ตอนที่ 5 : STOP {04} ◀ ไม่หึง (ก็ได้). {100%}
- mek's part -
- 07.39 น. -
เช้าวันเสาร์…
แต่บ้านโครตเงียบ
หลังจากตื่นนอนแล้วลุกมานั่งเด๋อบนเตียงตั้งแต่เช้าซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นมาทำซากอะไรทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด ผมก็เดินไปอาบน้ำเปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดา ก่อนจะเดินงัวเงียลงมาหยุดยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ้านคนเดียว
หายไปไหนกันหมดวะ
ผมเลยเดินเอื่อยๆไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรประทังชีวิต แต่มันกลับบ๋อแบ๋ นมจืดของผมไม่เหลือสักกล่อง -_- และมันก็คงไม่ใช่ฝีมือใครหน้าไหนถ้าไม่ใช่ ‘ไอ้มาร์ค’ รุ่นน้องชั้นมอปลายที่เป็นหนึ่งในผู้เช่าบ้านของผม
อย่าให้รู้นะว่าขโมยไปแล้วไม่ซื้อมาคืน เดี๋ยวจะขึ้นค่าเช่าห้องให้อ่วมเลยคอยดู - -+
พอไม่มีอะไรที่พอจะตกถึงท้องได้ผมเลยชั่งแม่งแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี เพราะรออีกเดี๋ยวเด็กๆที่เหลือก็คงตื่นมาทำให้กินเองนั่นแหละ
เนอะ
โครกกกกกก~
แต่ดูเหมือนว่าท้องของผมจะไม่เห็นด้วยเท่าไรเลยร้องประท้วงขึ้นมา
นานจังวะ
ทำไมยังไม่ตื่นกันสักที L
พลันหางตาผมก็เหลือบไปเห็นวัตถุสี่เหลี่ยมรูปวัวที่จ่าหน้ากล่องว่า ‘นมจืด’ ถูกตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะกระจกหน้าทีวีอย่างน่าสงสาร และมันทำให้ผมนึกออกได้ทันทีว่ามันเป็นของใคร
ทั้งๆที่ผมจงใจทิ้งมันไว้บนโต๊ะหินอ่อนเมื่อวานแล้วแท้ๆนะ แต่เด็กบ้านั่นก็ยังอุตส่าห์หยิบติดมือกลับมาด้วยเฉยเลย
แต่อย่าหวังเลยว่าผมจะยอมแตะมันรอบสอง
โครกกกกกก~
ก็บอกแล้วไงว่าจะรอกินพร้อมน้องๆอ่ะ
ไม่ใจอ่อนหรอก
โครกกกกกก~
“ทำไรอ่ะพี่เมฆ!!”
อึก!
“เป็นไรอ่ะพี่?”เสียงตะโกนของ ‘กุก’ ผู้เช่าอีกคนทำผมสำลักนมในมือ จนไอ้เด็กแสบต้องเดินมาก้มดูหน้าผมว่าเป็นอะไร
“ตกใจมึงไงถามได้! เรียกปกติไม่ได้รึไง ทำไมต้องแหกปาก?”
“โทษครับพี่” กุกพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะนั่งลงข้างๆผม “ก็เห็นแกล้งแบบนี้ทีไรพี่ก็ตกใจเวอร์วังตลอดอ่ะ”
“เดี๋ยวเถอะมึง”ผมมองแรงใส่มันพลางวางกล่องนมที่ว่านั่นลงที่เดิมก่อนจะดึงทิชชูมาเช็ดปากให้เรียบร้อย
“แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้นอ่ะพี่ กลัวใครรู้อ่อว่าน้องเมฆกำลังนั่งกินนมอยู่” ไม่ว่าเปล่ามันยังทำเสียงแบ๊วล้อเลียนผมอีก
“ก็ในครัวมันมีแต่ขนมกับของหวานๆไง แล้วกูกินที่ไหนล่ะ”
“เออเนี่ยผมสงสัยมานานละ ทำไมพี่ไม่กินของหวานอ่ะ กินบ้างก็ดีนะพี่ เผื่อจะเลิกโหดแล้วหวานแหววแต๋วจ๋ากับน้องมั่ง วันๆเห็นเอาแต่ทำหน้าดุอยู่ลูกเดียว”
“ก็กูไม่ชอบ” ผมเบื่อจะนั่งตอบคำถามไอ้กุก เลยลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์โปร่งคอเว้าสีดำด้านที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้านมาดีดเล่นตัดรำคาญ เพราะถ้าขืนปล่อยให้มันซักไซ้ไปมากกว่านี้ก็กลัวมันจะรู้ความจริงซะก่อนว่าผม ‘แพ้น้ำตาล’
ใช่ ได้ยินไม่ผิดหรอก
เมฆาที่ใครๆก็ว่าเย็นชานักเย็นชาหนา แม่งแพ้น้ำตาล
นี่ขนาดมันแค่เห็นผมนั่งกินนมยังล้อผมขนาดนี้เลย แทบไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามันรู้ว่าผมเป็นอะไรที่มันมุ้งมิ้งขนาดนี้ มันจะล้อผมขนาดไหน
“ทำไมเดี๋ยวนี้เล่นแต่เพลงหวานๆวะ?” เสียงไอ้ซีนดังมาจากบันไดบ้าน ทั้งๆที่ตัวมันยังเดินมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ รู้ดีนักนะ -_-
“หวานบ้าอะไร” ผมแหวใส่มันไปหนึ่งที
“สงสัยกำลังมีความรัก”ไอ้เด็กกุกพูดเปรยๆแต่สายตากลับยังจับจ้องอยู่ที่มือถือเหมือนเดิม ขนาดไม่ได้ตั้งใจฟัง มันยังหาเรื่องแซวผมได้อ่ะคิดดู
“เฮ่ยอย่าพูดไป~”
“ทำหน้าแบบนี้มึงไปรู้อะไรมา?” มือเรียวของตัวเองที่กำลังดีดกีต้าร์อยู่หยุดชะงักลงพลางเงยหน้าไปมองคนพูดที่ทำหน้าเหมือนคันปากอยากจะเล่าซะเต็มประดา
“มันก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเท่าไรหร้อก” เสียงกวนประสาทเรียกให้กุกละความสนใจจากหน้าจอมือถือแล้วตาลีตาเหลือกลุกไปคะยั้นคะยอให้ไอ้ซีนเปิดปากเล่า
“เล่าสิพี่ซีนเล่า”
“ก็…เมื่อวานไอ้เมฆมันพาสาวเข้าบ้าน”
“ฮะ!!??คนหน้ามึนอย่างพี่เมฆเนี่ยนะจะพาสาวเข้าบ้าน!?”เนี่ย…เพราะที่บ้านมันมีพวกตาเหยี่ยวอยู่เยอะแบบนี้ไง เลยไม่อยากพาใครมาบ้าน -_-
“มึงหลอกด่ากู” พอโดนผมรู้ทัน ไอ้กุกเลยได้แต่ยิ้มแหยๆพลางทำตาลุกวาวแล้วเข้ามาเซ้าซี้ผมต่อ
“เคลียร์กันไปนะ กูไปล้างรถละ ^^”
เอ้า!
แม่งมาวางระเบิดแล้วจะหนีไปทั้งแบบนี้เนี่ยนะ?
“ยังไง ยังไง” พอไอ้ซีนเดินออกไปหน้าบ้าน กุกก็หรี่ตาลงอย่างคนกำลังจับผิดผม
“มันจะยังไง ก็แค่น้องไง” พอเห็นผมเริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กุกเลยพยักหน้าน้อยๆอย่างจำใจเชื่อทั้งๆที่หน้ามันไม่ได้บ่งบอกว่าเชื่อผมเลยสักนิด
มือข้างหนึ่งของผมกำคอกีต้าร์ไว้หลวมๆก่อนจะค่อยๆกดที่สายแล้วเปลี่ยนสลับไปมาตามคอร์ดเพลงที่ผมเปิดดูจากมือถือ ส่วนมืออีกข้างก็ไล่ขยับขึ้นลงตามทำนองเพลงโดยมีกุกนั่งมองผมเล่นไปพลางๆ
“ไอ้เมฆ! น้องมึงมาหา!”
เคร้ง!
“โหพี่ แค่ได้ยินว่าน้องมาหาแค่นี้ถึงกับเล่นเพี้ยนเลยหรอ?”
“แน๊ หรือว่าน้องคนเดียวกับที่พี่พามาบ้านเมื่อวาน”
“เงียบปากไปเลย”
“พี่เมฆ!” เสียงแจ๋นแหลนของยัยตัวเปี๊ยกดังทะลุประตูบ้านเข้ามาไกลถึงห้องที่ผมกับกุกนั่งอยู่ ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะวิ่งตึงตังๆมายืนยิ้มกว้างให้ผมถึงหน้าโซฟา
“มาทำไม?”
“เพื่อนฝากขนมมาให้”ไม่ว่าเปล่า ร่างเล็กที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับเอี๊ยมยีนส์ขาสั้นยื่นถุงขนมในมือให้ผมดู แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่แม้แต่จะรับไว้ด้วยซ้ำ
“หมอก” ผมกับยัยเปี๊ยกหันขวับไปหาอีกคนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะต่างคนต่างกำลังตกใจที่จู่ๆกุกดันเรียกชื่อเก่าที่ไม่น่าจะมีใครรู้ของมินิทขึ้นมา “หมอกใช่ป่ะ?”
“กุก!” หลังจากที่มินิทเพ่งสายตามองหน้ากุกอยู่สักพัก เจ้าตัวก็ร้องอ๋อแล้วเรียกชื่ออีกคนดังลั่น
“หมอกจริงๆด้วย! ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีป่ะ?”ผมที่กำลังนั่งมองคนทั้งคู่กระโดดโหยงเข้าหากัน ทำท่าตื่นเต้นเหมือนคนไม่ได้เจอกันนานหลายศตวรรษเลยทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ
“สบายดี แล้วแกอ่ะ?”
“ฉันสบายดี ว่าแต่แกเถอะ อย่าบอกนะว่าเรียนอยู่มอเทมป์เหมือนกัน”
“ใช่ ฉันเรียนทันตะ แกอ่ะกุก?”
“วิทย์กี”
“ไม่เจอกันนานแกก็ยังล้ำหน้าเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“อะไรวะ?”
“ฟัน -^-”
“ยัยเตี้ย!”
“แหะๆ”
“แล้วนี่มาทำอะไรบ้านฉัน?”
“มาหาพี่เมฆ”มินิทชี้นิ้วมาทางผมที่นั่งทำหน้างงอยู่ท่ามกลางบนสนทนาของสองคนนั้นต่างนานแล้วแต่ทั้งคู่คงลืมไปสนิทว่ามีพี่มันนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคนนึง “อ่าวนี่บ้านแกหรอ? ฉันก็นึกว่าบ้านพี่เมฆ”
“ฮ่าๆ บ้านพี่เมฆเว้ย แกนี่ซื่อบื้อเหมือนเดิมเลยเนอะ” มินิทหยิกแขนกุกไปหนึ่งที แต่คนโดนหยิกกลับไม่สนใจ เอาแต่หัวเราะชอบใจไม่เลิกอยู่คนเดียว ไอ้กุกนี่แม่งมือวางกวนโอ๊ยอันดับหนึ่งเลยป่ะถามจริง “พี่เมฆจีบแกอ่อ?”
“เปล่า” มินิทยิ้มเจื่อนๆก่อนจะตอบกุกด้วยเสียงเนือยๆ “ฉันนี่แหละจีบพี่เมฆ”
“หะ?!” ผมหันขวับหาคนพูดทันที เพราะผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้เราตกลงกันไปแล้วว่าจะเป็นแค่พี่น้อง แต่ทำไมจู่ๆยัยตัวเตี้ยนี่ถึงมาพูดแบบนี้อีก “เดี๋ยวนี้จีบผู้ชายก่อนเลยหรอวะ?”
“แค่เคย แต่ตอนนี้เป็นพี่น้องกัน” กุกพยักหน้าหงึกๆแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม เหมือนกับมินิทที่ได้ทีเลยเดินตามมานั่งบนโซฟาที่ยังว่างข้างๆผม กุกบอกว่าทั้งคู่เคยอยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน เคยเป็นเพื่อนกันอะไรเทือกๆนี้นี่แหละ แถมยังรู้จักกันก่อนที่มินิทจะเปลี่ยนชื่อด้วย กุกก็เลยเรียกชื่อเก่าก็แค่นั้น
จากนั้นผมก็นั่งดีดกีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางสายตาของเด็กทั้งสองคน ผมเหลือบตามองทั้งคู่สลับไปมาเป็นพักๆ มินิทนั่งตะแคงหันหน้ามาทางผมโดยใช้หัวพิงโซฟา ดวงตากลมโตทั้งสองข้างจ้องหน้าผมไม่วางตา พลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากเล็กน้อยเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวคนเดียว พาลให้ผมทำตัวไม่ถูกจนต้องหยุดดีดกีต้าร์ไปซะอย่างนั้น
“เอ้า หยุดเล่นทำไมอ่ะพี่?”
“ยิ้มอะไร?” ผมไม่ได้สนใจเสียงท้วงของกุก กลับหันหน้าไปถามอีกคนด้วยสีหน้าเอือมๆแทน แต่คนถูกถามกลับตีหน้ามึนแล้วตอบผมหน้าตาเฉย
“พี่เมฆยอมกินนมที่มินิทให้แล้วหรอ?” ผมสะดุ้งตัวจนต้องหันไปมองกล่องนมที่ว่าบนโต๊ะ
ชิบหายแล้วไอ้เมฆ! มึงลืมเก็บได้ไงวะ!
“ไอ้กุกมันกิน”พอจวนตัว ผมเลยโบ้ยให้เด็กอีกคนแทน พอได้ยินแบบนั้นไอ้กุกเลยส่ายหัวเป็นพัลวันจนเป็นผลให้ยัยนั่นอมยิ้มรอบสองเพราะคงรู้ไต๋แล้วว่าผมเป็นคนกินจริงๆ แต่แค่ไม่ยอมรับ
เด็กนั่นไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงมองหน้าผมแล้วอมยิ้มไม่หุบ แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมไปไม่เป็นเหมือนกัน ก็เลยต้องหาทางเลี่ยง โยนกีต้าร์ในมือให้กุกเอาไปเล่นต่อก่อนจะพาตัวเองออกไปให้พ้นๆจากตรงนี้
“พี่เมฆ~”พอเห็นผมลุกหนี มินิทเลยลุกตามทันที
“อ้าวพี่เมฆ จะไปไหนอ่ะ?”
“พี่…”ทันทีที่เดินออกมาพ้นประตูบ้าน ก็เจอเนล หรือ สเนลกำลังยืนล้างรถให้ไอ้ซีนอยู่หน้าบ้าน (ไหนมันบอกจะมาล้างเองไงวะ ไหงกลายเป็นไปใช้งานน้องเฉยเลย -*-) ผมเองก็ไม่ได้ตั้งตัวว่าจะออกมาเจอใครเลยไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง พอดีกับมินิทที่วิ่งตามหลังออกมาอีกคน ผมเลยยิ่งหนักใจไปใหญ่ ครั้นจะบอกว่าเขินเด็กนี่จนต้องเดินหนีออกมาหน้าบ้านก็กลัวจะเสียฟอร์ม แต่พลันหางตาดันเหลือบไปเห็นรถยนต์ของตัวเองพอดี เลยไม่มีทางเลือกจำต้องใช้ไม้นี้ไป
“พี่จะล้างรถ”
“ล้างรถ?”
“อือ”
“งั้นเดี๋ยวหนูช่วย” เนลเดินไปปิดน้ำจากสายยางแล้วเช็ดไม้เช็ดมือก่อนจะเดินหายไปในโรงรถเพื่อจะหยิบอุปกรณ์เพิ่ม แต่พอเดินกลับมาดันโดนมือเล็กดึงแขนไว้แล้วแย่งของในมือไปถือเองซะก่อน
“ฉันจะช่วยพี่เมฆเอง คนอื่นไม่ต้องมายุ่ง!”
----------------------------------Time Stop-------------------------------------
ผมเดินไปดึงสายยางที่นอนขดอยู่ในสนามหญ้ามาฉีดพรมจนทั่วรถ พอๆกับที่มินิทเดินถือของออกมาสมทบพ่วงด้วยเนลที่เดินตามมาต้อยๆ
เนลบีบน้ำยาล้างรถใส่กะละมังก่อนจะเอาฟองน้ำในมือจุ่มลงไป แล้วเอาไปถูที่ตัวรถเบาๆอย่างคล่องแคล่ว ผิดกับอีกคนที่ทำท่าเก้ๆกังๆ จะเอาฟองน้ำชุบน้ำยาก็ลีลา จะเอามาเช็ดรถก็ดูเหมือนคนทำไม่เป็น
แหงล่ะ คุณหนูที่มีคนทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต อยากได้อะไรก็ใช้เงินฟาดหัวซื้อมาแบบยัยนี่ จะทำอะไรเป็น?
มินิทหันซ้ายทีขวาทีแล้วเดินไปหอบเศษใบไม้ที่กองอยู่มาโปรยใส่หน้ารถ แถวๆที่เนลกำลังทำความสะอาดอยู่จนมันสกปรกอีกรอบราวกับจงใจจะแกล้ง อีกฝ่ายเลยทำหน้างงแต่ก็ไม่ได้สนใจจะต่อปากต่อคำอะไรตามนิสัย เจ้าตัวเลยต้องค่อยๆหยิบใบไม้ออกทีละใบก่อนจะเรียกให้ผมไปฉีดน้ำไล่ฝุ่นที่มากับใบไม้ออกให้
“ตรงนี้ด้วยพี่เมฆ” ผมขยับเข้าไปใกล้เนลจนสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักส่งมา และเหมือนมินิทจะทนไม่ไหวเลยเดินดุ่มๆเข้ามาเช็ดใกล้ๆโดยไม่ลืมจะชักสีหน้าใส่แล้วถูรถแรงๆเพื่อเรียกร้องความสนใจ
และเหมือนว่าตั้งใจ มินิทแกล้งเช็ดรถแรงๆจนฟองสีขาวกระเด็นไปโดนตัวเนลทำให้เสื้อของอีกคนเปียกไปหมด
“อุ้ยเปียกหมดเลยอ่ะ ขอโทษนะ” แต่คนพูดกลับไม่ได้รู้สึกผิดอย่างที่ปากพูดพลางทำหน้ายิ้มๆเหมือนจะสะใจ จนเนลต้องทำหน้างงปนๆกับไม่พอใจแล้วหันหน้ามาถามผมที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสายตาว่า ‘อะไรของเด็กนี่วะพี่เมฆ?’
ผมเลยทำหน้าประมาณว่าอย่าไปสนใจเด็กบ้านี่เลย เนลถึงยอมไม่ถือสาอะไรแล้วกลับมาช่วยกันล้างรถต่อ
แต่มีหรือที่ผมจะยอมปล่อยให้คนเกเรลอยนวลไปง่ายๆ
ผมเดินอ้อมมาอีกฝั่งของรถแล้วตวัดสายยางในมือที่ใช้ล้างรถเพื่อให้น้ำกระเดนไปโดนคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม จนมินิทต้องหันขวับมามองตาขวาง ทำหน้าไม่พอใจที่โดนผมเอาคืนให้เนล
“อ้าวเปียกหรอ? โทษที” ผมว่าพลางหลุดขำในลำคอเบาๆพอเห็นสภาพของมินิทที่เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำชัดๆอีกที
“จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ยพี่เมฆ? ได้!”คนโดนแกล้งแสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง โดยที่ผมก็ไม่ได้สนใจเลยกลับมาล้างรถต่อ
และไม่ถึงนาทีน้ำในสายยางที่มันควรจะไหลกลับหยุดกึก พอหันกลับไปดูทางก๊อกน้ำก็พบว่ามันยังเปิดอยู่ ไม่ได้มีใครไปปิดหรือว่าอะไร แต่ทว่าพอกวาดสายตาไล่มองตามสายยางเลยทำให้เจอต้นตอ
รองเท้าผ้าใบสีขาววางทับอยู่บนสายยางจนทำให้น้ำไหลมาไม่ถึงตรงที่ผมถืออยู่ และรองเท้าที่ว่าก็ไม่ใช่ของใครหน้าไหน
ยัยเด็กผี!
“เล่นบ้าอะไรของเธอ?”
“ก็พี่เมฆแกล้งมินิทก่อน” คนตัวเล็กพูดพลางทำหน้ามู่ทู่แล้วเหยียบสายยางที่เท้าจนมันแทบจะจมดิน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้”
“…”
“ฉันบอกให้ปล่อยไง!” สิ้นเสียงเข้มของผม ยัยตัวแสบที่เอาแต่ทำหน้าล้อเลียนผมถึงได้ยอมยกเท้าออกจากสายยาง เป็นผลให้น้ำที่ถูกกักไว้พรั่งพรูไหลทะลักออกมาพร้อมกันระลอกใหญ่
ฟู่~
“ฮ่าๆ” ยัยเด็กผีนั่นยืนกุมท้องหัวเราะจนแทบจะหงายหลังเมื่อทั้งผมและเนลโดนน้ำจากสายยางอัดใส่หน้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว ผมยกมือเสยผมที่เปียกโชกของตัวเองขึ้นก่อนจะจ้องไปที่อีกคนเขม็ง
แต่ก็เหมือนคนตัวเล็กจะไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดที่ทำให้พวกผมเปียกสักเท่าไร ผมกับเนลเลยทิ้งยัยเด็กผีไว้หน้าบ้านแล้วพากันเดินแยกย้ายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องใครห้องมัน
“พี่เมฆฆฆฆฆฆ” แต่มีหรือที่เด็กนี่จะยอมห่างผมถึงห้าวิ!
“อะไรอีก!”
“ขออาบด้วย”
“หะ?”
“ก็พี่เมฆจะไปอาบน้ำไม่ใช่หรอ? เลยจะอาบด้วยไง มินิทก็เปียกเหมือนกันนะ -^-”
“ไปขออาบห้องเนลไป”ผมออกปากไล่แล้วทำท่าจะเดินหนีเข้าห้องตัวเอง แต่เหมือนอีกคนไวกว่า มินิทรีบแทรกตัวเข้ามาอยู่ให้ห้องผมได้ทันก่อนที่ผมจะปิดประตู
“ไม่เอา! เป็นพี่น้องกันจะอายอะไร?” ผมถึงกับยืนอ้าปากหวอพอได้ฟังมินิทพูดหน้าตาเฉย
“เฮ้ยเดี๋ยว!”
“โห ทำไมห้องพี่เมฆมีแต่อะไรสีดำๆ ไม่เหมือนห้องมินิท ในนั้นมีแต่ก้อนเมฆเต็มไปหมดเลยยยย ผ้าปูลายก้อนเมฆ โมบายก้อนเมฆ โคมไฟรูปก้อนเมฆ แล้วไหนจะรูปพี่เมฆอีก”
“สรุปจะอาบที่นี่ให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ค่ะ” มินิทยิ้มยิงฟันจนตาหยีพาลให้คนมองใจอ่อน เห็นแบบนั้นผมเลยโยนผ้าเช็ดตัวให้แล้วเดินไปเคาะประตูห้องเนลเพื่อจะขอยืมเสื้อผ้ามาให้มินิทเปลี่ยน เนลเดินหายไปในห้องพักหนึ่งก่อนจะกลับมาที่ประตูอีกทีพร้อมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นในมือ
ดีที่เนลไม่ใช่คนคิดมากหรือเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรที่โดนมินิทแกล้งไปเมื่อกี้ ผมเลยเบาใจลงเยอะ
“นี่เสื้อผ้…เฮ้ย เอาเสื้อฉันมาใส่ทำไม!” ตาคมของผมจ้องค้างไปที่ตู้เสื้อผ้าสีดำของตัวเอง ที่ตอนนี้มีเด็กบ้ากำลังรื้ออยู่อย่างไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด แถมยังถือวิสาสะเอาเสื้อยืดสีดำตัวโปรดของผมไปใส่อีก!
“ตัวนี้มันสวยดีอ่ะพี่เมฆ ขอยืมหน่อยน้า~”
โอ้ยกูจะบ้า -_-
และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคบอกเล่าซะมากกว่า เพราะถึงผมจะบอกว่าไม่ให้ใส่ ยัยเปี๊ยกนั่นได้โวยวาย หาเรื่องจะใส่ให้ได้อยู่ดีนั่นแหละ ผมเลยทำได้แค่ยื่นกางเกงขาสั้นของเนลให้มินิทไปเปลี่ยนกับเอี๊ยมเปียกๆนั่นแทน
ผมเข้าไปอาบน้ำอยู่พักนึงก่อนจะเอาผ้าผืนเล็กมาขยี้หัวพลางเดินออกมาจากห้องน้ำ มินิทยังคงนั่งรอผมอยู่บนเตียงเหมือนเดิมโดยที่ในมือก็กำลังง่วนอยู่กับการเล่นมือถือ
“พี่เมฆอาบนานจังเลย”
“…” ผมไม่ได้สนใจ ทำเพียงเดินไปยืนเช็ดผมตัวเองอยู่หน้ากระจกนิ่งๆ
“พี่เมฆ~”ผมส่งสายตาดุๆไปให้อีกคนผ่านกระจก จนคนถูกจ้องถึงกับสะดุ้งแล้วถึงได้ยอมอยู่เฉยๆสักที แต่ก็ไม่วายจะนั่งทำหน้างอเหมือนกับเด็กที่งอแงเวลาโดนดุยังไงยังงั้น
“เฮ้อ”
“…”
“อยู่เฉยๆ” ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ขอบเตียงตรงที่อีกคนนั่งอยู่ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูในมือขึ้นมาเช็ดผมให้อย่างเบามือที่สุด มินิทที่ดูจะงงกับการกระทำของผมเลยเบิกตาโตจ้องหน้าผมค้างอยู่แบบนั้นไม่วางตา “อาบเสร็จตั้งนานแล้วทำไมไม่รู้จักเช็ดผม”
“…”
“เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
“…”
“ยิ้มอะไร”
“พี่เมฆห่วงมินิทด้วยอ่ะ”
ผมรีบสาวเท้ายาวๆลงมาข้างล่างทันทีที่เด็กนั่นพูดจาพิลึกๆออกมา
ให้ตายเหอะ! จะป่วนกันไปถึงไหนวะเด็กบ้า!
ผมเดินลงมานั่งข้างๆไอ้กุก ที่ตอนนี้มันยังนั่งดีดกีต้าร์ของผมเล่นอยู่เลย แล้วก็ตามสเต็ปเดิม มินิทเดินตามมานั่งข้างๆผมอีกครั้ง
“แกอย่าลืมไปเชียร์ฉันประกวดเดือนคณะนะเว้ยหมอก”
“ไอ้ไปเชียร์อ่ะไปได้อยู่หรอก แต่แกเรียกฉันว่ามินิทได้ป่ะวะ พอดีฉันเปลี่ยนชื่อแล้วอ่ะ”
“อ๋อได้ดิ” กุกส่งยิ้มหวานละลายใจสาวให้ยัยตัวเปี๊ยกก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันออกรสจนผมกลายเป็นส่วนเกิน (รอบสอง)
“ได้เป็นเดือนคณะด้วยอ่ะแก โครตเท่~” มินิทส่งสายตาวิ้งๆให้ว่าที่เดือนก่อนจะพูดประโยคถัดมาพร้อมแอบเหน็บผมเบาๆ “จะว่าไปเดือนคณะนี่ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทุกคนเนอะ ^^”
“!!!!!”
“กินขนมกัน” พูดจบมินิทก็ทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง แล้วเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมที่อ้างว่าเพื่อนฝากมาให้ผมออกมาแกะ ก่อนจะส่งมันให้ทั้งกุกและผม
“ทำไมไม่กินอ่ะพี่เมฆ?”
“ไม่ชอบ”
“ไม่ชอบขนมหรือไม่ชอบคนให้อ่ะ?” มินิทอมยิ้มแถมยังทำหน้าเจ้าเล่ห์ที่แกล้งผมได้สำเร็จ
“ไม่ชอบขนม”
“...” มินิทนิ่งไปเหมือนตกใจที่ผมเลือกที่จะไม่ชอบขนใแทนที่จะเลือกไม่ชอบคนให้แบบที่ชอบพูด แต่ก็นั่นแหละ ตกใจได้แค่แปปเดียว…
“คนให้ก็ไม่ชอบ”
“อ้าว ทำไรกันอ่ะ?” เนลเดินเข้ามาร่วมวงได้จังหวะพอดิบพอดี เลยพาลให้คนที่กำลังนั่งทำหน้าหงิกอยู่ยิ่งหงิกหนักกว่าเดิม
“กินขนมมั้ยพี่เนล?” กุกเอ่ยปากชวน มินิทเลยรีบดึงกล่องขนมกลับแทบไม่ทัน
“ไม่ให้กิน”
“มินิท!”พอสิ้นเสียงดุของผม มินิทถึงได้ยอมวางกล่องขนมลงแต่โดยดี ก็บอกแล้วว่าเด็กยังไงก็เป็นแค่เด็กอยู่วันยันค่ำ โดนสปอยล์ตั้งแต่เด็กจนเคยตัว นิสัยหวงของนี่ก็แก้ไม่เคยหาย
“งั้นมินิทกลับแล้วนะ”
“อืม”
“จะไม่ไปส่งมินิทจริงๆหรอพี่เมฆ?”
“ไม่อ่ะ”
“ก็ได้” มินิททำหน้าอารมณ์ไม่ดีเลเวลสิบพลางหันไปบอกลากุก แล้วสะบัดบ๊อบใส่เนลกับผมคนละทีก่อนจะเดินไปหน้าบ้าน
ให้ทาย…ว่าไอ้เมฆจะใจอ่อนมั้ย?
“เดี๋ยวมินิท”มินิทสะดุ้งแรงก่อนจะหันขวับมาทางผมที่วิ่งตามมาหน้าบ้านทีหลัง
“…”
“จะกลับยังไง?”
“เพื่อนมารับ”
“งั้น...”
“…”
“...เดี๋ยวยืนรอเป็นเพื่อน”
“ขอบคุณค่ะ”คนตัวเล็กว่าพลางยืนก้มหน้าราวกับพยายามซ่อนรอยยิ้มของตัวเองที่ต่อให้ยืนอยู่หน้าปากซอยยังเห็นเลยว่ายิ้มอยู่
“…”
“…”
“แล้ว...”
“…”
“พี่คนนั้นเขาเป็นอะไรกับพี่เมฆอ่ะ?” มินิทก้มหน้าหงุดพลางทำเสียงอู้อี้อย่างกับคนงอแงยังไงยังงั้น
“เนลอะหรอ?”
“อื้อ”
“จะรู้ไปทำไมอ่ะ?”
“พี่เมฆ!” ผมหลุดขำเบาๆกับท่าทางตลกๆของคนข้างๆที่เมื่อกี้พายุเกือบจะสงบอยู่แล้วแต่พอโดนผมกวนเข้าหน่อยก็ได้กลับมาอารมณ์บูด เตรียมจะโวยวายอีกรอบ
“หึงหรอ?”
“…”
“ไหนบอกเป็นน้องไง”
“…”
“เป็นน้องไม่มีสิทธิ์หึงนะ”
“ก็ไม่ได้หึงไง!”ผมแอบได้ยินเด็กนั่นพรึมพรำกับตัวเองเบาๆเหมือนกับพยายามจูนสมองตัวเองอยู่
‘เออไม่ได้นะเว้ย ห้ามหึงนะ!’
“ไม่หึงก็ได้ L”
“หึ”
“แต่ถ้าหวงพี่ชาย ได้ใช่มั้ย?”
ปิ้นนนนนนนนนนนนนนน!
“มินิท!!” เสียงบีบแตรดังลากยาวจนทั้งผมและมินิทถึงกับสะดุ้งโหยง แต่เหมือนผมไวกว่า ตะโกนเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่กลางถนนได้ทันก่อนที่รถยนต์คันหรูที่ขับด้วยความเร็วสูงจะทันถึงตัว
แต่ก็แค่เรียกทัน…
เพราะกว่าผมจะวิ่งไปถึง รู้ตัวอีกทีรถคันที่ว่าก็อยู่ในระยะประชิดมากแล้ว
ผมเลยไม่มีทางเลือก...จำต้องพึ่งพลังบ้าๆนั่น
เปาะ!
เสียงดีดนิ้วของผมดังขึ้น ตามด้วยเสียงฟันเฟืองจากแหวนสีดำบนนิ้วชี้ที่พากันหมุนจนเกิดเสียงดังก้องราวกับโดนไขลาน
กึกๆ
กึกๆๆๆๆ
เสียงฟันเฟืองหมุนยังคงดังต่อเนื่องอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุดพัก ไม่เหมือนภาพตรงหน้าของผมตอนนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลัง...หยุดเคลื่อนไหว
ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมหายใจหรือเสียงใดๆ ที่จะสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้
ตราบใดที่ตอนนี้เวลายังอยู่ในการควบคุมของผม
เข็มวินาทีบนนาฬิกาข้อมือหยุดกึก
ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวได้หยุดชะงัก...เว้นก็แต่ผม
รถคันหรูอยู่ห่างจากคนตัวเล็กเพียงคืบ...
และผมไม่รอช้า...พุ่งเข้าไปดึงตัวอีกคนให้พ้นจากองศาอันตรายให้เร็วที่สุด
ก่อนจะดีดนิ้วอีกรอบเพื่อให้เวลากลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง
พอคนในอ้อมแขนผมขยับได้อีกครั้ง ร่างเล็กก็แทบจะร่วงลงกับพื้น แต่ยังดีที่มีผมประคองไว้อยู่ มินิทเลยกระพริบตาปริบๆเหมือนกำลังงงงวยกับชีวิต
“มะ เมื่อกี้มันอะไรอ่ะพี่เมฆ?”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เดี๋ยวจะไปอัพน้าาา :)