ตอนที่ 16 : 💔 PHILOPHOBIA {14} ผมยังรักคุณเหมือนเดิม
14
.
.
ผมยังรักคุณเหมือนเดิม
-17.01 น.-
ยิ่งเข็มนาฬิกาขยับเข้าไปใกล้เลขหกมากเท่าไร ใจผมยิ่งอยู่ไม่เป็นสุขมากเท่านั้น ป่านนี้พี่ๆเขาคงจะไปเตรียมตัวที่สนามอย่างที่นัดกันไว้แล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่รู้และไม่อยากจะรู้ด้วยว่าเขาจะวัดอะไรกัน
แต่ในหัวมันดันมีแต่คำถามว่าเกมบ้าๆที่ใช้ผมเป็นของเดิมพันนี่มันจบลงยังไง ถ้าหากว่ามีใครสักคนชนะ เขาจะได้ตัวผมไปจริงๆหรอ เขาคิดจริงๆหรอว่าผมจะยอมคบกับเขา
ทั้งๆที่ทั้งคู่ก็รู้ว่าโอกาสที่ผมจะคบกับพวกเขาเป็นศูนย์...แต่ทำไมถึงยังยืนยันว่าจะแข่งกันเอาเป็นเอาตายขนาดนี้
ผมไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ขายาวๆของตัวเองก้าวออกมายืนที่ระเบียงห้องมุมเดิม ลมแรงๆพัดวูบสู้ผ้าม่านจนปลิวไปตามแรงลม ฝนคงกำลังจะตก ท้องฟ้าวันนี้เลยมืดครึ้มเหมือนวันนั้นไม่มีผิด
วันที่ผมโดนอูฮยอนแกล้งให้เดินตากฝนจนพี่ซองกยูต้องออกมาช่วย...
Rrrrrrrrrrrr
“ครับ”
(มยองซู นี่พี่เองนะ ดงอู) เสียงจากปลายสายทำให้ผมเบาใจลงได้เยอะเพราะคนที่โทรมาไม่ใช่เจ้าของเบอร์นี้อย่างพี่โฮวอน
“ครับพี่ดงอู”
“คือ..มยองซูมาที่สนามแข่งหน่อยได้มั้ย?” เสียงพี่ดงอูดูร้อนรนจนผมแอบใจหาย
“มีอะไรหรือเปล่าพี่?”
“โฮ โฮวอนมันท้าไอ้กยูแข่งรถ” เสียงพี่ดงอูขาดหายไปบางช่วงเนื่องจากฝนกำลังจะตก เลยทำให้สัญญาณมือถือไม่ค่อยเสถียร
“แข่งรถ?”
“ใช่แข่งรถ”
“แต่ฝนจะตกแล้วนะพี่ดงอู”
“พี่ห้ามพวกมันแล้ว บอกไปแล้วว่าแข่งกันตอนฝนตกมันอันตราย แต่ไม่มีใครฟังพี่เลย” ผมเม้มปากแน่นเพราะไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี “พี่เลยมาแอบโทรหาเรานี่แหละ เพราะคิดว่าคนเดียวที่พวกมันน่าจะฟังคือมยองซู”
หลังจากกดวางสายจากพี่ดงอูแล้วผมก็คว้ากุญแจรถกับหมวกกันน็อควิ่งตรงไปที่รถของตัวเองก่อนจะบึ่งมันออกไปทันที
---------------------------The philophobia-------------------------------
สนามแข่งรถ
-17.37 น.-
ผมขับรถมาจอดที่ขอบสนามเพราะวันนี้สนามปิด คงไม่มีใครมาว่าอะไรหากผมจะจอดตรงนี้ ผมก้าวเท้าลงจากรถก่อนจะวิ่งไปหาพี่ดงอูที่ยืนเกาะขอบสนามอยู่ก่อนแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้ถอดหมวกออกเลยด้วยซ้ำ
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งโดยที่มือทั้งสองข้างก็กำลังช่วยกันปลดที่คาดคางของหมวกกันน็อคออกก่อนจะเอามันมา กอดไว้ที่เอว
“พี่ดงอู” พอเห็นผม พี่ดงอูเลยดึงแขนผมให้เข้ามาดูแบบชิดขอบสนาม
ในสนามมีเจ้าของรถคันสีขาวติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว หน้าคมดูไม่สบอารมณ์อย่างแรงก่อนจะยกหมวกขึ้นสวม ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกำแฮนด์รถจนกล้ามที่แขนปรากฏชัดเพราะเสื้อที่เขาใส่อยู่เป็นเสื้อแขนกุดสีดำ
พี่โฮวอนใส่ถุงมือ การ์ดเข่า การ์ดศอกและรองเท้าหุ้มข้อธรรมดาที่ปลอดภัยแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
ไม่เหมือนอีกคน...
ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขายาวเข้ารูป เดินเข้ามาในสนามช้าๆพลางดึงผ้ายืดที่พันข้อมืออยู่ออกแล้วขยับข้อมือไปมาเพื่อเช็คว่ามันใช้การได้แค่ไหนแล้ว ก่อนจะสวมถุงมือเข้าไปแทนที่
ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้นอกจากหมวกกันน็อคที่ถืออยู่ ก็เลยมีแต่การ์ดเข่าเท่านั้นที่เป็นอุปกรณ์เซฟตี้
ทำไมถึงไม่ห่วงตัวเองบ้างนะ
ปล่อยให้ตัวโล่งปราศจากอุปกรณ์เซฟตี้ขนาดนั้นมันจะไปปลอดภัยได้ยังไง!
“พี่กยูแขนซ้นอยู่ไม่ใช่หรอพี่ดงอู แล้วไม่ใส่การ์ดศอกจะดีหรอ?”
“ก็นี่แหละ พี่บอกมันแล้ว ไม่มีใครฟังพี่สักคน”
“แล้วเข่า...”
“…”
“เข่าล่ะพี่ดงอู”
“เข่า? เข่าทำไม?”
“ก็ที่พี่กยูเลิกแข่งรถไปเกือบปีเพราะเขาเจ็บเข่าอยู่ไม่ใช่หรอครับ? แล้วปล่อยให้แข่งแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ?”
“เดี๋ยวๆ มยองซูใจเย็นๆนะ”พี่ดงอูหันมามองหน้าพลางเรียกสติผม “ซองกยูมันบอกเราหรอว่ามันเจ็บเข่า?”
“เปล่าครับ เขาบอกอูฮยอน”
“พี่ก็ไม่รู้ว่ามันยังไงนะ ไม่รู้ว่าทำไมไอ้กยูถึงไปบอกพวกน้องแบบนั้น แต่จริงๆแล้วคนที่เจ็บเข่าจนต้องหยุดแข่งชั่วคราวคือพี่”
“พี่?”
“ใช่ เมื่อปีที่แล้วพี่เกิดอุบัติเหตุระหว่างแข่งนิดหน่อยก็เลยเจ็บเข่า แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังต้องงดแข่งอยู่”
“งั้นถ้าไม่ได้เจ็บเข่า ..แล้วพี่กยูเลิกแข่งทำไม?”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ยอมบอกใคร แต่ที่แน่ๆไม่ใช่เพราะเจ็บเข่าหรือบาดเจ็บอะไรแน่นอน”
“พี่สัญญาว่าไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีมยองซูอยู่ด้วย พี่จะไม่ขับเร็วและจะไม่มีวันปล่อยให้มยองซูเป็นอะไรเด็ดขาด”
มันจะใช่หรือเปล่านะ
ผมจะใช่เหตุผลของเรื่องนี้หรือเปล่า...พี่ซองกยู
---------------------------The philophobia-------------------------------
ในสนาม
-18.11 น.-
ร่างสูงก้าวขายาวๆขึ้นคร่อมรถคันสีดำด้านของตัวเอง วางหมวกกันน็อคไว้ข้างหน้าก่อนจะหยิบบุหรี่มาคาบ จุดไฟแล้วพยายามข่มใจให้นิ่ง
ใจเย็นไว้ซองกยู
มึงต้องใจเย็น
ซองกยูหลับตาพริ้ม จนภาพเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนึงซ้อนทับเข้ามาในหัว มยองซูกำลังยืนทำหน้างอเพราะไม่พอใจที่เขาไม่ยอมเลิกบุหรี่สักที
“ไหนบอกว่าเลิกไปแล้วไง”เสียงเล็กท้วงขึ้นเพราะได้กลิ่นตอนที่กอดเขาเมื่อกี้
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”
“ง่าย! ถ้าพี่รักเค้า อะไรมันก็ง่ายหมดแหละ” มยองซูเดินมานั่งข้างซองกยูบนโซฟาก่อนจะเอนตัวซบบนอกกว้างของคนพี่ อีกคนเลยอ้าแขนรับแล้วกอดคนตัวเล็กไว้แนบอก
“รักก็ส่วนรักดิ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”
“พี่กยู...ไปบ้านเค้ามั้ย?”
“หืม?”
“ถ้าพี่เลิกบุหรี่ได้ เค้าจะยอมให้พี่เข้าบ้านเค้า”
“พูดจริงนะ?”
“อื้อ แต่พี่ต้องเลิกให้ได้ก่อนนะ”
“ครับ พี่จะเลิก”
“เค้ารักพี่กยูนะ”
“พี่ก็รักมยองซู”ซองกยูพรึมพรำกับตัวเองก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาเรียวเล็กกลับดูเลื่อนลอย ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
“ถ้ากลัว จะกลับบ้านก็ได้นะ” คนข้างๆเปิดกระจกหมวกออกก่อนจะหันมามองซองกยูด้วยหางตา ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มข้างนึงไว้พลางเลิกคิ้วสูงราวกับต้องการจะท้าทาย
“คนที่กลัวมันมึงหรือเปล่าโฮวอน?”ซองกยูมองตรงไปที่ถนนยาวสุดลูกหูลูกตาข้างหน้าที่ตอนนี้โดนละอองฝนหยดเล็กๆพรมจนชุ่มไปหมดแล้ว
“กูแพ้มึงมาพอแล้ว”ได้ยินแบบนั้นซองกยูเลยหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท “แพ้ทั้งในสนามและนอกสนาม แพ้แม้กระทั่งเรื่องของมยองซู”
“…”
“กูไม่อยากแพ้มึงอีกแล้วซองกยู”
“…”
“วันนี้กูต้องชนะ ชนะทั้งมึง ทั้งใจมยองซู”
“กูไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลยโฮวอน แต่กูปล่อยมยองซูให้มึงไม่ได้จริงๆ”
“…”
“กูรักมยองซู”
“…”
“เพราะงั้นคืนน้องให้กูเถอะ”
“หึ! รักหรอ? ทำกับเขาขนาดนั้นมึงยังมีหน้ามาพูดว่ารักอีกหรอ?”
“...”
“แต่เสียใจด้วยนะ กูคงคืนให้มึงไม่ได้ เพราะตอนนี้กูกับมยองซูรักกันอยู่”
“ถ้างั้นก็รีบแข่ง จะได้รู้ผลกันสักที”ซองกยูโยนบุหรี่ที่คาบอยู่เมื่อกี้ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้จนไฟมันมอดลง
ฉันอุตส่าห์เลิกได้เพราะนาย แต่สุดท้ายฉันก็ต้องกลับมาพึ่งมันอีกจนได้
ขอโทษนะมยองซู ขอโทษที่ฉันผิดคำพูดอีกแล้ว
“แข่งกันสามรอบสนาม ถ้าใครล้ม ทำผิดกติกาหรือสิ้นสภาพที่จะแข่งได้ ปรับแพ้ทันที” โฮวอนพูดพลางยกยิ้มมุมปากใส่ นี่มันกะเอาเดี้ยงกันไปข้างเลยหรือไงวะ “ใครครบสามรอบสนามก่อน ถือว่าชนะ และจะได้ของเดิมพันไป”
“ดีล” สิ้นเสียงตอบรับจากผม โฮวอนก็กดกระจกหมวกกันน็อคลงแรงๆแล้วตั้งท่าบิดคันเร่งจนเสียงดังระงม ผมเองก็ยกหมวกขึ้นสวม กำแฮนด์รถแน่น ก่อนจะจ้องตรงไปยังถนนเบื้องหน้านิ่ง เพื่อรอสัญญาณไฟ
“พี่สัญญาว่าไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีมยองซูอยู่ด้วย พี่จะไม่ขับเร็วและจะไม่มีวันปล่อยให้มยองซูเป็นอะไรเด็ดขาด”
พี่ขอผิดคำพูดอีกสักครั้งนะ…มยองซู
---------------------------The philophobia-------------------------------
สายฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน มันยิ่งทำให้ใจผมแทบจะระเบิดให้ได้ ผมห้ามอะไรพวกเขาไม่ทันเพราะรู้ตัวอีกที ทั้งสองคนก็บิดคันเร่งพร้อมออกตัวกันแล้ว
ตัวเลขนับถอยหลังมาหยุดอยู่ที่เลขศูนย์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจับเวลาทันทีที่ไฟสีแดงสลับเป็นสีเขียว รถทั้งสองคันออกตัวด้วยความเร็วพอๆกัน แต่เพราะเจ็บแขน พี่ซองกยูเลยเสียหลักนิดหน่อยตอนออกตัว
ทั้งสองคันผลัดกันขึ้นนำ เล่นแรงไม่แพ้กันเพราะต่างฝ่ายต่างก็จงใจเฉี่ยวกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
ลำพังแค่เสื้อยืดบางๆกับเซฟตี้ไม่กี่อย่างที่เขาใส่อยู่ที่ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เขาปลอดภัยได้หรือเปล่าก็ทำให้ผมหวั่นใจมากพออยู่แล้ว ยังต้องมาเจอความเร็วที่ต่างคนต่างบิดอย่างไม่คิดชีวิตแบบนี้อีก
พอพี่โฮวอนเห็นว่าพี่ซองกยูเสียหลักบ่อยครั้งพลางทำหน้าเหยเกทุกครั้งที่เขาขับเข้าไปประชิดทางด้านซ้ายของตัวรถ เขาก็เลยพอจะเดาออกว่าอีกคนเจ็บแขนข้างนั้นอยู่ ได้ทีพี่โฮวอนเลยจงใจขับเข้าไปเบียดซ้ำๆอีกหลายรอบราวกับจะย้ำให้เพื่อนตัวเองทนเจ็บข้อมือที่ซ้นอยู่ไม่ไหว
และเป็นอย่างที่คิด พี่ซองกยูปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากแฮนด์รถ ประคองรถหนักๆที่กำลังแล่นฝ่าฝนด้วยความเร็วที่แทบจะไม่ลดลงเลยหรือคนขับไม่ยอมลดลงก็ไม่รู้อย่างยากลำบาก ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะขับไหวแค่มือเดียวก็ตาม
ม่านฝนหนาขึ้นเรื่อยๆจนทั้งผมกับพี่ดงอูเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะพวกผมแทบจะไม่มองเห็นรถทั้งสองคันแล้ว
ก็ฝนมันตกหนักขนาดนี้
ใครขับได้ครบรอบก็เก่งแล้วเถอะ
ดูจากนอกสนามยังรู้เลยว่าเจ้าของรถคันสีดำแข่งต่อไม่ไหวแล้ว แต่เขากลับไม่ยอม ยังคงบิดด้วยความเร็วเท่าเดิมเพราะถ้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว พี่โฮวอนได้ขึ้นนำแน่ๆ
พอได้แล้ว อย่าเสี่ยงอันตรายเพราะผมเลย มันไม่คุ้มหรอกนะพี่ซองกยู
พอเห็นท่าไม่ดี ผมเลยทนอยู่เฉยไม่ไหว วิ่งกลับไปที่รถของตัวเองก่อนจะขับตามออกไปด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่ากับสองคันในสนามโดยที่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกลัวความเร็วแค่ไหน เลยทำให้รู้ว่าพายุฝนนี่ซัดกระหน่ำจนขับยากเหมือนวันนั้นไม่มีผิด
นี่ขนาดผมปกติดียังรู้สึกว่ามันขับยากขนาดนี้เลย
ผมมองเห็นรถสองคันในสนามไวๆแต่ก็เข้าไปไม่ได้ พี่ดงอูเองก็ขับตามหลังมาไม่ห่างเพราะก็ห่วงเพื่อนไม่แพ้กัน
ผมเร่งความเร็วแล้วขับลัดขอบสนามด้านนอกเพื่อไปดักรอเขาข้างหน้า ทั้งคู่ยังขับตีคู่กันมาเรื่อยๆจนใกล้จะถึงจุดที่ทั้งผมและพี่ดงอูจอดรถอยู่ ผมถอดหมวกออก ดูสถานการณ์ ก่อนจะตะโกนสุดเสียงเพื่อหวังให้เขาหยุดเกมบ้าๆนี่สักที
“พอได้แล้วพี่ซองกยู! จะฝืนทำไม! จะทรมานตัวเองไปถึงไหน!” พี่ซองกยูปัดกระจกหมวกขึ้นทันทีที่เห็นหน้าผม ก่อนจะเบิกตากว้าง ทำหน้าตกใจสุดชีวิตเพราะคงไม่คิดว่าผมจะมา
“มยองซู” พี่ซองกยูพรึมพรำกับตัวเอง แต่ผมอ่านปากเขาออก
“ผมขอร้อง!” พี่เขาเลยลดความเร็วลงเล็กน้อยจนพี่โฮวอนกลายเป็นฝ่ายขึ้นนำ อีกคนยังคงมองหน้าผมค้างอยู่แบบนั้นราวกับกำลังตกใจที่เห็นผมร้องไห้
จนไม่ได้มอง...ว่าข้างหน้าตัวเองเป็นหัวโค้ง
“พี่ซองกยูระวัง!!”
“ไอ้กยู!” สิ้นเสียงตะโกนจากผมกับพี่ดงอู พี่ซองกยูที่ตกใจไม่แพ้กันก็หักแฮนด์รถไปอีกทางทันที
แต่เหมือนช้าไป…
เขาเบรกไม่ทัน
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด
คนขับกำเบรกมือแรงจดมิดก้าน รถเลยปัดไปอีกทาง รู้ตัวอีกที พื้นถนนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำก็ลื่นจนทำให้รถอยู่นอกเหนือการควบคุม ล้อรถหมุนฟรี แหกโค้งและเสียหลักล้มในที่สุด
โครม!!!
รถพุ่งไปกระแทกขอบสนามอย่างจังจนเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วสนาม ตัวคนขับกระเดนออกจากตัวรถก่อนจะนอนแน่นิ่งอยู่ข้างทางไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
ผมเลยวิ่งเข้าไปหาเขาไม่คิดชีวิตโดยมีพี่ดงอูวิ่งตามมาติดๆ ส่วนพี่โฮวอน รายนั้นก็ขับวนกลับมาที่เกิดเหตุเมื่อกี้ด้วยใบหน้าที่ช็อคไปเหมือนกัน
และก่อนที่พี่ดงอูจะกดโทรศัพท์โทรตามรถฉุกเฉิน ผมก็วิ่งมาถึงตัวเขาแล้ว
และโดยอัตโนมัติผมยกตัวเขาขึ้นมาประคองไว้แทบอก ถอดหมวกกันน็อคที่เขาสวมอยู่ออก ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้สติแล้ว
คนในอ้อมแขนผมเปียกชื้นไปทั้งตัว เสื้อยืดที่ใส่อยู่ก็ขาดหลุดลุ่ย แทบไม่ต้องพูดถึงตามลำตัวเลยว่าจะถลอกปอกเปิกขนาดไหน แล้วยังไม่นับรวมบนหน้าผากเขาที่ตอนนี้มีเลือดไหลออกมาด้วย นี่ขนาดใส่หมวกกันน็อคยังเป็นขนาดนี้ แล้วถ้าไม่ใส่จะเป็นยังไง เคยคิดบ้างมั้ย? ห่วงตัวเองบ้างเป็นมั้ยคิมซองกยู!
“พี่กยู!”
“ทำใจดีๆไว้นะมึง” พี่ดงอูช่วยเรียกสติคนที่ยังนอนนิ่งอยู่ก่อนจะหันมาพูดกับผม “ใจเย็นๆไว้นะมยองซู พี่ตามรถพยาบาลแล้ว”
“พี่ซองกยูตื่นสิ!” แต่วินาทีนั้นเหมือนผมหูดับ ไม่ได้ยินเสียงและมองไม่เห็นใครทั้งนั้น คิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่าถ้าเขาเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไง “พี่กยู ผมบอกให้ตื่นไง! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“มยองซู” พี่ดงอูกับพี่โฮวอนผลัดกันเรียกผม แต่ใครสน ในเมื่อสภาพของคนในอ้อมกอดทำให้สติของตัวเองตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว
“ตื่นสิ ตื่นเดี๋ยวนี้! ฮึก อย่าเป็นอะไรไปนะ!”
“มยอง ซู”
“พี่กยู!” ผมเบิกตากว้าง น้ำตาทั้งสองข้างที่ไหลไม่ขาดสายเมื่อกี้ถูกฝนอำพรางไว้ แต่มันไม่อาจซ่อนดวงตาเรียวเล็กทั้งสองข้างที่กำลังฝืนลืมตาขึ้นจากผมได้
“พี่ ขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แข็งใจไว้นะพี่ รถฉุกเฉินกำลังมา พี่ต้องไม่เป็นอะไร”
“ห่วง พี่ หรอ?” ผมก้มหน้าร้องไห้หนักขึ้นเพราะยิ่งเห็นหน้าเขา ยิ่งได้ยินเสียง น้ำตามันยิ่งไหล
“ฮึก”
“ห่วงพี่ ใช่ มั้ย?”
“รู้ว่าผมห่วงแล้วทำทำไม? คิดบ้าอะไรอยู่ ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าพี่เป็นอะไรไปแล้วผมจะทำยังไง?”
“พี่ดีใจ นะ”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ผมละความสนใจจากเขาแล้วหันไปถามอีกคนที่นั่งหน้าซีดไม่ต่างกัน “รถฉุกเฉินมาหรือยังพี่ดงอู?”
“ใกล้จะถึงแล้วๆ”
“ม ยอง ซู” พี่ซองกยูยกมือข้างนึงมาจับมือผมไว้
“ฮึก”
“ตอนที่เราอยู่ด้วยกันมันดีมาก...” เขาปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจากหางตาก่อนจะยิ้มบางๆให้ ผมเลยใช้มืออีกข้างที่ยังว่างยกขึ้นมาประคองใบหน้าเขาที่ตอนนี้มีแต่หยดน้ำฝนเกาะเต็มไปหมดเอาไว้ “ใช่มั้ย?”
“ฮึก” ผมพูดอะไรไม่ออก เลยทำเพียงพยักหน้าตอบเขาไป
“พี่ยัง รักมยองซู อยู่นะ”
“…”
“ไม่เคย หยุดรักเลย” และเพียงเท่านั้น ผมก็ก้มหน้าลง แนบหน้าผากตัวเองลงบนหน้าผากเขาแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาสู้กับฝนอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ถ้ารักผมแล้วจะเอาตัวเองมาเสี่ยงทำไม ฮึก ทำทำไม!”
“พี่ขอโทษ”ผมกระชับแขนที่พยุงเขาอยู่ให้แน่นขึ้น จนร่างของเขาเข้ามาชิดแนบอก
“ฮึก”
“ไหนบอกจะไม่ขับเร็วแล้ว ไหนสัญญาแล้วไง!”
“พี่เคยบอกว่าจะไม่ขับเร็ว ก็ต่อเมื่อ พี่มีมยองซู อยู่ด้วย”
“ฮึก”
“แต่ในวันนี้ พี่กำลังจะ เสียมยองซูไป พี่เลย..” เสียงของพี่ซองกยูค่อยๆแผ่วลง ดวงตาพร่าเลือนเมื่อกี้เริ่มมองผมนิ่งขึ้นราวกับปรับโฟกัสได้แล้ว และเหมือนจะได้สติมากขึ้น นั่นเลยทำให้ผมแอบโล่งใจ
แต่ก็แค่แปปเดียว
“มยองซู” เห็นแบบนั้นพี่โฮวอนเลยเข้ามาช่วยประคองผม “จะตามมันไปมั้ย? ไหวหรือเปล่า?”
“ไหวครับ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“แล้วพี่?” ผมเงยหน้ามองเขา
“เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้ชีวิตไอ้กยูสำคัญกว่า” พี่โฮวอนโทรตามเด็กในสนามมาช่วยกันเข็นรถพี่ซองกยูไปไว้ในอู่ ก่อนที่ตัวเองจะก้าวขึ้นรถ สวมหมวกแล้วเรียกให้ผมขึ้นไปซ้อน
“เขาจะไม่เป็นไรใช่มั้ยพี่?” พี่โฮวอนเลื่อนกระจกหมวกกันน็อคขึ้น มองหน้าผมแล้วน้ำตาคลอ ก่อนจะใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นเรียกชื่อผมเบาๆ
“มยองซู”
“พี่ซองกยูจะไม่ไปไหนใช่มั้ย?” ผมเบะปาก ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเดินไปหยิบหมวกกันน็อคที่กระเดนไปคนละทิศคนละทางขึ้นมากอดไว้ก่อนจะสังเกตเห็นป้ายชื่อด้านใน ที่มีชื่อของเจ้าของหมวกสลักเอาไว้
Sunggyu.
หัวใจมยองซู.
ผมปล่อยโฮรอบสองออกมาอย่างไม่อายใคร ก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นโดยที่ยังกอดหมวกใบนั้นแน่น เห็นแบบนั้นพี่โฮวอนเลยลงจากรถมาช่วยพยุงผมไว้
“พี่ยัง รักมยองซู อยู่นะ”
ผมก็เหมือนกันพี่ซองกยู ผมก็ยังรักพี่อยู่เหมือนกัน
---------------------------The philophobia-------------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

92 ความคิดเห็น
-
#81 pattycpe13 (จากตอนที่ 16)วันที่ 3 พฤษภาคม 2561 / 00:03เราร้องไห้ง่าา ฮื่ออออ สงสารพี่กยู สงสารมยองซูด้วยย ไรต์มาต่อไวๆนะคะ รอน้าาา 😢#810
-
#80 มีนนี่ (จากตอนที่ 16)วันที่ 7 เมษายน 2561 / 01:35กรี้สสสสสส เค้ารักกันแล้วทำไม ฮื่ออออ สงสารรรร ร้องไห้เลยแงง#800
-
#79 MyungLspace (จากตอนที่ 16)วันที่ 27 มีนาคม 2561 / 04:28เย้กลับมาแล้วสววววว สงสารพี่โฮวอนอะ#790
-
#78 Pinest (จากตอนที่ 16)วันที่ 26 มีนาคม 2561 / 21:14แง้ไรท์กลับมาต่อแล้วว พี่กยูต้องปลอดภัยนะะ#780
-
#77 LLL (จากตอนที่ 16)วันที่ 26 มีนาคม 2561 / 17:16งือ! จะร้องสงสาร#770
-
#76 Luckkee (จากตอนที่ 16)วันที่ 26 มีนาคม 2561 / 16:31ไม่เอา bad end เด้อ5555 สมน้ำหน้าพี่กยู อุ้ย สงสารยัยแมวอะ อยู่ๆเขาก็มาแข่งรถกันแย่งนาง#760
-
#75 Luckkee (จากตอนที่ 16)วันที่ 26 มีนาคม 2561 / 16:31ไม่เอา bad end เด้อ5555 สมน้ำหน้าพี่กยู อุ้ย สงสารยัยแมวอะ อยู่ๆเขาก็มาแข่งรถกันแย่งนาง#750
-
#74 wanda2522 (จากตอนที่ 16)วันที่ 26 มีนาคม 2561 / 00:08เย้ๆกลับมาแล้ว คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ฮือ สงสารทุกคนเลยอ่า แต่ก็นะเรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ#740