เรื่องเล่าของกาลเวลา
สิ่งสำคัญไม่ใช่ครอบครอง...แต่เป็นความในใจที่ไม่อาจบอกกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
ผู้เข้าชมรวม
1,872
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
- -
เรื่องนี้ฟ้าแต่งส่งอาจารย์ค่ะ แต่จำรูปแบบไม่ได้ [ทำใบที่จดคำสั่งหาย] และนอนเพลินไปหน่อย ร้านเน็ตปิดเลย =_=!! จะเขียนก็เขียนไม่ทัน T^T และจำที่ครูสั่งไม่ได้ด้วย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆนั่นแหละ จะโทรไปถามเพื่อน ก็โทรไม่ติดซะงั้น นี่คือความประมาทที่ไม่ไปปริ๊นตั้งแต่วันเสาร์ แงๆ
เลยเอามาลงเล่นๆค่ะ วิจารณ์กันให้เต็มที่สุดเหวี่ยงไปเลย!! เพราะเรื่องนี้คือเรื่องแรกที่แต่งจบ เย่!!
งั้นไปอ่านกันเลยจ๊ะ เราไม่ใช่นักแต่งมืออาชีพหรือเก่งด้านภาษา อาจมีผิดพลาดไปบ้าง ไม่ว่ากันนะ ^^V
Kanon Wakeshima - Still Doll (Music Box Ver.)
ส่งงานเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^!! แต่ T^T ได้แค่ 8/10 เท่านั้นเอง แงๆ เพราะพิมพ์ผิดเยอะเลยโดนหักด้วย เซงๆ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องเล่าของกาลเวลา
ข้าไร้ตัวตน มีเพียงนามธรรมที่มิอาจจับต้องและสัมผัสได้
ข้าไร้ค่า เพราะได้แต่เฝ้ามองทุกสิ่งสูญสลายไปอย่างมิอาจยื่นมือเข้าช่วย
ข้าโหดร้าย ใครๆก็ว่าข้าเช่นนั้น เพียงด่าทอและวิงวอนร้องขอความเมตตายังคงดังก้องอยู่ในโสต
ได้แต่หวัง
สักวันคงมีใครเข้าใจข้า
‘เจ้าอยากให้ใคร เข้าใจเจ้ากัน’
เสียงที่ดังแทรกความคิด ทำให้เจ้าของความคิดต้องหันขวับ กลับไปมองยังต้นเสียง ความรู้สึกยินดีแผ่ซ่านเข้าไปในใจ เมื่อคิดว่าบุคคลตรงหน้าเข้าใจตน
‘เจ้า
ได้ยิน?’ความในใจของข้า
กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมิใส่ใจ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่นคล้ายจะหยอกเอิน
‘หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเสียอีกเล่า’ฝ่ายได้รับคำตอบเริ่มจะฉุนขาด แต่ภายนอกก็ไม่ได้แสดงออก เพราะน้ำเสียงก็ยังเฉยชาดั่งเดิม
แม้ว่าจะแฝงความไม่พอใจไว้นิดหน่อยก็ตาม
‘เจ้ารู้รึเปล่า ว่าตัวเจ้ากำลังแอบฟังความคิดของผู้อื่นอยู่’แม้น้ำเสียงจะเรียบเรื่อย แต่ความหมายกลับจิกกัดชัดเจน หากจะให้แปลตรงๆก็คือ ไร้มารยาท แต่ถึงแม้จะโดนหลอกด่า เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มแย้มตอบเสียงระรื่นชวนน่าหมั่นไส้ดั่งเดิม คล้ายไม่รับรู้ความใน
‘ก็มันดังก้องอยู่ในหัวข้า เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า’ฝ่ายได้รับคำตอบถอนหายใจ ยอมรับกลายๆว่าเถียงไม่ออก ก่อนจะต้องตกใจแทบสิ้น กับคำถามต่อมา ‘ว่าแต่เจ้าอยากให้ใครเข้าใจกันล่ะ’
คำตอบที่ได้รับคือเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่าน ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจ้าตัวไม่อยากตอบ
‘เอาเถอะ งั้นข้าจะค่อยๆศึกษาตัวเจ้าเพื่อทำความเข้าใจก็แล้วกันนะ’คำตอบที่ได้เหมือนน้ำที่รินรดทะเลทรายกลางใจที่แห้งผากให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฎพร้อมกับการกล่าวแนะนำตัวครั้งแรกที่ไม่เคยบอกใคร
‘ข้าชื่อกาลเวลา เรียกไทม์ก็ได้’หากใครมาได้ยินเข้าคงไม่แคล้วตกใจจนช็อก เพราะไม่เคยเห็นเวลายิ้มและแนะนำตัวเองกับคนอื่นเลยสักครั้ง แม้ฝ่ายถูกแนะนำตัวครั้งแรกจะแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย กลับยิ้มกว้างและตอบคำถามอย่างเร็วรีอย่างกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ ไม่ยื่นไมตรีนี้ให้
‘ข้าชื่อนาฬิกา ยินดีที่ได้รู้จัก!’
“นั่นคือการพบกันครั้งแรกของนาฬิกาและเวลา” เสียงนุ่มของหญิงสาวคราวแม่เอ่ยบอกเด็กสาวรุ่นลุกอายุราวหกขวบเศษที่กำลังนอนตักตนพร้อมฟังนิทานที่ตนเล่าอย่างตั้งใจ
“แล้วยังไงต่อคะ”ดวงตาใสไร้จริตของเด็กสาวจ้องมายังมารดาตนอย่างตื่นเต้น เพราะเธอยังไม่เคยฟังนิทานเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน ผู้เป็นแม่ขยับยิ้ม ยกมือเรียวขึ้นเกลี่ยผมให้ลูกสาวคนเก่งก่อนเอ่ยเล่าต่อ“ต่อจากนั้น เวลาก็ต้องเดินทางทำหน้าที่ของตนต่อไป
”
“หน้าที่? หน้าที่อะไรหรือคะ??”
“อืม หน้าที่ของเวลา คือการขับเคลื่อนทุกสิ่งบนโลกให้เดินหน้าต่อไปไงคะ คนดี”แต่เมื่อได้คำตอบ รอยขมวดบนคิ้วกลับยิ่งเพิ่มรอยเข้าไปอีก ด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาตนกล่าว เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้ายุ่ง ผู้เป็นแม่จึงเอ่ยอธิบายในขณะที่ริมฝีปากยังคงแต้มรอยยิ้ม “อย่างในตอนนี้ไงคะ หากไม่มีเวลา โลกใบนี้ก็คงไม่ถือกำเนิด และคุณแม่ก็คงไม่มีลิงคนนี้เป็นลูกสาวไงคะ”
เด็กสาวหัวเราะคิกคัก เมื่อโดนผู้เป็นแม่หยิกแก้มเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนเด็กสาวจะรู้ตัวว่าเลยประเด็นไปไกลแล้ว จึงเอ่ยท้วง “แม่คะ เล่าต่อสิคะ”
“จ๊ะ อย่างที่บอก กาลเวลาทำหน้าที่ของตนเอง โดยมีนาฬิกาคอยอยู่เคียงข้าง
”
‘เจ้ากำลังทำสิ่งใด’กาลเวลาเอ่ยถามนาฬิกา เมื่อเห็นนาฬิกาเอาแต่ยืนกุมมือพร้อมหลับตาพริ้ม
นาฬิกาลืมตาขึ้น หันมายิ้มให้เวลาแล้วเอ่ยตอบ‘เจ้าคงไม่รู้จัก มนุษย์เรียกสิ่งนี้ว่าการอธิษฐาน’
‘อธิษฐานรึ ทำไปเพื่อสิ่งใดกัน’เวลาเอียงคอถาม เมื่อนาฬิกาเห็นเวลาไม่เข้าใจจึงเอ่ยให้ลองทำดู
‘นั่นแหละ อย่างแรกต้องกุมมือไว้บริเวณอก จากนั้นก็ค่อยๆหลับตา ช้าๆ
ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ จากนั้นก็
’
‘คราวนี้อะไรอีก’
‘ไม่รู้จักล่ะสิ! นี่ข้าลงทุนไปโขมยมาจากพวกมนุษย์เชียวนะ’
‘นี่เจ้า!’จะด่าก็ด่าไม่ออก ไม่แต่ถอนหายใจและยอมฟังคำของนาฬิกาต่อไปเรื่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ตนรู้สึกสุขใจ
‘งดงามใช่มั้ยล่า
สิ่งนี้น่ะ’
‘ไม่รู้’
‘อ้าว! อย่าตอบห้วนๆทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูอย่างนั้นสิ หันมานี่เลยๆ
’
“
เวลาได้เรียนรู้สิ่งมากมายจากนาฬิกา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันพวกเขาเอาแต่ยิ้ม และหัวเราะ
บางครั้งก็เศร้าบ้างเมื่อต้องเฝ้ามองทุกสิ่งสูญสลายไป แต่ถึงกระนั้น
ความสุข ก้ไม่จีรังยั่งยืนนักหรอกนะ
”
‘นาฬิกา
นาฬิกา! นาฬิกา!!’
‘โอ้ยๆ! ข้าได้ยินหรอกน่า จะเรียกอะไรนักหนาเนี่ย’นาฬิกาสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังอยู่ริมหู ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่สบอารมณ์
‘ก็เจ้าน่ะ
นับวันยิ่งขี้เซา เกิดอาการป่วยแบบมนุษย์รึอย่างไร’กาลเวลาพูดเล่นลิ้น แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนกล่าวก็คล้ายคลึงกับอาการเช่นนี้ของนาฬิกา
สภาพใกล้วันสูญสลาย!
แวบหนึ่งที่กาลเวลาเห็นนาฬิกาอมยิ้มเศร้า ใบหน้านั้นอมโศก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริงจนเวลาไม่ติดใจสงสัย
‘จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ข้ามิใช่มนุษย์เสียหน่อย’แต่อายุขัยของข้าก็ใกล้หมดลงทุกทีแล้ว
‘งั้นเหรอ ไม่เป็นไรแน่นะ’
‘อืม’
“นั่นคือครั้งสุดท้าย
ที่กาลเวลาและนาฬิกาได้คุยกัน กาลเวลามองไปข้างหน้าจนไม่ได้มองข้างๆตัวเลยว่า
นาฬิกานั้นได้จากไป
ตลอดกาล”
‘นาฬิกา
นาฬิกา!...นาฬิ!!’เมื่อหันมามองข้างๆกลับพบเพียงความว่างเปล่า กาลเวลาใจหายวาบ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอ พยายามเรียกชื่อเผื่อตนโดนแกล้งแต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบ
มีเพียงเสียงสะท้อนของตนเองที่ก้องตอบกลับมาเท่านั้น
วูบหนึ่งที่สายลมพัดผ่าน กาลเวลาจึงเอ่ยถาม
‘สายลมเอ๋ย ท่านเห็นนาฬิกาบ้างหรือไม่’สายลมเพียงพัดผ่าน พาเอาคำตอบที่กาลเวลาไม่อยากได้ยินที่สุดมาให้
‘กาลเวลาเอ๋ย เจ้าไม่เคยมองข้างตัวเลยหรือ ว่านาฬิกาของเจ้า จากเจ้าไปไกลแสนไกลแล้ว’
‘เป็นไปได้อย่างไร’กาลเวลาพึมพำอย่างไม่เชื่อ ว่าแต่นาฬิกาจากเราไปที่ไหน
‘ไม่รู้หรือ นาฬิกานั้นมีอายุขัย ต่างกับเจ้าผู้ซึ่งเป็นอมตะ จะให้อยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์น่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก’
‘แล้วข้าต้องทำเช่นไร จึงจะได้พบนาฬิกาอีก’สายลมเพียงยิ้มเอ็นดู กล่าวเสียงอาทร
‘แล้วแต่ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด’
“หลังจากนั้น
กาลเวลาก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป อย่างไม่สามารถหันกลับมามองข้างหลังได้
”
“โหดร้าย! ทำไมกาลเวลาถึงไม่รอนาฬิกาล่ะคะ”เด็กสาวถามมารดาเสียงใส รู้สึกอ่อนไหวกับนิทานจนน้ำใสๆคลอเต็มดวงตา ผู้เป็นแม่ลูบผมปลอบ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอาทร
‘‘ก็เพราะว่ารอไม่ได้น่ะสิจ๊ะ
ดั่งคำกล่าวที่ว่า เวลาไม่เคยคอยใคร ต่อให้อยากจะหยุดรอแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ ได้แต่มองไปข้างหน้า และก้าวเดินต่อไป
ยังเส้นทางที่มืดมิดและไม่รู้จุดสิ้นสุด’’
‘‘น่าสงสารกาลเวลาจัง ไม่สามารถทำได้อย่างใจเลย’’
‘‘แต่คุณแม่เชื่อนะคะว่า ภายในใจของกาลเวลา ยังคงรอคอยวันที่จะได้อยู่กับนาฬิกาอีกครั้ง’’
“หนูก็เชื่อค่ะ ฮือๆ”เด็กสาวปล่อยโฮเสียงดังจนคุณแม่ตกใจ เอ่ยปลอบประโลมอยู่นานกว่าจะสงบลงได้
“เอาล่ะ เข้านอนได้แล้วนะคะคนดี นิทานจบแล้วค่ะ”เอ่ยบอกพร้อมกับเอนตัวลูกสาวลงนอนข้างๆ ห่มผ้าผืนใหญ่กันหนาวจนถึงคอทั้งๆที่เด็กสาวยังคงลืมตามองคุณแม่ใสแจ๋ว
“ไม่นอนไม่ได้หรือคะ”เอ่ยเสียงออดอ้อน แต่กลับโดนสายตาดุๆเข้าให้เลยจ๋อยสนิท รีบหลับตาลงเพราะกลัวคุณแม่แปลงร่างกลายเป็นยักษ์เสียก่อน
“เอาล่ะ หลับซะนะคนดี เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้คุณแม่จะเล่านิทานให้ฟังอีกนะคะ”แล้วสองแม่ลูกก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ แต่เด็กสาวก็ยังคงภาวนาในใจให้กาลเวลาและนาฬิกาได้พบกันอีกครั้งอย่างใสซื่อ
ในขณะนี้
คุณยังสามารถทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้
เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะขนาดกาลเวลา
ยังไม่รู้ปลายทางของตนเองเลย
“เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร
แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นนาฬิกาที่เคยเคียงข้างก็ตาม”
ผลงานอื่นๆ ของ หยาดน้ำฟ้า❤ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ หยาดน้ำฟ้า❤
ความคิดเห็น