ผู้เข้าชมรวม
53
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
แท็กนิยาย
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)การสูญพันธ์ของไดโนเสาร์
(ภาษาอังกฤษ)Dinosaur extinction
สาขาของงานวิจัย
โปรแกรมเพื่อการประยุกต์ใช้งาน
ชื่อผู้ทำโครงงาน 1.เด็กหญิงกานต์นรินทร์ วิเศษกันทรากร ม.3/9 เลขที่22
2.เด็กชายโชค ศรีบุญเป็ง ม.3/9
เลขที่47
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา นางนิจกาญจน์ พ้องพงษ์ศรี
ระยะการดำเนินงาน 1 เดือน ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2561
1.แนวคิด ที่มา และความสำคัญ
เทคโนโลยีทางการสื่อสาร เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน
เริ่มมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
และมีส่วนช่วยสนับสนุนสื่อทางด้านการศึกษาอีกด้วย โดยสื่อสมัยใหม่นิยมเป็น
สื่อการเรียนผ่านเครือค่ายอินเตอร์เน็ต เพราะ สะดวกรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย
มนุษย์ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว
แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเศษซากเหล่านี้เป็นของสัตว์ชนิดใด
และพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา
ชาวจีนมีความคิดว่านี่คือกระดูกของมังกรขณะที่ชาวยุโรปเชื่อว่านี่เป็นสิ่งหลงเหลือของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี
ค.ศ. 1822 โดย กิเดียน แมนเทล
นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ
จึงได้ทราบว่าซากดึกดำบรรพ์ นั้น คือไดโนเสาร์
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้เสนอข้อเท็จจริงที่สุดว่า ทำไมไดโนเสาร์ถึงได้สูญพันธ์
ซึ้งมีมากกว่า1ทฤษฎี
ดังนั้นกลุ่มข้าพเจ้าจึงทำโครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อ
ทางศึกษาเรื่อง”การสูญพันธ์ของไดโนเสาร์”โดยรวบรวมข้อมูล
เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์และจัดทำเว็บบล็อก
เพื่อเป็นประโยชน์กับบุคคลที่สนในเรื่องการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์
2. วัตถุประสงค์
2.1 เพื่อการศึกษาและพัฒนาเว็บบล็อกของเรื่องการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์
2.2
เพื่อเป็นสื่อทางการศึกษาผ่านเครือค่ายอินเตอร์เน็ต
2.3 เพื่อเป็นประโยชน์ที่สนใจทั่วไป
2.4 เพื่อสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล
3.หลักการและทฤษฎี
เรื่องการ สูญพันธุ์ของไดโนเสาร์
หลักการและทฤษฎีแรก.
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (อังกฤษ: mass extinction) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นข้อสันนิษฐานว่า เป็นสาเหตุให้สิ่งมีชีวิตบนโลกหลากชนิดหลายสายพันธุ์ต้องสูญพันธุ์ไปในเวลาพร้อมๆกันหรือไล่เลี่ยกัน
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงครั้งเดียว ในช่วง ยุคครีเตเชียส (Cretaceous) ซึ่งเป็นยุคที่ไดโนเสาร์เป็นสิ่งมีชีวิตอันดับบนสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
หากแต่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
การประเมินระยะเวลาการเกิดเหตุการณ์ ทำโดยการวินิจฉัยจากซากฟอสซิลจากทะเลเป็นส่วนใหญ่
เนื่องมาจากว่าสามารถ ค้นพบได้ง่ายกว่าฟอสซิลที่อยู่บนบก
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เป็นที่สนใจและผู้คนทั่วไปรู้จักกันดีที่สุดคือ
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงยุคครีเตเชียส (Cretaceous) เมื่อราว 65 ล้านปีที่แล้ว
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่สูญพันธุ์ทั้งหมด
เมื่อทำการศึกษาพบว่าตั้งแต่ 550 ล้านปีก่อนเป็นต้นมา
ได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ขึ้นทั้งหมดประมาณ 5 ครั้ง
ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปราวๆ 50% ของทั้งหมด
เนื่องจากระยะเวลาที่เกิดขึ้นนานมาก
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ก่อนหน้ายุคครีเตเชียสมักลำบากในการศึกษารายละเอียด
เพราะหลักฐานซากฟอสซิลสำหรับตรวจสอบมีหลงเหลือน้อยมาก
เหตุการณ์สูญพันธุ์ยุคออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน |
ทำให้สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตซึ่งอาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป
25%
คิดเป็น 60% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด |
น้ำทะเลลดระดับลงจากการก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์
และต่อมาน้ำทะเลจึงเพิ่มระดับขึ้นกะทันหัน จากการละลายของก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ |
การสูญพันธุ์ปลายยุคดีโวเนียน |
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป
22%
คิดเป็น 57% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด |
ยังไม่มีสมมติฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ |
เหตุการณ์สูญพันธุ์ยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสซิก |
·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไป 95% ของจำนวนสายพันธุ์ทั้งหมดบนโลก ·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป
53%
คิดเป็น 83% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด ·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนพื้นดินทั้งพืชและสัตว์สูญพันธุ์ไป
70%
ของจำนวนสายพันธุ์ทั้งหมดที่อาศัยบนบก |
·
สมมติฐานที่ 1 อุกกาบาตขนาดใหญ่ หรือดาวเคราะห์น้อยพุ่งเข้าชนโลก ·
สมมติฐานที่ 2 ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง ·
สมมติฐานที่ 3 อุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลก
และไปกระตุ้นให้เกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ |
เหตุการณ์สูญพันธุ์ยุคไทรแอสซิก-จูแรสซิก |
·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป
22% คิดเป็น 52% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด ·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนบกไม่ทราบจำนวนที่สูญพันธุ์ที่แน่ชัด |
ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดครั้งใหญ่ที่บริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก ปลดปล่อยลาวาจำนวนมหาศาลออกมา และอาจทำให้เกิด ภาวะโลกร้อนขั้นวิกฤต โดยพบหลักฐานการระเบิดจากหินภูเขาไฟที่ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ทางตะวันออกของบราซิล และทางเหนือของแอฟริกาและสเปน |
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน |
·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป
16% คิดเป็น 47% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด ·
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนบกสูญพันธุ์ไป
18% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยบนบก
รวมไปถึงไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ทั้งหมด |
ดาวเคราะห์น้อยขนาดความกว้างหลายไมล์พุ่งเข้าชนโลก ทำให้เกิดหุบอุกกาบาตชิกซูลูบ (Chicxulub
Crater) ที่บริเวณคาบสมุทรยูคาทัน (Yucatan Peninsula) และใต้อ่าวเม็กซิโก |
หลักการและทฤษฎีที่2.
ของจักรวาลซึ่งให้ความเห็นว่ามีบางอย่างจากนอกโลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชีวิตบนโลก
เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว
สิ่งที่กล่าวขวัญกันถึงมากเป็นพิเศษ คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยอุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงมาในโลก ซึ่งผลของการตกทำให้โลกเกิดความเสียหาย
ส่งผลให้เกิดฝุ่นและไอน้ำจำนวนมาก กระจายขึ้นสู่บรรยากาศบดบังแสงอาทิตย์
เป็นเวลาแรมเดือน หรือแรมปี ยังผลให้โลกเกิดเย็นลงและมืด
เป็นสาเหตุที่ฆ่าสัตว์และพืชรวมทั้งไดโนเสาร์
หลักการและทฤษฎีที่3.
มาจากความรู้ที่ว่า ทวีปต่าง ๆ บนโลกมีการเคลื่อนไหวจากกระบวนการที่รู้จักกันในนาม
ทวีปจร (Continental Drift) และเกิดเนื่องจากทวีปต่างๆ
อยู่บนผิวเปลือกโลกบาง
ซึ่งหุ้มห่อภายในโลกที่เป็นของเหลวร้อนเหมือนลาวาที่ไหลออกมาจากภูเขาไฟ
ในขณะที่หินเหลวร้อนภายในโลกเคลื่อนไหวนั้น ก็จะดึงเอาเปลือกโลกเคลื่อนตัว
ซึ่งจะทำให้ทวีปเคลื่อนที่ไปเหมือนกับมันอยู่บนสายพานขนาดยักษ์นั่นเอง
ในช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ โลกค่อนข้างอบอุ่น
เหมาะกับสัตว์เลี้อยคลานขนาดยักษ์ จนกระทั่งปลายสมัยของยุคไดโนเสาร์
เราจะพบว่าพืชค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพวกที่ชอบอากาศเย็นขึ้น ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า
สภาพอากาศของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และเป็นสิ่งที่ไดโนเสาร์ไม่ชอบ
เราจะเริ่มพบสัตว์ที่ชอบอากาศเย็นกว่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนหนา เริ่มมีมากกว่าพวกไม่มีขน คำอธิบายนี้ก็คือ
ทวีปได้เคลื่อนไปมากในช่วงเวลา 140 ล้านปี ที่ซึ่งไดโนเสาร์อยู่อาศัย
และอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากทฤษฏีแรกที่บอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยการพุ่งชนของอุกกาบาต
ในขณะที่อีกทฤษฏีหนึ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยของอากาศ
ซึ่งอาจจะเป็นพันหรือเป็นล้านปีก็ได้
ในขณะนี้ความรู้ที่เราได้ไม่สามารถจะบอกได้ว่าทฤษฏีไหนจะถูกกว่ากัน
ในขณะที่กลุ่มที่เชื่อทฤษฏีดาวตก มีเหตุผลว่า
เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าไดโนเสาร์ตายไปทั้งหมดอย่างทันทีทันใด
ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีการพบไดโนเสาร์อีกเลย หลังจากยุคครีเทเชียสแล้ว และยังเชื่อว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าดาวตกเป็นเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
เพราะว่าเขาพบชั้นดินที่สะสมตัวในช่วงปลายยุคครีเทเชียส
มีส่วนประกอบของแร่ตัวหนึ่ง ซึ่งมีธาตุอิริเดียมอยู่มากเป็นพิเศษ
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่าอิริเดียมที่มีปริมาณสูงเช่นนี้เกิดได้โดยทางเดียวเท่านั้น
คือ จากอุกกาบาตที่มาจากนอกโลก
ธาตุอิริเดียมน่าจะมาจากฝุ่นซึ่งเกิดจากการระเบิดของอุกกาบาตขณะที่ชนโลกเหมือนกับระเบิดขนาดมหึมาทีเดียวแต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ชอบทฤษฏีที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
ต่างก็
มีความเห็นว่า ไดโนเสาร์นั้นไม่ได้สูญพันธ์ไปอย่างทันทีทันใด
เช่นเดียวกับข้ออ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะค่อย ๆ ลดน้อยลงในช่วงเวลาหลายล้านปี
และยังแสดงลักษณะของพืชหลาย ๆ ชนิดที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังอ้างถึงธาตุอิริเดียมที่มีค่าผิดปกตินั้นว่า
ไม่ได้มาจากการระเบิดของอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนโลก
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีการ
สูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ มากขึ้น
2.ได้รู้จักสายพันธ์ของไดโนเสาร์ได้มากยิ่งขึ้น
3.ได้ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม
4.ได้สื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์
ชื่อโปรแกรมที่ใช้พัฒนา
1.
โปรแกรม Microsoft
Office
2.
โปรแกรม Microsoft
Excel
3.
เว็บไซต์ที่ให้บริการคือ https://www.facebook.com/
4.
เว็บไซต์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารคือ
https://www.facebook.com/ https://www.google.co.th/
ผลงานอื่นๆ ของ namnnam2 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ namnnam2
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น