ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บของ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 6 ผู้นำคนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 58


                ไม่ว่าจะเป็นในเมืองมนุษย์หรือในนครแห่งเวทมนตร์ก็ตามผู้คนทุกคนนั้นก็ต้องตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันยาวนานด้วยแสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ยามเช้าอันเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าผู้คนนั้นจะต้องลุกขึ้นออกจากเตียงนอนที่พวกเขานอนอยู่ทั้งคืน ลืมตาออกกว้างๆและลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวเพื่อออกไปพบกับวันใหม่ที่อาจเป็นวันที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม

     

                ในเวลานี้บุคคลทั้งสี่ที่ได้นอนหลับอย่างเต็มคืนได้ตื่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวที่จะออกเดินทางในวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                “วิล ท่านได้ให้อาหารม้าแล้วหรือยัง”เบร็คได้เปิดฉากสนทนากับพ่อมดหนุ่มขึ้นเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าม้าที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในการเดินทางนั้นคงจะต้องการอาหารแล้ว

                ในทันทีที่ชายหนุ่มนัยน์ตาสีนิลได้เอ่ยประโยคใช้งานของเขาขึ้นนั้นพ่อมดหนุ่มคู่สนทนาของเขาก็ได้เดินไปหยิบถุงบางอย่างออกมาจากตู้เสื้อผ้าของโรงแรมในทันที

                แต่น่าแปลกที่เมื่อชายนัยน์ตาสีมรกตได้หยิบถุงอาหารออกมาจากตู้เป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่แทนที่เขาจะเดินไปยังประตูของห้องนอนเพื่อออกไปยังที่ที่พวกเขาได้ผูกม้าเอาไว้เพื่อไปให้อาหารม้านั้น

                เขากลับเดินกลับตัวกลับมาและมุ่งตรงไปยังเตียงนอนที่เบร็คนั้นกำลังนั่งอยู่

                “เชิญ”ในทันทีที่เด็กพ่อมดได้เดินมาถึงตรงหน้าของผู้ที่มีเรือนผมสีดำสนิทนั้นเขาก็ได้วางถุงอาหารม้าในมือของเขาไว้ตรงหน้าของเบร็คในทันที

                เด็กชายทั้งสองยังคงมองหน้ากันและกันโดยมิได้มีผู้ใดเลือกที่จะหยิบถุงอาหารเจ้าปัญหานี้ขึ้นมาแต่อย่างใด

                “ข้าขออาสาเองท่านทั้งสอง”ก่อนที่สถานการณ์ในที่แห่งนั้นจะเริ่มย่ำแย่ลงไปมากกว่าการจ้องตากันละกันของพ่อมดหนุ่มและมนุษย์ผู้นี้นั้นทหารนามอัลโต้ก็ได้เอ่ยคำอาสาขึ้นเพื่อเป็นการทำให้สถานการณ์ยามเช้าตรู่ดูสดใสขึ้น

                ทหารที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้ค่อยๆเอื้อมมือของตนเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อไปหยิบถุงอาหารม้าอย่างสุภาพพลางส่งรอยยิ้มให้บุคคลทั้งสอง

                จากนั้นไม่นานนักร่างของอัลโตก็ได้ค่อยๆเดินออกไปจากห้องนอนที่พวกเขาได้นอนอยู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ผูกม้าอย่างใจเย็น

                ภายในห้องนอนนั้นบัดนี้ได้เหลือเพียงร่างของเลือดผสมทั้งสองที่กำลังมองหน้าของกันอย่างไม่วางตา

                “ไปปลุกคริสต้าสิ”เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีดำยังไม่วายที่จะหาเรื่องใช้งานเพื่อนร่วมทางของเขาหลังจากที่เขานึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวที่อยู่ห้องข้างๆนั้นยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินออกมาเพื่อพบปะกับพวกเขา

                แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มพ่อมดนั้นจะได้เอ่ยคำตอบของเขาออกไปเขาก็ต้องหันศรีษะของเขาไปตามเสียงเปิดประตูอันเร่งรีบของเด็กหนุ่มในชุดทหารเสียก่อน

                “แย่แล้วท่าน เชือกที่ผูกม้าถูกตัดออก ม้าหายไปแล้วท่าน”อัลโต้ได้เดินเข้ามายังทิศทางของเด็กหนุ่มทั้งสองพลางกล่าวประโยคสนทนาของเขาออกไปอย่างเร่งรีบ

                “ก็ดีนะท่านอัลโต้ ได้ไม่ต้องเกี่ยงกันให้อาหาร”ชายหนุ่มนัยน์ตาสีนิลสนิทได้กล่าวขึ้นลอยๆพลางปรายสายตาของเขาออกเพื่อมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ใช้คาถาแห่งน้ำที่ยังคงยืนอยู่ในบริเวณใกล้ๆกับเขา

                “โธ่ ท่านเบร็คพอก่อนเถิด”ทหารคนสนิทของบุคคลที่กำลังถูกชายตรงหน้าพาดพิงได้กล่าวขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาของเด็กมนุษย์คนนี้

                            “ไม่เป็นไรหรอกน่าอัลโต้ เหลือระยะทางอีกเพียงไม่มากนักมันก็จะถึงปราสาทของข้าแล้ว”เบร็คได้เอ่ยปากของเขาขึ้นเพื่ออธิบายความคิดของเขาในทันทีที่ทหารหนุ่มพูดจบ

                แอ๊ดดด เสียงเปิดประตูได้ดังขึ้นโดยไม่มีเสียงเรียกขออนุญาตใดๆก่อน

                ซึ่งผู้ที่เปิดประตูนั้นนั่นก็คือเด็กหญิงเจ้าของคาถาแห่งอัสนีนั่นเอง

                “ข้าคิดว่าเราควรออกเดินทางกันได้แล้วนะ”เสียงสนทนาของผู้เปิดประตูได้ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มของเด็กสาวที่ปรากฏขึ้นในทันทีที่ประตูนั้นได้ถูกเปิดออก

                บุคคลทั้งสี่ใช้เวลาหลังจากนั้นไม่นานนักในการเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปของพวกเขาราชวังแห่งเมืองมนุษย์

                “ท่านเดลล่า บุคคลพวกนี้นั้นคือทหารที่ท่านจะต้องควบคุมต่อไป”ชายเฒ่ากราดอนได้เอ่ยขึ้นกับหญิงชราข้างๆพลางกวาดมือของเขาออกไปในทิศทางที่มีทหารหมู่หนึ่งได้หมอบรวมกันอยู่

                “ข้าขอใช้สิทธิ์แห่งหัวหน้าสภาสั่งการให้ท่านเป็นขึ้นนำทัพแทนที่ท่านเซเฟียน่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป”ชายชรายังคงพูดขึ้นต่อไปด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ    

                “เอาเถิดท่านเดลล่า ข้าให้เวลาท่านครึ่งชั่วโมงเพื่อเจรจากับเหล่าทหารของท่านหลังจากนั้นข้าขอความกรุณาให้ท่านไปพบข้าที่ที่ทำการสภา”กราดอนเว้นระยะซักพักเพื่อดูปฏิกิริยาของแม่มดชราตรงหน้าของเขาแต่เมื่อเธอมิได้แสดงท่าทีสงสัยใดๆเขาจึงเอ่ยปากขึ้นเพื่อกล่าวประโยคนัดหมายต่อไปพลางเอื้อมไม้เท้าอันหนาของเขาขึ้นเพื่อค่อยๆค้ำร่างกายอันแก่ชราของตนเองเพื่อออกเดินไปจากห้องโถงแห่งนั้น

                “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกเราได้ท่านมาเป็นผู้นำคนใหม่ท่านเดลล่า ข้าคือฟริลิกซ์หัวหน้าทหารกองนี้”ไม่นานนักที่ผู้เฒ่าอาวุโสได้ย่างก้าวออกไปฟริลิกซ์ก็ได้เปิดฉากการสนทนาขึ้น พร้อมกับการค่อยๆโน้มตัวของตนเองลงจนเข่าของเขาติดอยู่กับพื้นเบื้องล่าง

                “ลุกขึ้นมาก่อนเถิดฟริลิกซ์ ตัวข้าเองนั้นมิได้เป็นคนที่ต้องมีพิธีการสูงนักดังท่านเซเฟียน่าและท่านอาวุโสกราดอน”แม่มดชราเดลล่าได้กล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆในทันทีที่เธอได้เห็นทหารตรงหน้านั่งลง โดยเธอเองนั้นมิได้รู้ตัวนักว่าตนเองได้พูดประโยคที่ไม่สมควรที่จะเอ่ยออกไปเสียแล้วเมื่อทหารตรงหน้านั้นคือบุคคลผู้ที่ขึ้นอยู่กับท่านกราดอนและอดีตผู้นำผู้ล่วงลับเซเฟียน่า

                “เอาเถิดท่านฟริลิกซ์และเหล่าทหารทั้งหลาย”แม่มดชราเอ่ยขึ้นหลังจากเว้นระยะการสนทนาจากประโยคเมื่อครู่ของเธอกับหัวหน้าทหารสักพักก่อนที่จะเคลื่อนย้ายร่างกายของเธอและค่อยๆเดินแหวกกองทหารที่กำลังแหวกทางให้เธอเพื่อที่จะไปยืนยังใจกลางของเหล่าทหาร

                 “ข้าเดลล่า ราซาด ขอประกาศตนเป็นผู้นำของพวกท่านนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”หญิงชราได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังกึกก้องในทันที่ที่เท้าของเธอได้แตะไปยังส่วนที่เป็นใจกลางของห้องโถง

                ซึ่งในทันที่ที่แม่มดชรานามเดลล่าได้กล่าวประโยคของเธอจบ ทหารทั้งหลายในห้องโถงนั้นจึงตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังจนก้องห้องนั้น

                “ขอน้อมรับท่านผู้นำ”เสียงอันดังของทหารในห้องโถงได้จบลงในทันทีที่หัวเข่าของเหล่าทหารแตะต้องกับพื้นเบื้องล่างอย่างพร้อมเพรียง

                ไม่นานนักหลักจากเหล่าทหารคุกเข่าลงกับพื้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ผนังแก้วด้านบนห้องโถงนั้นก็ได้เปิดออกด้วยแรงแห่งมนตราจากพิธีประกาศตนขึ้นเป็นผู้นำส่งผลให้เหรียญสีทองระยิบระยับบางอย่างที่ถูกบรรจุอยู่ภายในนั้นตกลงมาจากใจกลางของห้องโถงสู่มือของหญิงชรา

                บัดนี้ผู้นำแห่งกองปราบกบฏคนใหม่ได้ถูกเลือกแล้ว

                “โอ้ ราชวังของมนุษย์นั้นช่างสวยงามยิ่งนัก”อัลโต้ได้เปิดริมฝีปากของตนเองออกเพื่อตอบสนองความตื่นเต้นของเขาในทันทีที่เขาได้เห็นปราสาทอันสง่างามที่อยู่ตรงหน้า           

                “อย่าเสียงดังนักสิอัลโต้”เด็กสาวได้เอ่ยประโยคของเธอขึ้นเพื่อเอ็ดทหารของตนเองหลังจากทหารของเธอนั้นได้ตื่นเต้นจนเกิดความพอดีแต่ถึงอย่างไรก็ตามปราสาทตรงหน้านั้นมันก็ช่างถูกใจเธอไม่น้อย  ปราสาทที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยความร่มรื่นของเหล่าพรรณไม้ต่างๆนาๆที่ช่างแตกต่างจากบ้านของเธอที่มักนิยมตกแต่งปราสาทด้วยรูปปั้นต่างๆด้วยความต้องการที่จะแสดงถึงความมีอำนาจผ่านทางลวดลายที่น่ากลัวของรูปปั้นที่ถูกใช้ประดับประดาไปรอบๆปราสาทนั่นเอง

                บุคคลทั้งสามได้เดินตามเด็กชายผมดำยาวสนิทตรงหน้าไปเรื่อยๆตามทางเดินของราชวังจนไปหยุดอยู่บนบัลลังก์ที่มีผู้เป็นเจ้าของของมันที่นั่งอยู่ภายใน

                “ยินดีต้อนรับ เด็กๆ”ผู้ครอบครอบบัลลังก์แห่งราชาได้เอ่ยทักทายบุคคลเบื้องล่างขึ้นด้วยน้ำเสียงและสำเนียงที่ช่างขัดต่อหน้าตาของเขายิ่งนัก

                “ข้าแต่องค์”เด็กหนุ่มเรือนผมสีทองได้กำลังจะกล่าวประโยคของเขาขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าบุคคลตรงหน้าได้ทักทายเขา หากเขามิได้ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

                “พอเถิดหนุ่มน้อย พวกเจ้าตามข้ามาเถิด”

                หลังจากบุคคลทั้งสี่ได้ยินดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงค่อยๆเดินตามองค์ราชาตรงหน้าของพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ

                “ท่านพี่ ข้าได้นำบุคคลพวกนี้มาขอที่พำนักจากท่าน”ชายนัยน์ตาสีนิลได้กล่าวขึ้นในทันทีที่ประตูห้องที่พวกเขาเข้ามานั้นถูกปิดลง

                “ข้ารู้แล้วน่า แล้วข้าก็ได้เตรียมกองทัพทหารของข้าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย”องค์ราชาแห่งเมืองมนุษย์ได้กล่าวประโยคสนทนาของเขาเพื่อต่อความในคำพูดของเด็กชายตรงหน้า

                “ทหารกองนี้ถูกลอบซื้อมาจากเมืองแห่งเวทมนตร์เชียวนะ”ราชาแห่งเมืองมนุษย์ยังคงกล่าวต่อไปเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มพ่อมดวิลที่ทำท่าทางเหมือนจะโต้เถียงอะไรบางอย่างซึ่งจากที่เขาคาดการณ์นั้นมันก็คงไม่พ้นเรื่องการใช้เวทมนตร์ต่อสู้นั่นเอง

                “เป็นเกียรติอย่างสูงองค์ราชา”เมื่อเด็กหนุ่มพ่อมดได้ยินดดังนั้นเขาจึงยอมรับในกองทหารที่ถูกเสนอให้

                “ข้ายินดีช่วยเหลือเจ้าเด็กน้อย”ชายหนุ่มผู้เป็นราชาแห่งเมืองมนุษย์ได้กล่าวขึ้นก่อนที่จะเว้นระยะสักพัก

                “แต่เจ้า!”เขาเงื้อมือขึ้นเพื่อชี้หน้าชายในชุดทหารอัลโต้ส่งผลให้ผู้ถูกชี้นั้นหัวใจเต้นระรัวเมื่อถูกขึ้นเสียงใส่อย่างฉับพลันเช่นนี้

                ผู้เป็นราชาแห่งเมืองมนุษย์ได้ย่างก้าวของตนเองออกไปเพื่อร่นระยะทางระหว่างเขาและทหารตรงหน้า

                “ข้าถูกใจหน้าตาอันใสซื่อของเจ้าจัง เด็กน้อย”ในทันทีที่เขาได้เอ่ยประโยคนั้นจบลงมือที่ควรจะอยู่แนบชิดติดตัวของเขานั้นมันกลับเอื้อมออกไปเพื่อไปจับบ่าของทหารนามอัลโต้ ก่อนที่เขาจะใช้มือหนาของเขาลูบแขนของทหารตรงหน้าเบาๆ

                มิใช่เพียงอัลโต้เท่านั้นที่รู้สึกอึดอัดและขยะแขยงในตัวของบุคคลตรงหน้า

                บุคคลอีกสี่คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นก็รู้สึกขยะแขยงมิต่างจากทหารผู้โชคร้ายตรงหน้าของพวกเขาเช่นกัน

                โดยที่น้องชายของเขาเองนั้นก็รู้สึกแบบเดียวกันกับทุกๆคนยกเว้นแต่ผู้เป็นพี่ชาย(?)ของเขาที่มิได้รู้สึกแบบเดียวกันกับคนในห้องโถงนั้นเลยแม้สักนิดเดียว        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×