ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงรักมาเฟีย

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (๑)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 732
      3
      7 ส.ค. 59


    ตึกขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่มุมหนึ่งของมหานครแห่งแสง ผู้คนย่านนี้ค่อนข้างพลุกพล่านเลยทีเดียว ตึกนี้มีสามชั้น ซึ่งแต่ละชั้นถูกแบ่งแยกการใช้งานอย่างลงตัว ชั้นหนึ่งและชั้นสองถูกปรับให้เป็นร้านอาหารซึ่งก็คือกิจการหนึ่งเดียวของครอบครัวเรอิชา ซึ่งมีปีเตอร์เป็นเจ้าของและทำหน้าที่กุ๊กใหญ่ ส่วนชั้นสามก็คือบ้านที่ผู้เป็นพ่อวัยห้าสิบสองปีและลูกสาววัยยี่สิบห้าปีพักอาศัย

    ชั้นสามของตึกเลยถูกแบ่งให้เป็นสามห้องหลักๆ สองห้องแรกก็คือห้องพักส่วนตัวของสองพ่อลูก ส่วนอีกห้องไว้เป็นห้องนั่งเล่น แม้ไม่กว้างขวางแต่ทุกอย่างก็ดูอบอุ่นและลงตัว ในห้องนี้เต็มไปด้วยภาพถ่ายสามคนพ่อแม่ลูก เก็บความทรงจำทุกอย่าง ถึงแม้คนเป็นแม่จะจากไปด้วยโรคร้ายก่อนที่แคทเทอรีน เรอิชาจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเพียงเดือนเศษ

    กรอบรูปขนาดใหญ่ซึ่งประดับอยู่ด้านในสุดของห้องปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทเชื้อชาติไทย ดวงหน้านั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดสามเมตรคูณด้วยสี่เมตรบนชั้นสามของตึกกะทัดรัดถูกตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอมชมพูดูสดใส มีร่างเพรียวบางของใครบางคนกำลังนอนอุตุอยู่บนเตียงนอนสีขาวสะอาดตาขนาดห้าฟุต แขนเรียวขาวเกาะเกี่ยวหมอนข้างไว้แน่น ใบหน้านั้นซุกเข้ากับหมอนใบนุ่ม ผมสลวยดูยุ่งเหยิงระปิดไปตามโครงหน้า ขาทั้งสองข้างระเกะระกะปัดป่ายจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่

    นาฬิกาปลุกขนาดเล็กส่งสัญญาณร้องเตือนเมื่อถึงเวลาที่ถูกตั้งไว้ แต่เจ้าของร่างบางกำลังจมอยู่ในห้วงนิทราจึงไม่แยแสจะใส่ใจฟัง มือเล็กกวาดไปหาจุดกำเนิดเสียง พอแตะต้องได้ก็กดปุ่มปิดอย่างรวดเร็ว พึมพำอะไรบางอย่าง แล้วยกหมอนใบโตขึ้นปิดหน้าตัวเอง หลุดเข้าไปในโลกที่แสนเงียบสงบอีกครั้ง แต่คล้ายเจ้าตัวจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชั่วครู่ร่างระหงก็ลุกพรวดพราด เดินหลับตาตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ จัดการกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองอย่างรีบร้อน สิบห้านาทีเต็มถึงได้ก้าวออกมาพร้อมชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูหวาน

    ตรงหน้าร่างเล็กคือกระจกขนาดใหญ่ที่สะท้อนความเป็นตัวเองอย่างไม่มีที่ติ ดวงตากลมโตสีน้ำทะเลทอดมองรูปร่างเพรียวระหงด้วยความพึงพอใจกับน้ำหนักสี่สิบห้ากิโลกรัมและส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นติเมตร โครงหน้าเรียวรูปไข่ที่ใครๆ ก็หลงใหล คิ้วเรียงตัวเป็นเส้นสวยโก่งยิ่งกว่าคันศร ปลายจมูกโด่งเชิดรั้นน่าหยิก แก้มนุ่มนวลทั้งสองข้างเปล่งปลั่ง ริมฝีปากระเรื่อสีชมพูดูสดใส ไล่ลงมายังลำคอระหงขาวผ่องน่าค้นหา แขนทั้งสองข้างเรียวยาวกลมกลึงไร้จุดตำหนิ ช่วงทรวงงามอิ่มอวบน่ามอง

    เรื่อยลงมายังเอวคอดกิ่วพกพาหน้าท้องแบนราบไร้ส่วนเกิน ดูงดงามยิ่งกว่าประติมากรรมชิ้นเอกของศิลปินชื่อดัง สะโพกขนาดพอเหมาะ เรียวขายาวดูนุ่มเนียนน่าลูบไล้ทุกอณูเนื้อ เจ้าตัวอมยิ้มน้อยๆ ก่อนรีบลูบไล้ครีมบำรุงให้อาหารผิวของตัวเองตั้งแต่ใบหน้าระเรื่อยลงมาจนครบทุกสัดส่วน จัดการเสร็จก็แต่งกายอย่างรีบร้อน ก้าวออกจากห้อง วิ่งลงบันไดไปยังชั้นล่างสุด

    วันนี้หญิงสาวตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำตัวเป็นลูกที่ดี หลังจากหนีไปท่องราตรีเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดในชีวิต กับการถูกขโมยจุมพิตแรกไปอย่างหน้าด้านๆ โดยผู้ชายนิสัยร้ายกาจ เธอจะจดจำเขาไว้ในส่วนลึกเพื่อรอวันชำระแค้น

    เมื่อเท้าเรียวเหยียบบันไดชั้นล่างสุดก็มาถึงบริเวณห้องอาหารที่จัดตกแต่งอย่างลงตัว ดูสบายตาด้วยบรรยากาศร่มเย็นของไม้ประดับขนาดทรงเตี้ย กระจกกั้นผนังกรุลายคริสตัลโปร่งแสง ภายในเต็มไปด้วยเก้าอี้ไม้สีขาวบุนวมกับโต๊ะขนาดสี่ที่นั่งนับยิ่สิบชุด

    แคทเทอรีน เรสเตอรองต์ตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับดำ ดูน่าค้นหาและคลาสสิก แบ่งแยกระหว่างโซนของพนักงานและลูกค้าเป็นสัดส่วน เวลานี้พนักงานทั้งหญิงและชายซึ่งอยู่ในชุดฟอร์มสีน้ำตาลอมเทารวมห้าคนกำลังขะมักเขม้นจัดการงานของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นว่าใครปรากฏตัวก็ส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้ หากเมื่อสายตะปะทะกับเครื่องแบบของหญิงสาวต่างก็ลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก นั่นคงเพราะวีรกรรมที่หญิงสาวเคยทำไว้ ซึ่งมันสร้างความปั่นป่วนถึงขนาดต้องปิดร้านติดๆ กันหลายวันเลยทีเดียว

    ร่างบางซอยเท้าเล็กๆ ตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัว มองหาผู้ชายวัยกลางคนร่างท้วมนิดๆ กับความสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรที่มีพุงโย้คล้ายคนตั้งครรภ์ สวมชุดกันเปื้อนสีขาวกับหมวกกุ๊กแบบเปิดหัวซึ่งเป็นเชฟมือหนึ่งประจำร้าน เมื่อมองเห็นอยู่ไม่ไกลก็อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปใกล้ วาดแขนกลมกลึงโอบเอวชายผู้นั้นไว้หลวมๆ พร้อมร้องทักแผ่วเบา

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ”

    คนถูกจู่โจมปลดเรียวแขนที่รัดเอวของตัวเองออกอย่างช้าๆ ก่อนจะวางภารกิจที่ทำอยู่ หมุนกายมาเผชิญหน้ากับบุตรสาวเพียงคนเดียว ยกมือข้างขวาวางไว้บนไหล่บาง

    “ไงลูกรัก วันนี้ทำไมตื่นเช้าจริง”

    เอ่ยถามด้วยโทนเสียงอ่อนโยนแค่นั้นก็หันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ แคทเทอรีนทำหน้างอง้ำ เอียงคอมองใบหน้าของผู้เป็นบิดาที่ยุ่งเหยิงอยู่กับการเตรียมเปิดร้าน ซึ่งทุกคนล้วนทราบดีว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อยก่อนเข็มสั้นจะชี้ที่เลขสิบ

    “วันนี้แคทอยากช่วยงานคุณพ่อนี่คะ ก็เลยตื่นแต่เช้า ไม่ทราบว่าวันนี้บอสรับสมัครเด็กเสิร์ฟจำเป็นหรือเปล่า แคทสัญญาว่าจะไม่ทำจานหล่นแตกอีก จะเป็นพนักงานที่ดี ไม่ตะบันหน้าลูกค้า ไม่อู้ไม่ซนค่ะ”

    น้ำเสียงสดใสที่หลุดออกจากปากอิ่ม สร้างความตื่นตระหนกให้กับใครหลายๆ คน นีน่าผู้จัดการร้านถึงกับต้องร้องเสียงหลง ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆ ได้แต่ลืมตาอ้าปากค้าง จ้องมองมายังเจ้าของร้านเป็นตาเดียว

    “วันนี้แคทเทอรีนของพ่อป่วยหรือเปล่า”

    สายตาของปีเตอร์กวาดมองใบหน้าที่ตื่นตระหนกของลูกน้อง ก็พอจะเข้าใจความหมาย หันไปยิ้มแหยให้ทุกคนเป็นการบ่งบอกว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรง พนักงานทุกคนถึงได้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หูทั้งสองข้างยังคอยเงี่ยฟังบทสนทนาของสองพ่อลูกอย่างสนอกสนใจ

    “คุณพ่อ แคทสบายดี ให้แคทช่วยงานนะคะ”

    ปากเล็กบอกอย่างออดอ้อน มือบางเขย่าท่อนแขนของคนเป็นพ่อไปมา พร้อมทำนัยน์ตาเว้าวอน จนปีเตอร์ยอมใจอ่อน พยักหน้าให้หงึกๆ แคทเทอรีนหันไปยิ้มแย้มให้เพื่อนร่วมงานจนแก้มปริ แต่สีหน้าท่าทางของคนอื่นๆ คล้ายอยากจะกัดลิ้นตายซะมากกว่า

    แต่เมื่อร้านเปิดทำการอย่างปกติ ค่อนมาเกือบเที่ยงวัน รู้สึกว่าสิ่งที่ทุกคนหวั่นเกรงจะไม่เกิดขึ้น ร่างเพรียวบางของแคทเทอรีนทำหน้าที่ของตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ลูกค้าหลายรายชื่นชมและให้ทิปพิเศษ แม้กระทั่งลูกค้าชายยังหลงใหลในเสน่ห์ของสาวสวยวัยยี่สิบห้าปี ยอมจ่ายค่าอาหารที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวโดยไม่ปริปากบ่น สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน จนความกังวลที่หวาดหวั่นนั้นคลายกลับสู่ปกติ

    เสียงกริ่งของร้านร้องดัง บ่งบอกว่ามีลูกค้าอีกคนเข้ามา พนักงานต้อนรับส่งยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ร้องทักพอเป็นพิธี ลิสซี่ เพิร์ลรัซ เจ้าของรูปร่างหุ่นนาฬิกาทรายเย้ายวน สาวหน้าหวานวัยยี่สิบห้าปีเศษ ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการสาวของนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง สวมชุดแซกสีโอลด์โรสสั้นเพียงเข่าเข้ากับรองเท้าสีเดียวกัน เมื่อเห็นบิดาของเพื่อนรักซึ่งผลักประตูห้องครัวออกมาก็ร้องถาม

    “สวัสดีค่ะแด็ด”

    ปีเตอร์หันมามองแล้วยิ้มให้อย่างจำได้ พร้อมๆ กับเสียงของคนมาใหม่เอ่ยขึ้น

    “ยัยแคทอยู่ข้างบนใช่ไหมคะ พอดีลิสมีเรื่องนิดหน่อย อยากคุยด้วยน่ะค่ะ” ลิสซี่เตรียมผละไปยังบันไดทันทีที่เอ่ยจบเพื่อตรงดิ่งไปหาเพื่อนรักดังเช่นเคย แต่แล้วก็ต้องชะงักการก้าวเดินแทบไม่ทันเมื่อเสียงแหบๆ ของชายวัยชราร้องบอก

    “ลูกแคทอยู่โน่นแน่ะ กำลังรับรองลูกค้าอยู่”

    “ฮ้า! เอ่อ...แด็ดมั่นใจใช่ไหมคะ ว่าเพื่อนของลิสปกติดี”

    บรรณาธิการสาวหมุนกายกลับไปตามเสียง เอ่ยประโยคที่ทำให้พนักงานคนอื่นๆ ต้องปิดปากหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มแหยให้กับบิดาของเพื่อนรัก กวาดสายตามองไปตามปลายนิ้วอวบใหญ่ที่ชี้กราดไปยังร่างเพรียวบางที่ก้มๆ เงยๆ คุยกับลูกค้าด้วยท่าทีแข็งขัน

    “ดูเอาเองเถอะลูก แด็ดขอตัวทำงานก่อนนะ”

    เจ้าของร้านแคทเทอรีน เรสเตอรองต์บอกเพื่อนบุตรสาวแค่นั้นก็หมุนกายสั่งงานลูกน้องให้ไปรับวัตถุดิบที่โทรสั่งไว้ ปล่อยให้ลิสซี่ เพิร์ลรัซยืนโคลงศีรษะไปมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ถ้าไม่เกรงว่าอายไลเนอร์ที่กรีดลงบนเปลือกตาบางจะเลอะเปื้อน เจ้าตัวคงต้องยกนิ้วขยี้ให้มองภาพเบื้องหน้าได้ชัดๆ ว่าภาพตรงหน้านั้นคือความจริงหรือความฝัน

    “ยัยแคทเทอรีนต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ สงสัยฉันต้องพาเธอไปพบจิตแพทย์ซะหน่อย” บ่นเบาๆ กับตัวเองแค่นั้น ก็ก้าวเร็วๆ ไปหาเพื่อนรักที่ผละจากกลุ่มลูกค้า

    “ยัยแคท”

    “อ้าว...ลิส สวัสดีจ้ะ มาได้ไงเนี่ย แต่รอสักครู่นะเพื่อนรัก ขอเสิร์ฟอาหารให้โต๊ะโน้นก่อน เธอไปนั่งรอตรงนั้นก่อนนะจ๊ะเพื่อนเลิฟ”

    คำตอบของเพื่อนทำให้ความสงสัยมีมากยิ่งขึ้น คิ้วทั้งสองข้างที่ขีดเขียนมาอย่างดีเลิกขึ้นสูง ก้าวเท้ายาวๆ ตรงดิ่งไปหาผู้จัดการร้าน แล้วสะกิดเรียกเบาๆ พออีกฝ่ายหันมามองพร้อมรอยยิ้มที่บอกว่าอารีก็เลยเอ่ยถาม

    “พี่คะ วันนี้ยัยแคททำจานแตกหรือตะบันหน้าลูกค้าไปกี่รายแล้วคะ”

    “ไม่นี่จ๊ะ ทุกอย่างโอเคราบรื่นมากเลย วันนี้คงไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกจ้ะหนูลิส หนูแคทน่ารักสดใส อีกอย่างยังไม่ก่อเรื่องให้พี่หัวใจวายเลยจ้ะ”

    ผู้จัดการสาววัยสามสิบปีเอ่ยขึ้นยาวเหยียด ยิ้มกว้างๆ เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเรื่องจริง บรรณาธิการสาวยังทำหน้าคล้ายถูกฟาดด้วยด้ามปืนจุดสามห้าเจ็ด พอพ้นร่างของผู้จัดการ ปากเล็กก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำเบาๆ

    “ถ้าฉันโทรไปบอกนายดัคซ์ หมอนั่นจะว่าฉันบ้าหรือเปล่า”

    เอ่ยกับตัวเองแค่นั้นก็เดินไปหย่อนสะโพกยังเก้าอี้ที่เพื่อนสนิทบอกไว้ก่อนหน้า นั่งมองสาวเสิร์ฟจำเป็นวิ่งไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ทำงานอย่างขะมักเขม้น นับสิบนาทีเพื่อนรักถึงได้เดินหอบแฮกๆ ตรงดิ่งเข้ามาหา ลิสซี่ใช้โอกาสนั้นซักไซ้สอบถามสิ่งที่อยากรู้เป็นการใหญ่

    “แคท บอกหน่อยสิ ว่าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ตั้งแต่เมื่อคืนที่ก้าวออกจากผับบรอดเวย์ ฉันว่าเธอไม่ปกตินะ ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรเธอกันแน่ ฉันว่าเธอดูแปลกๆ ไป” ข้อสมมุติฐานหลั่งไหลออกมายิ่งกว่าลาวาร้อนที่ไหลจากภูเขาไฟฟูจิ แคทเทอรีนรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวันพร้อมกับยืนกรานเสียงแข็ง

    “เปล่า...ไอ้บ้านั่นไม่ได้ทำอะไร ฉันปกตีดีจ้ะลิส” ยิ้มให้เพื่อนเสร็จก็ทำตาโตแล้วร้องถาม “ว่าแต่วันนี้มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงแวะเข้ามาได้”

    คำตอบของเพื่อนสาวก็คืออาการสั่นศีรษะอย่างรุนแรง

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่จะชวนไปช็อปปิ้งเท่านั้น แต่ในเมื่อเพื่อนต้องทำงาน เอาเป็นว่าเราช่วยอีกแรงดีไหม ไม่อยากอยู่เฉยๆ พอดีมีเวลาว่าง”

    แคทเทอรีนมองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มกว้าง ก่อนน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความยินดีจะดังขึ้น

    “ดีพันล้านเปอร์เซ็นต์จ้ะ ลงมือกันเลยดีกว่านะ”

    หลังจากนั้นบรรณาธิการมือหนึ่งก็กลายร่างเป็นสาวเสิร์ฟจำเป็น ทั้งสองคนสลับสับเปลี่ยนกับพนักงานคนอื่นๆ ผลัดกันรับรองลูกค้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดินเข้าโต๊ะโน้น ออกโต๊ะนี้เป็นพัลวัน วิ่งขึ้นวิ่งลงชั้นหนึ่งชั้นสองเป็นว่าเล่น รู้สึกบรรยากาศในร้านจะครึกครื้นมากทีเดียว นาทีนี้ดูคล้ายทุกคนจะหายใจหายคอได้โล่งมากขึ้น และต่างก็เฝ้าภาวนาให้วันนี้ราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×