ตอนที่ 11 : 💔 PHIPLPHOBIA {09} แฟนเพื่อน
9
.
.
แฟนเพื่อน
-21.48 น.-
กว่าจะกลับมาถึงลานกางเต็นท์ ฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตาเมื่อกี้ก็สงบลงจนเหลือแต่ละอองฝนปรอยๆแล้ว
พี่ซองกยูก้าวเท้าลงจากรถตัวเองโดยไม่ลืมจะหันมาช่วยพยุงผมลงด้วย เขาเอาแขนข้างนึงของผมยกขึ้นพาดบ่าแล้วพาเดินไปที่สถานพยาบาลที่ปิดไปแล้ว ตอนนี้เลยทำได้แค่มาขอพวกยูกยาไปทำแผลเองเท่านั้น
“พี่ซองกยู!” พอเดินมาถึง คนสร้างเรื่องก็วิ่งโร่เข้ามาหาพี่ซองกยูทันที แต่รายนั้นกลับทำตาขวางแล้วพยุงผมเดินสวนอีกคนไปดื้อๆราวกับอูฮยอนเป็นเพียงอากาศธาตุ
“อยู่ไหนกันวะ กูเจอมยองซูแล้ว” พี่ซองกยูกดโทรศัพท์โทรบอกผองเพื่อนที่ผมก็ยังไม่เห็นสองคนนั้นเลยตั้งแต่มาถึง เห็นก็แต่รถของพี่โฮวอนจอดอยู่แค่คันเดียว
พอวางสายเขาก็พาผมมานั่งหน้าสถานพยาบาลก่อนที่ตัวเองจะวิ่งหายไปในร้านเล็กๆที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังเปิดไฟอยู่แต่ก็มีเพียงเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าเท่านั้นเพราะอย่างที่บอกว่าร้านปิดไปแล้ว พวกพยาบาลก็เลยกลับกันไปหมดแล้วเหมือนกัน
“รอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปซื้อยามาทำแผลให้”
“อือ”
“สำออย” พอพี่ซองกยูเดินลับตาออกไปไม่ถึงสิบวิ ผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาแขวะผมตามสเต็ปทันที“อูฮยอน”
“เอ้า จำชื่อฉันได้ด้วยหรอ?” อูฮยอนมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ยกมือขึ้นมากอดอก ยกยิ้มมุมปากแล้วก้มมองหน้าผมด้วยสายตาที่ต่อให้ยืนห่างจากเขาสิบกิโลยังรู้เลยว่าไม่เป็นมิตร “แล้วนอกจากชื่อฉัน ยังจำได้อยู่มั้ยว่าฉันเป็นแฟนใคร!”
“นายจะแฟนใครแล้วเกี่ยวอะไรกับฉันอ่ะ?”
“อย่ามาตีหน้าซื่อนะ! คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่านายกับพี่ซองกยูเคยเป็นอะไรกัน!!”
“มันก็แค่อดีต ระหว่างฉันกับพี่ซองกยูมันจบไปนานแล้ว” ผมเงยหน้าไปจ้องหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนคำพูดผมจะยิ่งทำให้อูฮยอนอารมณ์ขึ้นกว่าเดิม
“จบหรอ? มันจะจบได้ยังไงในเมื่อวันนั้นพี่ซองกยูเขายังขอนายคืนดีอยู่เลย!”
“ขอคืนดี?”
“อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้ตอนนี้นะ ก็วันที่ฉันแกล้งหลงจนนายโดนพวกกุ๊ยนั่นทำร้ายแล้วพี่ซองกยูไปช่วยไง!”
“แกล้งหลง? อย่าบอกนะว่าวันนั้นที่นายหายไปแค่ต้องการจะแกล้งให้ฉันโดนพี่ซองกยูด่า?”
“ใช่ไง! ตอนแรกฉันแค่หมันไส้นึกว่าพี่ซองกยูชอบนายเฉยๆ เลยตั้งใจจะแกล้งให้โดนด่าก็แค่นั้น แต่มันดันทำให้ฉันรู้ความจริงว่าจริงๆแล้วนายเคยคบกับพี่ซองกยู!”
“…” พอได้ฟังอูฮยอนพูดเลยทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก อูฮยอนรู้ตั้งนานแล้วแต่ยังปั้นหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตั้งนานได้ยังไง สรุปแล้วอูฮยอนเป็นคนยังไงกันแน่
“แต่ที่ฉันแปลกใจมากกว่า คือทำไมพี่โฮวอนถึงยังไม่รู้เรื่องนี้
“…”
“แต่อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันจะทำให้เขารู้เอง!” พูดจบเขาก็สะบัดหน้าเดินหนีไป ทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่คนเดียว ถึงผมตั้งใจจะบอกเลิกพี่โฮวอนอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขารู้เรื่องผมกับพี่ซองกยูนี่ แต่อูฮยอนเล่นมาประกาศลั่นว่าจะบอกพี่โฮวอนแบบนี้
เรื่องใหญ่แน่ๆ
---------------------------The philophobia-------------------------------
“มยองซู” พี่ซองกยูเดินออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ แต่พอเห็นหน้าซีดๆของผมก็เลยถามขึ้น
“…”
“เป็นอะไรรึเปล่า?” ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนที่เขาจะเดินมาถึงตัว เขาเข้ามาพยุงให้ผมลุกขึ้นเพื่อจะพากลับเต็นท์
เขาค่อยๆวางตัวผมลงกับเก้าอี้ที่อยู่หน้าเต็นท์ วางกล่องปฐมพยาบาลไว้ข้างๆแล้วโยนเสื้อนอกที่เขาไปควานหามาจากในเต็นท์ตัวเองให้ผมห่มแก้หนาวเพราะตอนนี้ตัวเราทั้งคู่ยังเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่เลย
“พี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” พี่ซองกยูที่ตั้งท่าจะทำแผลให้มองหน้าผมแล้วพยักหน้าเบาๆก่อนจะเดินไปหยิบของเพื่อจะไปอาบน้ำ แต่ก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรได้ก่อนเลยหันกลับมาพูดกับผม
“ฉันว่าไปอาบด้วยกันดีกว่า”
“หะ?”
“ม หมายถึงไปพร้อมกันดีกว่า นั่งเปียกแบบนี้นานๆเดี๋ยวเป็นหวัดแล้วโฮวอนมันจะมาฆ่าฉันเอา” พี่ซองกยูยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าที่ขึ้นสีนิดๆพลางเดินมาพยุงผมอีกรอบ
ผมเลยค่อยๆลุกไปหยิบของในกระเป๋าแล้วเดินตีคู่กับพี่ซองกยูจนมาถึงห้องน้ำ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนึงโดยมีพี่ซองกยูเดินตามหลัง
“ยืนไหวรึเปล่า?”
“ถ้าไม่ไหวจะเข้ามาช่วยรึไง?” ผมแกล้งประชดแล้วทำหน้านิ่งใส่เขา พี่ซองกยูเลยยกยิ้มมุมปากพลางยื่นหน้ามาใกล้ผมที่ยืนอยู่ในห้องน้ำแล้วทำท่าเหมือนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่พับแขนอยู่ของตัวเองออก
“อยากให้ช่วยมั้ยล่ะ” ผมตกใจจนผงะไปด้านหลัง พอเห็นแบบนั้นพี่ซองกยูเลยเลิกแกล้งแล้วเดินไปอาบน้ำห้องข้างๆแต่ก็เหมือนจะนึกอะไรออกซะก่อน “ไม่ต้องล็อคประตูนะ ถ้าล้มฉันจะได้เข้าไปช่วยได้”
“ถ้างั้นผมว่าผมล็อคดีกว่า” พอเจอผมสวนกลับ คนร่างสูงตรงหน้าถึงกลับหน้าเหวอจนหลุดขำออกมาก่อนที่เขาจะแยกไปเข้าห้องอื่น
พออาบเสร็จ ผมที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นก็เดินออกมาที่อ่างล้างหน้าหน้าห้องน้ำแล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาพาดไหล่เพื่อเอาไว้เช็ดหัว
ไม่นานอีกคนที่เพิ่งอาบเสร็จก็เดินตามออกมา ไม่ค่อยบ่อยนักที่จะเห็นพี่ซองกยูใส่ชุดสบายๆแบบนี้ เพราะปกตินอกจากชุดนักศึกษากับชุดไปรเวทที่ส่วนใหญ่จะใส่แบบเป็นเสื้อเชิ้ตกับแบบมีเสื้อนอกทับคู่กับกางเกงขายาวเข้ารูปแบบเต็มยศแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นเขาใส่ชุดที่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแบบตอนนี้เลย แน่นอนว่าถ้าไม่นับตอนที่คบกันล่ะก็นะ
“กลับกันเถอะ” พี่ซองกยูออกปากชวน ผมเลยพยักหน้าตอบส่งๆ เห็นแบบนั้นเขาเลยเดินเข้ามาช่วยประคอง แต่ด้วยความที่ตอนนี้ข้อเท้าผมดีขึ้นมากแล้ว เขาเลยทำเพียงแค่จับไว้หลวมๆเท่านั้น
ระหว่างทางผมเห็นเขาเอาแต่ยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองที่เปียกอยู่เหมือนรำคาญ ผมเลยยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเองที่ใช้เช็ดไปบ้างแล้วให้เขา
“ถ้าไม่รังเกีย…” ไม่ทันได้พูดจนจบประโยค มือเรียวสวยของพี่เขาก็คว้ามันไปวางแหมะบนหัวแล้วยีผมเปียกๆของตัวเองลวกๆก่อนจะส่งมันคืนให้ผม
ถ้าจะรีบขนาดนี้ก็อย่าเช็ดเลยเถอะ -_-
ผมรับผ้าผืนนั้นไว้แล้วเดินดุ่มๆเข้าไปใกล้ตัวของอีกคน ยกผ้าในมือขึ้นสูงอ้อมไปข้างหลังแล้ววางทับไว้ข้างหูทั้งสองข้างของคนตัวสูงกว่า เขาสะดุ้งนิดๆราวกับตกใจที่ผมเข้าหากะทันหัน
“อยู่เฉยๆ” สองมือผมที่ยังจับผ้าไว้อยู่เริ่มขยับช้าๆโดยเริ่มจากท้ายทอยแล้วเช็ดสูงขึ้นเรื่อยๆ คนตรงหน้าก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ทำเพียงยืนมองการกระทำของผมนิ่งๆเท่านั้น
และพอรู้ตัวอีกที จมูกผมก็หันไปชนกับปลายจมูกเขาเข้าจังๆ ดวงตาเรียวเล็กที่ชอบมองผมด้วยแววตาดุๆนั่นไม่มีอีกแล้ว ในตอนนี้มีแค่แววตาอบอุ่นที่มองผมด้วยสายตาเศร้าๆจนทำให้ผมละสายตาจากมันไม่ได้ก็เท่านั้น
ดูยังไงก็รู้ว่านัยน์ตาของเราสองคน จนถึงวันนี้ก็ยังมีแค่เราสองคนที่อยู่ในนั้น แทบจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้ผมอยากได้เขาคืนมามากแค่ไหน
และคราวนี้เป็นผมเองที่ไม่รอให้เขาโน้มหน้าลงมา เขย่งตัวขึ้นยื่นหน้าตัวเองให้ริมฝีปากขึ้นไปประกบกับปากของอีกคน พี่ซองกยูเบิกตาโตตกใจที่ผมจู่โจมโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็ยอมหลับตาพริ้มตอบรับรสจูบของผมอย่างว่าง่าย
มือที่เช็ดผมให้เขาเมื่อกี้กลับอ่อนแรงปล่อยวางพักไว้บนไหล่แกร่งของอีกคน ในขณะที่มืออีกข้างขยับขึ้นไปสอดอยู่ในกลุ่มเส้นผมเปียกชื้นของพี่ซองกยู
“อื้อออ”
ผมร้องท้วงเพราะเขาเริ่มรุกรุนแรงขึ้น แต่เหมือนอีกคนจะไม่ฟัง กลับจงใจบดขยี้ริมฝีปากผมอย่างหนักหน่วงจนได้กลิ่นคาวเลือดในปาก พี่ซองกยูถึงได้ยอมหยุด แต่ก็แค่พักเดียว พอเขากอบโกยออกซิเจนได้อีกรอบก็เตรียมจะประกบปากรอบสอง แต่ผมไวกว่า ยกมือมาดันอกเขาได้ก่อน
“เราอย่าทำแบบนี้กันอีกเลยนะ” และเหมือนเสียงผมจะเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาเพราะอีกคนไม่สนใจแถมยังเตรียมจะเข้าชาร์ตอีกรอบอีกต่างหาก
“ผมเป็นแฟนเพื่อนพี่นะ!”สิ้นสุดประโยคทำร้ายจิตใจที่กำลังตอกย้ำความจริงกับเราทั้งคู่ เขาถึงได้ยอมหยุดจริงๆสักที “แล้วเพื่อนพี่เขาก็ดีกับผมมาก พี่โฮวอนเขาเป็นคนดีมากนะ พี่จะทำร้ายเขาลงหรอ?”
พอได้ยินแบบนั้นพี่ซองกยูเลยคลายกอดผมออกช้าๆพลางส่งสายเศร้าๆจนดูน่าสงสารมาให้ผมก่อนจะสะดุ้งตัวแรงเพราะเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้แผลอีกแล้ว
“โอ๊ย”คนตรงหน้าผมร้องโอดครวญทันทีที่ผละออกจากผมแล้วใช้นิ้วแตะๆที่มุมปากตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา และเป็นอย่างที่คิด ที่มุมปากข้างนึงของพี่ซองกยูมีเลือดออก
ตอนแรกก็กะว่าจะช่วยดูแผลให้หรอกนะ แต่พอยืนมองปากเขานานๆผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน เลยต้องรีบชิ่งเดินลากขาเป๋ๆของตัวเองออกมาก่อน ไม่งั้นคนที่จะเลือดไหลหมดตัวคงได้เป็นผมแทนแน่ๆ
หมายถึงเลือดกำเดาอะนะ -*-
ไม่ห่างกันมาก พี่ซองกยูก็เดินตามผมกลับมา ซึ่งที่เต็นท์ตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาสักคน พอมาถึงพี่เขาเลยสั่งให้ผมนั่งนิ่งๆเพื่อจะได้ทำแผลให้
เขาเดินมานั่งลงข้างๆแล้วควานหาแผ่นประคบในกล่องพยาบาลอยู่แปปนึง ส่งให้ผมใช้ประคบที่ข้อเท้าแล้วบอกว่าที่เจ็บข้อเท้าคงเป็นเพราะมันพลิกตอนที่ล้ม
แต่ไม่แค่นั้นพี่ซองกยูดึงแขนผมข้างที่เป็นแผลไปวางบนขาเขา หยิบแอลกอฮอล์มาเทใส่สำลีจนมันชุ่ม พลิกข้อศอกผมขึ้นแล้วเตรียมจะละเลงแอลกอฮอล์ลงบนแผล
“เทเยอะขนาดนั้นมันก็แสบดิพี่!” ผมร้องห้ามเสียงหลง แต่อีกคนกลับทำหน้ามึนแล้วยื่นมือข้างที่ยังว่างมาให้ผมแทน
“อ่ะ ถ้าเจ็บก็บีบไว้”
“ผมไม่เล่นนะ” ผมทำหน้าไม่ไว้ใจใส่จนคนข้างๆต้องปั้นหน้าขรึมคืนมาบ้าง ผมเลยต้องจำยอมทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่องๆ
“ฉันก็ไม่ได้เล่น” เขาค่อยๆเอาสำลีที่ว่านั่นทาที่แผลผมอย่างเบามือที่สุด แต่ด้วยความที่พี่ซองกยูมือหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำว่าเบาของเขา สำหรับผมมันก็โครตเจ็บอยู่ดี!
“โอ๊ย” มือข้างที่จับมือพี่ซองกยูอยู่เลยยิ่งบีบแรงขึ้นไปอีก แต่ถึงจะบีบแรงแค่ไหน คนถูกบีบกลับไม่ได้มีท่าทีอะไรที่แสดงออกมาว่าเจ็บมือเลยสักนิด ด้านไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย?
“รู้งี้เทให้หมดขวดไปเลยก็ดี” เจ้าของหน้าขาวๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หลังจากก้มหน้าหงุดอยู่กับแผลผมมาสักพัก
“แค่นี้ก็แสบพอแล้วป่ะ?”
“เปล่า นายจะได้ไม่ปล่อยมือฉันไง”
ด้านจริงๆด้วย!
พอเห็นผมแยกเขี้ยวใส่ เขาเลยหันกลับไปสนใจแผลผมต่อ พอล้างแผลเสร็จเขาก็เอายามาละเลงใส่ ขอย้ำว่าเขาละเลงจริงๆ คือทำไม่เป็นก็ไม่ต้องพยายามมั้ยล่ะ นี่เขาคิดว่าเขากำลังวาดภาพระบายสีอยู่รึไง -_-
แต่ชั่งเถอะ…เพราะหน้าเขาตอนกำลังตั้งอกตั้งใจทำอะไรสักอย่างแบบนี้มันโครตน่ามองเลย
พอใส่ยาเสร็จ ขั้นตอนสุดท้ายคือแปะพลาสเตอร์ แต่เมื่อกี้เขาหาจากในกล่องพยาบาลแล้วไม่เจอ ก็เลยล้วงพลาสเตอร์สีเหลืองอ๋อยลายปิกาจูจากกระเป๋าตังค์ตัวเองออกมาแปะให้ที่แผลผม
เป็นผู้ชายยังไง ถึงพกพลาสเตอร์ลายแบ๊วขนาดนี้วะ -_-
“เสร็จละ” ว่าพลางเงยหน้ามาส่งยิ้มตาหยีให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ตั้งแต่เลิกกันผมก็เพิ่งจะได้เห็นเต็มๆตานี่แหละ “ทำไมหน้าแดงอ่ะ ไม่สบายหรอ?”
“เปล่า”ผมตอบเขาปัดๆแล้วพยายามหันหน้าหนีเพราะสู้หน้าไม่ไหว อีกคนเลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ หันไปเก็บของใส่กล่องปฐมพยาบาลแล้วนั่งข้างผมเฉยๆ
“โอ๊ย!” ผมเผลอเอานิ้วไปแตะบนปากเขาตรงที่เป็นแผล เขาเลยสะดุ้งตัวหันมาทำตาขวางใส่ราวกับอยากจะเขมือบผมลงคอซะเต็มประดา
“เจ็บมั้ย?”
“นิดหน่อย”
“แล้วแขนล่ะ?”
“ไม่เป็นไ..อ้ะ” ผมยกแขนเขาขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ เมื่อกี้ตอนที่บีบมือเขาผมก็ลืมไปสนิทว่ามือเขาเจ็บอยู่เลยเผลอใส่ไม่ยั้งเลย แถมก่อนหน้านี้เขายังแบกผมกลับมาอีก ไม่อ่วมก็ให้มันรู้ไปสิ
“ไหนบอกว่าไม่เป็นไรไง” ผมบ่นอุบจนเสียงออกมาดุนิดๆ แล้วก้มหน้าก้มตาพลิกมือเขาดูจนเห็นว่ามันบวมกว่าอีกข้างตั้งเยอะ มิหนำซ้ำแผ่นประคบที่มีอยู่แค่อันเดียวก็ดันไปแปะหราอยู่ที่ข้อเท้าผมซะแล้ว
พอไม่มีอุปกรณ์ช่วย เลยต้องใช้แรงตัวเอง เอามือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองแขนเขาไว้แล้วค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ พลางมองค้อนใส่คนอวดเก่งแล้วบ่นพรึมพรำอยู่คนเดียวไปด้วย
‘ช่วยคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองก็เดี้ยงอยู่เนี่ยนะ หล่อมากมั้ง!’
พอนวดได้พักนึงผมก็เลิกเพราะนวดไปฉุนเฉียวไปแบบนี้คงไม่เวิร์ค แขนเขาคงได้หักก่อนจะหายแน่ๆ ผมหยิบผ้ายืดผืนใหม่มาบรรจงพันให้เขาจนเสร็จพร้อมๆกับบุคคลที่หายไปตั้งนานกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดี
“มยองซู!” พี่โฮวอนตรงหรี่มาหาผมทันทีที่เห็นหน้า “หายไปไหนมา!?”
“เปล่า อุบัติเหตุน่ะครับ” ทั้งๆที่ใจจริงอยากตะโกนแทบแย่แล้วว่า โน่น อูฮยอนโน่นแกล้งผม
“เป็นแผลด้วยหรอ?”
“อือ”
“แล้วใครทำแผลให้”
“กูทำให้เอง” คนข้างๆออกปากยอมรับเองจนพี่โฮวอนอดจะหันไปมองหน้าไม่ได้
“เออมยองซูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ ไปไปอาบน้ำ เปียกไปหมดแล้วเนี่ย” ไม่ว่าเปล่าพี่ดงอูเดินมาคล้องคอลากให้พี่โฮวอนเดินออกไปด้วยกัน โดยมีอูฮยอนที่เดินตาขวางตามไปอาบด้วยคน
และไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งสามคนก็เดินกลับมานั่งแหมะอยู่ด้วยกัน อูฮยอนเดินไปปิ้งบาร์บีคิวที่หน้าเตาโดยมีพี่ดงอูเป็นลูกมือ ส่วนพี่โฮวอนกับพี่ซองกยูก็ลุกไปหยิบขวดแอลกอฮอล์มานั่งชงกันสบายใจเฉิบ เว้นแต่ผมที่นั่งเป็นง่อยเพราะขาเจ็บอยู่เลยลุกไปช่วยอะไรใครไม่ได้
“มยองซู” พี่โฮวอนยื่นจานบาร์บีคิวมาให้ ผมเลยพยักหน้าหงึกๆแล้วรับไปแต่โดยดี เจ้าตัวเลยอมยิ้มพิมพ์ใจแล้วนั่งลงข้างๆผม
“พี่ซองกยู ผมปิ้งบาร์บีคิวมาให้ฮะ” พี่ซองกยูทำหูทวนลมแล้วยื่นมือไปหยิบแก้วเหล้าตรงหน้ามากระดกลงคอเหมือนไม่สบอารมณ์ เลยทำให้อูฮยอนหน้าเจื่อนๆแล้ววางจานไว้ข้างหน้าก่อนจะนั่งลงข้างๆพี่ซองกยู
“มาๆ เล่นเกมกันดีกว่า” พี่ดงอูที่เห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีเลยหากิจกรรมมาสร้างบรรยากาศ
“เกมไรวะ?” พี่โฮวอนว่าพลางยื่นแก้วที่เพิ่งชงเสร็จมาให้ผม
“เกมหมุนขวดพูดความจริงไง เคยเล่นมะ?” ที่เหลือพากันส่ายหัวเป็นพัลวัน พี่ดงอูเลยนั่งลงข้างๆพี่โฮวอนแล้วเริ่มสาธยายวิธีการเล่นให้ฟัง “’ก็หมุนขวด ถ้าไปหยุดที่ใคร คนหมุนก็สามารถถามคำถามอะไรก็ได้หนึ่งคำถาม”
“…” พอเห็นว่าทุกคนยังนั่งเอ๋อกันอยู่พี่ดงอูเลยพูดต่อ
“แต่ถ้าตอบไม่ได้จริงๆก็ยก” พอพี่ดงอูบอกแบบนั้นทุกคนเลยสบายใจ(?) แล้วยอมเล่นด้วยแต่โดยดี เพราะไหนๆมันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
“งั้นเริ่มจากกูนะ” พี่ดงอูหยิบขวดน้ำเปล่ามาวางกลางวงล้อมก่อนจะเริ่มหมุนขวดจนมันมาหยุดที่…
“ซองกยู!” พี่ดงอูที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งเผลอหลุดเฮออกมาจนที่เหลือพากันสะดุ้งตาม เว้นก็แต่ผู้โชคดีที่พอรู้ว่าจะโดนถามกลับทำหน้าเซ็งสุดใจ
“เออจะถามอะไรก็ว่ามา”
“อืมมม ถามอะไรดีน้า”
“ลีลา!”
“กูรู้ละ ถามสเปคดีกว่า สเปคมึงเป็นแบบไหน?” พี่ซองกยูทำท่าอึกอักไม่ยอมตอบจนอีกคนต้องยื่นมือมาช่วย
“งั้นเอางี้ เพื่อให้ง่ายขึ้น กูมีตัวเลือกให้” พี่โฮวอนยกมือเสนอตัวช่วย “ระหว่างอูฮยอนกับมยองซู มึงชอบแบบไหน?”
คนถูกถามเหมือนโดนช็อตกลางอากาศทันทีที่ได้ยินว่าตัวช่วยที่ว่าคืออะไร เขาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะพยายามปั้นแล้วตอบชัดถ้อยชัดคำจนกลายเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในพริบตา
“มยองซู” พี่ซองกยูทำหน้านิ่งๆพลางส่งสายตาอ่านยากไปให้คนถามที่ทำหน้าอ่านยากไม่แพ้กัน “ถ้าถามสเปค กูชอบแบบมยองซูมากกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องรักคนที่ตรงสเปคเสมอไปนะ จริงมั้ย?”
ผมเลิกสนใจคนพูดแล้วลอบมองหน้าอูฮยอนเนียนๆ เลยแอบเห็นว่าตอนนี้กำลังนั่งทำหน้ายิ้มระรื่นอยู่ข้างๆพี่ซองกยู แต่เหมือนรายนั้นจะไม่สนใจเพราะมัวแต่เล่นสงครามประสาทกับคนข้างๆผมอยู่
“มาๆ ต่อๆ คราวนี้ตามึงหมุน” พี่ดงอูเรียกให้ทุกคนออกจากบรรยากาศมาคุนี่แล้วหันไปสนใจเกมต่อพลางโยนขวดน้ำให้พี่ซองกยูหมุน
พี่ซองกยูบิดข้อมือเล็กน้อยแล้วออกแรงหมุนขวดนั่นเบาๆแต่ก็พอจะทำให้มองตามขวดไม่ทันเหมือนกัน จนมันลดความเร็วลงเรื่อยๆ
“คำถามเดียวกัน” พอเห็นว่าขวดมาจ่อที่หน้าของพี่โฮวอน พี่ซองกยูเลยยกยิ้มยียวนแล้วถามคำถามเดิมคืนไปราวกับต้องการท้าทาย “สเปคมึงล่ะ เป็นแบบไหน?”
“กูก็ชอบแบบมยองซูเหมือนกัน” พี่โฮวอนเว้นวรรคหายใจแล้วหันมาพูดประโยคหลังกับผมต่อ “ถ้าเป็นมยองซูพี่รับได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องโกหก เพราะพี่ไม่ชอบคนโกหก”
“…” เพราะไม่มีใครกล้าปริปากโต้แย้งอะไรกับคำพูดกำกวมของพี่โฮวอน เจ้าของหน้าคมที่กำลังทำหน้าน่ากลัวๆอยู่เลยยื่นมือไปหมุนขวดต่อเองจนกระทั่งมันไปหยุดที่คนตัวเล็กอีกคน
“อูฮยอนหรอ?” พี่โฮวอนทำหน้าครุ่นคิดเพราะไม่รู้จะถามอะไร ”ฉันคิดไม่ออกอ่ะ งั้นพูดสิ่งที่อยากพูดกับซองกยูตอนนี้แทนละกัน” และแทบไม่ต้องคิด อูฮยอนรับคำสั่งแล้วหันไปหาพี่ซองกยูทันที
“ผมรักพี่ซองกยูนะฮะ รักมากด้วย” ตามสเต็ปเดิมที่เจ้าตัวไม่ลืมเน้นสองคำในประโยคกระแทกหน้าผม แต่กลับกัน คนถูกบอกรักกลับทำหน้าหน่ายสุดฤทธิ์พลางขยับไปกระซิบเสียงเย็นๆกับอูฮยอนจนแทบจะไม่มีใครได้ยิน อูฮยอนเลยต้องกลับมานั่งกระฟัดกระเฟียดอีกรอบ
“มากไปหน่อยมั้ง”
“พี่ซองกยู!”
“หมุนขวดได้ละ คนอื่นรออยู่” พอได้ยินเสียงนิ่งๆจากอีกคนแบบนั้น อูฮยอนเลยยอมเอื้อมมือไปหมุนขวดแต่โดยดี
“มยองซู” โดนหวยกินยังไม่เซ็งเท่านี้เลยเถอะ พอขวดที่อูฮยอนหมุนมาหยุดที่ผม เขาเลยทำหน้าพออกพอใจจนเห็นได้ชัด “งั้นฉันถามคำถามเดิม ระหว่างพี่สามคนนี้ สเปคนายเป็นแบบไหนหรอ?”
“…” ถ้าจะถามขนาดนี้ตัดช้อยส์ให้เหลือแค่สองคนจะตรงประเด็นกว่ามั้ย จะเพิ่มพี่ดงอูมาทำไมล่ะแหม -_-
“ว่าไง?” อูฮยอนเริ่มคะยั้นคะยอจนผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ซองกยูที่เคยโดนถามคำถามนี้เลยให้ตาย
“อึก” และแน่นอนว่าผมเลือกกระดกแก้วช็อตที่ถูกรินอย่างหนาตรงหน้าลงคอแทนที่จะตอบอะไรที่ไม่ได้มีผลดีกับใครเลยออกไป ถึงแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ
“อ๋อ” อูฮยอนขานรับด้วยน้ำเสียงยียวน แต่ผมก็ละความสนใจจากคนชอบหาเรื่องไปที่อื่นแทนเพราะรำคาญใจเต็มทน
“อ่ะ มยองซูจะไปไหน?” พอเห็นผมพยายามลุกขึ้นยืนแบบโซซัดโซเซ พี่โฮวอนเลยรีบหันมาถาม
“ห้องน้ำ”
“ให้พี่ไปส่งมั้ย?” ผมส่ายหน้าน้อยๆให้เขาก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแต่ก็ต้องชะงักเพราะเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้า+พิษแอลกอฮอล์ช็อตเมื่อกี้จนเกือบจะล้มหัวทิ่มซะก่อน แต่คนที่เข้ามาถึงตัวผมแล้วช่วยพยุงไม่ให้ผมล้มได้ก่อนกลับเป็นพี่ซองกยู
“ขอบคุณครับ” ผมรั้งตัวแล้วสะบัดมือออกจากตัวพี่ซองกยูซึ่งเจ้าตัวก็ยอมปล่อยง่ายๆ พี่โฮวอนเลยต้องเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยประคองผมแทน เขาดึงผมออกมาจากฝั่งพี่ซองกยูแล้วพาไปห้องน้ำแต่ก็ไม่ลืมจะทิ้งเสียงทุ้มต่ำใส่พี่ซองกยูไปหนึ่งประโยคก่อนไป
“อย่าออกนอกหน้าให้มันมาก”
พอผมล้างหน้าล้างตาเสร็จ พี่โฮวอนเลยพาเดินกลับมาส่งที่เต้นท์ก่อนที่ทั้งพี่โฮวอนและพี่ดงอูจะพากันไปขับมอไซค์สุดรักมาจอดใกล้ๆ ตอนนี้ผมเลยนั่งเช็ดหมวกกันน็อคอยู่หน้าเต็นท์ตัวเองคนเดียว
เพราะอย่างน้อยต้นเหตุที่หมวกเขาต้องมีรอยแล้วก็เปียกแฉะขนาดนี้ก็เป็นเพราะผมส่วนนึง เลยไม่น่าจะเป็นไรถ้าจะเอามาเช็ดๆให้เขาซะหน่อย
“พี่ซองกยูพูดแบบนี้หมายความว่าไง??” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาไกลๆจนผมอดหันไปมองตามเสียงไม่ได้ เลยขยับตัวไปแอบมองที่ด้านหลังของเต็นท์แล้วเห็นว่าเจ้าของเสียงนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“ก็หมายความอย่างที่พูด” คนตัวสูงกว่ายืนกอดอกทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไร ผิดกับอีกคนที่ยืนโมโหโวยวายเป็นฟืนเป็นไฟ
“ผมเป็นแฟนพี่นะพี่ซองกยู! ทำไมพี่ไม่เข้าข้างผม!”
“เป็นแฟนพี่แล้วมีสิทธิ์ไปแกล้งมยองซูเขาแรงๆแบบนั้นหรออูฮยอน?”
“ผมจะไม่แตะต้องเลยถ้าคนๆนั้นไม่ได้เป็นแฟนเก่าพี่ ทำไมพี่ไม่บอกผมเรื่องที่พี่เคยคบกับมยองซู!”
“นายไปรู้อะไรมา?”
“พี่คิดว่าคนอื่นเขาจะโง่จนดูพี่สองคนไม่ออกหรอ? พี่คิดว่าตอนที่พี่ใส่หมวกให้มยองซู ผมจะไม่ได้ยินเลยหรอว่าพี่คุยอะไรกัน! คนอื่นเขาไม่ได้โง่อย่างที่พี่คิดนะพี่ซองกยู!”
“มันก็อย่างที่นายได้ยิน พี่กับเขาเป็นแค่แฟนเก่าแถมตอนนี้เขาก็เป็นแฟนเพื่อนพี่ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะงั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขา!”
“พี่ยังรักเขาอยู่ใช่มั้ย ถึงปกป้องกันขนาดนี้!”
“จะรักไม่รักมันก็ไม่เกี่ยวเปล่าวะ! จำเอาไว้นะอูฮยอน ว่าต่อให้เป็นนายหรือใครหน้าไหนก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำร้ายมยองซู”
“…”
“หรือถ้าจะมี ฉันนี่แหละจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!”
“พี่ซองกยู!”
“และถ้ามยองซูต้องมาเจ็บตัวหรือเป็นอะไรเพราะนายอีกแม้แต่นิดเดียว แม้แต่คำว่าแฟน ฉันก็จะไม่มีให้!” พอพูดจบพี่ซองกยูก็เดินหายลับสายตาไป เหลือแต่อูฮยอนที่ยังคงยืนกระทืบเท้าอยู่คนเดียวจนกระทั่งเจ้าตัวเหลือบมาเห็นผมนั่งอยู่หน้าเต็นท์ เลยเดินดุ่มๆเข้ามาหา
“ทีนี้สะใจรึยัง?!” อูฮยอนถลึงตาโตใส่ ผมเลยทำหน้านิ่งๆแล้วไหวไหล่เบาๆเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรสักเท่าไร
“ไม่เท่าไร”
“มยองซู!”
“นายใช่มั้ยที่บอกพี่โฮวอน เขาถึงได้มีอาการแปลกๆ แล้วชอบแขวะฉันกับพี่ซองกยูแบบนี้” คราวนี้เป็นผมบ้างที่เป็นฝ่ายจู่โจมเพราะทนเก็บความสงสัยข้อนี้มาตั้งแต่ตอนเล่นเกมแล้วว่าทำไมพี่โฮวอนถึงทำท่าทางเหมือนไม่พอใจอะไรมา
“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอก” อูฮยอนยังคงจ้องผมเหมือนอยากเขมือบหัวซะเต็มประดาอยู่เหมือนเดิมไม่ขยับไปไหน “ถ่านไฟเก่ามันลุกแรงไปมั้ง พี่โฮวอนถึงรู้ตัว”
“…” ผมกรอกตามองบนแล้วเตรียมจะกระเผลกพาขาเดี้ยงๆของตัวเองออกจากตรงนี้แต่ก็โดนอีกคนเรียกไว้ซะก่อน
“เดี๋ยว!”
“มีอะไรอีก?”
“เลิกยุ่งกับพี่ซองกยูซะ”
“หะ?”
“พี่ซองกยูไม่เคยเป็นแบบนี้ เขารักแค่ฉันคนเดียว เพราะงั้นถ้าไม่มีนายสักคน พี่ซองกยูก็จะกลับมารักฉันเหมือนเดิม!” ผมจ้องหน้าเขาด้วยแววตาสงสารและต่อต้าน อาจเพราะผมเองก็เคยเป็นแบบนี้ เคยอ่อนแอจนดูน่าสมเพชขนาดนี้ก็เพราะความรักเหมือนกัน มันเลยเป็นเหตุผลให้ผมกลัวความรักมาจนทุกวันนี้ไง
ผมพลิกหมวกของพี่ซองกยูที่เอามาเช็ดก่อนหน้านี้ขึ้น เพื่อจงใจเผยให้เห็นป้ายชื่อหัวใจมยองซูใต้หมวกชัดๆพลางยัดใส่มืออูฮยอนทันทีให้เขาตาสว่าง โดยไม่ลืมจะทิ้งท้ายให้อีกคนเจ็บใจเล่นก่อนจะเดินสวนออกมา
“แล้วแน่ใจได้ไง ว่าเขามีนายแค่คนเดียว?”
---------------------------The philophobia-------------------------------
*อย่าลืมไปคุยกันในแท็คน้า #ฟิคฟีโลโฟเบีย
บางทีไรท์จะอัพตัวอย่างตอนต่อไปไว้ในทวิตเตอร์ด้วย ไปติดตามหรือทวงฟิคได้เลยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

92 ความคิดเห็น
-
#47 เรน (จากตอนที่ 11)วันที่ 20 เมษายน 2560 / 01:33จูบกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นน้องจูบก่อนซะด้วย สงสัยโฮย่าน่าจะรู้แล้วแหละ ที่นี้จะเป็นไงต่อไปล่ะ ลุ้นอยู่นะ#470
-
#46 MyungLspace (จากตอนที่ 11)วันที่ 19 เมษายน 2560 / 13:54เข้าใจอูฮยอนนะ ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆ555555555 สงสารก็สงสารรักเค้าชอบเค้าเป็นแฟนกันแล้วรสเหมือนจะโดนแย่งไรงี้ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็เข้าข้างลูกฉัน orz โฮวอนนี่น่าจะรู้นานละนะ ทะเลาะกันทีออกสื่อขนาดนี้ เอะอะแซะ แฟนเก่าๆ ไม่รู้นี่สิแปลก พี่กยูรักเค้าอยู่ก็พูดออกมาเถ้อะ มาทำเป็นรักความยุติธรรม ตอนเล่นเกมนี่เด็ดดวง#460
-
#45 supisa_n (จากตอนที่ 11)วันที่ 19 เมษายน 2560 / 08:04พี่กยูตอนแรกนี่แบบพยายามรำลึกความหลังมากอ่ะ ดูเจ้าเล่ห์ด้วย มีอยากให้จับมือ55555555 แต่ก็ห้ามใจตัวเอง แต่มยองนี่แบบรุกก่อนเลย สุดท้ายก็ต้องหยุดเพราะเป็นแฟนเพื่อน ชอบตอนที่ทำแผลให้กันมากอ่ะ น่ารักดี เราว่าโฮวอนมาเห็นทำแผลด้วยแหละ แล้วก็ดอกไม้ เรื่องหึง หลายเรื่องอ่ะ ก็เลยดูตึงๆกับมนอง พี่กยู แล้วอูฮยอนนี่แบบเข้าใจนะว่าหวงแฟน แต่ก็ไม่น่าจะร้ายขนาดนี้ป่ะ สะใจตอนที่มยองเอาหมวกกันน็อคให้ดู//ทำไมเป็นคนเลว55555555 พี่กยูนี่ดูปกป้องมยองมากอ่ะ เรากลัวใจทุกคนเลยเนี่ย คือตอนนี้พี่กยูกับมยองนี่แบบเหมือนกลับมาเหมือนเดิม แต่ติดโฮวอนกับอูฮยอน เรากลัวว่าถ้าโฮวอนรู้นี่หักแน่ๆ โอ้ยยยย กังวล#450