คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Poster :: 01 100%
01
ผมมองโปสเตอร์ในมืออยู่นานสองนาน ก่อนจะหันซ้ายขวา หน้าหลัง เห็นว่าแถวนี้ไม่มีคน จะรออะไรอยู่ละครับ รีบม้วนโปสเตอร์และวิ่งสู้ฟัดกลับบ้านทันใด ว๊ากกกกกกกกก
ผมป่าวขโมยนะ โปสเตอร์หล่นมาหาผมเอง คึคึ
วันนี้ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ได้โปสเตอร์ฟรีกลับบ้าน ฮูเร่
“La La La La La La La La La La Happiness! (เสียงสูงได้อีก)”
เดินฮัมเพลงเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี ได้ของฟรีทั้งทีไม่ให้อารมณ์ดีก็บ้าแล้ว เดินเข้าไปในครัว วางโปสเตอร์ไว้บนโต๊ะทานข้าว ก่อนจะจัดการแกะส้มตำใส่จานให้เรียบร้อย หยิบจานส้มตำ ซ้อม และโปสเตอร์ ขึ้นไปบนห้อง ก่อนจะวางจานส้มตำไว้บนโต๊ะคอม
ถามว่าทำไมถึงไม่กินด้านล่าง?
ก็แล้วทำไมอะ ผมชอบกินข้าวหน้าคอมอะ มีปัญหาหรอ!! โต๊ะคอมนี่เป็นทุกอย่างของผมเลยนะเฟ้ย ทั้งเล่นคอม กินข้าว ทำการบ้าน บลาๆ$(!%$^
ผมกางโปสเตอร์ในมือขึ้นมาดูอีกรอบ ผู้ชายในรูปชื่อ มาร์ค ไม่ใช่ๆต้องออกเสียงว่า มาร์คคึ จะต้องมี คึคึ ตามท้ายด้วยเข้าใจนะ เขาเป็นสมาชิกวง JYM4 อ่านง่ายๆตามตัวเลยว่า เจ-วาย-เอ็ม-โฟร์ ซึ่งชื่อวงเนี่ยเอามาจากตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของสมาชิกแต่ละคน เลขสี่หมายถึง สมาชิกทั้งหมดสี่คน ก็จะมี…
เจบี (อิม แจบอม) เป็นลีดเดอร์หรือหัวหน้าวง ยืนนิ่งๆจะดูชิคและหล่อลาก แต่!! เวลายิ้มหรือหัวเราะเงิงจะโพล่หน่อยๆ ผมว่าไม่หน่อยแล้วละ (_ _)
------>
จูเนียร์ (ปาร์ค จินยอง) ทำหน้าที่ร้องนำ เวลาแอ๊บแบ๊วจะน่ารักมากกกก แต่ยิ้มทีหนึ่งนี่…รอยย่นพร้อมใจโพล่กันให้พรึบ อายุก็ไม่ใช่จะเยอะ 21 ปีเอ๊งง อันนี้นับตามเกาหลีนะ อายุเท่ากับเจบีเลย แต่มันก็ทำให้จินยองของเราน่ารักไปอีกแบบนะ
---->
ยูคยอม (คิม ยูคยอม) คนนี้เป็นมักเน่หรือน้องเล็ก อายุ 18 ปี มักเน่ร่างยักษ์ตัวสูงเปรตกว่าพี่คนอื่นในวง ไม่พอยังกล้าท้าทายอำนาจมืดอีกด้วย
คนสุดท้าย…
มาร์คคึ (ต้วน อี้เอิน) ท่านผู้นี้คือเทพบุตรมาเกิดหรืออย่างไร ใบหน้าของท่านหล่ออลังการงานสร้างม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อๆๆๆๆ หล่อวัวตายความล้ม หล่อฝนฟ้าคะนอง หล่อออออออออ คือแบบหล่ออออออออ เอ่อออ…หล่อ แล้วหล่ออย่างเดียวไม่พอ ยังมีรอยยิ้มพิฆาตทำใจแทบสั่น ไม่มีอะไรมาทำร้ายมาร์คได้นอกจากนางจะทำร้ายตัวเอง
ปล.นางอายุเยอะสุดในวงแหละ อายุ 22 มาจาก LA ทำหน้าที่เป็น แร็ปเปอร์ของวง
---->
โอเค ผมนำเสนอวงนี้ไปหมดละ และในวงนี้ผมเมน ยูคยอม แหละ เหตุผลง่ายๆไม่ใช่เพราะความหล่อ สูง น่ารัก อะไรทั้งนั้น เพียงแค่เขาอายุเท่ากับผมแค่นั้นแหละ ถึงกับคิดในใจตอนนั้นว่า
คนนี้แหละ เมนกู!!!!!!!!!!!!!!!
ว่าแต่…ผมจะติดโปสเตอร์นี้ไว้ที่ส่วนไหนของห้องดีละ?
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผนังห้องผมก็เต็มไปด้วย โปสเตอร์ โปสเตอร์ โปสเตอร์ และโปสเตอร์ ที่มีเกือบทุกวง แต่ส่วนมากจะเป็นวงหลักของผมซะมากกว่าอย่าง JYM4 ไง นอกนั้นก็ EXO SHINee INFINITE BTS SNSD Red Velvet อะไรประมาณนี้จะเป็นรูปร่วมซะมากกว่า
ผมมองไปยังตู้เสื้อผ้าที่มีโปสเตอร์ แทยอน SNSD ครึ่งตัวยิ้มหวานให้ผมติดอยู่ เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแล้วมีผู้หญิงสวยแบบนี้มาจ้องผมก็แอบเขินเหมือนกันนะ ถึงเป็นแค่โปสเตอร์ก็เถอะ
ผมจะไม่ขอมโนอะไรไปมากกว่านี้ละ เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้เอา
ผมมองโปสเตอร์ในมือสลับกับตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก ทรงสูง ข้างๆโปสเตอร์แทยอนนูน่ายังมีที่ว่างเหลืออยู่….
ไว้สำหรับหัวใจของผม อะเฮือกกก สมองส่วนไหนของผมคิดวะ เลี่ยนซะไม่มี
แบคแท ชานแบค คืออะไร??? ผมไม่รู้จัก ในชีวิตรู้จักแค่…
แบมแท
กรี๊สสสสสสสสสสสส แมร่งเขินวุ้ย มุดหน้าลงดินแปบ
โอเค พอแล้วพอจริงๆละนะ…ผมลองเอาโปสเตอร์อิพี่มาร์คคึ ไปทาบที่ตู้ดู แต่ผมไม่อยากเรียกไอ่ คึคึ ตามท้ายละวะ เหมือนเสลดติดคอยังไงก็ไม่รู้ คึคึอยู่นั้นแหละ เรียกมาร์คเฉยๆไปละกัน หรือไม่ก็เรียก ต้วน แล้วแต่อารมณ์ ไม่สับสนนะถ้าผมจะเริ่มเรียกตั้งแต่บรรทัดนี้ไป
เมื่อผมลองเอาโปสเตอร์ไปทาบดูแล้ว ผมปรากฏว่า…มันติดไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าโปสเตอร์ใหญ่ไป หรือ ตู้เสื้อผ้าผมมันเล็กเองก็ไม่อาจทราบได้
ในเมื่อไม่มีที่ติดแล้ว ผมต้องเอาโปสเตอร์อิพี่มาร์คไปคืนในที่ที่จากมางั้นหรอ? บอกเลยว่า…
ม่ายยยยยย!!!!!!!!!
เรื่องไรต้องปล่อยโปสเตอร์ที่ฟ้าบันดารให้มาฟรี ไปให้ปลิวเร่รอนบนถนนอีก น่าสงสารพี่เขาออก นี่ถ้าผมไม่เก็บมาป่านนี้คงไปอยู่กองขยะที่ไหนแล้วไม่รู้…นี่อุตส่าห์หวังดีนะ
แต่มันไม่มีที่ติดแล้วนิ ผมคงต้องม้วนเก็บแล้วละ รู้ไหมสิ่งที่น่าเจ็บใจสำหรับผมคืออะไร…
อยากได้โปสเตอร์ศิลปินแทบตาย แต่ห้องแมร่งไม่มีที่ติด
ซื้อมาบางครั้ง ได้แต่เก็บใส่กล่องไว้เป็นที่ระลึกแค่นั้นแหละ นานๆทีก็ค้นมาดูว่ายังอยู่ปลอดภัยดีรึเปล่า ไม่โดนหนูแทะไปกินก่อนใช่ไหม? ฉีกตรงไหนรึเปล่า? เจอรอยยับทีหนึ่งถึงกับตะโกนคร่ำครวญลั่นบ้านเหมือนคนบ้า จนจะเหมือนคนบ้าจริงๆ
มันคือวิถีติ่ง ถ้าคุณไม่ใช่คุณจะไม่มีทางเข้าใจ หึหึ โดยเฉพาะพวกมนุษย์ป้ามนุษย์ลุงทั้งหลาย
เดี๋ยวนะ…ผมนึกบางอย่างออก ยังมีอยู่ที่หนึ่งที่ยังไม่มีโปสเตอร์อันไหนติด…
…ประตูห้องนอนไง
โอ้ววว แจ๋วแจ่ม
ผมหันไปมองประตูห้องตัวเอง ที่ไม่มีโปสเตอร์ของใครติดไว้ ว่างเปล่า ทีนี้แหละช่างเหมาะแก่การติดโปสเตอร์พี่มาร์คมาก ประตูก็ค่อนข้างใหญ่ กว้างพอสมควร คงติดได้อยู่แหละ ถ้ามันติดไม่ได้ ผมคงได้ม้วนเก็บจริงๆแน่
เดินไปตรงประตูแล้วลองเอาโปสเตอร์ทาบดู ปรากฏว่า อะฮ่า ช่างเป๊ะเวอร์ พื้นที่รอบข้างเหลือเฟือ เมื่อลองพิจารณาดูแล้วเราสามารถติดตรงนี้ได้ เริ่มขนอุปกรณ์ได้!!!
10 นาทีผ่านไป
“เรียบร้อย”
ผมถอยหลังออกมาสองสามก้าว ดูผลงานการติดโปสเตอร์ของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ไม่มีครั้งไหนที่ผมติดโปสเตอร์ได้ตรงแบบนี้มาก่อน นอกนั้นเบี้ยว…ต้องแกะติดใหม่ตั้งหลายครั้งแหนะกว่าจะออกมาเป๊ะขนาดนี้
ผมจ้องรูปในโปสเตอร์ อิพี่มาร์คโพสท่าเท้าคางหล่อบาดใจ นี่ถ้าผมตื่นนอนมาคงเห็นหน้าพี่เขาก่อนเป็นอันดับแรก ก็เตียงผมหันไปทางประตูพอดี ปลายเตียงก็จะเป็นโต๊ะคอม แต่ มันก็แอบหลอนเหมือนกันนะ รูปก็ใหญ่ แถมยังมาโพสท่าแบบนี้อีก เหมือนถูกจ้อง จับตามองอยู่ตลอดเวลาอะ เดี๋ยวไม่ใช่จ้องไปจ้องมารูปในโปสเตอร์กระพริบตาได้ ผมนี่วิ่งเลยนะ ไม่อยู่ดีใจหรอกถ้าโดนทักทายแบบนี้
ผมเดินไปนั่งลงเก้าอี้หน้าคอม พึ่งนึกได้ว่าซื้อส้มตำมาด้วย ลืมซะสนิทเลย งั้นขอตัวกินก่อนละกัน สุดแสนจะหิว แต่เราจะกินอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเปิดเพลงฟังด้วย เวลากินถึงจะอร่อย
ผมกดเล่นเพลงในยูทูปที่เปิดทิ้งไว้ก่อนออกไปซื้อส้มตำ และเมื่อดนตรีเริ่มเราก็กินได้อย่างสำราญใจ พร้อมกับเสต็ปเต้นอยู่กับที่เมามันสุดๆ
~ Do you love me? Do you love me? Do you love me like the way I love you babe? ~
“แบมแบม!!!”
อะไร เสียงใครเรียก??
“ไอ่แบมเว้ย อยู่บ้านไหมวะ!!!”
ชัดเลย รู้ละว่าใคร
ผมเดินไปเปิดหน้าต่าง ยื่นหน้าออกไปด้านนอก เห็นพี่ ‘ยองแจ’ ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าเตะ ยืนอยู่หน้าบ้านผม บ้านพี่ยองแจอยู่ถัดจากผมไปไม่กี่หลังเอง ตอนเด็กเราเคยไปเล่นสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านบ่อยๆ ถ้าจำไม่ผิดพี่เขาเหมือนจะแก่กว่าผมสองปีมั้ง
“มีอะไรพี่!” ผมตะโกนถามไป
“เย็นนี้ว่างปะ จะชวนไปถนนคนเดิน”
“ว่างพี่ ไปๆ”
“โอเค ไว้ตอนเย็นจะเอารถมารับ” พูดจบพี่เขาก็เดินจากไปเฉยๆ
หะ…? มาบอกแค่นี้นะ คือ มันจำเป็นต้องมาตะโกนแหกปากแบบนี้ปะ ทำไมพี่เขาไม่ไลน์มาหาวะ?
นี่ตึบจริงๆนะเนี่ย
ถนนคนเดิน
คำเตือน :: สัตว์ห้ามเดิน
บรรยากาศงานถนนคนเดินช่วงเย็นดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ
สองข้างทางมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านไว้ขายของมากมายไม่ว่าจะเป็น
อาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ บลาๆ
ผู้คนที่มาเดินเที่ยวก็มีตั้งแต่เด็กสองสามขวบจนถึงผู้สูงอายุ
ผมเกาะแขนพี่ยองแจไว้แน่น เพราะเดินไปหน่อยก็โดนเบียด ไม่รู้ก็อบอุ่นอะไรนักหนาโดนเบียดจนร้อนเหงื่อออกเต็มหลังหมดละมึง
“พี่ผมซื้อน้ำแปบหนึ่ง”
ผมบอกกับพี่ยองแจก่อนจะจูงพี่เขาไปหน้าร้านขายน้ำส้มเกล็ดหิมะ จะเรียกว่าร้านได้รึเปล่าละ มันมีแค่โต๊ะแล้วด้านบนก็มีกล่องสี่เหลี่ยมไว้ใส่ขวดน้ำส้มอ่ะ แค่นั้นแหละ แล้วถ้าไม่ให้เรียกร้านจะเรียกว่าไงอ่ะ? ช่างเถอะ มันก็เป็นร้านเหมือนกันแหละวะ
“เอาไหมพี่” ถามพี่ยองแจที่ยืนอยู่ข้างๆ
มือหนึ่งก็หาเศษสตางค์ในกระเป๋ากางเกงไปด้วย
“นายจ่ายใช่ไหม ถ้างั้นพี่เอา”
นี่หรือคือคนเป็นพี่…ช่างน่ารักเสียจริง
สุดท้ายพวกเราได้น้ำส้มเกล็ดหิมะมาคนละแก้ว
โดยผมเป็นคนเสียเงินไปยี่สิบบาท เพราะมันแก้วละสิบบาท สองแก้วก็ยี่สิบ
ไม่ต้องบอกก็รู้เนาะ
เราเดินไปกันเรื่อยๆแวะดูของตามร้านขายเคสโทรศัพท์บ้าง
ร้องเท้าบ้าง เสื้อผ้าบ้าง เอาง่ายๆก็เข้าทุกร้านที่เจอนั้นแหละ แต่…ไม่ซื้อ เพราะ
พวกเราเดินเข้าไปอย่างสง่าและกลับออกมาอย่างไฉไล
แค่นั้นยังไม่พอ
ตอนเข้าไปก็ถามซักไซ้เจ้าของร้านอยากกับว่าจะซื้อ แต่ไม่ซื้อไงแค่อยากรู้เฉยๆ
ทำเอาเจ้าของร้านเงิบไปหลายรายละ ถ้าออกมาช้ากว่านี้คงโดนตบอะ ในใจเจ้าของร้านคงจะบ่นว่า
มึงไม่ซื้อแล้วจะถามเพื่อ???
นั้นดิ ไม่ซื้อแล้วจะถามเพื่อ วอนโดนตบชัดๆ
“แบม ดูนั้นดิ”
พี่ยองแจหยุดเดินกระทันหัน ทำให้ผมต้องหยุดตาม
แล้วพี่เขาก็สะกิดผม มือชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่าง
“อะไรพี่”
ผมมองตามที่พี่ยองแจชี้
และพอเห็นสิ่งที่พี่เขาชี้ให้ผมดูเท่านั้นแหละ อืมมม…!!!!!
แดกจุดแปบ
ดอกกกกกกกกกกกก
“ผมเข้าไปตบกับเจ้าของร้านนี้ได้ปะ”
คืองี้…พี่ยองแจชี้เสื้อให้ผมดู
แล้วเสื้อนั้นนะเป็นเสื้อวงเอ็กโซ ปกติเวลามาเดินงานแบบนี้ผมเห็นก็เฉยๆนะ มีอยู่เกลื่อนจนชินแล้วละ
แต่!! บอกไว้เลยว่าเจ้าของร้านมึงพลาดมาก
เสื้อที่ผมเห็นเป็นเสื้อยืดสีขาว
ตรงกลางจะมีโลโก้เอ็กโซหกเหลี่ยมเหมือนเขาวงกตติดไว้ และด้านล่างโลโก้นั้นเขียนว่า
ชายนี่ …
ใครแมร่งเป็นคนกรีนเสื้อนี้…บางทีมึงควรเรียกติ่งเกาลีไปปรึกษาก่อนทำจะดีมาก
สำหรับพวกที่ไม่บ้าเกาหลีอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
จะอะไรนักหนาตัวหนังสือแค่เนี๊ยยยย
แต่ไม่ใช่สำครับพี่แบมคนนี้นะเว้ยยยยยยยยย
เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ อึ๋ยยยยยยยย
ถล่มร้านเลยแมร่งงงงงงงงงงงงง
“ไปร้านขายโปสเตอร์ดีกว่า เจ้าของร้านจ้องใหญ่แล้ววะ”
ผมเบ้ปากใส่แรง
เดินตามพี่ยองแจไปอย่างไม่สบอารมณ์
เห็นพี่ยองแจหงิมๆใสๆแบบนี้ พี่แกก็ชอบศิลปินเกาหลีเหมือนกันนะจะบอกให้
จริงๆตอนแรกพี่เขาก็ไม่ได้ชอบหรอกเกาลงเกาหลีเนี่ย แต่เพราะผมชอบพูดกรอกหูพี่เขาทุกวัน
เอาหน้าคนนู่นคนนี้ให้ดู จนในที่สุดพี่เขาก็หันมากรี๊ดตามผมนี่แหละ
ไม่ใช่ไรหรอกเวลาศิลปินมาไทยแบบนี้ใช่ป่ะ จะได้มีเพื่อนไปเที่ยวด้วย
แต่ไม่ใช่ว่าในชีวิตนี้ผมไม่มีเพื่อนนะเว้ย เพื่อนน่ะมีแต่มันไม่ได้เป็นติ่งเกาหลีไง
แล้วจะชวนมันไปดูอะไรแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องป่ะ อารมณ์ประมาณว่าเถียงกับพ่อหน้าทีวีเราจะดูรายการที่ชอบ
แต่พ่อจะดูมวยอย่างนั้นแหละเอาะ
แต่สุดท้ายเราก็ต้องถอยทัพออกมาให้พ่อได้ดูมวย
ก็ไม่เข้าใจว่าขอบดูอะไรนักหนา ชกต่อยกันไปมาอยู่นั้นแหละ จริงๆมันก็ไว้เอาป้องกันตัวเวลาโดนทำร้ายไรงี้ป่ะ
แล้วจะจับสู้กันเองเพื่อไรวะ เจ็บตัวเปล่าๆ ชกชนะแล้วเท่งี้หรอ
บางทีก็อยากจะถามพ่อนะว่า
ดูแล้วได้อะไร…
โทษที พอดีผมไม่ค่อยเข้าใจสัจธรรมเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ใครที่พอจะบรรลุช่วยมาอธิบายให้ผมฟังทีนะ ว่าไอ่ที่เขาชกมวยกันในทีวีเนี่ยมันชกเพื่อไรวะ?
“อ้าว ร้านโปสเตอร์ตรงนี้หายไปไหนวะแบม?”
คำพูดของพี่ยองแจทำเอาผมถึงกับชะงักและหยุดเดิน
หันไปมองรอบๆตัวอาการงงสุดขีด ก่อนจะหันไปพูดกับพี่ยองแจ ที่มีอาการไม่ต่างกัน
“อ้าว หายไปจริงด้วย อย่าบอกนะว่าไม่มาขายแล้ว”
“โด่ววว กลับบ้านดีกว่า”
พูดพี่ยองแจก็ก้าวเท้าฉับๆเดินตรงออกไปอย่างรวดเร็ว
ผมจึงรีบสปีดฝีเท้าเพื่อเดินตามพี่เขาให้ทัน
ปกติแถวนี้จะมีร้านโปสเตอร์ขาย ไม่ว่าจะเป็นของศิลปินไทยเกาหลีฝรั่ง มีขายหมด แถมยังถูกอีกด้วย แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงไม่มาตั้งร้าน ก็ดีเหมือนกันวะเวลามาเดินทีไรนะ ร้านนี้ชอบล่อตาล่อใจให้อยากเสียตังค์ทุกที สรุปผมมาเดินถนนคนเดินวันนี้ก็ไม่ได้อะไรนอกจากน้ำส้มเกร็ดหิมะหนึ่งแก้ว
ผมถอดรองเท้า เดินเข้ามาในบ้าน
เห็นผู้ทรงอำนาจในบ้านหลังนี้กำลังเดินลงบันไดด้วยท่าทางที่สง่าประดุจดั่งนางพญา
ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม มองหน้าผมด้วยสายตาเรียบเฉย
“ไปไหนมาลูก”
“ถนนคนเดินกับพี่ยองแจน่ะแม่ แล้ววันนี้แม่เข้าเวรดึกหรอ” ก้มสายตาสำรอบชุดของแม่ที่กำลังใส่อยู่ตอนนี้
เป็นชุดนางพยาบาลสีขาว แขนสั้น กระโปงประมาณเข่า
บอกแค่นี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่ผมเป็นอะไร นางพยาบาลนั้นเอง อยู่โรงพยาบาลxxx ปีนี้แม่ผมจะอายุครึ่งของหนึ่งร้อยแล้ว
แต่ใบหน้าของท่านโคตรอ่อนเยาว์ แทบจะไม่มีรอยตีนกา ผิวเนียนเวอร์
แถมรูปร่างก็ดูสมส่วน และที่สำคัญไม่มีการปรุงแต่งเสริมอะไรทั้งสิ้น
ธรรมชาติให้มาล้วนๆ ไปไหนมาไหนนะมีแต่คนทักว่าแม่อายุ 30-40 จนคนเป็นลูกนี่โคตรอิจฉา
อยากได้หน้าเด็กแบบนั้นบ้าง
แม่บอกว่าตอนเป็นสาวมีหนุ่มๆมาขายขนมจีบเยอะมาก
แต่ไม่มีใครจีบติดสักคน ยกเว้นพ่อ อะคริ ทำไมรู้มะ
ตอนนี้เว้ยแม่โดนโจรขโมยกระเป๋า แล้วแม่ก็ร้องกรี๊ดให้คนช่วย
แล้วพ่ออยู่แถวนั้นพอดีเลยไปช่วยจับโจรให้ สู้กันอย่างเมามันอยู่สักพัก
ไอ่โจรนั้นก็ยอมแพ้ พ่อก็เอากระเป๋ามาคืนให้แม่ แม่ก็ตกหลุมพ่อเลยครับ ปรบมือ 5555555555555
แล้วตอนนั้นพ่อผมก็เป็นวัยรุ่นนี่แหละ
ชอบแว๊นรถแข่งกันในซอยอ่ะ เรียนก็ไม่เก่ง ชอบกินเหล้าเมายา เจ้าชู้
คล้ายๆเด็กเกเรอ่ะ พ่อก็แอบชอบแม่นั้นแหละ พอไปสืบรู้ว่าแม่มีคนมาจีบเยอะ
ส่วนมากจะเป็นคนรวยและหน้าตาดี เรียนเก่ง มีการงานที่ดี ทำให้พ่อก้มมองตัวเอง
และด้วยความที่พ่อยังพอมีจิตสำนึกดีๆอยู่บ้าง
จึงเริ่มการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อจะจีบแม่เลยเว้ยย ตอนแรกพ่อจะเรียนหมอเพราะเห็นแม่จะสอบเข้าเป็นพยาบาล
แต่พ่อรู้ตัวเองว่าถ้าเรียนหมอหัวกูรับไม่ไหวแน่ พ่อเลยสอบเข้าตำรวจแทน
แล้วก็ติดด้วยนะ ถึงกับเลี้ยงหัวหมูสามหัวเพราะพ่อบนกับเจ้าที่ไว้ขอให้สอบติด 555555555555 ซึ่งปัจจุบันนี้พ่อผมมียศเป็นร้อยตำรวจโทแล้วนะครัช
“จ๊ะลูก พอดีเพื่อนแม่ขอแลกเวร ปลาทูทอดอยู่ในตู้นะ ไม่อิ่มก็ต้มมาม่ากินแทนละกัน”
“แล้วพ่ออ่ะแม่”
“ออกไปรับเจ้านายที่สนามบินนู่น
แล้วก็อย่าลืมปิดประตูหน้าต่างอะไรให้เรียบร้อยละ อีกอย่างห้ามเปิดเพลงดังด้วย
ป้าจุ๋มเขามาบ่นให้แม่ฟังสองสามวันก่อน บอกว่าลูกเปิดเพลงดังมาก
ฟังภาษาไม่รู้เรื่อง มันหนวกหู” แม่เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโซฟาหน้าทีวีขึ้นมา
แล้วบ่นเรื่องผมไปด้วย
“รู้แล้วหน่าแม่ ไปได้แล้ว”
“ไม่ต้องมาไล่แม่เลย จะไปนี่แล้ว” แม่หยิบรองเท้าส้นสูงสีขาวบนชั้นออกมาสวม
และไม่ลืมกำชับเรื่องที่ผมเปิดเพลงดังลั่นซอย “อย่าลืมที่แม่บอกนะ!”
“คร้าบบบบ”
ป้าจุ๋มนี่ ชอบหาเรื่องให้ตลอดเหอะ
นางผู้นี้คือบุคคลที่รู้เรื่องทุกอย่างของคนอื่น มีข่าวอะไรมานะ
นางจะรู้เป็นคนแรกเลย ต่อมาคนทั้งซอยก็จะรู้กันโดยถ้วนหน้า
จังอย่างแรง
หลังจากดื่มด่ำมื้อค่ำกับปลาทูทอดแล้ว
พ่อผมก็กลับเข้าบ้านมาพอดี แถมยังมีการไล่ให้ผมขึ้นมาอาบน้ำอีก เรื่องไรจะอาบ
พอดียังไม่มีอารมณ์อาบ ก็แค่ขึ้นมาบนห้องแล้วเปิดคอมเฉยๆ กะจะมาแต่งฟิคต่อ
นี่ไม่ได้อัพมาประมาณอาทิตย์เกือบๆสองอาทิตย์ละ เมื่อวานเปิดดูแฟนคลับถอนแฟบไปห้าหกคน
ข้าพเจ้าเห็นนี่ตกใจแรง
ผมแต่งฟิคชื่อเรื่องว่า ‘สะดุดรักน่ะเลยเธอ’
เป็นคู่ มาร์คเนียร์ วง JYM4 เรื่องย่อก็นั้นแหละ
ตามชื่อเรื่องเลยไม่มีอะไรมาก อิพี่มาร์คเดินไปสะดุดขาพี่เนียร์ ล้มทับกัน
สบตากันปริ๊งๆ จนเกิดเป็นความรักจบ.
อ่านมาถึงตอนนี้คงไม่ต้องสงสัยกันละวะ ว่าทำไมเขาถึงถอนแฟบฟิคกูไป
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“ตัน แม่งตันอย่างแรง”
ผมพึมพำกับตัวเอง ปิดหน้าต่าง Microsoft Word หลังจากนั่งเขียนมาหนึ่งชั่งโมง ได้ประมาณเอิ่ม…ห้าบรรทัด เจริญละมึง
ปีหน้านู่นแหละมั้งกว่าจะแต่งตอนล่าสุดเสร็จ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครมาอ่านฟิคกูแล้วละ
เข้าส่องเฟสทวิตดีกว่า จรรโลงใจกว่าเยอะ
หลังจากท่องโลกโซเชี่ยวได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ในทวิตเขาก็เล่นแท็กอะไรกันก็ไม่รู้ ในเฟสก็บอกฝันดีกัน โพสสถานะอกหัก หาสามีไม่เจอบ้าง อย่างกับอยู่คนละโลก ผมตัดสินใจปิดคอม ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนราวเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อจะอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่นานห้านาทีก็ออกมา เร็วใช่ไหมละ พอดีเป็นคนประหยัดทรัพยากร รักโลกไง
สภาพชุดนอนที่ผมสวมใส่อยู่ตอนนี้เน่าๆสุด ถ้าออกไปเดินข้างนอกนี่จะนึกว่าขอทาน เสื้อลายหมีน้อยสามตัวมีรูมากกว่าหนึ่งรู ฉีกขาดเล็กน้อย บ็อกเซอร์สีแดง ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นชุดนอนมันก็ต้องใส่แล้วนอนสบายป่ะ คงไม่มีใครใส่สูทอนอนหรอกมั้ง ถ้ามีนี่มึงบ้าแล้ว
และก่อนจะเข้านอนผมก็ไม่ลืมจะปิดผ้าผ่านบนหัวเตียงให้เรียบร้อย
เพราะแสงจากไฟถนนข้างนอกชอบส่องเข้ามาทำให้ห้องมันสว่างผมจะนอนไม่หลับ
พอดีผมชอบนอนห้องทีมันมืดๆ พอทุกอย่างมันมืดไปหมด จะไม่ทำให้สมองผมมันฟุ้งซ่าน
ไอ่ที่ผมชอบแอบคิดบ่อยๆจะได้ไม่ออกมา
อยากรู้ไหมไอ่ที่ผมชอบคิดบ่อยว่ามันจะออกมาคืออะไร…
ผีไง!!! แฮร่
ฮี่ ฮี่ ฮี่ ๆๆๆ
สัสไม่ทำละ เล่นเองหลอนเอง
ขณะที่มือผมกำลังจะเลื่อนผ้าม่านมาปิดนั้น
สายตาผมก็จับจ้องไปยังท้องฟ้ามืดสนิทด้านนอก
ที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ส่องแสงสว่างจ้าเต็มท้องฟ้า
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้ ยิ่งอยู่ในกรุงเทพด้วยจะเห็นอะไรแบบนี้ได้ยากมากๆ
มันจะเกิดเรื่อง ‘อัศจรรย์’ อะไรกันหรอพวกเธอ ถ้าจะย้ายห้องไปนอนกับพ่อตอนนี้จะดีไหมเนี่ย
รู้สึกเริ่มใจไม่ดี แต่มีหรอพ่อจะยอมให้นอนด้วย ชิ ผมจัดการรูดผ้าม่านปิดอย่างรวดเร็ว
หันหน้ากลับมาโปรยยิ้มไปทั่วห้อง
“ฝันดี อันยอง”
ผมโบกมืออย่างนางงาม
หมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาบอกฝันดีกับโปสเตอร์ทั้งหลายที่ติดอยู่ผนังห้อง เดินไปหน้าห้องน้ำ
บนผนังจะมีสวิทซ์ไฟอยู่สองอันคือ ไฟในห้องนี้กับห้องน้ำ ผมเลื่อนมือไปกดปิดสวิทซ์ไฟห้องนี้
พอความมืดเข้ามาปกคลุม รีบก้าวเท้ากระโจนลงเตียงอย่างรวดเร็ว ห่มผ้าห่มถึงคอ
พอดีผมเปิดแอร์ไงห่มแบบนี้เลยไม่ร้อน มันจะหนาวแทนมากกว่าผมนอนหงายจัดท่าทางให้นอนดีๆสบายๆ
แล้วค่อยๆปิดเปลือกตาตัวเองลงอย่างช้าๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
งืมๆ งืมๆ
แกรกๆ แกรกๆ
คัน ทำไมคันจังวะ!!
มือสองข้างของผมเกาไปตามใบหน้าและลำคอไม่หยุด
เพราะอยู่ดีๆมันก็รู้สึกคันขึ้นมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไม่ได้คันรู้สึกเหมือนมดหรือยุงกันอ่ะ
มันจะแบบคล้ายๆหน็บกินอ่ะ ยุกยิกๆแบบนั้นแหละ เอ๊ะ! หรือว่า เหน็บขึ้นหน้า ใช่หรอ
ปกติเขามีแต่เหน็บที่มือกับเท้า คนบ้าอะไรเป็นเหน็บที่หน้า บ้าเนอะ
เพราะความทนไม่ไหว
ผมลุกขึ้นนั่งมือก็เกาหน้าไปด้วยในสภาพยังไม่ตื่นดี กะจะเปิดไฟไปดูกระจกสักหน่อยว่าโดนอะไรมา
ทำไมมันคันจัง คันได้คันดี โวะ คานนนนนนนน
ค่อยๆหรี่ตาขึ้นเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสง
มองไปรอบๆห้องแต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเป็นเงาคล้ายๆคน
ยืนอยู่หน้าประตูตรงที่ผมติดโปสเตอร์อิพี่มาร์คเมื่อเช้า
เท่านั้นแหละครับ เห็นแค่นี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก
กูรู้ละกูกำลังเจอกับอะไร มาเป็นตัวเป็นๆขนาดนี้…
ผีสิครับ ดีดอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!!!!!!!!!
*JYM4 เป็นวงสมมุติ
ทุกการกระทำของแบมในเรื่องล้วนมาจากเรื่องจริงของไรท์เตอร์คนนี้ทั้งสิ้น55555555
ไรท์อยากจะบอกว่า ถ้าไรท์อัพช้า = ดอง+ขี้เกียจ+งานการบ้านเยอะ โอเคเนอะ
ชีวิต ม.3 เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก มีสอบอะไรก็ไม่รู้เยอะเยอะ เบื่อ
.
.
สัสหลอนนนนนนนน นี่คือสิ่งที่แบมเจอ 55555555555555555
ความคิดเห็น