คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รอยฝัน (รีไรท์)
ข้า...นายพลเอวิล แบร์นาร์ด จักไม่มีดวงใจรักให้แก่สตรีใด และจะขอจดจำ ติดตามนางผู้ทรยศต่อดวงใจรักแห่งข้าไปทุกชาติทุกภพ
เปรี้ยง!!!
“ไม่...”
เสียงละเมอที่ตะโกนดังออกมาสุดเสียงพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่ผุดลุกขึ้นนั่งบนที่นอน ลมหายใจหอบโยนราวกับวิ่งมาราธอนในระยะที่ไกลที่สุด คิ้วสีดำหนาขมวดมุ่นน้อยๆ อัลเตอนิโอ เชน มาโรชินี่ เจ้าของธุรกิจโรงแรมและเรือสำราญยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลีผู้มีเลือดผสม ไทย-ฝรั่งเศส-อิตาลีวัยสามสิบสามปี ใบหน้าหล่อเหลาอันประกอบด้วยดวงตาดวงตาสีเฮเซล จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีแดงสด กรามบึกบึน ภายใต้กรอบหน้าเหลี่ยมได้รูป ทว่าบัดนี้ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มดวงหน้า
“เราฝันอีกแล้วหรือนี่” ศีรษะทุยสะบัดไปมาเพื่อขับไล่ความมึนงงออกจากหัวก่อนจะพาร่างสมบูรณ์แบบด้วยความสูงกว่าหกฟุตสามนิ้วไปยืนรับลมเย็นบริเวณระเบียงของคฤหาสน์มาโรชินี่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน แม้อุณหภูมิในช่วงหน้าหนาวของที่นี่จะหนาวจนติดลบกลับไม่ช่วยดับความร้อนรุ่มที่มีอยู่ภายในใจของเขาได้เลยเมื่อสมองไพล่นึกถึงแต่ความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ความฝันที่บอกเล่าเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ ความฝันที่ตอกย้ำความเจ็บปวดที่เขาไม่สามารถบอกกับใครได้
การจากแผ่นดินเกิดมาตั้งแต่อายุสามขวบทำให้เขาแทบไม่หลงเหลือความทรงจำสำหรับที่นั่น แต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากความฝันนั่นคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวังสีขาวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และอีกสิ่งที่เขาต้องระลึกถึงอยู่เสมอก็คือชาติพันธุ์ของตนเอง เลือดไทยที่ไหลอยู่ในร่างของเขามันไม่ใช่เลือดสีแดง หากแต่มันคือเลือดสีน้ำเงิน!
สกุลศักดิรัตน์ สืบสายเลือดสีน้ำเงินมาจากบรรพบุรุษที่มียศศักดิ์ถึงชั้นเจ้าฟ้าที่เสกสมรสกับแหม่มสาวต่างชาติเพื่อลดทอนความบาดหมางของสงครามในสมัยล่าอาณานิคม ‘แอนเดรีย แบร์นาร์ด’ นั่นทำให้เลือดฝรั่งเศสได้มาผสมในตระกูลของเขา แล้วคุณปู่ก็ได้นำอีกหนึ่งสายเลือดมารวม ‘เลือดจากชาติมาเฟีย’ โดยการแต่งงานกับคุณย่าซึ่งเป็นลูกสาวของนักธุรกิจชาวอิตาเลียน และในตอนนี้สกุลศักดิรัตน์ก็หลงเหลือทายาทที่เป็นสายเลือดแท้เพียงคนเดียวนั่นก็คือ มรว.ราเชนทร์ ศักดิรัตน์ ชื่อที่ไม่มีใครรู้จักเขานั่นเอง
“มันถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้วใช่ไหม?” เสียงเปรยเบาๆ ที่ลอดผ่านริมฝีปากหยักสวยเยี่ยงสตรี การหนีไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในพจนานุกรมของเขา แต่เขาก็เลือกที่จะทำเพื่อความสบายใจของบิดา ชายหนุ่มไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของคำสั่งห้ามกลับประเทศไทยทั้งที่หัวใจและสมองของเขามันได้ยินแต่เสียงครวญเรียกร้องให้กลับไป ‘ลูกคือเขา’ คำพูดที่ออกมาจากปากของบิดาทุกครั้งเมื่อเขาเอ่ยถึงประเทศไทย ชายหนุ่มเจ็บปวดและทรมานกับความฝันที่ตามมาหลอกหลอนเขาในทุกค่ำคืนตลอดระยะเวลาสามสิบปี หมดเวลาแล้ว การต่อเวลาสำหรับความเจ็บปวดนั่นมันควรจบสักที!
“พ่อครับ ผมจะกลับเมืองไทย” ร่างสูงภายใต้ชุดสูทสีดำเนื้อดียี่ห้อหรูเอ่ยขึ้นมาขณะเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรูของคฤหาสน์เพื่อร่วมรับประทานอาหารเช้ากับประมุขของบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้เรียกความแปลกใจให้ผู้ฟังสักเท่าไหร่นัก
“พ่อเคยบอกลูกแล้วใช่ไหม” ช้อนซ้อมที่อยู่ในมือเหี่ยวของหม่อมเจ้าชายศักดาพงศ์ ศักดิรัตน์ มาโรชินี่ วัยหกสิบปีต้นๆ ถูกวางลงกับจานใบเขื่องทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่ชวนพิสมัย
“ผมเหนื่อย เหนื่อยที่จะวิ่งหนีความจริง” ร่างสูงกำยำหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีน้ำตาลปักดิ้นสีทองเพิ่มความหรูหราสมฐานะของตระกูลที่ได้ขึ้นชื่อว่าทรงอำนาจที่สุดของโลกในนาทีนี้ก็ว่าได้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววตาประกายตาอ่อนล้ามองสบตาอ่อนเเสงของบิดาอย่างรอคอยคำตอบ
“ที่นั่นไม่มีความจริงให้ลูกหรอก” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หากแต่ชิงหลบสายตาคมของบุตรชาย
“ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่พ่อมี ผมไม่เห็นประโยชน์ที่พ่อต้องปิดบัง” ชายหนุ่มพูดพลางถอนหายใจอย่างไม่พอใจในคำตอบนัก “ผมตัดสินใจแล้ว” ก่อนจะเอ่ยยืนยันความคิดของตนเองจนผู้เป็นพ่ออดสะท้อนใจไม่ได้กับความจริงที่เขาเก็บงำเอาไว้ ความจริงที่ทำให้เลือดมาเฟียต้องวิ่งหนีมาทั้งชีวิต
“อาเธอร์ ลูกรู้ใช่ไหมว่าสิ่งเดียวที่ทำให้พ่ออยากมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้นั่นก็คือลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนที่แทรกด้วยความขมขื่นเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก
“ผมรู้ รู้ว่าพ่อเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียแม่ไป รู้ว่าผมคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อแต่...” แก้วกาแฟที่อยู่ในมือถูกวางลงอย่างแผ่วเบา มือหนาเอื้อมมากุมมือที่เริ่มเหี่ยวของผู้เป็นพ่อที่กำลังกำกันแน่นอย่างสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“พ่ออาจจะดูขี้คลาดในสายตาของลูก” น้ำเสียงเจ็บปวดที่เอ่ยออกมาทำให้ชายหนุ่มต้องตำหนิตัวเองในใจ หลังจากมารดาเสียชีวิตลงอย่างปริศนา บิดาของเขาก็ต้องหอบหิ้วเด็กชายตัวน้อยหลบหนีความเจ็บปวดมายังแผ่นดินเกิดของผู้เป็นย่าโดยไม่หวนคืนกลับแผ่นดินไทยอีกเลย นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เขารู้ แต่เหตุผลที่แท้จริงละมันคืออะไร
‘คุณคะ พาลูกหนีไปจากที่นี่ แรงแค้นจากเขามันน่ากลัวเหลือเกิน เขากำลังจะกลับมาและอาเธอร์คือตัวแทนของเขา พาลูกหนีไปแล้วอย่างหวนคืนมาที่นี่อีก’ คำพูดที่ดังกึกก้องอยู่ในหัวตลอดระยะเวลาสามสิบปี ทำให้คนที่ไม่เคยหวาดหวั่นแม้ความตายไม่อาจท้าทายและทอดทิ้งคำสัญญานั่นได้
“พ่อครับขอโอกาสให้ผมได้กลับไปที่นั่นสักครั้ง” อัลเตอนิโออ้อนวอน ชายหนุ่มเผื่อใจเอาไว้แล้วว่าคำขอนี้อาจต้องถูกพับเก็บไว้อีกครั้ง แต่เขาก็จะลองดูสักครั้ง
“อาเธอร์...” แววตาอ่อนโยนหม่นแสงลงอย่างคนคิดหนัก มันถึงเวลาแล้วใช่ไหม เสียงเพรียกแห่งกาลเวลาเหนือกว่าพลังความรักของผู้เป็นพ่ออย่างเขาแล้วใช่ไหม
“ขอให้ผมได้พิสูจน์และปลดปล่อยความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวผมผ่านความฝันเหล่านั้นได้ไหมครับพ่อ” น้ำเสียงปวดร้าวทำให้ดวงตาแห้งผากของผู้เป็นพ่อหวั่นไหว ‘เขาทำร้ายลูกอยู่ใช่ไหม?’
“ลูกกำลังสงสัยในตัวตนของตัวเองอยู่ใช่ไหมอาเธอร์” จากคำพูดที่ออกมาทำให้ผู้สูงวัยกว่ามั่นใจว่าลูกชายของตนเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้แล้ว และนั่นก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะรั้งอีกต่อไป
“ให้ผมได้ทำอะไรเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของ ‘เขา’ เขาที่เป็นผม” สายตาและน้ำเสียงวิงวอนของบุตรชายทำให้ผู้เป็นพ่อต้องถอนหายใจออกมาราวกับสิ่งที่กลัวนักหนาได้วิบัติขึ้นแล้ว
“พ่อไม่เห็นว่ามันจะเกิดประโยชน์” กว่าจะเรียกเสียงตอบจากผู้สูงวัยกว่าได้
“มันก็จริงอยู่ที่ว่าเราไม่สามารถลบความเจ็บปวดหรือกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่มันก็น่าจะเพียงพอหากได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้นลงบ้าง” ชายหนุ่มพูดอย่างขอความเห็นใจจากบิดา
“ลูกกำลังทำให้พ่อกลัว กลัวว่าจะต้องสูญเสียลูกให้กับ...” น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอเมื่อต้องเอ่ยถึงชื่อของใครสักคนที่ทำให้ตนและลูกต้องระหกระเหินมาที่นี่
“ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีใครทำร้ายผมได้ พ่อวางใจเถอะครับ” ชายหนุ่มเข้าสวมกอดบิดา อ้อมกอดอบอุ่นที่เขาได้รับตั้งแต่เด็กเป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้เขารู้ว่า ภายในหัวใจกร้าวกระด้างของเขามีเพียงอ้อมกอดนี้ที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากความรู้สึกที่ซ่อนลึกในหัวใจของเขา ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ความเจ็บปวดที่ต้องลบด้วยการ...เอาคืน!
เรือนไทยหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ชวนให้ดูร่มรื่นน่าอยู่ ร่างบางของหญิงชราผมสีดอกเลาที่นั่งอยู่บนรถเข็นบริเวณระเบียงที่ยื่นออกมายิ่งช่วยเพิ่มความชัดเจนถึงอายุของเรือนหลังนี้ หากแต่ว่าแม้เรือนหลังนี้จะฝ่าแดดลมฝนมาแล้วนับศตวรรษกลับมิอาจลบเรื่องราวที่ไหลผ่านราวกับสายน้ำของกาลเวลาได้เลย
“วันนี้ทานอาหารได้เยอะหรือเปล่าคะคุณทวด” เสียงใสราวระฆังกังวานของบัวบูชา รัศมี มัณฑนากรสาววัยยี่สิบห้าปี ผู้มีรูปร่างบอบบาง ดวงตากลมโตดำขลับที่วางอยู่ใต้ขนตางอนดำเป็นแพในกรอบวงหน้ารูปไข่ จมูกโด่งเชิดรั้นที่บ่งบอกนิสัยของเจ้าตัวดูเหมาะเจาะกับริมฝีปากบางหยักสวย ผิวสีน้ำผึ้งใสเนียนละเอียดที่ช่วยขับความงดงามแบบไทยแท้ให้เจิดจรัสเดินเข้ามาเอ่ยถามหญิงชราที่นั่งบนรถเข็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เท่าไหร่หรอกคะคุณหนู” ป้านวล หญิงร่างท้วมวัยสี่สิบปลายผู้ที่คุณทวดชบารับมาอุปการะตั้งแต่ยังเด็กยิ้มเจื่อนให้หญิงสาวร่างบางตรงหน้าก่อนจะเป็นผู้ตอบออกไป
“อาหารไม่ถูกปากหรือคะ” ร่างบางเอ่ยพร้อมกับนั่งลงทับส้นเท้าของตน มือบางนุ่มวางกุมมือเหี่ยวกระด้างของบุคคลอันเป็นที่รัก คุณทวดชบา วัยเฉียดร้อยปีผู้สูญเสียการเคลื่อนไหวและความทรงจำจากอุบัติเหตุในครั้งเดียวกันกับที่เธอต้องสูญเสียพ่อและแม่ เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วถึงสิบห้าปี ทำให้ทุกวันนี้ครอบครัวของเธอเหลือเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้นและเธอก็ต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวไปโดยปริยาย
“พักนี้คุณท่านนอนไม่ค่อยหลับ มีอาการเพ้ออยู่บ่อยๆ คะคุณหนู” ป้านวลตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักพลางนั่งลงข้างๆ ร่างบางและแหงนมองหญิงชราที่ทอดสายตาเหม่อลอยออกไปอย่างไร้จุดหมายด้วยความกังวลใจ
“ได้ทานยาตามที่หมอสั่งหรือเปล่าคะป้า” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยถามคนตรงหน้า แม้ป้านวลจะเป็นเพียงเด็กที่คุณทวดเก็บมาเลี้ยงแต่หญิงสาวก็ให้ความเคารพรักเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“ทานคะคุณหนู แต่ก็อย่างว่าละคะ คุณท่านอายุมากแล้ว อีกทั้งสุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรงก็เป็นธรรมดาของสังขาร” หญิงร่างท้วมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะป้านวล บัวไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว” น้ำเสียงของเธอสั่นพร่า เมื่อหวนนึกถึงความสูญเสียในครั้งก่อน
“ไม่มีใครฝืนความตายได้หรอกคะคุณหนู” แววตาอ่อนแสงช้อนมองคนตรงหน้าด้วยความรักและชื่นชม นางฟ้าตัวน้อยของบ้านบัดนี้เติบใหญ่เป็นหญิงงาม แม้ใบหน้านั้นจะอ่อนหวานแต่นางรู้ดีว่าหัวใจของเธอนั้นเข้มแข็งเป็นไหนๆ เมื่อเธอต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว
“ไม่...บัวไม่อยากฟัง บัวมีเพียงคุณทวดและป้านวลเท่านั้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ สัญญา” ดวงตาคู่หวานที่แวววาวด้วยความฉ่ำของน้ำตาที่เอ่อคลอมองสบตาแห้งผากทว่าอ่อนโยนของผู้สูงวัยกว่า
“โธ่...คุณหนูของป้า ไม่เอาคะอย่าร้องเดี๋ยวไม่สวยนะคะเด็กดีของป้า” หญิงร่างท้วมดึงร่างบางที่เธอรักเข้ามากอดและพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นกังวานสดใส
“บัวกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวว่าวันหนึ่ง...” เธอลากเสียงยาวอย่างต้องการรั้งคำพูดแสนขมขื่นนั้นเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวคะ ป้าสัญญาว่าจะอยู่ดูแลคุณหนูอย่างนี้ตลอดไป” ป้านวลดันตัวเองออกมาประสานสายตากับดวงตากลมโตเป็นการยืนยันในคำสัญญา
“บัวรู้ว่าไม่อาจฝืนธรรมชาติของร่างกายได้ แต่บัวก็ไม่อาจรับความเจ็บปวดแบบนั้นได้อีกแล้ว” ดวงตาเธอฉายชัดตามคำพูดก่อนจะหันไปวางมือบนท่อนแขนแห้งเหี่ยวของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา
“คุณหนูไปทำงานเถอะคะ ไม่ต้องกังวล ป้าจะดูแลคุณท่านเอง” ป้านวลยิ้มบางๆ ให้เธอเพื่อให้คลายกังวล
“อย่างนั้นบัวไปทำงานก่อนนะคะ คุณทวดอย่าลืมทานยาบำรุงด้วยนะ บัวรักคุณทวดคะ” เธอหันไปตอบร่างท้วมที่กำลังส่งยิ้มที่เปรียบเสมือนกำลังใจมาให้เธอ ก่อนจะหันไปหอมฟอดที่แก้มเหี่ยวหยาบของอีกคนแล้วลุกเดินออกไป ดวงตาแห้งผากเลื่อนลอยมองตามแผ่นหลังเล็กบอบบางราวกับรับรู้ ดวงตาเลื่อนลอยนั้นกระพริบซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง คิ้วสีจางขมวดเป็นปมอย่างคนใช้ความคิด
“ท่านหญิง ท่านหญิง เขากลับมาแล้ว เขากลับมาแล้ว” เสียงแหบพร่าที่หญิงชราเอ่ยตะโกนออกมาขณะที่มือพยายามหมุนที่ล้อของรถทำราวกับจะตามร่างบางไป
“คุณท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ” หญิงร่างท้วมกระซิบถามอย่างสงสัยและงุนงงเป็นอย่างมากเพราะคุณท่านแทบไม่เคยพูดอะไรเลยในยามปกติ นอกเหนือยามหลับที่มักมีอาการเพ้อ แต่นี่กลับทำราวว่ามีเรี่ยวแรงและรับรู้เรื่องราว
“ท่านหญิง ท่านหญิงกลับมาฟังข้าเถิด เขาจะทำร้ายท่าน ท่านหญิง” ทั้งน้ำเสียงตื่น อาการตระหนกจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไหนจะมือที่พยายามพารถเข็นเคลื่อนไปข้างหน้าสร้างความตกใจปนสงสัยให้ป้านวลเป็นอย่างมาก เพราะนางไม่เคยเห็นคุณทวดมีอาการแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้สิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั่นคือ ‘ท่านหญิง’ คือใคร และ ‘เขาคนนั้น’ คือใคร
@@@@@@@@@@
ฝากผลงานหัดเขียนเรื่องแรกด้วยคะ
ติชม เม้นท์ให้กำลังใจกันได้นะคะ
...นาฬิกาเวลา...
ความคิดเห็น