ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุปผาข้ามเวลา

    ลำดับตอนที่ #1 : ข้ามผ่านกาลเวลา

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 56





    ดูเหมือนว่า ความเชื่อเรื่องปีชง เพิ่งจะส่อเค้าความเป็นจริงเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง

    ไม่รู้จะถือว่าเป็นคราวเคราะห์หรือ ถือว่าเพราะความโง่ของตัวเองดีที่ดันเดินใจลอย

    จนตกลงมานั่งอยู่ที่ก้นท่อน้ำ

     

    ฉันพยายามยันตัวเพื่อลุกขึ้นจากแอ่งน้ำเล็กๆ ก่อนจะหยิบถุงของฝาก

    ที่เพิ่งซื้อขึ้นมาคล้องไว้ที่แขน


    บรรยากาศรอบตัวมืดมาก ฉันคงต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อปรับสายตาให้ชิน

             ระหว่างรอ สัญชาติญาณบอกให้ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง
    โทรตามใครซักคนมาช่วย


     

    “ไม่มีสัญญาณ”


     

    ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เผลอบ่นออกมาเบาๆ ด้วยความเคยชิน

     

    “ซวยซ้ำ ซวยซ้อน เป็นปิดเทอมที่ซวยที่สุดในชีวิต”

     

    อุณหภูมิยามค่ำคืน บวกกับความชื้นจากเสื้อผ้าทำให้ฉันรู้สึกหนาว

    ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนปากท่อ คืนเดือนมืดไม่มีแม้แต่แสงสว่างจากไฟทาง
     

    “ช่วยด้วยค่ะ” บางทีอาจมีใครซักคนเดินผ่านมาได้ยิน


    ว่าไปท่อนี้ก็อยู่ระหว่างทางกลับหอ คงจะมีใครผ่านมาบ้างแหล่ะน่า
     

    ฉันตะโกนจนคอเริ่มแห้ง จึงหยุดพักทิ้งตัวลงนั่งยองๆ สองมือถูไปมา

    พยายามสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย แปลกจัง ทำไมฉันรู้สึกเหมือนตัวเอง

    ตกมาในบ่อน้ำมากกว่า ท่อที่ขุดอีกล่ะ...สมัยนี้เค้ายังใช้หินสร้างท่อกันอีกเหรอ

    พอพ้นจากความสงสัยแล้วความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏ ขึ้นมาในหัว THE RING


    ฉับพลันลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านตัวฉัน จนฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

    อยากจะเคาะหัวตัวเองนัก อยู่ดีไม่ว่าดีดันนึกถึงเรื่องผีๆ ขึ้นมาซะได้
     

    “แม่จะชอบของฝากมั้ยนะ” ฉันพยายามเบี่ยงประเด็นในสมอง

     

    จินตนาการ ถึงแหวนหยกในถุงข้างตัว และอีกสารพัดเรื่องราว 

     

    ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็พลันดังขึ้นมา

    ดังขึ้น ดังขึ้น และ ดังขึ้น คล้ายเสียงม้า กลางคืนดึกๆดื่นๆใครกันมาขี่ม้าอยู่กลางเมือง

    แต่ช่างมันเถอะ...ฉันไม่รอช้ารีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที
     

    “ฉันอยู่ในนี้ค่ะ ช่วยได้”

     

    แสงๆหนึ่ง พลันปรากฏอยู่ที่ปากท่อ

    ฉันยังคงตะโกนให้ช่วย มือสองข้างโบกไปมาอยู่เหนือศีรษะ

     

    ไม่นานนักเชือกเส้นหนึ่งก็ถูกโยนลงมา

    “รีบผูกเชือกกับตัวซ่ะ แล้วข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”

     

    ฉันไม่รอช้า รีบใช้เชือกผูกเข้าที่รอบตัว ก่อนจะตะโกนบอกให้เขารีบดึง

    ไม่ไหวแล้ว ฉันรู้สึกง่วงเต็มที อยากจะรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเปียกๆ นี่ออก

    คิดถึงเตียงนุ่มๆอุ่นๆ เต็มทน

     

    เมื่อใกล้ถึงปากท่อ มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า ฉันรึบคว้ามันไว้

    แรกสัมผัสมือของเขาค่อนข้างหยาบกระด้าง ฉันออกแรงดึงตัวขึ้น

    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือชายหนุ่มในชุดเกราะแบบจีนโบราณ

    ฉันเผลอสบตาเขาเข้า ดวงตาสีดำนิลคู่นั้นจ้องมองฉันเขม็ง

    ราวกับฉันเป็นตัวประหลาด

     

    “ข..ขอบคุณค่ะ”

     

    เขาไม่พูดอะไร แถมยังคงมองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า

    ข้างกายของเขามีม้าสีดำตัวใหญ่ ท่าทางของมันดูสง่าจนน่าตกใจ

     

    “โปรโมทการท่องเที่ยว” ฉันบ่นกับตัวเองอีกครั้ง “ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ”

     

    ช่างเป็นประเทศที่ลงทุนจริงๆ ผู้ชายคนนี้คงกำลังฝึกซ้อมการแสดง

    คอนเสปการท่องเที่ยวแบบจีนโบราณแน่ๆ

     

    ความเงียบยังคงอยู่ ในเมื่อเขาไม่พูดอะไร ฉันจึงตัดสินใจแนะนำตัวเอง

     

    “ฉันชื่อจินนี่ค่ะ เป็นคนไทย ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันไว้”



    เขายังคงจ้องฉันไม่ละสายตา มือข้างหนึ่งกำดาบไว้แน่น ก่อนจะชี้มันใส่หน้าฉัน
     

    “เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”

     

    เฮ้ย.. ฉันว่าระดับภาษาจีนของฉันก็ค่อนข้างดีนะ แม้สำเนียงจะ ไม่เลิศหรู

    แต่อาจารย์หลายๆ ท่านก็บอกว่าฟังแล้วโอเคทีเดียว นี่ฉันพูดไม่รู้เรื่อง

    หรือเขาไม่ตั้งใจฟังกันนะ


     

    “ฉันชื่อจินนี่ค่ะ”

     

    “จ..จิน.. น..นี่” เขาพูดชื่อฉัน น้ำเสียงฟังดูตะกุกตะกัก

     

    “เจ้ามาจากที่ใดกัน?”

     

    “ฉันมาจากประเทศไทย” ฉันตอบพลางมองสำรวจดาบตรงหน้า นี่ทำมาจากพลาสติกรึป่าวนะ

     

    ประเทศนี้ เค้าเก่งจริงๆ ทำเหมือนของจริงมาก ทั้งเงา และ.. ดูคม


     

    “แม่นางเจ้าเป็นหญิงเหตุใดแต่งตัวเยี่ยงชาย รองเท้าก็ดูประหลาดนัก”

    เขาเดินสำรวจไปรอบๆตัวฉัน


    หน้าตาก็ดี แต่พูดจาราวกับคนเสียสติ.. ฉันซวยอีกรอบแล้วใช่มั้ยเนี่ย

    ฉันถอนหายใจพลางมองหาโอกาสหนี

     

    “ที่นี่ที่ไหน” ฉันตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

     

    “หมู่บ้านโหยว”

     

    เขายังคงมองฉันไม่วางตา ทำไมนะฉันกลับรู้สึกว่าสายตาที่เขามองฉันมันดูเย็นชาน่ากลัว  

     

    “คุณกำลังถ่ายละครกันอยู่เหรอ”



    ฉันพยายามมองหากล้อง ลูกทีม ผู้กำกับอยู่ตรงไหนกันนะแต่รอบข้างกลับไร้วี่แววผู้คน

    บ้านเรือนแบบโบราณตั้งกระจัดกระจาย ท่อด้านหลังก็กลายเป็นบ่อน้ำไปซะดื้อๆ

     

    “ที่นี่มันที่ไหน”

     

    สมองฉันตื้อไปหมด ฉันพยายามรวบรวมสติที่ตอนนี้กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง


    ไม่ทันที่จะได้รับคำตอบ กระสอบใบใหญ่ก็ครอบร่างของฉันไว้  

    ฉันขดตัวให้เล็กลงตามขนาดของพื้นที่ ก่อนจะออกแรงดิ้นเพื่อเอาตัวรอด

     

    “ปล่อยฉันนะ”

     

    “ปึกก” เสียงหนึ่งดังขึ้น ฉันรู้สึกว่าบางอย่างกระทบลงที่ต้นคอ

    ร่างกายเริ่มชา เปลือกตาหนังอึ้ง ฉับพลันฉันก็หมดสติไป

     
    --------------------------------------------------------------------------------------


     

    เมื่อรู้สึกตัว ฉันก็พบว่าตัวเองนอนขดอยู่บนเตียงไม้แข็งๆ

    ร่างกายของฉันสั่นเทาด้วยความหนาว มือข้างหนึ่งพยายามคว้าหาผ้าห่ม

    เมื่อเริ่มขยับตัว ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นคอก็พลันกระจายไปทั่ว

     

    “โอ๊ย..คอฉัน”
     

    ฉับเลื่อนมือไปลูบเบาๆ เพียงแค่สัมผัสโดนก็เจ็บแทบกระโดด

    ความเจ็บเมื่อครู่ทำเอาฉันน้ำตาไหล

    เพียงไม่นานความรู้สึกของฉันก็เริ่มชินกับความเจ็บ ฉันมองสำรวจรอบๆตัว


     

    “ชุดของฉัน..” ทำไมถึงกลายเป็นชุดนี้ไปได้

     

    เอี๊ยมสีม่วงตัวเล็กๆ กับเสื้อคลุมสีชมพูที่ดูรุ่มร่ามนี่มันอะไรกัน

    ฉันรีบสาวเท้ามุ่งไปยังประตูตรงหน้า


    ภาพที่ปรากฏหลังประตูคือเด็กสาวตัวน้อยอายุไม่น่าเกิน
    14-15 ปี

    นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่น เมื่อเธอเห็นฉันออกมาก็ทำหน้าตาตกใจ

     

    “คาราวะพระสนม” เธอย่อตัวทำความเคารพ สีหน้าดูตื่นกลัว

     

    เธอก้มหน้าลงต่ำ สายตาหลบลงไม่กล้ามองฉันแม่แต่น้อย

     

    พระสนม? เธอหมายถึงฉันหรือ

     

    ฉันแทบจะหัวเราะออกมา นี่มันรายการอะไรเนี่ย

    เอาชีวิตคนอื่นมาล้อเล่น มันสนุกนักหรือ เล่นเอาฉันเกือบเชื่อทีเดียว

    ฉันพยายามตั้งสติ บอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ ฉันส่งยิ้มให้เธอ

     

    “เลิกเล่นเถอะค่ะ ฉันเหนื่อยมากแล้ว”

    เธอมองหน้าฉันสีหน้าฉายแววไม่เข้าใจ

     

    “พระสนม ต้องการอะไรหรือเพคะ” เธอยังคงแสดงบทบาทของเธอได้ดีไม่มีที่ติ

    ฉันล่ะนับถือเธอจริงๆ อายุเพียงแค่นี้กลับแสดงสีหน้าได้เนียนสมจริง

     

    “ผู้กำกับ” ฉันตะโกนเสียงดัง พลางมองหากล้องที่ซ่อนอยู่

     

    เมื่อขยับศีรษะ ความเจ็บที่คอก็กลับมา พลันทำให้ฉันนึกถึงเรื่อง

    ที่โดนจับใส่กระสอบ แถมโดนทำร้าย ความโกรธในตัวก็ประทุขึ้น

     

    “นี่มันชักจะเล่นแรงไปแล้วนะ ฉันฟ้องพวกคุณแน่ๆ รีบออกมาเดี๋ยวนี้”

     

    “พระสนม”

     
     
    สีหน้าของนักแสดงตัวน้อยซีดขาว น้ำใสๆเอ่อออกมากองที่ใต้ตา
     
    เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปาดน้ำตา ก่อนจะก้มตัวลงแนบพื้น


     
    “ได้โปรดอย่าทำให้หม่อมฉันลำบากใจเลยเพคะ”



     
    ทำไมยังเล่นไม่เลิกอีก ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ ความโกรธที่อัดอั้น
    อยู่ภายใน ทำเอาฉันพูดไม่ออก จนต้องร้องไห้ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ


     
    “หยุดสิ่งที่พวกคุณทำเถอะค่ะ”

    ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ..น้ำใสๆ ยังคงไหลออกมาไม่หยุด



     
    “ได้โปรด.. ฉันอยากกลับบ้าน”  
     
    ...ใช่ฉันกำลังขอร้อง ความเหนื่อย เจ็บ โกรธ และสับสน มันทำให้ฉันอ่อนแอ


     
     
    หญิงสาวตรงหน้าเข้ามาช่วยพยุงฉันเข้าไปในห้อง ฉันไม่มีแรงจะต่อต้าน

    หรือ เรียกร้องอะไรอีก


    ฉันนั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง เธอก็นั่งอยู่บนพื้นข้างๆ



    “หนูชื่ออะไร” ฉันเป็นฝ่ายพูดก่อน

     

    แม้จะดูเหมือนไม่เข้าใจคำถามนัก แต่ผู้ที่ถูกถามก็รีบตอบ


     
    “หม่อมฉันชื่ออี๋อิ่ง เพคะพระสนม”
     

    “แล้วฉันเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร”



    อี๋อิงทำหน้างงๆ
     
    “พระสนมเฉียน พระนามเต็มคือเฉียน เหม่ยอิง”
     

     
    คำก็พระสนม สองคำก็พระสนม ในเมื่อยังคงเล่นกันไม่เลิก

    ฉันคนนี้ก็จะลองดูซักตั้ง ดูซิว่าพวกคุณจะทำแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×