ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สามีส้มหล่น

    ลำดับตอนที่ #27 : บทที่ ๘/๒ เงาของเดวิด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 462
      12
      26 ก.ย. 61

    บทนี้อัพเป็นสุดท้ายแล้ว พบกันในเรื่องต่อไปนะคะ

    ขอบคุณทุกยอดวิว ทุกแอดแฟนจ้า

    รักคนอ่าน

    ฝากอุดหนุนผลงานด้วยนะคะ

     

     

            ขณะเดียวกันด้านฝั่งรัฐดูไบ ภายในคฤหาสน์เรเอสโน ห้องของบุตรสาวคนโตกำลังมีเสียงร้องวี้ดว้ายออกมาดังก้อง หากไม่มีบอดี้การ์ดคนไหนกล้าขยับตัวไปดู ทำได้เพียงชะเง้อคอมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของเจ้านายทั้งคู่ ก็เพราะได้รับคำสั่งพิเศษ นั่นคือปล่อยให้เป็นเรื่องของสามีภรรยาที่จะจัดการกันเอง สงสัยป่านนี้คุณหนูใหญ่ คงถูกสามีป้ายแดงกลั่นแกล้ง ถึงแม้ว่าห้องพักจะเป็นแบบเก็บเสียง แต่เสียงที่มันเกินอัตรากำหนดนั้นก็ยังเล็ดลอดออกมา เล่นเอาคนด้านนอกแอบสะดุ้งไปตามๆ กัน

            สองศรีพี่น้องอย่างชาลินาและชาลิดา ก็ทำหน้าคล้ายกลืนยาขม สายตาของทั้งคู่พุ่งไปยังประตูห้องของพี่สาว พร้อมส่ายหน้าให้กันอย่างพร้อมเพรียง แต่สุดท้ายก็ต่างคนต่างแยกย้าย หนูเนยไปตรวจสินค้าแบรนด์ดังเช่นเคย ส่วนหนูน้ำก็ต้องไปขลุกอยู่ในห้องหนังสือ หาอะไรทำเพื่อไม่ให้ความคิดฟุ้งซ่าน จากการฟังเสียงวี้ดๆ ของพี่คนโต

            ด้านข้างในห้องนอนโอ่โถง มือน้อยๆ กระชับหมอนใบนุ่มไว้แน่น ก่อนจะฟาดร่างกำยำของคนเกือบเปลือย ที่เหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์สีเข้มตัวเดียวติดกาย เธอหลับหูหลับตาตีเขาไม่ยั้งแรง หลังจากต้องดีดตัวตื่นขึ้นมา เพราะมีอะไรบางอย่างระคายที่ผิวแก้ม เมื่อปรือตาขึ้นมามองให้ชัดๆ ความง่วงงุนถึงกับหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มระบายอยู่บนหน้าหล่อๆ

            “ตายซะ! คนบ้า!

    หมอนใบเขื่องเนื้อนุ่ม ฟาดเข้าที่ร่างกำยำจนอีกฝ่ายต้องบ่ายเบี่ยงหนี “คุณกล้าดียังไงมาลวนลามฉันฮ้า!

            โอ๊ย! นิ่มครับ...นิ่มหยุดก่อน”

    เจ้าของผิวแสบ และเริ่มจุกเจ็บนั้นโอดครวญ “คนดี ผมเป็นสามีนิ่มนะ แค่ผมจูบๆ หอมๆ นิดเดียว ทำไมต้องทารุณกรรมกันถึงเพียงนี้เชียวหรือครับ”

    เปรยออกมายาวเหยีด แล้วกระวีกระวาดลงจากเตียง มายืนตีหน้าเศร้าๆ “นิ่มทำราวกับผมไม่ใช่คนรักของนิ่มอย่างนั้นแหละ นิ่มทำเหมือนผมเป็นคนอื่น”

            ก็นายเป็นคนอื่นจริงๆ นี่ ชาลิญาเถียงเขาอยู่ในใจ แต่ปล่อยหมอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง วางมันไว้บนตักแล้วตีเบาๆ ให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนจะยิ้มแหยๆ

    “ฉัน...”

            “นิ่มไม่รักผม” ฟาร์เชสแสร้งพูด ดวงตานั้นหลุบลงต่ำอย่างท้อแท้

    “ผมก็แค่คนความจำเสื่อม คงไม่มีความหมายสำหรับนิ่มอีกแล้ว”

    จบประโยคร่างกำยำก็หมุนกายหันหลังให้ ถ้า     ชาลิญาได้เห็นกรอบหน้าหล่อๆ ในตอนนี้ คงนึกอยากจะยิงปืนกราดใส่สักชุดใหญ่ๆ เพราะมุมปากได้รูปนั้นยกยิ้มน้อยๆ หากเพียงอึดใจเดียว ฟาร์เชส ฟรานติการ์เซียสถึงกับยืนแข็งทื่อ เมื่อร่างอ้อนแอ้นโผเข้ากอดด้านหลัง ซบดวงหน้าเข้ากับแผ่นหลังหนั่นแน่น พร้อมวาดมือมาโอบรอบเอวสอบไว้หลวมๆ

    “นิ่ม...ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น” ฃ  ชาลิญาพยายามกัดฟันเอ่ย “อย่าโกรธนิ่มนะคะ”        และก็อย่าเพิ่งจำอะไรได้ในตอนนี้นะ ความจำเสื่อมนานๆ นั่นแหละดีแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันต้องแย่แน่ๆ เธอคิดอย่างเอาแต่ใจ

            เจ้าของเรือนร่างสลักเสลายืนตัวแข็ง แววตาและสีหน้าที่เคยเจ้าเล่ห์แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ข่มใจไม่ให้ไหวหวั่นไปกับการกระทำของคนตัวเล็ก ยิ่งอยู่ใกล้ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็มักคืบคลานกัดกร่อนหัวใจ จนอยากจะให้การแต่งงานที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง พระเจ้า! เขามีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร การแต่งงานคือสิ่งน่าหวาดกลัวที่สุดในชีวิตเขา ฟาร์เชสได้แต่ร้องลั่นอยู่ในอก ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบรั้งลำแขนกลมกลึงให้ออกห่าง หมุนกายมาเผชิญหน้าร่างเล็กแล้วยิ้มบางๆ ให้

    “ผมจะโกรธนิ่มได้ยังไงครับ”

            “ขอบคุณค่ะ” เจ้าของกลีบปากอิ่มอ้อมแอ้มกล่าว

            “ขอบคุณที่ไม่โกรธนิ่ม”

            “ก็เรารักกันและเป็นสามีภรรยากัน เรื่องกระทบกระทั่งกัน มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้น”

    พูดพลางขยับปลายนิ้วช้อนคางมนให้เงยหน้าขึ้นสบตา ฟาร์เชสมองเจ้าของกลีบปากอิ่มด้วยความรู้สึกป่วนปั่นไปหมด หัวใจแกร่งที่เยือกเย็นมานานกลับอ่อนยวบ เผลอไผลถึงขนาดก้มลงใกล้ ปล่อยปลายจมูกโด่งๆ นั้นเฉียดแก้มนุ่มนิ่มไปมา

            “เอ่อ...นิ่มขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

    ชาลิญารีบหาทางเลี่ยง มือเล็กป้ายปัดมือใหญ่ทิ้ง แล้วลนลานวิ่งเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้คนตัวโตต้องพ่นหายใจทิ้ง ดวงตาสีถ่านเนื้อดีลอบมองร่างอ้อนแอ้นไปอย่างแสนเสียดาย ลมหายใจร้อนๆ ถูกระบายทิ้งหนักหน่วง ก่อนเจ้าของร่างกำยำ ราวเทพบุตรนั้นจะหมุนตัวขยับไปยังระเบียงกว้างด้านนอก เพื่อครุ่นคิดหาทางติดต่อกับคนเป็นปู่ จะได้ออกไปจากที่นี่สักที

    แต่เพียงแค่คิดว่าจะได้ออกไปจริงๆ ดวงตาคู่คมกลับหมองหม่น ลำคอแกร่งแห้งผาก จนต้องกัดกลีบปากด้านล่างของตัวเองไว้ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การมีร่างนุ่มนิ่มให้กอด ได้เห็นเธอยิ้ม ได้ฟังถ้อยคำเพราะๆ อยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเหล่านั้นมันซึมซับเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจ ชายหนุ่มปรายตามองกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง จดจ้องอยู่กับประตูห้องน้ำ ซึ่งมีร่างอ้อนแอ้นอยู่ในนั้น หากสุดท้าย ฟาร์เชส ฟรานติการ์เซียสก็เลือกที่จะหักใจ ไม่อาจปล่อยให้อารมณ์ใคร่ มามีอิทธิพลเหนือสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเด็ดขาด เพราะเขาคือฟาร์เชส ทายาทมาเฟียแห่งสเปน ผู้ต้องกุมอำนาจและสานต่อเจตนารมณ์ของคนเป็นปู่

            ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเล็กๆ ของร่างบางก็แว่วเข้ามาในโสตประสาท พร้อมคำถามที่หวานหู “คิดอะไรอยู่หรือคะ” เจ้าของคำถามอยู่ในชุดกางเกงยีนแนบเนื้อ และเสื้อกล้ามสีเทา ขับผิวขาวนวลเนียน ผมที่เคยมัดรวบสูงนั้นปล่อยให้ปลายสยายจนเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าถูกเจ้าตัวตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางเบา อวดผิวสวยสุขภาพดี

            “เปล่าครับ ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”

    ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธ แล้วเดินเลี่ยงกลับสู่ด้านใน ปล่อยให้ชาลิญาต้องมองตามด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอยอมรับเลยว่าสองสามวันมานี้เขาชอบยืนเหม่อลอย ราวกับมีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด

            “สงสัยคงกำลังคิดมั้ง ว่าตัวเองคือใคร”

    เจ้าของปากอิ่มสวยพึมพำแผ่วๆ ไหล่เล็กยักขึ้นน้อยๆ ได้แต่หวังว่าเขาคงไม่จำอะไรได้ในวันนี้พรุ่งนี้ เพราะเธอยังไม่ได้เตรียมคำแก้ตัวใดๆ ไว้กับผู้เป็นบิดา แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบอกเขาเช่นไร ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม จึงได้แต่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปม

            ชาลิญาหมุนตัวกลับเข้าห้องอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าของร่างบึกบึนก้าวออกจากห้องน้ำ ในสภาพเนื้อตัวเปียกโชก ผมสีน้ำตาลนั้นยุ่งเหยิงปัดเป๋ไปมาตามอุ้งมือที่ขยี้ ลำคอแกร่งลาดต่ำลงมาถึงสะดือบุ๋มนั้นตึงเปรี๊ยะและดูสุขภาพดี เธอไม่กล้ามองต่ำลงมามากกว่านั้น ถึงแม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายใช้ผ้าขนหนูผืนหนาพันเอวไว้ลวกๆ ก็ตาม

            การลอบสังเกตเขา ทำให้แก้มเนียนเริ่มร้อนผ่าว จนใบหน้าเล็กรีบเบือนหนีจากภาพอันแสนเซ็กซี่ของบุรุษหนุ่ม ปลายเท้าเล็กมุ่งตรงไปยังประตูห้อง หากต้องชะงักการก้าวเดินจนขาแทบขวิด เพราะอุ้งมือเย็นเฉียบนั้นคว้าหมับเข้าเสียก่อน

    “จะไปไหนครับ” ถามพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง

            “ฉันจะลงไปรอคุณข้างล่าง รีบแต่งตัวนะคะ”

    บอกเขา ทั้งๆ ที่ไม่ยอมหมุนกายมาเผชิญหน้า กลีบปากเต้นระริกถูกเจ้าตัวเม้มแน่น มือน้อยๆ พยาพยามแกะพันธนาการที่ทาบแขนเล็กให้ออกห่าง แต่ไม่ว่าจะแงะ จะแกะยังไงก็ไม่อาจหลุดพ้น จนต้องลนลานบอกเขาด้วยเสียงที่บังคับให้เป็นปกติ

    “ปล่อยค่ะ”

            “ไม่ปล่อย”

    คนรวนเป็นเครื่องยนต์เสียคัดค้าน พลางหมุนร่างเล็กให้มาเผชิญหน้า ดวงตาสีดำถ่านฉายแววกรุ้มกริ่ม

    “อยู่ช่วยผมแต่งตัวก่อนสิครับ ผมใส่เสื้อผ้าไม่ถนัด แต่ถ้าเป็น...”

            “ถ้าเป็นอะไรคะ” หญิงสาวรีบถามรัวเร็ว จ้องหน้าเขาเขม็ง

            ใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ เป่าลมหายใจร้อนๆ รินรดกรอบหน้าสวย แล้วเคลื่อนไปกระซิบใกล้ๆ ใบหูนุ่มอย่างเย้าแหย่ “ก็อย่างที่บอกไงครับ ผมไม่ถนัดใส่ แต่ถนัดถอด...”

            “จริงเหรอคะ”

    หญิงสาวกัดฟันถามเขา แล้วเสนอตัวอย่างน่ารัก

    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนิ่มแต่งตัวให้นะคะ”

            ชายหนุ่มได้แต่คลี่ยิ้มกว้างอย่างลิงโลดในใจ หากยังอุตส่าห์ตีสีหน้าเรียบเฉย แม้ความจริงนึกอยากจะหอมแก้มมนแรงๆ ให้สมกับความน่ารักของเธอ และเขาก็ได้เห็นร่างอ้อนแอ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ออกมา ยิ่งปลายเท้าเล็กขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไร หัวใจเยือกเย็นดุจน้ำแข็งถึงกับร้อนผ่าว เพราะถูกไฟของความตื่นเต้นรุมล้อม

            “นิ่มจะใส่เสื้อให้นะคะ” ชาลิญาบอกพร้อมเอียงคอใส่อย่างน่ารัก

            “ครับ” คนตัวโตขานรับหน้าฟัง

            “และนิ่มก็จะใส่กางเกงชั้นในและชั้นนอกให้นะคะ”

            คราวนี้ฟาร์เชสถึงกับรีบผงกศีรษะรับเร็วๆ คำพูดของร่างบางเล่นเอาทุกอณูเนื้อบนร่างกายลุกกระพือรุนแรง ใบหน้าและแววตานั้นเคลิ้มฝัน แต่เพียงอึดใจถึงกับร้องลั่น

    โอ๊ย!

            ร่างแกร่งกำยำลู่ลงไปนั่งงอตัวอยู่แนบพื้น เมื่อเจอเข่ามนปะทะเข้ากับกล่องดวงใจกลางกายเต็มแรง เสี้ยวหน้าที่ขาวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและเริ่มเขียวคล้ำ น้ำตาเจ้ากรรมเกือบเล็ดลอดออกมา ได้แต่ครางโหยหวนด้วยความเจ็บจุก

            สมน้ำหน้า

    เจ้าของเข่าเล็กที่จัดการชายหนุ่มจนนอนแอ้งแม้งคลี่ยิ้มชอบใจ แล้วค่อยๆ วางเสื้อผ้าและกางเกงเอาไว้บนเตียงกว้าง พลางบอกกล่าวด้วยใบหน้ากลั้นขำ “พอดีนิ่มเจ็บเข่า รบกวนเดวิดใส่เสื้อผ้าเองนะคะ”

            จบประโยค ร่างอ้อนแอ้นก็เดินตัวลอยออกไป ทิ้งให้คนหน้าเขียวได้แต่ทำตาขุ่นเคือง มองตามไปด้วยสายตามาดร้าย จะลุกตามไปเอาเรื่องก็ทำไม่ได้ เพราะแค่ขยับความเจ็บมันก็ลามรุก สุดท้ายฟาร์เชสได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น รอคอยให้อาการเจ็บมันสร่างซาไปเอง เอาไว้ร่างกายกลับมาเป็นปกติเมื่อไร เขาจะไปลงทัณฑ์ร่างเล็กให้สาสม

     

            คุณหนูใหญ่ของตระกูล เดินยิ้มร่าลงมาข้างล่าง พูดคุยประจ๋อประแจ๋กับน้องนุชคนสุดท้อง ด้วยดวงตาพราวระยับ ยิ่งนึกไปถึงเจ้าของร่างกำยำที่หมดสภาพอยู่ในห้อง ชาลิญายิ่งฉีกยิ้มจนแก้มป๋อง ตากลมๆ ยิบหยี

            “อะไรทำให้พี่นิ่มมีความสุขขนาดนี้คะ” เจ้าของคำถาม อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขวาง

            “ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” หญิงสาวยังคงปฏิเสธ ทั้งๆ ที่หน้าระรื่น เมื่อน้องสาวคิ้วขมวดม่นใส่ จึงขยับโอบไหล่มนไว้หลวมๆ แล้วมุ่งปลายเท้าไปยังสวนหย่อมหน้าบ้าน

            “พี่นิ่มจะไม่บอกน้ำจริงๆ หรือคะ” น้องสาวคนสวยยังคงรบเร้าต่อ มือบางนั้นเขย่าแขนคนเป็นพี่เบาๆ

            “ก็ไม่มีอะไรต้องบอกนี่จ๊ะ”

    ไหวไหล่น้อยๆ แล้วหัวเราะจนตายิบหยี แต่เธอต้องสะดุ้งสุดตัวในวินาทีต่อมา

            “ไม่บอกไปล่ะครับ ว่าเมื่อครู่นี้คุณกระทุ้งกล่องดวงใจของผม” เสียงห้าวเข้มโพล่งแทรก กายแกร่งขยับมายืนอยู่ใกล้ๆ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองเรือนร่างอ้อนแอ้นของภรรยาอย่างคาดโทษ โดยไม่ลืมหันไปยิ้มบางๆ ให้น้องเมีย

            “เอ่อ...พี่นิ่มทำ...” ชาลิดาได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้พี่เขยป้ายแดง แล้วหันมามองหน้าพี่สาวด้วยดวงตาโตๆ เมื่อตกอยู่ในสภาวะสงครามเย็นที่ต่างฝ่ายต่างจ้องกันเขม็งแบบนี้ คนเป็นตัวกลางและส่วนเกินจึงค่อยๆ ก้าวถอยหลัง กลอกตามองพี่สาวและพี่ชายคนใหม่ไปมาอย่างอึดอัด สักพักก็เดินเร็วๆ ห่างออกไป เพราะเธอไม่อยากเป็นกรรมการคอยห้าม ปล่อยให้เขาทั้งคู่จัดการกันเอง

            ชาลิญาหันมามองน้องสาวอีกที ก็ได้เห็นแผ่นหลังเล็กๆ เดินลิ่วอยู่ไกลหลายเมตร “น้ำ จะไปไหน?

    ปากเล็กฉาบด้วยลิปมันวาวนั้นร้องเรียก พลางขยับปลายเท้าหวังไล่หลังตามน้องสาว แต่เอวคอดกิ่วกลับถูกรวบไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแกร่ง และกอดแน่นจนแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับแผงอกตึงเรียบ ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบแผ่วๆ บริเวณหน้าท้องลาดเนียน

            “ปล่อยฉันนะ” สั่งเขา พลางดิ้นแรงๆ

            “ปล่อยได้ไงฮึ! นิ่มทำผมซะแทบเป็นหมัน ทำแบบนั้นแล้วคิดจะลอยนวลไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

    ฟาร์เชสแสร้งกระซิบขู่ใกล้ๆ ใบหูเล็กด้วยเสียงเยียบเย็น “ผมจะแก้แค้นนิ่มให้สาสม”

            นายอย่าคิดว่าจะเล่นงานฉันได้ง่ายๆ คนอย่างนิ่ม ไม่เคยเป็นจำเลยให้ใครพิพากษาหรอกย่ะ กลับไปนอนฝันเสียเถอะ คิดพลางรั้งมือใหญ่ออกจากหน้าท้องแบนๆ ของตัวเอง ฮึดฮัดใส่เขาเต็มแรง แต่ดิ้นเท่าไร อ้อมกอดนี้ยิ่งแนบแน่นจนชวนหายใจไม่ออก

            “นี่คุณ คิดจะฆ่าฉันรึไง ถึงได้กอดซะขนาดนี้”

            “ผมไม่ยอมให้นิ่มตายเพราะอ้อมกอดหรอก นิ่มต้องตายเพราะ...” ใบหูนุ่มถูกปลายลิ้นร้อนผ่าวปาดป่ายไปมาอย่างอยากแกล้ง ก่อนจะกระซิบถามเมื่อเห็นรอยฝาดเล็กๆ บนแก้มนุ่ม “อยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

            “ไม่อยาก” ชาลิญาส่ายหน้าดิก “ฉันไม่ต้องการรู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”

            “ได้ยังไง นิ่มทำร้ายผม ผมต้องเอาคืน” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า ยังจับร่างอ้อนแอ้นให้หมุนกายมาเผชิญหน้า ขยับปลายนิ้วบีบปลายจมูกโด่งรั้นผะแผ่วเบา “ผมจะทำโทษนิ่ม”

            “อย่าคิดว่าฉัน จะยอมให้คุณลงทัณฑ์ง่ายๆ”

    ว่าพลางปัดปลายนิ้วแข็งแรงให้หลุดจากจมูกรั้นๆ ของตัวเอง ไม่วายทำหน้าย่นใส่เขา แต่แล้วปากเล็กนั้นถึงกับอ้ากว้าง เมื่อวิธีเอาคืนของคนตัวโต ก็คือการหอมแก้มนุ่มข้างซ้ายและข้างขวาสลับกันไปมาหลายฟอด เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวเธอ จึงเลี่ยงหลบไม่ทัน กว่าจะเบนเบี่ยงแก้มนุ่มหนีห่าง แก้มของเธอแทบเป็นรอยช้ำ

            “ยี๋...อย่ามาหอมแก้มฉันนะ คนฉวยโอกาส”

            “ฮือ...ฉวยโอกาสที่ไหนครับ ผัวเมียเขาจะจูบจะหอมกันมันเป็นเรื่องปกติ” กล่าวพลางยิ้มให้

            ตุบ!

            “อีตาเดวิดบ้า ทุเรศที่สุด”

    มือเล็กผลักเจ้าของแผงอกแน่นๆ ให้ออกห่าง พร้อมกับซัดหมัดลงไปอย่างโกรธๆ ทุบเขาจนสาแก่ใจถึงได้วิ่งเร็วออกห่าง ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าหน้าที่แดงเป็นสีชาดนี้ แดงเพราะโกรธหรืออายกันแน่ พ้นห่างเขาหลายช่วงตัว ปลายนิ้วเล็กก็ขยับถูแก้มตัวเอง ป้ายปัดร่องรอยที่ใครบางคนทิ้งเอาไว้อย่างลวกๆ

            ด้านคนที่ได้ยินปากจิ้มลิ้มเรียก เดวิด ชัดถ้อยชัดคำ ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อเป็นหิน มุมปากได้รูปขยับยกขึ้นน้อยๆ อย่างเยาะหยันตัวเอง เขาลืมไปเสียสนิท คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะของ ฟาร์เชส ฟรานติการ์เซียส มาเฟียหนุ่มแห่งสเปนเสียอีก แต่สำหรับคนที่นี่ เขาเป็นแค่นายเดวิด ผู้ชายความจำเสื่อมเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญกับใครเลย แม้กระทั่งคนที่เพิ่งวิ่งหนีไป

    ลมหายใจอันร้อนผ่าว ถูกระบายออกจากปลายจมูกโด่งได้รูป ลำคอแกร่งพลันแห้งผาก หัวใจที่เคยเข้มแข็งอยู่ๆ ก็เกิดรวนจนชวนให้ร่างกายทรุดไปกองกับพื้นสนามหญ้า ฟาร์เชสได้แต่ส่ายหน้าระอาให้กับตัวเอง เพราะวินาทีนี้ตัวเขาเป็นเพียงเดวิด ไม่ใช่ ฟาร์เชส ฟรานติการ์เซียส ในสายตาของชาลิญา เรียกง่ายๆ เขาก็แค่สามีจอมปลอมของเธอเท่านั้น

     

            บนเรือยอร์ตขนาดกะทัดรัดกลางอ่าวเปอร์เซีย ใบหน้าของคนที่เป็นหัวหน้ายังคงหมองเศร้า ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลงต่ำ ลมหายใจถูกระบายออกมาอย่างคิดไม่ตก ตั้งแต่ให้ลูกน้องเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวรอบนอกคฤหาสน์หลังโอ่อ่าของมาเฟียเฒ่าเฮอแมน เรเอสโน ยอมรับเลยว่าข่าวที่ได้รับมา มันไม่สามารถทำให้เขาซึ่งเป็นบอดี้การ์ดคู่กายติดต่อผู้เป็นนายได้เลย

            “ฉันต้องทำอย่างไรดี ถึงจะติดต่อคุณฟาร์เชสได้”

            ลูกน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้าก้มลง มองได้แค่ปลายเท้า อึดใจถึงได้กล่าวด้วยเสียงอ่อยๆ “สองวันมานี้ คุณฟาร์เชสในคราบคุณเดวิด ไม่ก้าวออกจากคฤหาสน์เลยครับ คนของเราก็เลยไม่มีโอกาสติดต่อกับเจ้านาย”

            “เฮ้อ...” ราอูล ซิลบาสถึงกับอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจทิ้ง แต่ไม่กี่นาทีถัดมา เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็กรีดร้อง จนผู้เป็นเจ้าของต้องฉวยขึ้นมา และคำพูดของต้นสาย ทำให้ม่านตาถึงกับขยายกว้าง

    “ว่ายังไงนะ”

            “สองวันก่อน คุณฟาร์เชสประสบอุบัติเหตุ รถชนครับ แต่เท่าที่ทราบตอนนี้อาการโดยรวมปลอดภัยดี”

            “เจ้านาย...”

    คนได้ยินอดไม่ได้ที่จะครวญเบาๆ พร้อมสั่งการด้วยเสียงห้าวเข้มในนาทีต่อมา “สั่งคนของเรา พยายามติดต่อคุณฟาร์เชสให้เร็วที่สุด หากเป็นไปได้ พาตัวเจ้านายออกจากที่นั่นอย่างปลอดภัย ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม”

            “ทุกวิธีหรือครับ”

            “ทุกวิธี!” หนุ่มใหญ่เน้นชัดถ้อยชัดคำ “แต่...ห้ามคุณฟาร์เชส มีแม้แต่รอยขีดข่วน”

            “ครับผม”

    ลูกน้องหนุ่มรับคำ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับการ์ดรายอื่นๆ เพื่อเตรียมตัวหาวิธีนำพาเจ้านายหนุ่มออกจากรังของเสือเฒ่าแห่งดูไบ การป้องกันที่รัดกุมของอีกฝ่าย ทำให้งานนี้มันไม่ง่ายดังปอกกล้วยเลย เพราะฉะนั้น ทุกความเป็นไปจากนี้ ต้องมีแผนการรองรับ ทุกขั้นตอนต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ เป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการปะทะกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว สงครามขนาดย่อมคงได้เกิดขึ้นเป็นแน่

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×