คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Poster :: 06 100%
“ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ”
พี่มาร์คก็พูดคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา
แถมยังมองหน้าพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆอีก
พูดคำนี้จำเป็นต้องมองหน้ากูขนาดนี้ไหม…สัส
กูเขินนะเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยย
“โอเค พอๆ คุณพูดภาษาไทยได้เก่งมาก” ปรบมือแปะๆและให้คำชมนักเรียนมาร์คที่เรียนรู้การพูด การออกเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม
อย่างนี้มาเป็นเขยไทยเถอะ
“จริงอ่ะ!” พอได้ยินคำชมเข้าหน่อยพี่มาร์คก็ยิ้มปริ่มซะหน้าบานแต่ไม่อาจทำลายความหล่อลงผู้ชายคนนี้ได้เลย
ตรงกับข้าม…โคตรน่ารักเลยต่างหาก
“อื้อ จริงๆ….แล้วเรื่องทุกอย่างผมจะบอกพ่อกับแม่พรุ่งนี้แล้วกันนะครับ”
“อื้ม โอเค”
ทุกอย่างเป็นอันตกลง ว่าในวันพรุ่งนี้พ่อกับแม่จะต้องรับรู้ว่าพี่มาร์คอยู่ที่นี้
แต่ในฐานะเพื่อนคนเกาหลี ไม่ใช่ไอดอล
อีกอย่างพี่เขาหน้าเด็กหรือผมที่หน้าแก่เองก็ไม่รู้ บอกว่าเป็นเพื่อนพ่อกับแม่คงเชื่อ
ถึงเปอร์เซ็นต์มันจะน้อยนิดก็เถอะ แต่เราต้องมีความหวังเข้าไว้ ฮึบบบ
“แบมแบม” เสียงของพี่มาร์คดังเข้ามาในโซนประสาท
ผมเลยต้องเงยหน้ามองตามเจ้าของเสียงเรียกนี้
“หืมม”
“ปกตินายจะเรียกฉันว่าอะไรหรอ”
มันหมายถึงอะไรอ่ะ ประมาณแบบว่า
สรรพนามที่ผมเรียกพี่มาร์คปกติรึเปล่า ถ้าบอกเรียกว่า…อิพี่มาร์ค
นี่จะโดนถีบป่ะ
แฟนคลับที่ไหนเขาเรียกศิลปินตัวเองหยาบแบบนี้ มีอยู่ที่เดียวก็ประเทศไทยนี่แหละครับคุณ
“เอ่อ…” ปากเกิดอาการลังเลเล็กน้อย
ว่าจะพูดออกไปดีรึเปล่า แล้วเรื่องไรเล่าจะบอกสิ่งไม่ดีออกไปล่ะเนาะๆ
แต่พอคนตรงหน้าเห็นผมทำท่าอึมอำ
เลยเปลี่ยนประเด็นไปที่คนอื่นในวงแทน
“เปลี่ยนเป็นยูคยอมก็ได้”
“เรียกยูคยอมเฉยๆครับ” จริงๆนะ
ผมเรียกแค่ยูค ไอ่ยูค ยูคยอม แบบนั้นจริงๆ เพราะการที่ผมกับเมนอายุไล่เลี่ยกัน
ทำให้ผมเรียกเขาเป็นเหมือนเพื่อน แม้บางทีจะหยาบไปหน่อย
แต่ผมชินเวลาเรียกแบบนั้นมากกว่า
“ละถ้าเป็นฉันล่ะ” พี่มาร์คถามพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
สายตานี่แบบ…โคตรคาดหวังที่จะได้ยินคำตอบจากปากผมเลย
“ก็….พี่มาร์ค”
ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบเรียกว่า
พี่มาร์ค เรื่องอายุก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าลองเทียบกับคนอื่นในวง ผมไม่เรียกใครว่า
พี่ นำหน้าเลยนะเว้ย ดูอย่างลีดเดอร์วงเจบีดิ ผมก็เรียกเจบีเฉยๆอ่ะ
ทั้งที่อายุเขาก็รองจากพี่มาร์ค ปากผมก็เรียก เจบีๆๆ นอกจากJYM4เมนผมวงอื่นรู้ว่าเขาอายุมากกว่าแต่ก็เรียกชื่อเพรียวๆไปเลยอ่ะ
แบบ อิลฮุน BTOB แทมิน Shinee อะไรแบบนี้ แต่กับพี่มาร์คนี่….ต้องมีคำว่าพี่นำหน้า
พี่มาร์คๆๆๆ
เคยลองเรียกพี่มาร์คว่ามาร์คเฉยๆ
รู้สึกมันกระดากปากมาก เหมือนกับลองเรียกเจบีว่าพี่เจบีนั้นแหละ…มันไม่ใช่เลยยยยย เพื่อความสบายใจผมเลยขอเรียกมาร์ค
ว่าพี่มาร์คต่อไปละกัน ทั้งทีไม่รู้เหตุผลจริงๆทำไมตัวเองถึงต้องเรียกว่าพี่ =__=
“งั้นต่อไปนี้นายเรียกฉันว่า พี่มาร์ค ได้ไหมละ”
อุต๊ะ!!!! ถึงกับสตั้น
ม….เมื่อกี้ผมไม่ได้หูฝาดหรือแปลภาษาผิดไปใช่ไหม พี่….พี่มาร์คบอกให้ผมเรียกว่า พี่ ด้วยแหละเว้ยยยยยย นี่มันอะไรกันเนี่ย
นางโพล่มาจากโปสเตอร์ยังไม่พอ เวลานี้ วินาทีนี้
ยังให้ผมใช้คำที่ชอบเรียกพี่เขาเป็นประจำด้วยอ่า
ถ้าให้พูดเวลาเจอรูปในคอมหล่อๆปังๆ นี่โคตรโหยหาอย่างกับพวกผีดิบ
อยากได้มาครอบครองเหลือเกิน แต่พอจะให้เรียก พี่มาร์ค
ต่อหน้าเจ้าของชื่อจังๆเลยแบบนี้ มันก็เขินแถมยังตื่นเต้นมากๆนะมึง
แค่มองหน้ากูเฉยๆไขมันในร่างกายก็พร้อมระเบิดละเนี่ย ><
“จะ…ดีหรอครับ” ผมทำหน้าหนักใจแล้วยิ้มแห้งๆ ไม่ใช่ไร….กูอ่อยอยู่
“ถ้านายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรียก คุณ แบบเดิมก็ได้”
…เดี๋ยวๆๆๆ
“ผมเรียกได้ครับ….พ….พี่มาร์ค” พี่เขามองหน้าผมแล้วอมยิ้ม ก่อนจะทำเป็นก้มหน้าก้มตาวาดรูปเล่นลงในเศษกระดาษที่ผมให้ไว้จดคำภาษาไทยก่อนหน้านี้
นี่กำลังสงสัย
ทำไมพี่มาร์คถึงให้ผมเรียกเขาว่าพี่ล่ะ ทั้งที่เราพึ่งเจอกันครั้งแรกและเป็นการเจอกันที่ไม่คาดฝันเลยด้วย ตอนแรกผมก็จะเรียกว่าพี่มาร์คนะ
แต่เพราะพี่เขาไม่รู้จักผม มีแค่ตัวผมที่รู้จักอยู่ฝ่ายเดียว เลยแทนตัวพี่มาร์คว่าคุณแทน
เพื่อมารยาทที่ดีงาม
อย่างงี้ผมก็ค่อยๆเริ่มสนิทกับพี่มาร์คไปอีกขั้นแล้วอะดิ…อิจฉากันไหมละพวกหล่อน
ตกเย็น
“แม่ หิวๆๆๆ”
ผมนั่งตรงเกี้กินข้าว เอามือสองข้างขึ้นเท้าคาง
เริ่มไม่สบอารมณ์เพราะความหิวแรง ประมาณตอนบ่ายผมพึ่งกินส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียวกับพี่มาร์คเองนะ
อ่อ สั่งแบบปูปลาร้าด้วยนะ รสชาติถูกใจพี่มาร์คสุดๆ
มีการบอกผมให้ซื้อมากินคราวครั้งอีกด้วย โฮะๆ
แต่ตอนนี้ท้องมันร้องอีกแล้วอ่ะ
สงสัยคงต้องถ่ายพยาธิ จำได้ว่าครั้งล่าสุดถ่ายพยาธิเมื่อสองปีที่แล้ว…ช่างนานแสนนาน
ป่านนี้มันคงออกลูกออกหลานเต็มท้องเต็มไส้หมดแล้วมั้ง
“หิวก็มาช่วยกันทำ” แม่บอกพลางมือก็หนึ่งก็ถือกระทะ
อีกมือก็จับตะหลิวผัดข้าวผัดในกระทะไปด้วย
ข้าวผัดมักเป็นอาหารที่แม่ชอบทำมากที่สุดรองจากไข่ทอดและปลาทูทอด
วันไหนที่มีอาหารหนึ่งในสามอย่างนี้แสดงว่า…วันนั้นนางขี้เกียจทำกับข้าว
“ทำไรอ่ะ แม่ก็ทำหมดแล้วหนิ” นี่เหลือแค่ตักใส่จานแล้วกินอย่างเดียว
“ไปหยิบจานมา” เป็นคำสั่งสั้นๆแต่เฉียบขาด
ผมลุกขึ้นตรงไปยังชั้นที่มีจานชามหลากหลายใบวางอยู่บนนั้นก่อนจะหันไปถามคนออกคำสั่ง
“กี่ใบแม่”
“แล้วในบ้านมีกี่คนล่ะ” ถามแบบนี้แสดงว่าคุณแม่กำลังประชดคุณลุกอยู่
ในบ้านก็มีสี่คน…ถ้ารวมพี่มาร์คด้วยนะ
แต่เกรงว่าถ้าตอบออกไปว่าสี่คงได้โดนแม่ตบหัว
ผมเลยหยิบจานออกมาสามใบแล้วยื่นให้แม่ ส่วนของพี่มาร์คผมกะว่าจะแยกออกไปทีหลัง
ถ้าพ่อกับแม่เข้านอนเร็วพี่เขาก็จะได้กินเร็ว ทุกอย่างขึ้นกับพ่อแม่แล้วล่ะ
“เอ่อแม่ เจ้าของบ้านใหม่เขาย้ายมาแล้วนะ”
ผมเปิดประเด็นใหม่
โดยการบอกเรื่องพี่แจ็คสันเพื่อนบ้านคนใหม่ให้แม่ฟัง
“แล้วลูกรู้ได้ไง” แม่หันมามองหน้าผมแปบหนึ่งแล้วกลับไปมองข้าวผัดในกระทะต่อ
“เอ้า ก็เขาพึ่งเอาขนมมาให้ผมเมื่อเช้า
เป็นผู้ชายหน้าตาดีมากแม่ เห็นครั้งแรกนึกว่าดารา พี่เขาชื่อแจ็คสัน เป็นลูกครึ่ง
เรียนจบมาปุ๊บก็เปิดร้านขายขนมเค้กปั๊บ ธรรมดาซะที่ไหน”
“แหมม รู้มากจริงๆเลย ตีสนิทแล้วล่ะสิ”
“ก็นิดหน่อยน่าแม่ ประวัติเล็กๆน้อยๆ รู้ไว้ใช่เสียหาย”
แม่ผมส่ายหัวสีหน้าเหนื่อยใจกับนิสัยของผมนิดๆ
ที่ชอบซักไซ้เรื่องคนอื่นไปทั่ว แม่ตักข้างผัดใส่จานใบแรกแล้วส่งให้ผม
รอรับจานที่สอง พอจานเต็มทั้งสองมือ ผมก็เอาไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปตะโกนบอกเรื่องสำคัญกับแม่
“ไม่ต้องตักเยอะนะแม่ ของผมนิดเดียว”
“ทำไมล่ะ ปกติยัดเข้าไปเยอะจะตาย” แม่ตักข้าวผัดใส่ในจานของผมประมาณสองทัพพี จากที่ปกติผมจะกินประมาณสี่ทัพพี
นี่คือลดมาตั้งครึ่งหนึ่งก่อนแหนะ
“ไดเอทแม่ เก็บอันที่เหลือในกระทะไว้ให้ผมด้วยนะ”
รู้สึกชีวิตช่างลำบาก แต่ถ้ากับข้าวไม่เหลือมีหวังคืนนี้พี่มาร์คคงได้อดข้าวแน่อ่ะ
แต่เพื่อพี่มาร์คแบมแบมทำได้อยู่แล้วววว
47%
บนโต๊ะอาหาร
ผมนั่งกำช้อนส้อมเหล่สายตามองหน้าพ่อกับแม่ที่กำลังกินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนนี้ผมกำลังทำใจที่จะบอกเรื่องพี่มาร์คอยู่ ถ้าผมบอกไปแล้วพ่อกับแม่ไม่อนุญาตให้พี่เขาอยู่ที่นี่
มีหวังผมคงต้องให้พี่มาร์คใช้ชีวิตอย่างยากลำบากต่อแบบนี้แหงๆ
“พ่อ…แม่” ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมๆกัน
“คือผมมีเรื่องจะถาม”
“เรื่อง??” เป็นพ่อที่ถามผม
“คือพรุ่งนี้เพื่อนผมจากเกาหลีเขาจะมาไทยอ่ะ
แต่โรงแรมมันเต็ม แล้วผมจะให้เขามาพักอยู่บ้านเราได้ไหม”
พอพ่อกับแม่ฟังเรื่องที่ผมจะถามจบ
ท่านก็หันไปมองหน้ากันเหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่พ่อจะเป็นคนถาม
“เดี๋ยวๆ แกไปมีเพื่อนคนเกาหลีตอนไหน
แล้วรู้จักกันได้ไง”
เรื่องนี้ลืมไปเลยแหะ แล้วกูจะตอบไงดีละทีนี้….
“ก็…รู้จักกัน” รู้จักกันแล้วไงต่อดีวะ เอ่อใช่ๆ… “ตอนม.6ๆ เขามาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียน แถมยังได้อยู่ห้องเดียวกับผมด้วย
ครูเลยให้ผมช่วยดูแล ไปๆมาๆก็สนิทกันเลยพ่อ”
โถถถ พล็อตแบบนี้เหมาะไปเขียนฟิคเรื่องใหม่มาก แต่ลืมไปเรื่องเก่าตัวเองยังไม่ได้อัพต่อเลยนี่หว่า
-0-
“แม่ไม่เห็นได้ยินแบมพูดเรื่องนักเรียนแลกเปลี่ยนเลย”
คุณแม่เป็นคนออกความเห็น
…บางทีแม่ไม่ต้องความจำดีขนาดนั้นก็ได้นะ
“เถอะหน่าแม่ แล้วตกลงจะให้เพื่อนผมมาพักบ้านเราป่ะ”
ผมเลี่ยงตอบปัญหาของแม่ แล้วยิงคำถามใหม่ใส่แทน
แม่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบแล้ววางไว้ที่เดิม ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากพ่อ
“พ่อว่าไง”
“ก็แล้วแต่แม่สิ” พูดจบพ่อกับตักข้าวพัดเข้าปาก
ในชีวิตนี้นะ
ถ้าถามอะไรจากพ่อมักจะไม่ได้คำตอบกลับมา เวลามีของสองอย่างในมือแล้วให้พ่อเลือก
พ่อก็จะบอกมมาว่า แล้วแต่ จบประโยคนั่นนะ
สมองผมจะสร้างนางฟ้าความดีมาตัวหนึ่ง นางฟ้าร้ายๆมาตัวหนึ่ง เถียงๆกันในหัว
จนสุดท้ายเลือกไม่ได้ เอามันทั้งสองแมร่งเลย แล้วก็จะมาโดนบ่นทีหลังอีกนะว่าซื้อมาทำไมสองอัน
=___=
เอ้า ก็บอกให้เลือกแล้วตัวไม่เลือกเองป่ะ!!
“แล้วเพื่อนแบมจะมาพรุ่งนี้จริงหรอ
ทำไมมันกะทันหันจังล่ะ” คำถามของแม่ทำเอาผมสตั้นไปสองวิ
ก่อนจะตั้งติคิดได้
“อ๋อ พอดีผมพึ่งนึกได้ไง เลยมาถาม”
“เพื่อนแบมจะถึงไทยกี่โมง”
“เอ่อ….ประมาณสองโมงมั้ง”
กูไม่รู้ กูแถเอา
ความจริงเขารออยู่บนห้องแล้วด้วยซ้ำ -__-
“แล้วรู้จักทางมาบ้านเราหรอ”
“โถแม่
เขียนที่อยู่แล้วยื่นให้แท็กซี่เดี๋ยวก็พามาถึงเองแหละ” ทำใจหน่อยมีแม่เป็นคนละเอียดลอบคอบ
ชอบถามอะไรย่อยๆแบบนี้ประจำ
“ให้พักบ้านเราแม่ไม่ปัญหาหรอก
แล้วเพื่อนแบมจะนอนไหนล่ะ”
“เรื่องเล็กมากแม่ ก็นอนกับผมไง”
“แต่เตียงลูกแค่สามฟุตเองนะ
มันนอนสองคนไม่ได้หรอกถ้าไม่ใช่คนตัวเล็ก”
เหมือนแม่กำลังด่าทางอ้อมว่ากูอ้วนสินะ
“ก็ปูผ้าข้างเตียงสิ จบปิ้งไหมแม่!”
“โอเคๆ แล้วแต่ล่ะกัน” สุดท้ายแม่ก็ยอมจำนนต่อแบมแบม
วะฮ่า
“ตกลงแม่เพื่อนผมมานอนบ้านเราได้ใช่ป่ะ><”
ผมถามซ้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
และการพยักหน้านิ่งๆของแม่
นั่นเป็นคำตอบที่ขัดเจนมากกกก
โอ้วววววววววววว เยสสสสสสสส !!!!! ผมโคตรซาบซึ้งเลย
TOT อย่างน้อยก็ไม่ต้องหลบซ่อนๆพี่มาร์คไว้ในห้องแล้ววะ
ฮือออ ซาบซึ่งใจเหลือเกิน ฮืออออออ
“แฮร่ ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ พอดีพ่อกับแม่ผมพึ่งเข้านอน”
พอผมเดินเข้าห้องมาก็เห็นพี่มาร์คนอนหน้านิ่งอยู่บนเตียง
บ่งบอกได้เลยว่าพี่เขาโคตรเบื่อที่ถูกปล่อยอยู่คนเดียวในห้องนี้ เมื่อกี้ผมลงไปข้างล่างเกือบสองชั่วโมงก่อนแหนะ
ต้องรอพ่อกับแม่เข้าห้องอีกถึงจะเอาข้าวขึ้นมาได้โดยไม่ถูกสงสัย
“ไม่เป็นไร” พี่มาร์คเด้งลุกจากเตียงขึ้นนั่ง
แล้วเสียงประหลาดก็ดังขึ้น ทำให้ภายในเกิดความเงียบ
โครกกกก
อุ๊บบบส์ ตายละ… ผมแทบจะอดขำไว้ไม่ไหว พยายามจะไม่หัวเราะกับเสียงตะกี้
แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆวะ เห็นหน้านิ่งๆของพี่มาร์คแล้ว โอ๊ยยยยยยยยยยยยย
อยากลั่นแรง
5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
พอ
คืองี้เว้ย เสียงโครกนั่นอ่ะ
มันเป็นเสียงท้องพี่มาร์คร้อง
และพอเห็นหน้านิ่งๆซึนๆของพี่เขาเหมือนตกใจกับตัวเองนิดๆ ที่จู่ๆท้องก็ร้องขึ้นมา
เสียงนั่นมันโคตรกระตุ้นต่อมฮากูเลย เข้าใจว่านางกำลังหิวมากจริงๆ
และขอประทานโทษด้วยที่กระผมมาช้า
นับเป็นบุญหูจริงๆ
ที่ในชีวิตนี้ได้ยินเสียงท้องพี่มาร์คร้อง แล้วไม่ใช่เบาๆนะ เสียงโคตรดัง โครกกกกกกก 55555555555555555555555 ขนาดพี่มาร์คแกยังสตั้นเลยอ่ะ
แอบมีการหลุบสายตาอายนิดๆด้วยเว้ยยยยย ฮาฮาฮ่าๆ
พอๆ อิแบมมึงพอสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ล่ะ
เพื่อสันติภาพของการอยู่ร่วมกัน เราควรหยุดหัวเราะ
มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก….พุทโธ
“น….นี่ครับ
ข้าวมันอาจจะเย็นหน่อย เพราะแม่ผมทำไว้นานแล้ว”
ผมยื่นจานข้าวผัดที่ถือขึ้นมาด้วยส่งให้พี่มาร์ค พี่เขาเอื้อมมือมารับไปแล้วมองอาหารในจานว่ามันคืออะไรก่อนกินเหมือนเช่นเคย
ผมพาอารมณ์กลับเข้าสู่สภาพปกติ
พยายามจะไม่ย้อนกลับไปเรื่องเสียงโครกนั่น….โอยย โครกกกกกกกกกกก 555555555 โอเคไม่ย้อนๆ
มึงหยุดแบม หยุดๆๆๆๆ
“เรื่องคุณ เอ้ย เรื่องพี่มาร์ค ผมบอกพ่อกับแม่ละนะ”
มือที่ถือช้อนกำลังจะเข้าปาก แต่ก็ต้องค้างชะงักไว้กลางอากาศซะก่อน
แล้วเงยหน้ามองตาปริบๆ ผมยิ้มกว้างแล้วบอกข่าวดีให้พี่มาร์คฟัง “วันพรุ่งนี้เตรียมตัวใช้ภาษาไทยที่ผมสอนไว้เลย วู่ววววว ><”
พี่มาร์คฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่
ออร่าความสุขพุ่งออกมาจากใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
แตกต่างจากตอนที่เดินเข้าเจอแล้วถูกทิ้งไว้ในห้องเกือบสองชั่วโมง อย่างกับคนละกัน
คนตรงหน้าวางช้อนไว้บนจาน
แล้วเปลี่ยนเป็นชูนิ้วโป่งยอดเยี่ยมพร้อมส่งรอยยิ้มที่เห็นทีไรใจเต้นแรงทุกทีให้กับผม
“นายเจ๋งมากแบมแบม^^”
พระเจ้า รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง งือออออ -///-
“นมเปรี้ยวครับ” ผมยื่นนมเปรี้ยวรสส้มให้พี่มาร์ค
ส่วนของตัวเองเป็นรสผลไม้รวม
“ขอบใจ” ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่หย่อนตัวนั่งลงข้างๆพี่มาร์คตรงขอบเตียง
ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว
ผมลืมไปเลยว่าลืมตกลงเรื่องที่นอนกับพี่มาร์ค แต่มันไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับผมหรอก
นอนเตียงนอนพื้นผมนอนได้หมดอ่ะ ขอแค่ได้นอนก็พอ
“เดี๋ยวผมจะนอนข้างล่างนะ พี่มาร์คก็นอนบนเตียงละกัน”
“ทำไมล่ะ นายก็นอนเตียงสิ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ
ก่อนจะลุกไปวางขวดนมเปรี้ยวไว้บนโต๊ะคอม
เดินไปรื้อของในกล่องสี่เหลี่ยมใบใหญ่ เพราะเหมือนเคยเห็นแม่เอาผ้าห่มหรือผ้าอะไรก็ไม่รู้มายัดไว้ในกล่องนี้
ทั้งทีห้องตัวเองมีก็ไม่ไว้ แต่ผมพึ่งจะรู้สึกขอบคุณแม่ก็วันนี้แหละ ที่เอาผ้าห่มมายัดไว้ที่นี้
“โอ๊ะ นี่ไง”
ผมหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ออกมาจากกล่อง
แล้ววางมันกองไว้ที่พื้น เก็บของที่รื้อในกล่องใส่ไว้เหมือนเดิม ส่วนมากมันจะเป็นของจุกจิกแบบพวกผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดตัว
ที่แม่ได้มาจากโรงพยาบาล
“เดี๋ยวฉันช่วย” พี่มาร์คเดินมากางผ้าห่มที่วางบนพื้นออก
แล้วเราก็ช่วยกันปูมันไปกับพื้น
เอาหมอนบนเตียงลงมาวางหนึ่งใบ และผ้าห่มผืนบาง ที่จริงๆแล้วผมมีมันบนเตียงสามผืน
ปกติก็ไม่ได้ห่มหรอก เอามานอนกอดแค่นั้นแหละ ฉะนั้นรอบเตียงผมจะมีพวกหมอนตุ๊กตาเต็มไปหมด
เวลาหันไปนอนข้างไหนก็กอดนั้นอ่ะ พอดีเป็นผู้ชายติดหมอน มันต้องมีอะไรสักอย่างมาให้กอด
ไม่งั้นพูดเลยทั้งคืนผมนอนไม่หลับอ่ะ
“ผมขอหมอนข้างนะ” เพียงแค่บอก
พี่มาร์คก็จัดให้
ผมรับหมอนข้างมาแล้วจัดเรียงมันไว้ให้เรียบร้อย ลองจับผ้าห่มดูแล้ว
ผ้าค่อนข้างหน้าล่ะก็นุ่มพอสมควร คงไม่มีปัญหาตื่นขึ้นมาปวดหลังแน่นอน ตราบใดที่ทั้งคืนผมนอนหลับสนิท
“นายนอนแล้วจะไม่ปวดหลังหรอ”
เป็นห่วงเค้าหรอหรอตัว กิ้ววววๆๆ
“ไม่หรอกครับ นอนในป่าผมยังเคยนอนมาแล้วเลย”
จำได้เข้าค่ายลูกเสือตอนม.3 มันช่างเป็นอะไรที่ลันทดสุดๆ
เต็นท์หนึ่งนอนยัดกับเพื่อนอีกสามคนอ่ะคิดดู ทั้งที่เต็นท์นั้นนอนได้แค่สองคน
แล้วมันเพิ่มมาอีกสามก็เป็นสี่….แทบจะแย่งอากาศกันหายใจ
แล้วนอนบนพื้นดินงี้ รู้สึกรักผืนป่าสุดๆ =__=
“อือ ถ้านายนอนไม่ได้ก็บอกนะ งั้นฉันขออาบน้ำก่อนล่ะกัน”
“เลือกเสื้อได้ตามสบายเลยนะครับ”
พอพี่มาร์คเข้าไปอาบน้ำ ผมก็หยิบโทรศัพท์มาเล่น
เข้าไปส่องทวิตเป็นอันดับแรก ดูเหมือนเรื่องที่พี่มาร์คไม่มางานKoreaSong จะไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันแล้ว
ซึ่งนั่นก็ดีไป
“แบมแบม”
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์อยู่นั้น
เสียงพี่มาร์คก็เรียกผมเลยหันไปตามเสียง แล้วปรากฏว่า
=[]=;;;
พี่มาร์คโพล่ส่วนใบหน้าและผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำออกมาคุยกับผม
โอววว มันช่าง…เซ็กซี่ บริเวณไหล่ที่เห็นผิวขาวๆนั้นทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่า
นางแก้ผ้าอยู่หลังประตูแล้วววว
ถ้าผู้ชายส่วนล่างไม่โป๊ ก็ไม่มีเหตุผลหาอะไรมาปิดหรอก
โอยยยยย นี่ฉันไม่อยากจะจินตนาการภาพหลังประตูนั่นเลย -//////////////-
“ขวดสีส้มๆนี่เป็นแชมพูใช่ไหม” พี่มาร์คชูขวดสี่ส้มๆให้ดู
ซึ่งมันเป็นขวดแชมพูสระผม อย่างที่พี่เขาถาม
ผมเลยพนักหน้าตอบ พอได้คำตอบแล้วพี่มาร์คก็ปิดประตูห้องน้ำ
ปล่อยให้ผมยังคงช็อกกับเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย ค่อยๆเอามือไปแตะบริเวณจมูก
แล้วรู้สึกถึงอะไรบางอย่างคล้ายน้ำไหลออกมาจากจมูก และพอเอามาดู…
“เชี่ยย เลือดกำเดาไหล”
ความคิดเห็น