คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12 พิษงู
บทที่ 12
พิษงู
จิ๊บ จิ๊บ..
“อึก...”
เมื่อแสงอรุณยามเช้าตรู่สาดแสงเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่
หนิงหลงลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมทั้งยืดเส้นยืดสาย
ช่างเป็นเช้าที่เหนื่อยล้าเพราะเมื่อคืนเธอเกือบจะมีปากเสียงกับซูฮวาไปซะแล้ว
พอเธอบอกว่าไม่ได้พกสิ่งนั้นมาซูฮวาก็โวยวายยกใหญ่
‘ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนั้นออกมาตอนนี้’ เขาถอยตัวเองไปชิดที่ปลายเตียงและเขินอายอย่างหนัก
สุดท้ายก็จบด้วยการนอนด้วยกันเพียงอย่างเดียวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รู้สึกโล่งใจสุดๆไปเลย...
เธอเอามือทาบอกแล้วถอนหายใจอออกมา
นึกว่าตัวเองจะต้องเสียเอกราชในคืนเดียวไปซะแล้ว
ต้องขอบคุณตนเองที่ไม่ได้พกเจ้านั่นมาถึงความจริงควรจะพกมาเพื่อเหตุฉุกเฉินจริงๆก็ตามเถอะ
ผู้ชายนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการสูงกว่าผู้หญิงพวกเขาทำเรื่องแบบนั้นได้ทุกเมื่อที่ขาดสติ
ไม่ได้จะกล่าวหาว่าผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หื่นกระหายราวสัตว์ป่าเช่นนั้นหรอก
แต่บางทีคนเราก็กลายเป็นสัตว์ป่าเมื่อความต้องการสามารถเอาชนะความยั้งคิดได้เสมอไม่ว่าหญิงรึชาย
ถึงจะเช้าแล้วแต่ซูฮวาวก็ยังคงหลับสนิทอย่างมีความสุข คงจะดีกว่าถ้าเธอไม่ปลุกเขาในยามไก่โห่แบบนี้
หนิงหลงขยับตัวลงจากเตียงช้าๆทว่าเสียงเตียงที่ยุบข้างๆข้างหนึ่งก็ทำให้ซูฮวาลืมตาตื่น
เขาค่อยๆหันไปหาหญิงสาวที่กำลังใส่เสื้อคลุมนอกเตรียมตัวกลับตำหนักหลัก
“องค์หญิง...ท่านจะไปไม่บอกข้าสักคำเลยงั้นเหรอ?”ซูฮวายันตัวเองขึ้นจากเตียง
สายตาของเขาทิ่มแทงไปทางหนิงหลงอย่างเอาเรื่อง
เธอไม่เพียงจะไม่ปลุกเขาแถมยังคิดจะหนีกลับไปคนเดียวอีก...มันช่างน่านัก!
“ข้าเห็นเจ้ากำลังนอนสบาย..ข้าขอโทษนะ”
“มะ...ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก แล้วก็ท่านผูกสายคล้องเอวไม่เรียบร้อยเลย
มานี่..ข้าจะผูกให้”เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอื้อมือเข้าไปจัดแจงผูกสายคาดเอวเป็นปมผีเสื้องดงาม
ซูฮวาอยู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพอเขาผูกสายคาดให้เธอเช่นนี้ช่างราวกับว่าทั้งสองกำลังโอบกอดกันอยู่ก็
เสียงเต้นของหัวใจทั้งคู่ดังประสานกันเหมือนเสียงดนตรีที่บรรเลงคนละเพลงฟังดังอื้ออึงในหู
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความขัดเขินเล่นทำเอาทั้งคู่ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยต่อกัน
“วะ...วันนี้ท่านจะมาที่นี่อีกหรือไม่?”ซูฮวากลั้นใจถามออกไป
“หาก...ไม่ได้คิดธุระอันใด
ข้าจะมาหาก็แล้วกันนะ”ความจริงคือในวันนี้เธอยังไม่มีแผนการใดๆนอกจากดื่มชายามบ่ายกับจินหลันเลย แต่การจะปฏิเสธในทันทีจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีเสียเปล่า
“....ข้าจะรอ”
“อย่ารอจนไม่ได้นอนล่ะ ข้าเองก็ต้องรีบไปแล้ว ถ้าง่วงก็นอนต่อเถอะ”รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าการค้าของหญิงสาว
“ข้าจะไปส่งท่านที่หน้าตำหนักก่อน...แล้วจะค่อยกลับมานอน”
“...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”
หนิงหลงรอให้ซูฮวาหยิบตะเกียงออกมาแล้วจึงเดินออกไปที่นอกห้องด้วยกัน ในตำหนักของซูฮวามีนายกำนัลมากกว่าตำหนักอื่นๆเพราะด้วยฐานะองค์ชายของเขาแล้วจึงทำให้มีนายกำนัลจากแคว้นเก่าตามมาด้วยมากและยังมีนายกำนัลจากวังหลังที่ส่งมาด้วย
ตั้งแต่เช้าที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยเหล่านายกำนัลออกมาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
“ท่านซูฮวากับองค์หญิงหนิงหลงล่ะ...ช่างเหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก”เสียงกระซิบกระซาบจากนายกำนัลโดยรอบกล่าวขึ้นเมื่อเห็นเขาทั้งสองเดินเคียงดันไปตามทางเดิน
“ท่านซูฮวาก็งดงาม องค์หญิงก็งดงาม เหมาะสมกันกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
“เชื้อพระวงศ์ก็ต้องคู่กับเชื้อพระวงศ์”
“เมื่อคืนองค์หญิงมาประทับที่นี่ก็หมายความว่า...”
กระซิบกันดังไปแล้ว ข้าได้ยินนะ!
หนิงหลงไม่อยากจะขัดความสุขของการได้จับกลุ่มพูดคุยแบบนั้นหรอกแต่เมื่อในคืนนี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่พวกเขาหวังหรอก!
อย่าพูดถึงเด็กที่เกิดมาเป็นชายรึหญิงเชียว!
ยังไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นเสียหน่อยอย่ามาสร้างแรงกดดันให้เธอเด็ดขาดเลย!
ถึงจะตะโกนในใจแค่ไหนคนภายนอกก็ไม่ได้ยิน
เธอต้องฟังเสียงซุบซิบว่าพวกเรานั้นเหมาะสมกับเพียงใดไปตลอดทางเดินจนมาถึงหน้าตำหนัก
ในที่แห่งนั้นเธอก็ได้พบกับซิ่วเหว่ที่มายืนรอเธอหน้าตำหนักของซูฮวาอยู่ก่อนแล้ว
เธอจำไม่ได้เลยว่าบอกให้เขามารอตั้งแต่เมื่อใดแต่คงเป็นเพราะหน้าที่ซิ่วเหว่จึงออกมายืนรอรับเธอแต่เช้าเช่นนี้
“มีคนมารับแค่คนเดียวแบบนี้อันตรายนะพะย่ะค่ะองค์หญิง
ข้าให้คนของข้าไปส่งด้วยดีกว่า”ซูฮวาจับไหล่ของเธอเบาๆแล้วพูดที่ข้างหู
“ไม่เป็นไร...ถ้ามังกรฟ้ายังปกป้องข้าไม่ได้
ใครก็ปกป้องข้าไม่ได้หรอก”
“...ถะ...ถึงอย่างนั้น”
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“หากท่านกล่าวเช่นนั้น...ข้าจะขัดท่านได้ยังไงกันล่ะ?”
ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ปล่อยให้เธอกลับตำหนักไปกับนายกำนัลเพียงสองคน
แต่เหตุจึงมีแค่นายกำนัลคนนี้ที่มารับล่ะ? รึว่าคนนี้จะเป็นนายกำนัลคนโปรดขององค์หญิง?
ชายหนุ่มจ้องไปยังซิ่วเหว่ที่สายตาคาดคั้นแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมาซิ่วเหว่ก็เข้าใจความหมายของสายตานั่นดีเขาจึงต้องหลบตาของซูฮวาอย่างหวั่นเกรง
“ข้าไปก่อนนะซูฮวา”
“พะย่ะค่ะ องค์หญิง”
หนิงหลงหันไปบอกลาแล้วเดินนำหน้าซิ่วเหว่กลับไปยังตำหนัก ตลอดทางเดินมีแสงจากพระอาทิตย์ตรงขอบฟ้าคอยให้แสงสว่างอยู่ถึงไม่ใช้ตะเกียงก็สามารถเดินกลับได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
“องค์หญิงคืนนี้...ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ?
ข้าอยากทราบเอาไว้เพื่อจะได้ไปรับท่าน..”อยู่ๆซิ่วเหว่อยู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“อะ...เอ่อ เรื่องนั้น...”
จะว่าไปตลอดสองสามวันมานี้เธอก็เทียวไปเทียวมาตำหนักนายสนมเป็นว่าเล่น
ตอนนี้หนิงหลงก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองใกล้จะก้าวสู่หนทางของหญิงเจ้าสำราญเข้าไปทุกทีแล้ว
ต่อให้ร้องตะโกนว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ!
ออกไปก็ตามที แต่การกระทำของเธอมันส่อไปแล้วจะคงหมดข้อแก้ตัว
“ข้ายังไม่มีแผนการน่ะ แต่เช้าขนาดนี้ออกมารับข้าเจ้าคงลำบากแย่เลยสินะ”หากแก้ตัวไม่ถูกก็ให้เบี่ยงประเด็นคือเทคนิคขั้นสูง!
“ไม่เลยขอรับ!
ข้าไม่ได้ลำบาก...อะไร”ความจริงนี่เป็นเหมือนรางวัลเสียมากกว่า
ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับองค์หญิงแค่สองคน...มีเพียงเวลานี้เท่านั้น
“ข้าเองก็รู้สึกดีที่เจ้ามารับแต่มันจะดีถ้าเจ้าไม่ได้ฝืนตนเองเกินไป
ข้าเห็นเจ้าทำงานคนเดียวตลอด ที่ตำหนักไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม?”
“...ไม่! ไม่เลยขอรับ”
“จริงหรือ?”
“ขอ...รับ”
เขาโกหก...
ใบหน้าของเขาก้มลงมองแต่พื้นท่าทีก็ดูเหมือนอยู่ไม่สุขแบบนี้ก็ชัดเขนแล้วล่ะว่าเขาพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง
เห็นทีเธอคงต้องสั่งให้ตรวจสอบนายกำนัลในตำหนักอย่างจริงจังซะแล้ว
ในทางกลับกันนั้น ซิ่วเหว่แอบเหลือบมองใบหน้าด้านข้างขององค์หญิง
วันนี้เธอก็ยังคงงดงามอยู่เช่นเคยแม้เป็นเรื่องเล็กๆเธอก็ยังใส่ใจเขาอยู่เสมอ
เขาก็เพียงนายกำนัลคนหนึ่งไม่มีอะไรจะเอาไปเทียบกับพระสนมจินหลันรึพระสนมซูฮวา
เพียงแค่ช่วงเวลาเดินกลับตำหนักที่เขาจะได้อยู่กับเธอเพียงแค่นี้...ก็พอแล้ว
...แต่นับวันหัวใจของเขากลับรู้สึกย้อนแย้งกับสิ่งที่สมองคิดว่าถูกต้อง
ยิ่งเห็นว่าองค์หญิงใส่ใจกับพระสนมของเธอมากเท่าใดหัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด
แต่การไม่ได้เจอองค์หญิงเลวมันเจ็บปวดยิ่งกว่า นี่อาจจะเป็นความโลภมากที่ต้องแลกมาด้วยความปวดร้าวแต่เขาก็หยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้
เมื่อมาถึงหน้าห้องของหนิงหลงทั้งสองก็ต้องแยกทางกันไป
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปส่งในห้องได้ นายกำนัลระดับล่างเช่นเขาไม่มีสิทธิได้เข้าห้องของเชื้อพระวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
พอกลับมาถึงห้องหนิงหลงก็รีบมานั่งคิดว่าบ่ายนี้เธอจัดเตรียมเวลาน้ำชาอย่างไรดี?
หากให้พูดถึงของที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจก็ต้องเป็นของทำมือ
เธอไม่แน่ใจว่าจะมีของที่เธอสามารถทำได้ที่โลกนี้บ้างไหมนะ?
ของว่างที่สามารถดื่มกับน้ำชาได้และทำได้ง่ายที่สำคัญต้องอร่อยด้วย
แป้งสาลี...ที่นี่คงมีอยู่แล้ว ของที่เธอชอบทำกินที่บ้านอยู่บ่อยด้วยความง่ายและสะดวกสบายของมันแทบจะเรียกว่าไม่ต้องทำอะไรมากก็อร่อยได้
ใช่แล้ว...สิ่งนั้นคือแพนเค้กยังไงล่ะ!!
ถึงจะไม่มีผงฟูสำหรับทำอาหารแต่ความอร่อยของแพนเค้กไม่ได้อยู่ที่ผงฟูเสียที่เดียว
หากนำไข่ขาวมาตีจนขึ้นฟองฟูก็จะได้แพนเค้กที่หนานุ่มและเด้งดึ๋งไม่แพ้กัน!
แค่คิดถึงรสชาติอาหารเก่ๆที่เคยกินเมื่อตอนยังเป็นมนุษย์เงินเดือนสาวแค่นี้น้ำลายก็จะหกอยู่แล้วจนอยากจะไปทำเสียเดี๋ยวนี้
แต่เธอต้องไม่ลืมว่าตัวเองเป็นองค์หญิงการกระทำทุกอย่างขององค์หญิงต้องอยู่ในสายตาคนสนิทของเธอเสียก่อน
ทำอะไรโดยพลการจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ
เมื่อถึงเวลางานตอนเช้าจิ้นอันก็มาหาที่ห้องเหมือนทุกๆวัน
ดูเหมือนว่าร่างกายเธอจะสบายดีทุกอย่างแล้วจิ้นอันจึงมาแจ้งกำหนดการสิ่งที่เธอต้องทำให้วันพรุ่งนี้ให้
วันนี้จึงเป็นวันพักผ่อนของเธออีกหนึ่งวันก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานอย่างจริงจัง
“จิ้นอัน..ข้าจะอยากจะยืมใช้ห้องครัวเสียหน่อย
เจ้าช่วยจัดการให้ได้รึไม่?”หนิงหลงเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังจัดกองหนังสือลงไปจากโต๊ะ
“ห้องครัว? จะทำอะไรหรือเพคะ?”
“ข้าอยากเตรียมอะไรสำหรับน้ำชายามบ่ายเสียหน่อย
เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“กับพระสนมจินหลันสินะเพคะ? ได้เพคะข้าจะจัดเตรียมให้โดยเร็ว”
“ข้าต้องการ แป้งสาลี นมวัว ไข่ไก่ แล้วก็น้ำมันหมู ฝากเจ้าด้วยนะ”
“เพคะ...ว่าแต่องค์พักนี้สนิทสนมของพระสนมจินหลันขึ้นนะเพคะ”
“หา? อะ...เอ่อ ก็นะ”
จู่ๆจิ้นอันก็เพ่งคำถามตรงมายังเรื่องนี้มันเกือบจะทำให้เธอเสียศูนย์ไปเลยทีเดียว
จิ้นอันจะต้องมองว่าเธอกลายเป็นองค์หญิงเจ้าสำราญไปแล้วเป็นแน่
สายตาที่คนสนิทของเธอราวกับพยายามจะจับไต๋ให้เธอจนมุมอย่างไรอย่างนั้น
“แบบนี้คงไม่ต้องพึ่งถุงคุมกำเนิดแล้วล่ะมังเจ้าคะ?”
“พะ...พูดอะไรน่ะจิ้นอัน!?”
“หากท่านตกลงปลงใจที่จะมีทายาทกับพระสนมคนใดเร็วมันก็คงจะดีมากเลยล่ะเพคะ
ทุกวันนี้ท่านแม่ทัพยังบ่นกระปอดกระแปดในวงเหล้าว่าเมื่อไหร่จะได้อุ้มหลานเสียที”
“อุก..”
พอถูกคำถามจี้ใจดำของแม่ยายหนิงหลงก็กับต้องหายใจสะดุด
เป็นเรื่องธรรมดาสุดแสนจะธรรมดาที่เล่าย่าๆยายๆอยากจะอุ้มหลานไวๆ
แต่ในคำพูดเพียงแค่อยากอุ้มหลานมันคือแรงกดดันอันมหาศาลที่ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะต้านทานพลังของมันได้
“ท่านแม่ทัพยังแอบบอกด้วยว่า
ทั้งๆที่ลูกชายออกจะงดงามขนาดนี้องค์หญิงยังไม่ปลงใจ
บางทีองค์หญิงอาจจะหมดสมรรถภาพไปแล้วก็ได้”
“อย่าพูดเช่นนั้นสิ ข้าเพิ่ง 18 ไม่มิใช่หรือ?”
“เมื่อก่อนท่านไม่เคยไปหาพวกเขาเลยก็มีคนคิดเช่นนั้นเยอะเพคะ”
เรื่องของหนิงหลงคนก่อนเธอจะได้เข้าใจได้อย่างไรเล่า...
แต่เอาเข้าจริงตอนนี้เธอก็เริ่มจะเข้าใจองค์หญิงขึ้นมานิดหน่อยซะแล้วสิ
จะทั้งจินหลันก็ดีซูฮวาก็ดี พวกเขาล้วนมีอนุภาพในการทลายความยั้งคิดได้สูงมาก
หากให้เลือกความสบายขอนอนอยู่ห้องยังจะสบายใจเสียกว่า
“แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าอย่าเพิ่งเร่งรีบจะดีเสียกว่าเพคะ
ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับผู้ร้ายที่ยังหาตัวไม่ได้
ตอนนี้พวกเขายังลอยนวลอยู่อาจจะทำร้ายท่านได้ทุกเมื่อ”จิ้นอันเดินมาที่โต๊ะทำงานของหนิงหลงแล้วยื่นกระดาษแผ่นเท่าใบที่ถูกพักมาอย่างดีให้
“พวกเขาหรือ? มีมากกว่าหนึ่งคนสินะ?”
“เพคะ...จากการตรวจสอบ เหตุครั้งนี้ไม่ได้ก่อโดยคนเดียว”
เมื่อคลี่กระดาษออกภายในเป็นห่อผ้าสีแดงที่มีขวดแก้วขนาดเล็กบรรจุของเหลวสีม่วงเข็มเอาไว้ด้านใน
เพียงมองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะสัมผัสมันโดยตรง ท่าทางของมันคล้ายกับยาพิษก็ไม่ปาน
ไม่สิ...มันคือยาพิษไม่ว่าจะมองมุมไหนเลยล่ะ
“ข้าแอบเอามาโดยพลการ แต่นี่คือส่วนหนึ่งจากจอดเหล้าที่ท่านดื่ม
ข้าเอามาให้องค์หญิงดูเผื่อว่าท่านจะจำสิ่งใดได้บ้าง”
“พิษนี่....เป็นพิษอะไรเจ้ารู้รึไม่?”
“พิษงูเพคะ”
“...พิษงู ในในจอกเหล้านี่นะ?”
“จากการตรวจสอบของแพทย์หลวงและหมอยานับสิบคนให้ความเห็นเดียงกันว่ามันคือพิษงูเพคะ”
มีงูบางชนิดที่เพียงได้รับพิษแม้ปลายเล็บเข้าสู่ร่างกายก็ทำให้ตายได้
แต่ใครกันที่จะสามารถนำพิษงูออกมาได้
คนๆนั้นต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับงูไม่ก็เป็นพรานป่าที่เชี่ยวชาญเรื่องงูเป็นอย่างดี
แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้ทำด้วยผู้ร้ายเพียงคนเดียว
อย่างไรเสียคนที่ทำคนใดคนหนึ่งต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน
การจะเคลื่อนไหวภายในวังได้หากไม่มีคนในคอนช่วยเหลือยากนักที่จะสำเร็จ
ไม่ไหว...ทุกอย่างมืดแปดด้านไปหมด
หนิงหลงกุมขมับของตนเองแล้วพยายามเรียบเรียงความคิดใหม่ทั้งหมด
งูพิษ...คนภายใน...การพิธีกรรม
มีจุดที่เข้ากันอยู่แต่ก็ไม่มีจุดไหนแสดงตำแหน่งที่แน่ชัด
หากให้เริ่มจากพิษงูก็คงต้องขวานหากันยาว
แต่ให้เริ่มจากคนฝ่ายในการทำแบบนั้นจะทำให้คนร้ายตื่นตัวเกินไป
จะต้องหาให้เร็วและเงียบที่สุดนั่นก็ยากเย็นไม่แพ้กัน
พิธีกรรมนั้นเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ
มีผู้คนมากมายเข่าร่วมและมีนายกำนัลและข้าหลวงที่จัดงานอยู่มากมาย
คนร้ายจะต้องอาศัยช่วงไหนถึงจะเข้าถึงจอกเหล้าได้?
นายกำนัลน่ะตัดทิ้งไปได้เลย
พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พกสิ่งใดเข้าไปในห้องครัว มีการตรวจตราเข้มเว้นแต่จะมีใครสักคนหลุดรอดไปได้
ข้าหลวงทุกคนล้วนมีงานที่ชัดเจนแต่...หากมีใครสักคนละจากงานตัวเองชั่วคราวล่ะ?
รึว่า...จะเป็นทหาร แต่ทหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับครัววังหลังได้อย่างไร?
คำว่าใครสักคนนี่มันช่างราวกับงมเข็มในมหาสมุทร แถมที่นี่ยังเป็นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเสียด้วย
“เฮ้อ...ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
“....เช่นนั้นหรือเพคะ”
จิ้นอันถอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ
เธอหวังว่าจะได้เบาะแสเพื่อตามจับคนร้ายให้เร็วที่สุดแต่ต่อให้นั่งจ้องยาพิษก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ถึงอย่างนั้นเธอจะอยากจะลองดูทุกความเป็นได้
“จิ้นอัน ข้าขอสั่งกำชับเอาไว้
อย่าทำเรื่องนี้ตะโตกกระตาก คอยค้นหาแบบเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้”หนิงหลงห่อเก็บกระดาษให้เป็นดั่งเดิมแล้วยื่นคืนให้จิ้นอัน
“ทำไมหรือเพคะ?”
“ข้าคิดว่าคนในจะมีส่วนแน่ๆ หากตีน้ำปลาก็จะตื่นตัวพยายามอย่าให้คนนอกรู้เรื่องนี้
หากเรื่องเงียบไปข้าคิดว่าคนร้ายจะต้องพยายามเคลื่อนไหวรึหาทางออกจากพระราชวังเป็นแน่
พอถึงตอนนั้น...”
“เข้าจับกุมโดยไร้ข้อกังขา...สินะเพคะ
เป็นยุทธการที่เฉียบแหลมมากพะย่ะค่ะ”
“ในตอนนี้ข้าต้องการให้ทหารคุมตำหนักสำคัญๆมากเป็นพิเศษเพื่อดูคนเข้าออก
โดนเฉพาะเวลากลางคืน และจุดไฟให้สว่างในทุกที่ที่ลับสายตา”
“เพคะองค์หญิง”
“แล้วก็นำสิ่งนี้กลับไปแล้วทำรายมันซะ...หากมีผู้ใดเห็นอาจจะเข้าใจผิด”
“ข้าจะดำเนินการเดียวนี้ และจะไปจัดแจงห้องครัวต่อจากนี้ด้วยเพคะ
องค์หญิงมีสิ่งใดให้ข้าทำอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามาก”
“หามิได้”
จิ้นอันเดินออกไปจากห้องพร้อมทั้งซ่อนตัวอย่างยาพิษที่เธอแอบนำกลับมาไว้ที่ชายเสื้อ
ตอนนี้เหลือเพียงหนิงหลงคนเดียวในห้องส่วนตัว
พิษงู...เหตุใดถึงได้มีความรู้สึกแปลกกับคำๆนี้
เธอรู้สึกจากก้นบึ้งความคิดว่าจะรู้จักคนที่เชี่ยวชาญด้านงูอยู่ในใจ
==============================================================
กลับมาแล้ววว
ตอนต่อไป...ใครคิดถึงจินหลันบ้างงงงง
ความคิดเห็น