะ”


         “ในตอนนี้ข้าต้องการให้ทหารคุมตำหนักสำคัญๆมากเป็นพิเศษเพื่อดูคนเข้าออก โดนเฉพาะเวลากลางคืน และจุดไฟให้สว่างในทุกที่ที่ลับสายตา”


         “เพคะองค์หญิง”


                    “แล้วก็นำสิ่งนี้กลับไปแล้วทำรายมันซะ...หากมีผู้ใดเห็นอาจจะเข้าใจผิด”


         “ข้าจะดำเนินการเดียวนี้ และจะไปจัดแจงห้องครัวต่อจากนี้ด้วยเพคะ องค์หญิงมีสิ่งใดให้ข้าทำอีกหรือไม่?”


         “ไม่มีแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามาก”


         “หามิได้”


         จิ้นอันเดินออกไปจากห้องพร้อมทั้งซ่อนตัวอย่างยาพิษที่เธอแอบนำกลับมาไว้ที่ชายเสื้อ ตอนนี้เหลือเพียงหนิงหลงคนเดียวในห้องส่วนตัว


         พิษงู...เหตุใดถึงได้มีความรู้สึกแปลกกับคำๆนี้


         เธอรู้สึกจากก้นบึ้งความคิดว่าจะรู้จักคนที่เชี่ยวชาญด้านงูอยู่ในใจ

     


    ==============================================================

    กลับมาแล้ววว

    ตอนต่อไป...ใครคิดถึงจินหลันบ้างงงงง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×