ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet Paris (Yuya&Yuri)

    ลำดับตอนที่ #3 : ~ปารีส วันที่ 2~

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 57






    ////Part 2////



    ร่างเล็กงัวเงียตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกกรีดร้อง
    มือจึงความหาต้นตอ ก่อนจะเอื้อมไปกดปิด
    แสงสีเขียวของตัวเลขดิจิตอล บ่งบอกเวลา 4 นาฬิกา

    ยูริยกมือปิดปากหาว
    ก่อนจะสะดุ้งขึ้นเมื่อมองเห็นเตียงข้างๆว่างเปล่า
    นัยน์ตาเรียวสอดส่องหาคนตัวโต
    ก่อนจะถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงฟักบัวดังมาจากห้องน้ำ

    ตื่นเช้าจัง~ ความคิดที่เจ้าตัวยกมือขยี้ตาแรงๆอย่างคนขี้เซา
    แต่บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ผิดที่ต่างจากเมื่อคืนก็ทำให้เขาเผลอยกมือขึ้นจับงงๆ

    เมื่อคืนหัวถึงหมอนก็หลับเลยนี่นา
    แล้วผ้าห่มมาอยู่บนตัวเขาได้ยังไง

    "อ๊ะ..สวัสดีตอนเช้า ตื่นแล้วหรอ?" 

    ผมมองรอยยิ้มสดใสของยูยะ ก่อนสายตาจะเลื่อนลงต่ำ
    เมื่อคนตัวโตเดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ด้านล่างพันไว้เพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวผื่นสั้น
    บ่ากว้างมีผ้าขนหนูอีกผืนพาดไว้ หยดน้ำพราวเกาะอยู่ทั่วตัว

    โอ้ย...คนบ้าอะไรดูดีได้ตลอดเวลา~
    ยูริคิดอย่างหงุดหงิด เมื่อรู้สึกถึงเลือดลมที่ไหลเวียนดีเกินไปบนใบหน้า

    "ทำไมผ้าห่มถึงมาอยู่นี่ได้"
    ผมถาม หลบสายตากลัวอีกฝ่ายเห็นหน้าร้อนๆของตัวเอง

    "อ้อ ฉันห่มให้เองละ นายนอนขดเป็นกุ้งเลย"
    เสียงตอบคำถามขำๆ ทำให้ผมพยักหน้าส่งๆ
    ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าห้องน้ำ
    หลบให้พ้นจากอีกคนที่ทำท่าจะแต่งตัวโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องสักนิด

    ยูยะงี่เง่า!





    ---------------------------------------------------





    "สวัสดีครับ" ยูยะโค้งหัวให้กล้องเมื่อเดินออกจากโรงแรม
    ผมที่เดินตามมาจึง กล่าวคำๆเดียวกันอีกครั้ง ใบหน้าหวานระบายยิ้มบางๆ


    "ยังมืดอยู่เลย" ยูยะพูดพลางมองไปรอบๆ
    ก็แหงละนี่มันเพิ่งจะตีห้ากว่าๆ ผมคิดในใจ


    ท้องฟ้ายังคงเป็นสีดำ พระจันทร์เองก็ยังลอยเด่นชัด
    มนุษย์ญี่ปุ่นสองคนกำลังแบกเป้ใบใหญ่ เดินอยู่ใจกลางปารีส
    เฮ้อ......มันใช่เรื่องไม่นี่~


    "เมื่อวานยังไม่ได้ไปไหนเลย เพราะงั้นวันนี้ก็ถือว่าเป็นการออกเดินทางครั้งแรก"
    ยูยะหันมามองผม 


    "อืม เดินทางครั้งแรกเนอะ"
    ผมตอบทั้งที่ยังไม่ได้ละสายตาออกไปจากแผนที่ในมือ


    "Mont Saint Michel เป้าหมายที่อยากไป"


    "อืม เป้าหมายของเราสินะ!"
    ผมยอมละสายตาออกจากแผนที่
    เงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวโตที่มองรอ


    "ถ้าวันนี้ไปไม่ถึงแย่แน่ๆ" ยูยะหัวเราะ 


    บรรยากาศปารีสยามเช้าก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ เมื่อมีคนตัวโตเดินอยู่ข้างๆ
    เสียงหัวเราะของยูยะ เปลี่ยนบรรยากาศมืดๆ ให้สว่างสดใส
    เราเดินไปคุยไป สองขาก็พาเรามายังจุดเริ่มต้นการเดินทาง
    สถานีรถไฟ Gare de St-Lazare


    เมื่อวานผมโคตรรู้สึกแย่กับคำตอบว่าไม่มีรถไฟ
    แต่ตอนนี้ผมกลับอดคิดไม่ได้ว่า การค้างคืนในปารีสก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
    กลับกันผมกลับรู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้ใครบางคนมากขึ้นเรื่อยๆ
    ใคร...ที่เคยหายออกไปจากชีวิตของผม


    นาฬิกาเรือนใหญ่ ด้านหน้าสถานีรถไฟ
    กำลังบอกเวลา 5 นาฬิกา 20 นาที


    "เพิ่งจะตีห้ายี่สิบเอง" ผมเงยหน้ามองนาฬิกาเรือนใหญ่


    "ไม่มีคนเลยแฮะ" ยูยะพูด ก่อนจะออกวิ่งเบาๆ 


    "รอด้วยสิ" ผมร้องบอกก่อนจะวิ่งตาม


    "ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปไหน คงจบเห่กันแน่" ผมกางแขนรับลมเย็นๆ
    สองขาก็วิ่งตามยูยะ ที่ส่งเสียงหัวเราะ


    เราวิ่งไล่กันจนเข้ามาด้านในสถานีรถไฟ
    ยูยะยกมือขึ้นโยกหัวผมเบาๆ 
    รอยยิ้มของเขาอบอุ่น อ่อนโยน
    สร้างภาพซ้อนของ รุ่นพี่ คนเดิมที่ผมเคยคุ้น


    "เดี๊ยวก็ตกรถไฟกันหรอก"
    ผมบ่นงึมงำ เมื่อคนตัวโตไม่ยอมปล่อยมือ


    "คร้าบๆ" ยูยะทำท่าตะเบ๊ะรับคำ ส่งเสียงหัวเราะก่อนจะเดิน
    นำหน้าผมไปที่ป้ายตารางเวลาเดินรถไฟ






    ยูยะ~





    "เข้าใจมั้ย?"  ผมเอ่ยปากถามคนที่เดินตามมา


    "ไม่สักนิด คงต้องถามอย่างเดียวแล้วละ" ยูริตอบ
    ผมถอนหายใจเฮือก ภาษาฝรั่งเศษที่ยากชมัด
    มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด


    "ไปถามกันเถอะ" ผมโยกหัวยูริ ที่ทำหน้าหงอยๆ
    ก่อนจะเดินนำหน้าเขาไปที่ประชาสัมพันธ์


    "Bonjour" ผมส่งเสียงทักทายภาษาฝรั่งเศษสำเนียงแปร่งๆออกไป


    "I wanna go..Pontorson" ผมถามเป็นภาษาอังกฤษ


    "ต้องการเดินทางแบบไหนครับ?" เจ้าหน้าที่ท่าทางใจดีเอ่ยถาม


    "ไปโดยรถไฟที่จอดทุกสถานีครับ" ผมยกตั๋วในมือให้เขาดู


    "ต้องต่อรถ 2 รอบนะครับ" ผมกำลังแปลถ้อยคำของเจ้าหน้าที่
    ก็นะผมไม่ได้เก่งอังกฤษนี่นา มันก็อาจจะช้านิดนึงละ


    "โอเครๆ" ยูริชิงตอบก่อนผม เหอะๆ เจ้าตัวเล็กเก่งกว่าผมเยอะ


    "ตอนนี้เครื่องปริ้นเสีย ผมจะเขียนให้แทนแล้วกันนะครับ"
    เจ้าหน้าบอกด้วยภาษาพูดบวกกับภาษามือ
    เหมือนกลัวว่าเราจะไม่เขาใจ ผมจึงรีบพยักหน้าเร็วๆ


    "ใจดีเนอะ" ผมหันไปสบตายูริ ที่ยิ้มกว้างรับ


    "ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงนะครับ" เจ้าหน้าที่บอกพร้อมกับยื่นกระดาษ
    ที่เขียนชื่อสถานีรถไฟและเวลาออกเดินทางให้กับเรา 


    สิบชั่วโมง ผมรู้สึกเหมือนเข่าจะทรุด
    เฮ้อ....ไม่เคยใช้เวลาอยู่บนรถนานขนาดนั้นมาก่อนเลยนะ


    "ขอบคุณครับ" ยูริก้มหัวเล็กๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานๆส่งให้คุณลุงใจดี
    ผมจึงต้องปรับอารมณ์และขอบคุณคุณเจ้าหน้าที่ด้วย


    "ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ"  
    เจ้าหน้าที่ส่งเสียงบอกให้เราหันกลับไปยิ้มอีกครั้ง


    ยูริยื่นหน้าเข้ามาดูตารางรถไฟที่ผมถือ
    กลิ่นแชมพูอ่อนๆลอยเข้ามากระทบกับจมูก
    จนผมเผลอสูดเข้าไปอย่างหลงไหล


    "อืม ต้องรอเปลี่ยนรถไฟสถานีละ 2 ชั่วโมงแน่ะ"
    ยูริเอ่ยขึ้น ผมหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อใบหน้าหวานเงยหน้ามอง
    งงๆ เมื่อจู่ผมก็เงียบไป


    ขาสองข้างขยับออกจากเขาโดยอัตโนมัติ
    ผมเผลอทำอะไรไปเนี๊ย....


    "ไปเถอะ เดี๊ยวรถไฟก็ออกแล้ว" ยูริพูดยิ้มๆ
    เจ้าตัวขยับกระเป๋าเป๋ขึ้นกระชับไหล่บาง
    ก่อนจะเดินนำหน้าไปยังรถไฟขบวนแรกที่เราต้องขึ้น


    ผมมองด้่านหลังของยูริ อย่างสับสน
    ใบหน้าตั้งอกตั้งใจมองหาหมายเลขสถานีที่จอดรถไฟ
    ทำให้ผมรู้สึกเอ็นดู แต่ลึกลงไปแล้วผมกำลังรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง
    ผมกำลังใจสั่นกับเจ้าเด็กนี่!


    ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในจอนห์นี  เด็กผู้ชายน่าตาน่ารักคนนี้ก็กลายเป็นที่รัก
    ด้วยลุคที่แสนจะขี้อ้อน จิตใจดี
    เสียอย่างเดียวตรงปากร้ายสุดๆมากแค่ไหนคงต้องถามยูโตะ
    เพราะขานี้สนิทกันสุดๆ เลยโดนมารร้ายยูริเล่นงานอยู่บ่อยๆ


    แต่ทุกคนก็ยอม จิเน็น ยูริ เสมอ
    เพราะรอยยิ้มหวานๆนั่นละมั้ง ที่ทำให้ใครต่อให้พากันหลงเสน่ห์
    จิเน็นจัง~แล้วอยู่ใกล้กันแบบนี้ ผมจะหลงเขามั้ยนะ?



    "เจอแล้ว" เสียงเรียกที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์


    "โห.. รถไฟจอดทุกสถานีมีสองชั้นด้วย"
    ผมร้องเมื่อมองตามมือของจิเน็น
    ความตื่นเต้นแบบเด็กๆเข้าครอบงำ


    "มันดูสวยมากเลยเนอะ เทียบกับชินคังเซ็นแล้ว"
    ผมมองรถไฟหรูตาวาว


    "อืม..สวยมากๆเลย ไปนั่งชั้นสองกันมั้ย?"
    ยูริยิ้มสดใส ส่งสายตาออดอ้อน ให้ผมหัวเราะขำๆ


    ผมพยักหน้ารับคำยูริ
    ที่ตอนนี้สีหน้าแสดงออกถึงความตื่่นเต้นไม่แพ้ผม


    "ไปนั่งชั้นสองกัน!"


    "ยูยะ" ผมหันไปมองยูริงงๆ เจ้าตัวส่งสายตาไปทางรถไฟ
    เออ...ประตูละ


    "แล้วมันจะขึ้นยังไงละ?"
    ผมเดินเข้าไปใกล้ สายตาสอดส่องหาประตู


    "เหมือนมันต้องกดตรงนี้รึเปล่า?" ยูริชี้มือไปที่ปุ่มเขียวตรงรถไฟ 
    อ๊า...ไม่มีอะไรเขียนไว้เลยแฮะ


    "กดได้มั้ยอ่า จะเป็นไรป่ะ?" ยูริหันมามองหน้าผม

    สายตาผมกำลังมอง
    สิ่งที่น่าจะเป็นประตูรถไฟ
    มีหมายเลข 1 ,2 และก็ตัวหนังสืออะไรอีกเยอะแยะ
    ซึ่งผมไม่เข้าใจสักนิด


    "ไม่เป็นไรหรอก เกิดอะไรขึ้นฉันรับผิดชอบเอง" ผมหันไปตอบยูริ
    ที่กดไปก่อนที่ผมจะพูดจบซะอีก



    ตึ่ก!

    แล้วประตูก็เปิดออก



    "ว้าววววววววว" ยูริร้องลั่น น้ำเสียงตื่นเต้นที่ทำให้ผมร้องตาม


    เราสองคนนี่เด็กชมัด~ผมคิดขำๆ
    ขำตัวเองด้วยที่ทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง


    ไอ้นั่นก็ไม่รู้ไอ้นี่ก็ไม่คุ้น
    มันเลยตื่นเต้นไปซะหมด


    ภายในรถไฟดูหรูไม่ต่างจากด้านนอก
    แต่เหมือนช่วงเวลานี้จะยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่


    เบาะนั่งสีม่วง แสงไฟสีขาวนวลตา
    เบาะนิ่มสบายสุดๆ ผมทิ้งตัวลงไปอย่างสบายใจ
    ยูริเลือกนั่งริมหน้าต่าง ผมเลยนั่งด้านริมฝั่งทางเดิน


    "ไม่เคยคิดเลยว่ารถไฟจะสวยสุดยอดขนาดนี้ หรูสุดๆ" 

    ..........................................................


    เสียงประกาศดังออกมาจากลำโพง พร้อมๆกับที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัวออกจากสถานี



    "ลาก่อน ปารีส" ผมมองยูริที่ยื่นหน้าไปทางกระจกอย่างเอ็นดู
    เริ่มต้นแล้วสินะ การเดินทางของเรา~


    "ต้องบอกลาปารีสแล้วสินะ" ผมถามพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
    ถ้าได้กลับมาอีกก็คงจะดี ผมคิดในใจ


    "ไม่ได้กลับมาปารีสอีกแล้วสินะ" ผมมองยูริที่ถอนหายใจออกมา
    ท่าทางที่ผมแอบสัญญากับตัวเองว่า จะต้องพาเจ้าตัวเล็กกลับมาปารีสอีกครั้งให้ได้


    รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีตอนเวลาประมาณหกโมงเช้า
    แสงของวันใหม่เริ่มสาดส่อง พระจันทร์เข้าไปหลบอยู่ในแสงของพระอาทิตย์
    จากความศิวิลัยของตัวเมืองกำลังพาเราเข้าสู่ความงดงามของธรรมชาติ





    ยูริ~





    "เดินทางด้วยรถไฟนี่ ทำให้เห็นวิวดีๆแบบนี้ดีจังเนอะ" 
    ผมยิ้มรับวันใหม่อย่างสดใส สายตาสอดส่องมองทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่
    สองข้างทางอย่างหลงไหล รูสึกดีชมัด~



    "คนที่อาศัยอยู่แถวนี้นี่ดีจังเลย" เสียงคนตัวโตพูดขึ้น
    ไหล่ของยูยะแทบจะเกยอยู่กับไหล่ของผม
    เมื่อคนตัวโตพยายามจะมองวิวผ่านหน้าต่างที่ผมนั่ง


    "ถ้าเป็นที่ชิสึโอกะ ก็น่าจะเป็นแถวๆคาเคะงาวะล่ะ" 
    ผมบอกเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแม่น้ำ
    ผืนกว้างทอดตัวนิ่งสนิทอยู่ข้างรถไฟ


    "เพราะบ้านเกิดของจิเน็นอยู่ที่ชิสึโอกะสินะ"
    ผมหันไปมองคนข้างตัว ไม่คิดจริงๆนะว่าเขาจะจำเรื่องของผมได้


    "เค้ารู้กันหมดแล้ว" ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งๆที่มุมปากยังคงยกยิ้มกว้าง
    เสียงหัวเราะของพี่ทีมงานดัง หึๆ


    "ตั้งแต่ย้ายมาจากชิสึโอกะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้กลับไปสินะ"
    ยูยะถาม


    "อืม ย้ายออกมาตั้งแต่ตอนอยู่ ป.4แน่ะ"
    ผมตอบขำๆ คิดสภาพตอนนั้นไม่แทบไม่ออก
    เด็กบ้านนอกที่บังเอิญออดิชั่นติด เลยต้องย้าย
    มาอยู่โตเกียว


    "ตอนที่จิเน็นอยู่ ป.4 ยังไม่ได้เจอกับฉันเลยใช่ป่ะ?
    อ๊ะ...เจอกันแล้วสิ" ยูยะทำท่าคิด ผมเลยหันไปตอบเซ็งๆ


    "เจอแล้ว" หึ..เรื่องของผมคงไม่น่าจดจำสินะ
    ทั้งที่ผมไม่เคยลืมเขาแท้ๆ ผมคิดเคืองๆ


    "ตอนนั้นจิเน็นก็แสดงภาพยนตร์ใช่มั้ย?"


    "ใช่ๆๆๆๆ" ผมตอบ อยากรู้ว่าจังว่าคนตรงหน้าจำอะไรเกี่ยวกับตัวผมได้อีกบ้าง


    "เล่น NIN X NIN " ยูยะหันมาสบตาผมเหมือนไม่มั่นใจ


    "อืม..ตอนนั้นก็เพิ่งเข้ามาเป็นจูเนียร์ล่ะ"
    ผมนึกย้อนหลังกลับไปตอนนั้น
    แล้วก็อดหัวเราะขึ้นมาใหม่ได้ ปากจึงเปิดเล่าให้คนข้างตัวฟัง


    "ตอนนั้นฉันเรียกผู้กำกับว่าผู้กำกับจังด้วยล่ะ"
    ยูยะชะงักค้างไป 3วิ ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
    ทำเอาผมเขินไปเลยแฮะ ก็ตอนนั้นมันเด็กนี่นา
    เราก็เผลอเรียกต่อท้ายคนนู้นคนนี่ว่าจังบ้าง คุงบ้างเป็นเรื่องปกติ
    แล้วผมก็เพิ่งจะ ป.4 นะ จะไปรู้ได้ยังไงว่าเรียกแบบนั้นไม่ได้อ่า..


    "โดนผู้กำกับโกรธรึเปล่า?" ยูยะยิ้มล้อ ไม่น่าบอกเลยแฮะ


    "อ๊ะ...พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว" ผมมองตามมือของยูยะ
    เลยได้พบกับแสงสว่างแสบตาของพระอาทิตย์ที่ไม่ใช่แค่โผล่พ้นขอบฟ้า
    แต่กำลังส่องแสงจ้าเต็มดวง ให้ผมยกมือขึ้นป้องแสง


    "แสบตา" ผมหลบแสงพระอาทิตย์หันไปมองคนข้างตัว


    "สว่างมาก" ยูยะยิ้มกว้าง แฮะๆ ผมว่าผมเจอพระอาทิตย์อีกดวงแล้วแฮะ
    รอยยิ้มของยูยะนี่สว่างสดใสเหมือนพระอาทิตย์เลยเนอะ ยิ้มทั้งปากทั้งตา
    ผมยิ้มกว้างตาม 


    "พอได้เห็นพระอาทิตย์มันทำให้รู้สึกดีจัง" ทั้งดวงที่ผมกำลังหรี่ตามองแสงสีส้มสุกใส
    และทั้งพระอาทิตย์ข้างตัวที่กำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้หน้าต่างมากขึ้นทำให้ด้านข้างของผม
    แนบชิดไปกับตัวของเขา


    "เหมือนมันจะเป็นการเดินทางที่ดีเลยเนอะ" ยูยะหันมายิ้มกว้างให้ผม
    มือเขาวางทับอยู่บนมือผม ความรู้สึกอุ่นวาบพุ่งขึ้นมือจากมือเข้าสู่หัวใจ อุ่นจัง~


    ผมหันหนีใบหน้าหล่อเหลาข้างตัว
    เราสองคนมองดูแสงสีส้มของพระอาทิตย์ดวงโต
    แสงสดใสที่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเดินทางของเรา


    มันจะต้องเป็นการเดินทางที่ดีของผมแน่ๆ
    ผมสัญญากับพระอาทิตย์เลย~


     





    //////////////////////////////////////////////////////

    ครบค่ะ ตอนแรกว่าจะเขียนจนจบตอนแต่คิดไปคิดมา
    มันคงจะยาวเฟ้อ เพราะไรเตอร์มโนเยอะเกิน 555

    ก็หวังว่าถูกอกถูกใจกับมุมมุงมิ้งของป๋ากะหนูชี่นะค่ะ
    ส่วนตอนต่อไปขอสารภาพตรงนี้เลยว่าหาซับไม่ได้
    เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นโหมดมโนล้วน

    คิดซะว่าดูทาคาชี่ภาคใหม่ละกันนะสำหรับคนที่แปลออก
    สร้างเรื่องจิ้นคู่ฮันนีมูนนี่เพิ่มสักนิดคงไม่ว่าเขาใช่เป่า

    รักกันชอบกันโหวตให้กันด้วยนะ เจอกันตอนหน้าบะบาย!

    /////////////////////////////////////////////////////////





















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×