ตอนที่ 5 : 💔 PHILOPHOBIA {03} หึง
3
.
.
หึง?
สนามแข่งรถ
-18.11 น.-
ยิ่งใกล้เวลาแข่ง คนก็ยิ่งเยอะเข้าไปทุกที ผมเลยเลือกจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังแสตนเชียร์เพื่อเข้าไปในโซนใกล้สุดที่เหมือนจะถูกจัดไว้ให้ญาติสนิทมิตรสหายของเหล่านักแข่งแทน
พี่โฮวอนที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คเครื่องครั้งสุดท้ายเงยหน้าขึ้นมายังแสตนที่ผมยืนเท้าแขนกับรั้วอยู่ เขาส่งยิ้มแล้วโบกมือหยอยๆให้ ตรงข้ามกับผมที่ทำเพียงปรายตามองเฉยๆ
“มึงจะไม่แข่งจริงๆหรอวะ”
“เออ”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์สักที นี่มึงเลิกแข่งจนจะครบปีแล้วนะเว้ย” ผู้ชายที่อายุอานามน่าจะพอๆกับพี่โฮวอนเซ้าซี้เพื่อนตัวเองเสียงดังจนผมอดหันไปมองด้วยความรำคาญไม่ได้
และนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่ผมคิดผิดมหันต์ ผมหันไปสบตากับพี่ซองกยูที่เผอิญหันหน้ามาป๊ะกันพอดี เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมากลับทำเพียงเมินหน้าหนีเหมือนคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ไม่พอยังหันไปจี๋จ๋ากับอูฮยอนอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างสักนิด ผมเลยหันกลับมามองเหม่อไปที่สนามแข่งตามเดิมก่อนจะถอนหายใจหนักๆหนึ่งที
เมื่อไรผมจะหลุดพ้นจากผู้ชายคนนี้สักทีนะ...
คำถามมากมายลอยเข้ามาวนเวียนในหัวชวนให้ผมหงุดหงิดซ้ำไปอีก ซึ่งหนึ่งในคำถามพวกนั้นคงไม่พ้นเรื่องรอยสลักบนหมวกกันน็อคของเขาใบนั้น ทำไมมันยังอยู่เหมือนเดิม ทำไมพี่ซองกยูถึงไม่ไปเอามันออกหรือไม่ก็ซื้อใหม่ไปเลยก็ได้ พี่เขาจะเก็บเอาไว้ให้มันทิ่มตาแทงใจทำไม เพราะในเมื่อหมวกใบนั้น พี่ซองกยูต้องใส่มันทุกวัน เลยเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็น
หรือไม่...มันอาจจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดที่เขาจะต้องมาสนใจเลยด้วยซ้ำ
“พี่กยู~”
“ครับ?”
“ผมร้อนจังเลยย”
“จะกลับก่อนมั้ย ไหวหรือเปล่า?” เสียงนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงจับใจ ก่อนที่จะแย่งพัดจากมือเพื่อนสนิทข้างๆเอามาพัดให้คนตัวเล็กหายร้อน
“ขอบคุณฮะ ^^” พี่ซองกยูไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงพัดให้อีกคนไปเรื่อยๆ อูฮยอนเลยชวนคุยต่อเสียงอ่อนเสียงหวาน “ผมอยากเห็นพี่กยูแข่งจังเลยฮะ ><”
“พี่แข่งไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมอ่าา”
“พี่...”
“พี่สัญญาว่าไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีมยองซูอยู่ด้วย พี่จะไม่ขับเร็วและจะไม่มีวันปล่อยให้มยองซูเป็นอะไรเด็ดขาด”
“พี่เจ็บเข่าอยู่ครับ”
หยุดคิดเข้าข้างตัวเองสักทีมยองซู!
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไปเบาๆ แล้วหันไปสนใจกับสนามแข่งที่กำลังจะเริ่มแข่งเหมือนเดิม พี่โฮวอนกับนักแข่งคนอื่นๆกำลังขับรถเข้าสู่ลู่ของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่คนให้สัญญาณจะเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน พี่โฮวอนออกตัวตอนเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไรเลยทำให้รั้งท้ายภายในไม่กี่วินาที แต่เขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน กลับมาเข้าที่เข้าทางเร่งเครื่องขึ้นแซงทีละคันๆอย่างง่ายดาย
ผมเองก็ขับรถบิ๊กไบค์แบบนี้เหมือนกันก็เลยพอรู้เรื่องบ้าง คันที่ซองยอลชอบขโมยไปใช้นั่นแหละ จริงๆก็เพิ่งจะมาเริ่มขับจริงๆจังๆเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเอง แต่ก็แค่ขับเฉยๆ ไม่เคยคิดจะมาแข่งเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนพี่ๆเขาหรอก นั่นก็เพราะผมกลัวความเร็วสุดๆ
“น่ากลัวจังเลยนะฮะ ”
“ทีตอนซ้อนพี่ไม่เห็นกลัวเลย”
“ก็พี่กยูขับช้านี่นา”
“เมื่อก่อนมึงแว๊นกว่ากูอีกมั้ยกยู ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ช้าจนเต่าจะกัดยางแตกอยู่ละ”
“ใช่ พี่กยูขับช้ามากกก ผมไม่ชอบเลย”ผมเม้มปากแน่นอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ จริงๆผมก็ผิดเองอ่ะที่มานั่งทนฟังอยู่ได้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมทีกับผมถึง...
“พี่กยูชอบขับรถเร็ว ชอบใจร้อน”
“...”
“เค้านั่งห่วงพี่กยูทุกวันเลยนะว่าเมื่อไรจะกลับ จะปลอดภัยมั้ย ฮึก จะเกิดอุบัติเหตุอะไรมั้ย พี่กยูจะเป็นอะไรหรือเปล่า สารพัดอย่างที่เค้าจะนึกได้อ่ะ”
“ไม่ชอบก็ต้องทน ขืนพี่ทำอูฮยอนเป็นอะไรไป พี่จะทำไงอ่ะ?”พี่ซองกยูเอ็ดใส่อีกคนเสียงเข้ม แต่คนตัวเล็กกลับยิ้มกริ่มอย่างชอบอกชอบใจแล้วเอนตัวซบไหล่พี่ซองกยู
“พี่ก็กลัวเหมือนที่มยองซูกลัวนั่นแหละ ถ้าเราเป็นไรไป พี่ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันนะ!”
เขาพูดแบบนี้กับทุกคน ท่องเอาไว้มยองซู
คนอย่างคิมซองกยูไม่เคยจริงใจกับใครหรือรักใครจริงๆเลยสักคน เพราะฉะนั้นคำสัญญาหรือคำหวานต่างๆนานาที่เขาเคยพร่ำพรรณนาให้แกฟัง เขาไม่ได้ให้แกแค่คนเดียวมยองซู ...
พอสักทีได้มั้ย หยุดเข้ามาวนเวียนในหัวผมสักที คำสัญญาบ้าบออะไร ผมก็ลืมไปหมดแล้ว ทำไมยังไม่ไปให้พ้นๆสักที ทำไมต้องกลับมาทำร้ายกันซ้ำๆซากๆแบบนี้ด้วย
ผมลุกฟึบแล้วเดินลงไปข้างๆแสตนอย่างหมดความอดทน แล้วยืนพิงกับกำแพงอาคารอะไรสักอย่าง เอนหัวกับผนังปูนแล้วหลับตาพริ้มอย่างพยายามสะกดอารมณ์บ้าบอของตัวเองให้สงบลงสักที
เสียงฮือฮาดังเป็นระลอกเมื่อเริ่มมีผู้เข้าเส้นชัยไปบ้างแล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจเรียกความสนใจจากผมได้เลยแม้แต่น้อย สองมือของตัวเองกำแน่นจนเล็บจิกทิ่มแทงฝ่ามือเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง
ผมกำลังโมโห
โมโหที่ตัวเองหนีคนพรรค์นั้น...ไม่เคยพ้นสักที
“ทนฟังไม่ได้เลยหรอ?” ผมเบิกตาโตขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหู พี่ซองกยูยืนกอดอกแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้า ผมถอนหายใจหนึ่งทีอย่างรำคาญใจก่อนจะพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“มีอะไร?”
“ฉันถามว่าทนฟังไม่ได้เลยหรอ? หรือว่าภาพฉันกับอูฮยอนมันบาดตาจนทนไม่ไหว เลยต้องเดินมาแอบร้องไห้คนเดียว”
“เลิกหลงตัวเองสักที”เสียงเย็นๆของผมตอบกลับอีกคนทันควัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชอบอกชอบใจเลยไม่เลิกวุ่นวายกับผมง่ายๆ
“ก็เห็นๆกันอยู่”
“ไม่มีใครรู้สึกอะไรทั้งนั้น”
“ถ้าไม่รู้สึกอะไร แล้วทำไมทนดูไม่ได้ล่ะ?” พี่ซองกยูยังคงไม่ลดละง่ายๆ ยิ่งถามยิ่งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ดวงตาเรียวเล็กที่เคยอบอุ่นกลับดูน่ากลัวขึ้นถนัดตา แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรกับดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตาคมของผมเลยมองกลับไปนิ่งๆอย่างต้องการจะเอาชนะ
“มยองซู ซองกยู”เสียงพี่โฮวอนดังมาจากด้านหลังของพี่ซองกยูอีกที “ทำไรกันวะ” พี่โฮวอนหันไปถามคนตัวสูงกว่าแล้วหันมามองหน้าผมอย่างงงๆสลับไปมา พี่ซองกยูเลยส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบ
“เอ่อพี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปรับ พอดียุ่งๆ เลยให้ซองกยูเอาโทรศัพท์พี่ไปรับแทน”คนมาใหม่หันมาพูดกับผม ผมเลยพยักหน้าอย่างเข้าใจกลับไป ก่อนที่เขาจะพูดกับเราสองคนต่อ “เอ้อ นี่มยองซูแฟนกู ที่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆว่ากูไปตามตื๊ออยู่เป็นปีๆอะ แล้วก็นี่ซองกยู เพื่อนพี่ ขอโทษที่แนะนำช้านะ”
“จริงๆ…”ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆอย่างพยายามชั่งใจว่าจะพูดดีมั้ย “ผมรู้จักพี่ซองกยูอยู่แล้วอ่ะครับ”
“จริงหรอ? แล้วไปรู้จักกันได้ไง?” พี่โฮวอนทำหน้างงงวยทันทีผมพูดจบผิดกับอีกคนที่ดูเหมือนจะตกใจมากกว่า คงคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าผมจะกล้าพูด และเขาก็คิดถูกเพราะผมไม่กล้าพูดมันออกมาหมดจริงๆ
“พี่ซองกยูเคยอยู่โรงเรียนผมตอนมัธยม แล้ว…พี่เขาก็ดังมากๆ ผมเลยรู้จัก”
“ไม่เจอกันตั้งนานนะ” คนถูกพูดถึงส่งยิ้มบางๆมาให้ผม
“เออโลกกลมดีว่ะ”พี่โฮวอนยิ้มออกอย่างชอบอกชอบใจ “ว่าแต่เราเถอะ มาทำอะไรตรงนี้ พี่ตามหาแทบแย่”
“ผมมาซื้อน้ำให้” ผมโกหกหน้าตายกลับไป “แต่หาร้านไม่เจอ”
“ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่ไม่ได้อยู่ดูตอนแข่งจบใช่มั้ย?”
“อือ”
“โห่ งี้ก็ไม่ทันเห็นพี่เข้าเส้นชัยคนแรกน่ะสิ”
“โทษทีครับ”
“เฮ้ยไม่ต้องขอโทษๆ ก็เรามาซื้อน้ำให้พี่นี่ แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว^^”
“ดีใจด้วยนะมึง” พี่ซองกยูพูดแทรกขึ้นมา พี่โฮวอนเลยเปลี่ยนไปคุยกับอีกคนแทน
“ไม่ดีใจเท่าไรว่ะ มึงไม่แข่งกูก็ชนะทุกนัดอยู่แล้วป่ะ มีแต่มึงนั่นแหละที่กูชนะไม่ได้สักที”พี่โฮวอนพูดขำๆแล้วผลักไหล่พี่ซองกยูอย่างซี้ปึ้กก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายพูดแทรกบ้าง
“พี่โฮวอนน~”
“คะ ครับ”เสียงอ้อนๆจากผมทำเอาคนถูกเรียกพูดถึงกับตกใจพูดเสียงตะกุกตะกัก ก่อนที่ผมจะพูดประโยคถัดมาแล้วเป็นฝ่ายจับมือดึงพี่โฮวอนออกไปต่อหน้าต่อตาพี่ซองกยู โดยไม่ลืมหันหน้าไปส่งยิ้มหวานพร้อมขยิบตาหนึ่งทีเพื่อแกล้งให้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียวยั๊วเล่น
“ผมอยากกลับแล้วอ่าา ไปกันเถอะครับ~”
---------------------------The philophobia-------------------------------
-21.39 น.-
พี่โฮวอนให้ผมออกมายืนรอตรงลานจอดรถด้านหน้าแล้วตัวเองก็ไปเอารถมอไซค์คันที่เพิ่งเอาไปแข่งออกมารับผม ใช้เวลาไม่นานคนหน้าคมในชุดสีดำทั้งตัวก็บึ่งมอเตอร์ไซค์สีขาวมาจอดข้างหน้าผม
“มยองซู”
“ครับ?”
“ขับรถให้หน่อยได้มั้ย พี่ล้าไปหมดแล้วอ่ะ”ว่าพลางยกมือไปนวดๆบีบๆที่หัวไหล่ตัวเอง เพราะพี่โฮวอนรู้และเคยเห็นว่าผมขับเป็น ผมเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ทำเพียงพยักหน้าหงึกๆตอบกลับไป พี่โฮวอนเห็นแบบนั้นเลยยิ้มร่า รีบดับเครื่องแล้วลงจากรถอย่างไว ผมเลยเป็นฝ่ายก้าวเท้าขึ้นไปนั่งคร่อมบนรถแทนที่คนขับ พี่โฮวอนถอดถุงมือของตัวเองแล้วส่งหมวกอีกใบมาให้ผมใส่
“เป็นไรวะโฮวอน ทำไมไม่ขับเอง”
“ก็คนมันมีแฟน ก็ต้องอยากให้แฟนขับบ้างสิวะ”
“กูล่ะหมันไส้พวกมีแฟน ไอ้นั่นก็อีกคน สวีทเหลือเกิน!”คนที่ชื่อดงอูขับรถสีดำสลับน้ำเงินของตัวเองมาจอดเทียบรถพี่โฮวอนที่ผมจับจองอยู่ พลางหันหน้าไปหาสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก
“มันคบคนนี้นานยังวะ” พี่โฮวอนมองตามพลางถามพี่ดงอูเสียงเบาอย่างกลัวคนฝั่งนั้นจะได้ยิน
“ก็นานแล้วนะ สองเดือนได้แล้วมั้ง ทำไมวะ?”
“มึงลืมแล้วหรือไง ซองกยูมันเคยคบใครเกินเดือนที่ไหนล่ะ ก็เห็นแต่กับอูฮยอนเนี่ย นานสุด”
“เออว่ะ มันคงเจอคนที่ทำให้มันหยุดได้แล้วมั้ง”พี่ซองกยูที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกนินทาเลยเงยหน้ามองมาที่พวกเรานิ่งๆ โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แล้วก้าวเท้าขึ้นคร่อมรถตามด้วยคนตัวเล็กขึ้นซ้อนอย่างรู้งาน ก่อนจะขับมารวมตรงที่พวกผมสามคนจอดรถอยู่
“นินทาอะไรกูอีกอ่ะ” เขาถามอย่างเหนื่อยหน่ายเต็มทีก่อนที่จะลอบมองมาที่ผมแว้บนึงอย่างคนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง
“แสนรู้จังนะ แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อ กลับเลยหรอ?”พี่โฮวอนถามคนตาขีดที่ยืนคร่อมรถหน้าตายอยู่ข้างๆผม
“กินข้าว”
“กูไปด้วย”พี่ดงอูโพล่งขึ้นทันควันโดยแทบไม่ต้องคิด
“มึงล่ะโฮวอน ไปด้วยกันดิ”พี่ซองกยูหันมาถามคนที่อยู่ข้างๆผม
“เราอยากไปหรือเปล่า?”คนถามทำหน้าเหมือนตกที่นั่งลำบาก เพราะลำพังแค่ลากผมมาดูได้นี่ก็โดนผมขึ้นเสียงใส่ตั้งเท่าไร แล้วนี่จะไปต่ออีก เขาคงกลัวผมไม่อยากไป “ไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งก่อนก็ได้”
“ไปก็ได้ครับ”ผมตอบกลับไปแค่นั้น พี่โฮวอนก็ทำตาลุกวาวอย่างกับถูกหวยเอาปานนั้น แล้วจัดการพาตัวเองกระโดดขึ้นมาซ้อนท้ายผมทันที
เราสามคันบึ่งไปเกือบจะพร้อมๆกัน โดยมีพี่ดงอูเป็นคนนำเพราะจากสามคนที่ขับแล้วพี่แกน่าจะเป็นคนที่ขับเร็วสุด ผมเองก็ขับเร็วไม่ได้เพราะตัวเองกลัวความเร็วบวกกับรถพี่โฮวอนหนักกว่ารถของผมมากเลยออกแนวจะควบคุมยากไปหน่อย และอีกคนที่ไม่รู้ว่ามีปัญหาชีวิตอะไรถึงได้ขับช้าเป็นเต่าอย่างที่พี่ดงอูว่าไว้จริงๆ
“ขับไหวมั้ย เปลี่ยนได้นะ” คนข้างหลังถามขึ้นเมื่อเห็นผมทำท่าฮึดฮัดอยู่คนเดียว จริงๆมันไม่ใช่เพราะรถคันนี้ขับยากหรอก แต่เพราะภาพสองคนบนรถคันหลังที่สะท้อนบนกระจกมองข้างของรถที่ผมขับอยู่นี่มากกว่า จะกระหนุงกระหนิงอะไรปานนั้นวะ
รถราก็ขับอยู่ มันใช่เวลามันกอดกันมั้ยอ่ะ ควรจะห่วงเรื่องความปลอดภัยป่ะ ทำเป็นเล่นไปได้ เกิดไปชนคนอื่นเขาเดือดรอนขึ้นมา จะทำยังไง!? แม่ง แค่คิดก็หงุดหงิดละ!
และก็ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะมาถึงจุดหมาย พี่ดงอูพาพวกเรามาจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ผมว่าถ้าจะเรียกให้ถูก เรียกว่าร้านเหล้าน่าจะโอเคกว่า
นี่คือการมากินข้าวของสามหนุ่มเขาสินะ -_-
ผมถอดหมวกกันน็อคออกวางคว่ำไว้บนเบาะรถ ก่อนจะถอดถุงมือส่งคืนให้เจ้าของก่อนที่พี่โฮวอนจะเอาไปเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังของกางเกงตัวเอง เช่นเดียวกับอีกสองคันที่กำลังถอดหมวกและถุงมือเก็บที่ตามสเต็ป
พี่ดงอูที่จัดการตัวเองเสร็จก่อนใครเพื่อนเลยเดินนำเข้าไปจองโต๊ะในร้านแล้วสั่งเครื่องดื่มช้างน้อยมาสี่ห้าขวดกับกับแกล้มมาอย่างสองอย่าง พวกเราที่เหลือเลยพากันไปนั่งรอที่โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกลางๆที่ค่อนข้างจะอยู่ห่างจากเวทีที่เขาเล่นดนตรีอยู่พอสมควร
ไม่ถึงห้านาทีเด็กเสิร์ฟก็ยกของที่สั่งมาตั้งบนโต๊ะจนครบ พี่ดงอูเลยหยิบขวดขึ้นมาหวังจะชงแจกจ่ายให้ทุกคน แต่ดันโดนผมขัดขึ้นเพราะอาสาจะชงให้ซะก่อน จริงๆแล้วการให้คนที่เด็กสุดทำให้มันเป็นมารยาทที่ดี และถ้าไม่นับอูฮยอนผมก็เด็กที่สุดในนี้ แต่จะหวังให้คนอ่อนต่อโลกอย่างอูฮยอนทำ ก็คงจะไม่ดี เพราะฉะนั้นปล่อยให้คนที่ดูแรงๆอย่างผมทำน่าจะดีสุด
“ฉ ฉันช่วย”
“ชงเป็นด้วยหรอ?”ผมเงยหน้าถามหน้าตายก่อนที่จะได้หน้าหงอยๆที่หดเหลือครึ่งนิ้วของคนอยากช่วยกลับมา คือแค่ถามเฉยๆเองนะว่าชงเป็นหรอ ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย ._. แต่เหมือนคนข้างๆผมจะเข้าใจไปไกลว่าผมไปว่าแฟนเขา เลยโพล่งขึ้นอย่างพยายามหาสิ่งปลอบใจให้แฟนตัวเอง
“งั้นอูฮยอนตักน้ำแข็งใส่แก้วก็ได้ครับ”คนตัวเล็กยิ้มได้อีกครั้งแล้วทำตามอย่างว่าง่าย คอยใส่น้ำแข็งแล้วยื่นแก้วให้ผม และผมก็มารับมาชงอย่างกับมือโปร พี่ๆสามคนดูจะอึ้งกับสิ่งที่ผมทำเลยพากันมองตามมือผมนิ่ง
“พี่เพิ่งรู้ว่ามยองซูกินเหล้ากับเขาด้วย”
“ผมเพิ่งมากินหนักๆ …ก็พักหลังๆนี่เองครับ”ผมพูดครึ่งประโยคแรกพลางยิ้มๆให้พี่โฮวอน ก่อนจะหันไปกระแทกประโยคสุดท้ายอย่างแนบเนียนกับพี่ซองกยู
“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”เสียงต่ำของผมพูดเบาๆหวังจะบอกแค่พี่โฮวอนแต่ดันได้ยินกันทั้งโต๊ะ ทุกคนเลยพากันเงยหน้ามองผมเป็นแถบ
“ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?” พี่โฮวอนหันมาถาม
“ไม่เป็นไร”
“ด เดี๋ยว” เสียงหวานเรียกให้ผมหยุดก่อนจะทันได้เดินออกไป “ฉ ฉันไปด้วย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงพยักหน้าเบาๆแล้วเดินนำออกมา อูฮยอนเลยเดินตามผมต้อยๆโดยไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน จนผมเข้าไปทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมายืนส่องกระจกที่อ่างล้างมือ ตามด้วยอูฮยอนที่เพิ่งเสร็จธุระเหมือนกัน
“ชื่อมยองซูหรอ?”
“อือ”
“ฉันอูฮยอนนะ”
“รู้แล้ว” ผมยังคงคอนเซ็ปเสียงต่ำหน้านิ่งเหมือนเดิมพลางยืนส่องกระจกและยกมือจัดผมเผ้าให้เป็นทรง
“มยองซูนี่เก่งจังเลยนะ”
“…”ผมหันไปมองหน้าคนพูดงงๆ พยายามทำความเข้าใจว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
“ก็…ขับบิ๊กไบค์ก็เป็น ชงเหล้าก็เป็น หืมม พี่ๆเขาคงตกใจเนอะ ไม่คิดว่าคนหน้าตาน่ารักอย่างมยองซูจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย โดยเฉพาะพี่ซองกยูนะ มองตาไม่กระพริบเลย คิก สงสัยคงจะอึ้งน่าดู”คนข้างๆผมจ้อไปหัวเราะไป โดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง ชื่อของคนในประโยคทำผมสะดุดอยู่พักนึงเหมือนกัน ไม่คิดว่าเขาจะแสดงอาการจนออกนอกหน้าให้แฟนตัวเองเห็นชัดเจนได้ขนาดนี้ “ไว้มยองซูสอนฉันหน่อยได้มั้ย ฉันก็อยากขับเป็นบ้างเผื่อพี่ซองกยูจะชอบ”
“พี่ซองกยูเขาอยากให้ขับเป็นหรอ?”
“อื้ออ พี่ซองกยูบอกว่าอยากซ้อนท้ายฉันบ้าง เพราะเขาไม่เคยได้ซ้อนท้ายแฟนคนไหนเลย”
“แล้วทำไมไม่ให้พี่ซองกยูสอน”
“พี่กยูไม่ให้ฉันขับ พี่เขาหวงรถจะตายย ._. แม้แต่พวกพี่โฮวอนกับพี่ดงอูก็ยังไม่มีใครได้ขับเลย ”
“กลับโต๊ะกันเถอะ”ผมโพล่งขึ้นแล้วก้มหน้าลงต่ำเดินนำออกมาจากห้องน้ำโดยไม่ได้รออีกคน อูฮยอนดูงงๆที่จู่ๆผมก็ชวนกลับทันควันแต่ก็ตามออกมาเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไร
“…เขาไม่เคยได้ซ้อนท้ายแฟนคนไหนเลย” เขาคงไม่ได้นับผมรวมไปด้วยซินะ…
---------------------------The philophobia----------------------------------
-2 ปีที่แล้ว-
-17.31 น.-
“เค้าไม่เอาแล้วอ่ะ :(”
“ยังไม่ทันไรเลย อย่าเพิ่งท้อสิครับเด็กดี”
“ก็คนมันกลัวนี่” ซองกยูอมยิ้มนิดๆกับท่าทางงอแงของคนตัวเล็กที่นั่งคร่อมมอไซค์คู่ใจของตัวเองอยู่ข้างๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายเมื่อเห็นอีกคนตัวสั่นจนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว
“หายกลัวยัง?”ว่าพลางวาดแขนไปโอบรอบตัวแล้ววางมือตัวเองลงบนมืออีกคนที่กำลังกำแฮนด์อยู่
“พี่กยู! ลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ชอบฉวยโอกาสอ่ะ” มยองทำแก้มกลมพองลมเหมือนกับเด็กโดนขัดใจแต่ไม่วายจะหน้าขึ้นสีเพราะการกระทำของซองกยู
“คนเขาอุตส่าห์จะสอนขับรถขับราให้ จะได้ขับให้พี่ซ้อนบ้างไรบ้าง แต่ดูมาว่ากันดิ มันน่าน้อยใจมั้ยเนี่ย”
“ขอโทษ”
“แฟนใครวะแม่ง…” ซองกยูกัดฟันพูดอย่างหมันเขี้ยวแก้มขาวๆของคนข้างหน้าเต็มที ”น่ารักชิบหาย”
“พี่กยูวว” มยองซูลากเสียงอย่างคนงอแง
“อ่ะๆ ไม่แกล้งละ”ซองกยูยื่นมาบนไหล่ข้างหนึ่งของมยองซูในระยะประชิด มือสองข้างกระชับแน่นขึ้นเป็นสัญญาณให้อีกคนเริ่มออกตัว ”ค่อยๆบิดนะ แบบนั้นแหละ”
“อ อื้อ”
“ทีนี้เร็วขึ้น เร็วอีก” ความเร็วค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละเท่าทวีคูณอย่างไม่มีวี่แววว่าจะเบาลง เสียงรถสวนไปมาดังอื้ออึงอยู่ในหู ก่อนที่มือสั่นเทาทั้งสองจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเจ้าของ กำแฮนด์รถค้างไว้อย่างไม่รู้จักผ่อนคันเร่ง คิมซองกยูที่เคยชินกับความเร็วระดับนี้ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ จนกระทั่งเสียงเล็กท้วงขึ้นมา
“พี่กยู~”
“หื้ม?”
“ค เค้ากลัว”เสียงสั่นกลั้นใจพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก พร้อมๆกับหยดน้ำตาที่กระหน่ำไหลลงมาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากลัวจริงๆ
“งั้นจอด”
“ฮึก”
“มะ มยองซูมันเร็วไปแล้ว”
“ฮึก”
“มยองซู!”
“ฮึก”
“ปล่อยคันเร่ง!”
“…”
“พี่บอกให้ปล่อยมือจากคันเร่งไง!” ยังถือว่าโชคดีที่เขายังพอหลงเหลือสติอยู่บ้างเลยยอมทำตามที่ซองกยูสั่งทันที
คิมซองกยูกลายเป็นคนขับแทนอีกคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าร้องไห้ไม่ยอมเงยหน้ามองถนนอีก เขาค่อยๆชะลอรถจนกระทั่งจอดสนิทแล้วพาตัวเองลงรถโดยไม่ลืมพยุงอีกคนลงมาด้วย
“พี่กยู”
“…” เขาไม่ได้ตอบอะไรกับไปเพราะมัวแต่ยืนครุ่นคิดอยู่นิ่งๆ ว่าที่เขาทำอยู่มันเป็นการทำร้ายอีกคนหรือเปล่า ทั้งๆที่มยองซูก็ย้ำนักย้ำหนาแล้วว่ากลัวขนาดไหนแต่เขาก็ยังดื้อดึงจะให้อีกคนขับให้ได้ แต่ที่เขาอยากให้ขับก็เพราะอยากจะซ้อนอีกคนบ้างก็เท่านั้นเอง
“เค้า”
“…”
“เค้าว่าเค้าไม่เหมาะกับชีวิตพี่กยูเลยอ่ะ”
“ว่าไงนะ?” หน้าซองกยูเปลี่ยนเป็นน่ากลัวทันทีที่อีกคนพูดประโยคไม่น่าฟัง
“เป็นแฟนนักแข่งมอไซค์แต่ดันกลัวความเร็ว มิหนำซ้ำขับรถแค่นี้ก็ยังไม่เป็นเลย แฟนเพื่อนพี่กยูก็มีแต่พวกไบค์เกอร์เท่ๆ แล้วดูเด็กกะโปโลอย่างเค้าดิ ฮึก ไม่เห็นจะเหมาะกับกยูสักนิดเลย”
“…”
“พี่กยูเหมาะกับแบบนั้นมากกว่าแบบเค้านะ ไม่ต้องมาเสียเวลาสอนขับแบบเค้าด้วย ฮึก”
“แล้วยังไง? จะเลิกหรอ?!”เสียงเย็นของคนพูดทำมยองซูแทบจะปล่อยโฮออกมา แต่ก็เลือกจะก้มหน้าลงเม้มปากกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นอย่างยากลำบากแทน
“ฮึก”
“อยากเลิกกับพี่หรอมยองซู?”
“ฮึก”
“หยุดร้องแล้วตอบพี่ก่อนได้มั้ย” ซองกยูพยายามกดเสียงให้นุ่มและเบาลง
“ไม่อยากครับ”ได้ยินแบบนั้นซองกยูเลยคว้าตัวอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดแล้วฝังจูบลงบนหน้าผากอีกคนเนิ่นนานก่อนจะถอนออกเปลี่ยนเป็นกระซิบเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่สองคนแทน
“พี่ไม่เคยคิดว่าเราไม่เหมาะกันเลยนะ ไม่เคยคิดจะไปหาใครใหม่ด้วย แล้วเราจะผลักไสพี่ให้คนอื่นทำไม? ในเมื่อมยองก็รู้ว่าพี่รักมยองมากแค่ไหน”
“เค้าขอโทษนะพี่กยู”
“ถ้าขับไม่เป็น พี่ก็จะอยู่สอนจนกว่าเราจะเป็น หรือถ้าเรากลัวจนขับไม่ได้จริงๆก็ซ้อนพี่แทนก็ได้ไม่เห็นยากนี่”
“พูดแล้วนะ”
“ครับผม”
“เค้ารักพี่กยูนะ”
ผมถอนหายใจหนักๆอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นเหมือนเดิมแล้วเ
ดินกลับไปยังโต๊ะ ที่ตอนนี้เหล้าหมดไปสามสี่ขวดแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าพี่คนไหนจะออกอาการเมาแอ๋สักนิด คงจะคอแข็งกันน่าดู เห็นแบบนั้นพี่โฮวอนเลยเรียกพนักงานมาสั่งเพิ่มอย่างรู้งาน
ผมเองก็ตามไปไม่ห่าง ยกแก้วที่สามขึ้นกระดกรวดเดียวหมดแล้วเอื้อมไปหยิบขวดที่เพิ่งมาเสิร์ฟเมื่อกี้หวังจะมารินใส่แก้วตัวเอง แต่มือเจ้ากรรมดันไปชนกับมือของอีกคนเข้าซะก่อน
“เดี๋ยวพี่รินให้” พี่ซองกยูพูดเสียงปกติก่อนจะยกมารินให้อย่างที่เขาว่า
“กินเยอะไปแล้วนะเรา”พี่โฮวอนพูดบ้าง ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเช่นเคย ยกแก้วขึ้นดื่มต่อหน้าตาเฉย ผิดกับอูฮยอนที่กินไปได้แค่แก้วกว่าๆก็เริ่มออกอาการกรึ่มๆซะแล้ว
“น้องมยองซูคอแข็งใช้ได้นี่นา”พี่ดงอูพูดไปยิ้มไปกับผมก่อนจะเปลี่ยนเป็นพูดเสียงเข้มเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เรียกให้สองหน่อหันตามทันที“มีคนมองเด็กพวกมึงอยู่ เก้านาฬิกา”
จบคำพูดพี่ดงอู พี่โฮวอนเลยหันขวับมาจ้องหน้าผมพลางยกมือโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของ ผมที่ตกใจกับการกระทำที่กะทันหันเกินไป เลยผลักมือพี่โฮวอนออกทันที
“อย่าทำแบบนี้ ผมไม่ชอบ”
“พี่ขอโทษ ก็พวกนั้นมันมองมยองซูอ่ะ จะให้พี่ทำไง?”
“แล้วเห็นผมเล่นด้วยมั้ย?” พี่โฮวอนอมยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ไม่ใช่แค่พี่โฮวอนที่ตกใจ ผมเองก็ตกใจ ที่ปฏิกิริยาโต้ตอบของผมมันรวดเร็วและรุนแรงขนาดนี้ ตกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวอะไรขนาดนั้นกับอีแค่เขาทำเหมือนจะโอบ แต่จริงๆแล้วยังไม่ทันจะโดนเลยด้วยซ้ำ..
“ขอโทษนะครับ โต๊ะนู้นฝากมาให้”เด็กเสิร์ฟยื่นเศษกระดาษกับดอกไม้สีแดงสดมาตรงหน้าผม ผมที่ยังงงงวยอยู่เลยหันหลังไปมองตามที่เด็กเสิร์ฟบอก แน่นอนว่าคนทุกบนโต๊ะก็ด้วย พบปลากระดี่สองตัวโต๊ะเดียวกับที่พี่ดงอูบอกนั่งยักคิ้วลิ่วตาให้ผม
“อ้ะ ของคุณด้วยครับ” เด็กเสิร์ฟคนเดิมว่าพลางยื่นดอกกุหลาบสีชมพูหวานให้อูฮยอนเหมือนกัน ผมเห็นแบบนั้นเลยก้มอ่านเศษกระดาษที่แนบมา
*น่ารักจุงเบย ขอเบอร์ดั้ยมั้ยจร๊ะ?
อี๋…
ให้บรรยากาศเหมือนถูกพวกเด็กแว๊นแซวเลยอ่ะ
แต่เดี๋ยวนะ…โต๊ะผมก็เด็กแว่นกับสก๊อยทั้งโต๊ะเลยนี่หว่า -_-
“กูจะไปทุบหน้ามัน”พี่โฮวอนที่ก้มหน้ามาอ่านเศษกระดาษในมือผมเหมือนกัน กัดฟันกรอดเตรียมจะลุกไปตั๊นหน้าปลากระดี่ที่กำลังนั่งยิ้มเผล่อย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง
“พวกมึงคิดจะทำอะไร!”พี่โฮวอนเป็นคนเปิดฉาก ตามด้วยพี่ซองกยูและพี่ดงอูที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังติดๆ ผมกับอูฮยอนเห็นแบบนั้นเลยรีบลุกไปเข้าร่วมด้วย
“เปล่านิ แค่จี…”
ผลัวะ!
ไม่รอให้พูดจบ เขาพุ่งไปซัดหมัดใส่ปลากระดี่เบอร์หนึ่งทันที แต่คนชกกลับไม่ใช่คนที่เข้าไปคุยอย่างพี่โฮวอน กลายเป็นคนเลือดร้อนกว่าอย่างพี่ซองกยูซะงั้น
ยังใจร้อนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน…
“เฮ้ยมึง ใจเย็นดิวะ”
“เย็นทำหอกอะไรอะ มันจีบแฟนมึงนะ”
“ก็แฟนกูไง”พี่โฮวอนเข้าไปล็อคตัวพี่ซองกยูไม่ให้เข้าไปต่อยสองคนที่ยืนขาสั่นพั่บๆอีกรอบ “แฟนกู แล้วมึงจะโมโหทำไม?”
“ม มันก็จีบแฟนกูเหมือนกันอะ มึงไม่เห็นหรือไง?”
“ไอ้เห็นอะเห็น แต่คนที่จีบแฟนมึงอะ คนนั้นป่ะ?”ว่าพลางชี้ไปที่มิสเตอร์ปลากระดี่เบอร์สอง “แต่คนที่มึงซัดซะหมอบเมื่อกี้อะ จีบแฟนกู”
พี่ซองกยูทำหน้าเหลอหลาเหมือนคนเพิ่งได้สติ ก่อนจะหันมามองหน้าผมกับอูฮยอนที่ยืนเอ๋ออยู่ไม่ไกลสลับไปมา
“เออคนไหนก็เหมือนกันอะ”
“จาแฟนครัยก็ชั่งเหอะ เด๋วอีกโหน่ยก็ต้องมาเป็นเมียพวกกรู” ปลากระดี่เบอร์สองเดินข้ามหัวเพื่อนที่นั่งมึนอยู่มาพูดตอกหน้าให้สองคนเลือดขึ้นหน้ากันอีกรอบ
“ไอ้…” คราวนี้ทั้งคู่เตรียมจะพุ่งโดยไม่มีใครห้ามใคร
“เด๋วๆ หั้ยน้องๆเขาเลือกดีกว่ามั้ย ว่าน้องเขาจาเลือกครัย เพราะเลามั่นจัยว่าเลาหล่อมากก” แต่ตอนนี้กูลำไยภาษาแว๊นของมึงสุดๆเลยรู้ตัวมะ แล้วยังมีหน้ามาให้เลือกอีกนะ ให้เด็กอนุบาลเดายังเดาถูกเลยเถอะ ว่าจะเลือกใคร -_-
อูฮยอนเดินไปเกาะแขนพี่ซองกยูเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้แทนคำตอบ มิสเตอร์เบอร์สองเลยเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ได้โปรดอย่าร้องเลยนะ หน้าปกติก็สยองพออยู่แล้ว
“แล้วน้องคนหล่ออ่า”อีเบอร์หนึ่งพยุงตัวเองลุกขึ้นมายืนประชันหน้ากับโฮวอนอีกรอบ ผมที่เกลียดการถูกมาสารภาพรัก เกลียดการที่ต้องไปพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆ เลยออกโรงเดินไปใกล้พ่อปลากระดี่นิ่งๆ โยนดอกกุหลาบสีแดงสดลงถังขยะต่อหน้าต่อคนถาม ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วเดินออกจากร้านไปคนเดียว
“น่ารำคาญ”
---------------------------The philophobia----------------------------------
-00.15 น.-
ผมเดินออกมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่หน้าร้านตรงที่จอดรถ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วถอนหายใจลอบที่สิบของวัน จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะพูดแรงๆแบบนั้นหรอกนะ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้สักที ตอนพี่โฮวอนมาสารภาพรักก็ทีนึงแล้ว ครั้งนี้ก็อีก มันรู้แค่ว่าเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ทีไร ผมจะทำตัวไม่ถูก ตัวชาเหงื่อแตก ร้อนรน กลัวไปหมดทุกอย่าง จนกลายเป็นต้องพูดแรงๆใส่อีกฝ่ายทุกครั้งไป
“ทำไมไม่พูดให้ชัดไปเลยว่าเลือกใคร”เสียงพี่โฮวอนดังมาจากด้านหลัง ผมเลยแอบมองบนอยู่คนเดียวก่อนจะหันไปตอบอีกคนอย่างเซ็งจัด
“ก็พูดไปแล้วไง”
“เราพูดแค่ว่ารำคาญ เราไม่ได้ตอบตรงคำถาม ทำไมอะ? แค่พูดว่าเลือกพี่มันยากขนาดนั้นเลยหรอ”
“มันจำเป็นหรอ?” คำตอบผมทำเอาคนฟังหน้าถอดสี นิ่งอึ้งอยู่พักนึง
“มยองซู?”
“ผมถามว่าจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่ต้องพูดก็รู้อยู่ไม่ใช่หรอว่าผมเลือกใคร ถ้าผมเลือกไอ้บ้านั่น ผมก็ด่าพี่ไปแล้วป่ะพี่โฮวอน?”
“…”
“ว่าแต่พี่เหอะ มันก็แค่ส่งของมาให้ป่ะ แล้วผมก็ไม่ได้เล่นด้วย สุดท้ายแล้วมันก็ได้แค่มอง จะใจร้อนอะไรขนาดนั้นอะ ต้องถึงกับไปต่อยเขาเลยหรอ?”
“แค่มองหรอ? ใครเค้าจะชอบให้คนอื่นมานั่งมองแฟนตัวเองอะ”
“…”
“แล้วอีกอย่าง”พีโฮวอนตอบเสียงอ่อยอย่างคนน้อยใจเต็มที่ “คนที่ต่อยมันไม่ใช่พี่ ด่าผิดคนหรือเปล่า?”
“ก ก็เกือบไง พี่ก็เกือบจะต่อยอยู่แล้วอะ ถ้าพี่ซองกยูไม่เข้าไปซะก่อน”
“อ่ะๆ พี่ขอโทษที่ใจร้อน ทีหลังจะพยายามใจเย็นกว่านี้ โอเคนะ”
“อื้อ”ผมพยักหน้าอย่างขอไปทีให้พี่โฮวอน ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มออกแล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ
“กลับเหอะ”พี่ซองกยูที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน จู่ๆก็พูดลอยๆแล้วเดินผ่านพวกผมสองคนไปโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้า ตามด้วยอูฮยอนที่วิ่งตามหลังไปไม่ห่าง
“พี่กยูโกรธอะไรผมหรอ?”
“เปล่า พี่แค่อารมณ์ไม่ดี”คนพูดทำท่าฮึดฮัดพลางเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ตัวเองพอดีกับที่พี่ดงอูตามออกมาพอดี พี่โฮวอนเห็นแบบนั้นเลยชวนทุกคนกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
---------------------------The philophobia-------------------------------
-01.02 น.-
“ทำไมกลับมาดึกดื่นขนาดนี้”
“มีเรื่องนิดหน่อย”ผมตอบเพื่อนรักนามว่าซองยอลด้วยเสียงเพลียจัด ก่อนจะปลดเนคไทของตัวเองออกแล้วคว้าผ้าขนหนูมาพาดบ่าเพื่อเตรียมจะไปอาบน้ำอาบท่า
“เรื่องอะไรมาเล่าก่อนนนนนน”
“มึงหยุดดึงกูก่อน” พอซองยอลปล่อยมือออก ผมเลยเดินกลับไปนั่งข้างๆมันบนเตียงแล้วเปิดปากเล่าเรื่องที่ไปเจอมาวันนี้จนหมดเปลือก จริงๆผมกับซองยอลไม่เคยมีความลับอะไรกันเลยแม้แต่เรื่องเดียว รวมถึงเรื่องของพี่ซองกยูก็ด้วย
“กูมีคำถาม”พอฟังจบ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นสูงเป็นสัญญาณขอถามคำถามอย่างกับพวกเด็กนักเรียนยกมือถามคุณครูอย่างนั้นแหละ
“ว่ามา”
“ที่มึงปฎิเสธคราวนี้ เพราะพี่โฮวอนหรือพี่ซองกยู?” ผมสะอึกไปพักนึงแล้วตวัดสายตามองแรงใส่ซองยอล
“พูดชื่อนี้อีกแล้วนะ”
“เร็วๆ ตอบกูมา”
“กูเป็นแฟนพี่โฮวอนอยู่ ก็ต้องปฎิเสธคนอื่นก็ถูกแล้วป่าววะ? ไม่เห็นเกี่ยวกับคนอื่น”
“แหม~พูดว่าแฟนเต็มปากเต็มคำเลยนะ ไหนบอกว่าไม่ชอบเรื่องรักๆใคร่ๆไง”
“ก็ไม่ชอบไง”
“งั้นกูมีอีกคำถาม”
“?”
“ทำไมมึงไม่เลือกให้ชัดๆไปเลยวะ ทำไมไม่แสดงตัวไปเลยว่าเลือกพี่โฮวอน”ผมไม่ได้ตอบอะไร ซองยอลเองพอเห็นแบบนั้นก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก ผมเลยวางผ้าขนหนูลง เดินออกไปที่ระเบียงห้องเพื่อคิดอะไรเงียบๆคนเดียว
Rrrrrrrrrrrrrr
เสียงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำผมสะดุ้งนิดๆก่อนจะหยิบมันออกมาสไลค์หน้าจอเพื่อเปิดดูว่าใครส่งอะไรมาดึกดื่นป่านนี้
ชื่อและเบอร์โทรที่ปรากฏบนหน้าจอทำผมหน้าชาไปพักนึงก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วเก็บมันลงที่เดิม พลางยกแขนขึ้นเท้ากับรั้วระเบียงห้องแล้วยืนเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอมพูดให้มันชัดเจนไปเลยอย่างที่ซองยอลถาม
บางที…ที่ผมไม่ยอมเลือกให้ชัดเจนไปเลย อาจเป็นเพราะคนที่ผมอยากจะเลือกจริงๆไม่ใช่ทั้งสองคนนั้นเลยก็ได้
---------------------------The philophobia-------------------------------
-sunggyu's part-
เจ้าของตาคมกริบคู่สวยบนใบหน้าเรียบเฉยเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่ระเบียงห้องคนเดียว เหมือนเจ้าตัวจะลืมว่าเสื้อนักศึกษาสีขาวที่ไร้วี่แววของเนคไทที่ตัวเองใส่อยู่ถูกปลดกระดุมสองเม็ดบนออก เผยให้เห็นอกขาวเนียนส่งผลให้คิมซองกยูแทบคลั่ง ผมยืนอยู่ด้านล่างหน้าหอเขาเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้คนบนนั้นออกมายืนข้างนอกปล่อยให้ผมลอบมองอย่างได้ใจอยู่แบบนี้
คนข้างบนยืนเท้าแขนกับระเบียงรั้วอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะฉายแววเศร้าแล้วค่อยๆหลับตาพริ้มเงยหน้ารอรับลมที่พัดมาปะทะเบาๆ
ภาพที่เห็นตอนนี้ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเปลี่ยนไปมาก จากคนหน้าตาน่ารัก ไร้เดียงสา วันๆสนใจอยู่แต่กับกองหนังสือ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง แต่มาวันนี้กลายเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่ดื่มหนักได้อย่างสบายๆ กลายเป็นอีกคนที่บุคลิกดูเหวี่ยงๆ รุนแรงและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน กลายเป็นคนที่ทำอะไรก็ดูเหมือนยั่วยวนคนอื่นอยู่เสมอถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แล้วไหนจะหน้าหล่อๆที่ขนาดผมยังแพ้นั่นอีก
ดูดีไปซะทุกอย่างจนผมแอบหวงไม่ได้…ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีสิทธิ์ก็ตาม
ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมายืนมองเขาอยู่แบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร้านอาหาร ว่าทำไมผมถึงต้องเกินหน้าเกินตาขนาดนั้นตอนมีคนมาจีบมยองซู ทำไมถึงโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่…ทำไมกลายเป็นคนใจร้อนเหมือนเมื่อก่อน
พอๆกับมือเรียวของตัวเองที่ตอนนี้กำลังกดพิมพ์ข้อความรัวๆยาวเหยียดแต่กลับเปลี่ยนเป็นเหลือไม่กี่คำเพราะความขี้ขลาดของตัวเอง ยอมรับเลยว่าตอนนี้มีหลายเรื่องที่อยากคุยกับเขาใจจะขาด แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพรายังไงซะ เขาก็เป็นแฟนเพื่อนไปแล้ว…
[ ซองกยู ] ฝันดีนะ
---------------------------The philophobia-------------------------------
.
.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เดินเรื่องสนุกมากเลยค่ะ สงสารโฮวอนที่ไม่รู้เรื่องด้วยจัง ไหนจะนัมอูอีก เฮ้อ
สงสารโฮวอนก็สงสาร นี่ว่ามยองซูทำไม่ถูกนะ เท่าที่อ่านมามยองซูไม่ไดมีใจให้โฮวอนซักนิด ในใจยังเฝ้าถวิลหาซองกยูอยู่ตลอดเว มยองซูควรรีบพูดความจริงก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้*จริงๆตอนนี้ก็แย่มากแล้วเถอะ*
เรื่องนี้สนุกดีค่ะไรท์ รอตอนต่อไปนะคะ
สู้ๆนะไรท์พยายามมาอัพบ่อยๆนะสนุกจริงๆชอบตัวละคาของมยองมากกแต่ก็สงสารอยู่เหมือนกัน
เค้าเลิกกันทำไม อยากรู้จัง
ชอบความหึงแรงของพี่กยู
คือคนที่มาจีบอูฮยอนไม่ต่อยนะ
ต่อยคนจีบมยองซู~