คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เทพบุตรมัจจุราช (1)
บทที่ 1
เทพบุตรมัจจุราช (1)
เสี้ยวหน้าคมคร้ามแหงนมองขึ้นไปยังตึกระฟ้าตรงหน้าผ่านกระจกกันกระสุนของรถคันหรูที่ชะลอตัวลงยามใกล้เข้าถึงจุดหมาย หลอดไฟดวงน้อยใหญ่หลากหลายสีสันและรูปทรงถูกประดับประดาจนละลานตาสว่างไสวไปทั่วบริเวณตั้งแต่ทางเข้า รอบตัวอาคาร จนเลยเข้าไปถึงด้านใน ขับให้ตึกเก่าแก่ของเมืองคงไว้ซึ่งมนต์ขลัง เริงระบำราวกับสิ่งก่อสร้างที่มีชีวิตเฉกเช่นเมื่อร้อยปีก่อน
“อัลวาเรสมอลล์....” เสียงทุ้มเย็นน่าฟังเปรยชื่อของตึกหรูตรงหน้าออกมาจากริมฝีปากหยักสีสด ดวงตาคมกล้าสีเขียวมรกตราวอัญมณีเนื้อดีเรียบนิ่งขับให้ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของเทพเจ้าน่าค้นหาเสียจนไม่อาจละสายตามองได้
“นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันเฝ้าแต่มองตึกหลังนี้ผ่านภาพถ่าย” คำถามที่ชายหนุ่มเปรยถามตัวเองเบาๆ และก็คงมีเพียงแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตอบ
ยี่สิบสามปี อาจจะฟังดูเนิ่นนานสำหรับใครหลายๆ คน แต่กับตัวเขาช่างน่าแปลกที่รู้สึกเหมือนว่ามันเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวานนี้เท่านั้น อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดกระมังที่ทำให้วันเวลาของเขาเดินช้ากว่าทุกคน ภาพความทรงจำแสนพิเศษถูกลบล้างด้วยความสูญเสียในค่ำคืนนั้น ภาพที่ยังคงติดตรึงในดวงตาและบันทึกลงในหน่วยความทรงจำของเด็กชายวัยสิบขวบจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้...ไม่เคยจาง!
ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของเทพเจ้าสะบัดไปมาราวกับต้องการลบภาพติดตานั้นออก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเปล่าประโยชน์ เพราะนอกจากมันจะไม่เคยจางหายไปแล้วกลับยิ่งชัดเจน ฝังแน่นราวกับเป็นอาหารชั้นเลิศที่หล่อเลี้ยงให้ร่างกายเล็กๆ แสนเปราะบางเติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
แผ่นหลังกว้างเอนพิงลงบนพนักพิงของเบาะนุ่ม เปลือกตาหนาปิดลงอย่างอ่อนล้าในความรู้สึก ตลอดระยะเวลายี่สิบสามปีแทบไม่มีค่ำคืนใดที่เขาจะไม่ฝันเห็นภาพของบิดาผู้ใจดีจมกองเลือดใต้ซากเหล็กของรถโดยที่ในอ้อมกอดนั้นมีตัวเขาอยู่!
หยดเลือดสีแดงเข้มจากศีรษะใหญ่ที่ล้อมกรอบใบหน้าแสนใจดีและอ่อนโยนของบิดาหยดลงบนใบหน้าเล็กของเขาหยดแล้วหยดเล่า แววตาที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดหากแต่เต็มไปด้วยคำปลอบโยนที่ทำให้เด็กชายตัวน้อยคลายความหวาดกลัวลงได้บ้าง...แม้เพียงน้อยแต่เขาก็จดจำมันได้
เวลาที่ผ่านไปช้าๆ พร้อมกับความพยายามที่จะผลักร่างเล็กให้พ้นจากซากเหล็กที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมัน แรงเฮือกสุดท้ายซึ่งบ่งชัดถึงคือความหวังเดียวในชีวิตของคนเป็นพ่อ นั่นคือการที่ลูกชายเพียงคนเดียวของตนต้องมีชีวิตรอด!
บึ้ม!!
มือแกร่งยกขึ้นมากุมที่ก้อนเนื้อข้างซ้ายเมื่อความรู้สึกอัดอั้นจากภายในกำลังบีบรัดหัวใจของเขาจนมันเจ็บแปลบไปทั่วบริเวณ ความร้อนผ่าวของเปลวเพลิงสีแดงโชติช่วงสว่างไสวในความรู้สึกราวกับภาพเหตุการณ์ฉายชัดอยู่ตรงหน้า ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วร่างราวกับมีมีดกรีดลงมากลางอกนับร้อยแผล เจ็บเสียจนบางทีก็อยากจะปล่อยให้ตัวเองหยุดลมหายใจไปเลยด้วยซ้ำ!
เปลือกตาหนาถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับประกายตาที่วูบไหวไปเสี้ยววินาทีเมื่อสมองเผลอคิดถึงการกระทำที่น่าจะโง่เง่าที่สุดในชีวิตหากเขาคิดทำมันจริงๆ แต่เพราะชีวิตของเขามีค่ามากกว่านั้นจึงทำให้ร่างที่ไร้หัวใจยังมีลมหายใจมาจนถึงวันนี้
การให้โอกาสคนทรยศได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่บนความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของเขามาถึงยี่สิบสามปีมันมากเกินไป มากจนเกินพอดี และถึงเวลาที่เขาต้องเอาคืน!
“ได้เวลาแล้วครับนาย” เสียงเข้มของแซมเอ่ยกระชากภวังค์ที่กำลังหลุดลอยไปไกลของชายหนุ่มให้กลับคืนมา
แซมลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชาและไร้ความรู้สึกราวกับรูปสลักหินที่ผ่านมือของจิตรกรระดับโลกของผู้เป็นนายแล้วได้แต่ทอดถอนใจ การเกิดมาบน กองเงินกองทอง มีข้าทาสบริวารล้อมหน้าล้อมหลังหาทำให้ความสุขนั้นยั่งยืนไม่
เด็กชายตัวน้อยในวัยเพียงสิบขวบที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลถึงอีกซีกโลก ได้แบกหัวใจอันบอบช้ำจากการที่ต้องเห็นบิดาของตนตายไปต่อหน้าต่อตา และนั่นคือเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งไปเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
จากเด็กที่เคยร่าเริง ช่างพูดช่างคุย มีน้ำใจกับคนรอบข้างก็ได้เปลี่ยนเป็นเงียบขรึม รอยยิ้มและเสียงหัวเราะหล่นหายไปจากเจ้านายตัวน้อยตั้งแต่วันนั้นจนถึง...วันนี้
เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน หลายครั้งที่ต้องทนเห็นผู้เป็นนายทำร้ายตัวเอง อีกทั้งยังปิดกั้นตัวตนจากสังคมราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงตัวคนเดียวมันทำให้ชายหนุ่มอดสงสารและเห็นใจไม่ได้ จนบางทีก็เผลอไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบว่าหากนั่นเป็นตัวเขาที่ต้องเห็นพ่อตายไปต่อหน้าโดยมีสาเหตุมาจาก ‘คนในครอบครัว’ เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่
“นายครับ” แซมเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อผู้เป็นนายยังคงนั่งกอดอกนิ่งงัน ทั้งที่รถก็จอดสนิทมาสักพักแล้ว
“อืม...”
รองเท้าหนังสีดำมันปลาบราวกระจกเงายื่นออกมาจากตัวรถซึ่งประตูถูกเปิดรอท่าอยู่แล้ว ร่างสูงกำยำสมชายชาตรีก็เหวี่ยงออกมาด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะทรงตัวยืนมั่นคงเต็มความสูงในเวลาไล่เลี่ยกัน
มือแกร่งภายใต้ถุงมือผ้าสีดำยื่นเสื้อโค้ทตัวใหญ่ให้มือขวาคนสนิทที่ค้อมตัวรับมันไปถือไว้ ชุดทักซิโด้ถูกกระชับให้เข้าที่ทั้งๆ ที่มันก็ยังคงความเรียบกริบราวกับเพิ่งปลดออกมาจากไม้แขวนของห้องเสื้อชั้นนำ ดวงตาคู่คมหลุบตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดตามลักษณะนิสัยเจ้าระเบียบจนเป็นที่พอใจแล้ว ขายาวแข็งแรงจึงทำหน้าที่ก้าวเดินในจังหวะสม่ำเสมอไปบนพื้นหินอ่อนขัดเงาซึ่งถูกปูทับไว้ด้วยพรมสีแดงทันที
ดวงตาสีมรกตกวาดมองไปทั่วบริเวณของอาคารขณะที่ก้าวย่างโดยที่ใบหน้ายังคงตั้งตรงไม่วอกแวกบนลำคอแกร่งที่เชิดแต่พองามตามนิสัยเย่อหยิ่ง ลิฟต์ช่องพิเศษสำหรับผู้บริหารเปิดออกก่อนทั้งหมดจะผลุบหายเข้าไปและมาเปิดอีกครั้งยังชั้นยี่สิบเก้าซึ่งเป็นห้องแกรนด์บอลลูมขนาดใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยงต้อนรับซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งที่สาขาใหญ่เมื่อเดือนที่แล้ว
การเดินขวักไขว่ไปมาของพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่ม การขะมักเขม้นบริเวณซุ้มอาหารของพนักงานสาวที่อยู่ในชุดบริกรหูกระต่าย รวมถึงความชุลมุนวุ่นวายของนักข่าวช่างภาพ เสียงพูดคุยหัวเราะครื้นเครงของนักธุรกิจและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานหยุดชะงักลงราวกับถูกตั้งปุ่มทำงานทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว
แสงแฟลตสว่างวาบและเสียงรัวชัตเตอร์ดังระรัวคล้ายดั่งเสียงปืนในสมรภูมิรบ ซึ่งหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงอื้ออึงของบรรดาเหยี่ยวข่าวและผู้ร่วมงานที่ล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลกที่พากันเปลี่ยนเลนส์สายตามายังร่างสูงสง่าในชุดทักซิโด้สีกรมท่า
“มาแล้ว เทพบุตรรูปหล่อ ไฉไล โดนใจสุดๆ” เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ได้สิทธิ์เข้ามาร่วมในงานที่จัดว่าล้ำค่าอย่างแรงกล้าสำหรับพวกหล่อน
หาใช่แค่รูปร่างหน้าตาที่จัดว่าหล่อเหลาสมฉายา ‘เทพบุตร’ แต่ระดับการศึกษา สติปัญญา ความสามารถที่จัดว่าโดดเด่นและเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่นักธุรกิจแล้ว ชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในโลกยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องประดับที่ทำให้สาวเล็กสาวใหญ่ต่างก็ปรารถนาในตำแหน่งของมาดามแห่งอัลวาเรส!
หล่อ สง่า ลึกลับ เย็นชา น่าหม่ำ ล้ำยุค ปลุกชะนี ไม่เว้นแม้แต่สตรีมีครรภ์และชนชั้นเก้งกวาง
หลากหลายคำฮิตที่ติดแอชแทคใต้รูปภาพของเขาบนหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารถูกนำมาพูดกันเป็นวงกว้างในทำนองชื่นชม สรรเสริญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มได้ยินทุกครั้งยามที่แหวกร่างออกมาจากกำแพงน้ำแข็งที่เปรียบเสมือนเกราะกำบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงเอาไว้
ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบนิ่งไม่ต่างจากดวงตาสีมรกตที่เย็นชา ว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกหลงใหลได้ปลื้มไปกับคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“มาได้สักทีนะ ไอ้เด็กจิตป่วย!”
@@@@@@@@@
ฝากพระเอกผู้มีปมไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ (อีกครั้ง) นะคะ
สนใจรูปเล่ม (เหลือที่ไรต์นิดหน่อย) อินบ็อกมาได้ที่ เพจ นาฬิกาเวลา นัก-หัดเขียน
หรืออีบุ๊กก็มีพร้อมโหลดที่เมพจิ้มได้เลยค่ะ
รัก...นาฬิกาเวลา
ความคิดเห็น