คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : จุดหมายที่7 บ้านเช่าหลังนั้น...
จุดหมายที่7
บ้านเช่าหลังนั้น....
ถึงจะบอกว่าวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลาและอนัตตะใช้เวลาทั้งสิ้นสามวันในการท่องเที่ยวในย่านไชน่าทาวน์ ซึ่งทั้งสองมักจะแยกกันเที่ยว และศิลาจะไปพบกับมุมมืดอยู่เสมอๆ ทำให้ได้ลับมีดไม่ได้ขาด ส่วนอนัตตะนั้น มักจะพบบุรุษทรงผมแอฟโฟร่บ่อยๆ ซึ่งเด็กหนุ่มนักเดินทางอาจจะไม่ใส่ใจนัก หากไม่ใช่ว่าเจ้าหนุ่มหัวแอฟโฟร่คนนั้น ไม่ใช่คนที่เคยขับรถเฉี่ยวเด็กหนุ่มมาก่อน แต่อนัตตะก็ว่าอะไรไม่ได้ ในเมื่อตัวเองนั้นเป็นคนซุ่มซ่ามเสียเอง
เมื่อถึงวันที่สามซึ่งทั้งคู่เที่ยวกันจนอิ่มแล้ว และเสียเงินไปหลายอยู่ เช่นเดียวกับที่มีเข้ามาในกระเป๋าอย่างเป็นปริศนา ทั้งคู่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายคือที่สยาม
...ไหนว่าจะรวดเดียวถึงโซนมืดเลยไงครับ...
หลายสิ่งหลายอย่างช่างล่อตาล่อใจเป็นยิ่งนัก ศิลาที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมของอนัตตะ กำลังยืนมองร้านเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มันไม่ใช่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม และชื่อยี่ห้อก็คงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ทว่าการตกแต่งของร้านรวมถึงสไตล์ของเสื้อผ้าที่โชว์หราอยู่หน้าตู้กระจก ทำให้เด็กหนุ่มที่บกพร่องทางเสื้อผ้ากำลังสนใจอยู่
“สนใจเรอะ...” อนัตตะมองเสื้อผ้าที่ถูกจัดโชว์อยู่อย่างเย็นชา
“ก็...เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่มันขาดไปหมดแล้วนี่ครับ” เด็กหนุ่มให้เหตุผล อนัตตะยักไหล่ แล้วลากศิลาเข้าไปในร้านทันทีทำเอาเด็กหนุ่มอึ้ง...
เหล่าพนักงานสาวในร้านต่างลอบมองลูกค้าทั้งสองที่หลุดเข้ามาในร้าน ด้วยสายตาของผู้ล่าที่ได้เหยื่อมาไว้ในกำมือ แล้วพนักงานสาวคนหนึ่งก็ตรงรี่เข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายเสียงหวานหยด แล้วปราดมองลูกค้าทั้งสอง อนัตตะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ส่วนศิลาก็เอาแต่มองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ
“ตอนนี้ทางร้านเรามีคอนเซปชุดหลายแนวอยู่น่ะค่ะ” พูดพลางโชว์หนังสือเสื้อผ้าสำหรับคอนเซปปัจจุบันที่ซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วยื่นมันให้อนัตตะ “สนใจคอนเซปไหน หรือว่าต้องการอย่างไหนก็บอกได้นะคะ” เธอยิ้มหวานทิ้งท้าย อนัตตะหันไปคว้าคอศิลามาแล้วยื่นหนังสือให้ดู
“อะ...อะไรเหรอครับ?” ศิลามองเสื้อผ้าที่อยู่โชว์หราอยู่บนหนังสืออย่างลายตา
“เลือกเอาสักคอนเซปละกัน” อนัตตะว่า แล้วพลิกๆ หน้ากระดาษ ถึงจะบอกว่ามีหลายคอนเซปก็เถอะ แต่เท่าที่เห็นมีอยู่สามคอนเซป คอนเซปแรกเน้นไปทางโทนสีขาว อันที่สองเน้นไปทางโทนสีดำ ส่วนอันที่สามนั้นออกจะสดใสซาบซ่าสำหรับฤดูร้อนจริงๆ
“สีขาวแล้วกันเนอะ” อนัตตะเอ่ยขึ้น
“ครับ”
พนักงานสาวเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ ว่าทำไมเด็กสาวคนนั้นถึงต้องใช้คำว่า ครับ ด้วย อนัตตะหันไปหาพนักงานสาวที่ยืนคอยอยู่เมื่อตัดสินใจได้แล้ว
“คือ...มีเสื้อขนาดไซส์ของหมอนี่ไหมครับ กางเกงด้วย” พูดพลางดึงศิลามาให้มายืนอยู่ข้างๆ พนักงานสาวถึงกับอึ้ง...แล้วจากความอึ้งกลายเป็นความงง
...นี่...จะบอกว่าเป็นผู้ชายเรอะ!...
“ไซส์เอสเล็กสุดค่ะ” เธอบอกพลางเดินนำทั้งสองไปยังโซนเสื้อผ้าสีขาว ที่เป็นคอนเซปเทวดา เธอหันกลับมามองลูกค้าทั้งสองแล้วยิ้ม “ต้องการแบบไหนคะ?” อนัตตะผลักศิลาเข้าไปใกล้พนักงานสาว
“นายเลือกเองแล้วกัน” เด็กหนุ่มบอก แล้วเดินถอยออกมา
แล้วหลังจากนั้น ศิลาก็เก้ๆ กังๆ อยู่กับการลองเสื้อผ้า ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยชำนาญในการเลือกเท่าไหร่ หรือไม่...พนักงานร้านสาวสวยคนนั้นเป็นฝ่ายทำให้ศิลาดูไม่มั่นคงเสียเอง
อนัตตะที่สังเกตอยู่พักหนึ่งก็นึกขำในใจ สรุปแล้ว...ศิลาเป็นพวกทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับผู้หญิงมากๆ สินะ หลังจากดูศิลาถูกยัดเยียดเสื้อผ้าจำนวนมากไปให้ แล้วถูกผลักหลังเข้าห้องลองเสื้อไปแล้ว อนัตตะก็เริ่มที่จะมองๆ เสื้อผ้าโซนดำบ้าง ไม่ใช่ด้วยความสนใจ แต่เป็นการหาอะไรทำฆ่าเวลา สักพักศิลาก็โผล่ออกมาจากห้องลองเสื้อ และเมื่อถึงเวลานั้น เหล่าสาวๆ แห่งร้านเสื้อผ้าก็ถึงกับตกตะลึง อึ้งไปตามๆ กัน
“แม่เจ้า...เทพบุตรชัดๆ” หญิงสาวคนหนึ่งอุทานเสียงแผ่ว เรียกให้อนัตตะที่กำลังถูกโซนมืดดึงดูดหันกลับมาสู่โซนสว่างทันที และพบกับ...ศิลา...ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนปล่อยชาย กับกางเกงแสล็คสีดำ แต่เพียงแค่นี้ ก็ทำให้เด็กหนุ่มดูหล่อ...และดูงดงามราศีจับราวกับดารานายแบบก็มิปาน ครู่หนึ่งที่อนัตตะนิ่งไปเนื่องจากกำลังพินิจพิจารณา...ส่วนศิลาก็หันไปทางนาย พอเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องตนตาคมกริบก็ทำเอาตกใจ รีบสำรวจตัวเองว่ามีส่วนไหนที่แปลกที่แปลกทางบ้างหรือเปล่า แต่ก็พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พอเงยหน้าขึ้นจะมองหาอนัตตะ เด็กหนุ่มก็ถึงกับผงะถอยเพราะเด็กหนุ่มนักเดินทางได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน
“นายเหมาะกับสีขาวดีนี่...” อนัตตะเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“คะ...ครับ?” ศิลาค่อนข้างจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังคิด
“...” อนัตตะเริ่มขมวดคิ้ว แล้วหันไปหาพนักงานสาวข้างตัวที่เป็นคนแรกที่เข้ามาทักทายเด็กหนุ่มทั้งสอง
“พี่สาวครับ พี่อยากได้นายแบบใหม่บ้างไหม?” อนัตตะเอ่ยขึ้น
...ทั้งห้องเสื้อเงียบกริบและมองเด็กหนุ่มอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะศิลาที่ตกใจสุดขีดจนเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหู
“วะ...ว่ายังไงนะคะ?” พนักงานสาวถามซ้ำด้วยความงุนงง
“ผมถามว่า...อยากได้นายแบบใหม่ไหมครับ?” อนัตตะทวนคำพร้อมแสยะยิ้มกดดันบังคับ
หญิงสาวกลืนน้ำลายเอื๊อก เธอหันไปมองศิลาที่ยืนก้มหน้านิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร
...หน้าตาก็ดี ไม่สิ ดีมากๆ ไม่ๆ สวยเลยต่างหาก หุ่นก็ดีสูงก็สูง ถึงจะสูงไม่มาก แต่ก็น่าจะเป็นนายแบบได้นะ...แล้ว...ถ้าให้เด็กคนนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ละก็...
“...คุณอนัตตะครับ” ศิลาเอ่ยขึ้นพลางเงยหน้ามองเจ้านายตน อนัตตะหันมามองแล้วยักคิ้วเป็นเชิงถาม พนักงานสาวทั้งหลายต่างกลั้นใจฟังคำพูดของเด็กหนุ่มหน้าหวาน
“...คุณกำลังคิดเรื่อง เงิน อยู่เหรอครับ?” คำถามแบบตรงตัวไม่มีอ้อมค้อม ทำเอาอนัตตะสะอึก ส่วนสาวๆ ทั้งหมดก็หันไปมองคนถูกถามเพื่อฟังคำตอบ
“เออ...โทษที ถ้านายไม่เต็มใจก็บอกกันดีๆ สิวะ ไม่ใช่ใช้คำพูดแบบนี้ เออ เอาเถอะ!” อนัตตะบ่น แล้วหันไปหาหญิงสาวข้างกาย
“เอาเสื้อผ้าทั้งหมดที่หมอนี่ลองนะครับ ส่วนเรื่องนายแบบ...ก็คงไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ แต่ว่า...น้องคะ เสื้อผ้าที่น้องคนนี้ลองน่ะ ยี่สิบตัวนะคะ รวมกางเกงด้วย” หญิงสาวบอก
“แล้ว...ทำไมเหรอครับ?”
“ค่าเสื้อผ้ามันจะไม่แพงไปเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมจ่ายได้” เด็กหนุ่มบอกยิ้มๆ
...เห็นตูเป็นยากจกรึไงวะ... (ในใจอนัตตะ)
หลังจากคิดเงินเรียบร้อยแล้ว อนัตตะก็ล้วงๆ เข้าไปในเป้สีน้ำตาล แล้วหยิบบัตรเครดิตออกมายื่นให้พนักงานสาว เมื่อรูดบัตรเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็แบ่งกันหิ้วถุงกระดาษพิมพ์ลายโลโก้ร้าน
“เอ่อ...น้องคะ” พี่สาวคนเดิมเอ่ยขึ้น สองหนุ่มน้อยหันไปมองด้วยความสงสัย
“ถ้ายังไง แวะมาอีกนะคะ ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าก็ได้ แต่มาคุยกับพี่ๆ หรือมาช่วยงานก็ยังดี เพราะว่าพี่ชักจะชอบน้องสองคนแล้วสิ” พูดรัวพลางยัดนามบัตรใส่ถุงเสื้อผ้าของทั้งสอง เสร็จแล้วก็ฉีกยิ้มหวานโปรยปราย สมทบด้วยยิ้มหวานกดดันจากเหล่าสาวๆ อีก
“พี่ชื่อ นฤมล เป็นเจ้าของร้านเสื้อนี่ ถ้าน้องจะมาก็ยินดีต้อนรับนะ”
“ถูกยัดเยียดให้ซะแล้ว...” อนัตตะบ่นเบาๆ ขณะที่เดินกับศิลาอยู่บนทางเดินเท้าในย่านสยาม
“...” ศิลาหาได้ออกความคิดเห็นไม่ เพราะเด็กหนุ่มกำลังสนใจอยู่กับเสื้อผ้าราคาแพงในถุงกระดาษที่หิ้วอยู่
“เอาล่ะ...ไปไหนต่อดีนี่...” พึมพำพลางสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากตึกรามบ้านช่อง รถไฟฟ้าบีทีเอสที่อยู่เหนือศีรษะ และร้านเค้ก...หนึ่งร้าน ซึ่ง...มันดูน่าสนใจมาก
“ฉันหิวหนมว่ะศิ” อนัตตะเอ่ยขึ้น จ้องมองร้านเค้กฝั่งตรงข้ามไม่วางตา ศิลาเงยหน้าขึ้นจากถุงเสื้อผ้าแล้วมองตามสายตาของเจ้านายไป ก็พบกับร้านเค้กร้านหนึ่งที่ดูน่าเข้าไม่น้อย แล้วเด็กหนุ่มก็กวาดสายตามองรถราบนถนน ไล่สายตาไปเรื่อยๆ ก็เจอสะพานลอยที่อยู่ห่างออกไปทางขวาไม่กี่ก้าว ศิลาเผยอปากจะเปล่งเสียง แต่อนัตตะกลับก้าวเท้าลงจากบาทวิถีไปเหยียบบนถนนก่อนซะแล้ว
“คุณอนัตตะ!” ศิลาตะเบ็งเสียงด้วยความตกใจ ก่อนจะพุ่งไปจับแขนของอีกฝ่ายแล้วกระชากขึ้นมาให้ยืนบนบาทวิถีตามเดิม
“ทำไมคุณชอบทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตอยู่เรื่อยล่ะครับเนี่ย” เด็กหนุ่มต่อว่า นี่ถ้าคว้าไม่ทันคงได้กลายเป็นเศษซากมนุษย์ที่แปะอยู่กลางถนนแล้ว
“ฉันใจร้อน” อนัตตะตอบเรียบๆ แต่ดวงตานั้นจ้องร้านเค้กฝั่งตรงข้ามตาเป็นมัน
“สะพานลอยก็มีครับ” ศิลาพูดอย่างจนใจกับนิสัยของเจ้านาย แล้วเด็กหนุ่มจึงออกแรงลากอนัตตะไปขึ้นสะพานลอยแสนปลอดภัย หลังจากข้ามฝั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อนัตตะก็วิ่งปรู๊ดตรงไปยังร้านเค้กที่หมายตาไว้ทันที ศิลากะพริบตาปริบๆ มองความเป็นเด็กของเจ้านายด้วยความระอา ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามหลัง แต่ไม่ทันไรก็เห็นคุณอนัตตะหมุนตัวกลับ วิ่งตรงมาหา สีหน้าลิงโลดเมื่อครู่นี้หายไปหมดสิ้น มีเพียงเค้าความตึงเครียดฉาบอยู่ในดวงตาเท่านั้น ศิลาหยุดรออย่างแปลกใจ รอจนเมื่ออนัตตะวิ่งมาถึงแล้ว
“ฉันรู้สึกไม่ดีน่ะ มีลูกค้าแปลกๆ คนหนึ่งอยู่ในร้าน” อนัตตะบอกเสียงเบา แล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มเดินไปยังทางใหม่
“แปลกเหรอครับ?” ศิลาสงสัย เด็กหนุ่มรีบจัดแจงให้ตัวเองเดินตามหลังเยื้องขวาทันที
“ใช่...” อนัตตะขมวดคิ้วเพราะใช้ความคิด “ไม่ชอบมาพากลเอาซะเลย บรรยากาศไม่ดีไงไม่รู้ แต่ว่า...” มาถึงตรงนี้ คิ้วที่ผูกปมไว้ก็คลายลง “สองสาวแห่งร้านเค้กนั่นอร่อยดีนะ ถึงจะยังไม่ได้เข้าไปข้างในก็เถอะ แต่ฉันได้กลิ่นของเค้กรสปลาด้วยล่ะ” แล้วอนัตตะก็ยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเจอเรื่องราวดีๆ ที่ถูกใจ แต่ศิลานั้นนิ่งอึ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
...ยังไม่ได้เข้าไปในร้าน แต่ได้กลิ่นเค้ก แถมเป็นเค้กรสปลาซะด้วย! นี่คุณอนัตตะใช้วิชาอะไรในการดมกลิ่นกันเนี่ย!?...แล้ว...ชมผู้หญิงด้วยคำว่าอร่อยเนี่ยนะ!!!...เป็นคนแบบไหนกันแน่เนี่ย!!!...
ใช้เวลาในการเดินทางไม่นานนัก ก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่มีชื่อว่า โซนมืด
เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อนักเดินทางทั้งสองมาถึงที่หมาย ดังนั้นทั้งคู่จึงต้องเช็กอินโรงแรมเล็กๆ แถวๆ นั้นเพื่อที่หาที่พักพิงระหว่างที่หาบ้านเช่าในโซนมืด
“เราจะอยู่ที่เมืองนี้นานแค่ไหนเหรอครับ?” ศิลาถาม เด็กหนุ่มกำลังนั่งอยู่ปลายเตียงในห้องพักของโรงแรม
“ไม่รู้ อยู่จนฉันพอใจมั้ง” อนัตตะตอบเรียบๆ เด็กหนุ่มกำลังจ้องมองคราบสีคล้ำที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ลักษณะการกระจายของมันค่อนข้างคล้ายกับของเหลวสีแดงสวยอย่างไรอย่างนั้น
“ดูอะไรอยู่เหรอครับ?” ศิลาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะเห็นว่าอนัตตะจ้องอะไรก็ไม่รู้ในตู้เสื้อผ้าอยู่นานแล้ว แต่ไม่ยอมจัดของในเป้สีน้ำตาลมหัศจรรย์นั่นเสียที
“ร่องรอยการฆาตกรรม” อนัตตะตอบเสียงนุ่ม แล้วเริ่มลงมือจัดของ
...อยากออกไปจากโรงแรมนี้เร็วๆ จัง... ศิลาคิดอย่างจิตตกเมื่อได้ยินคำตอบ
ใช้เวลาหลายวันอยู่ในการค้นหาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสำรวจหาบ้านเช่าราคาถูกๆ กันอยู่โดยแยกกันสำรวจ ซึ่งทั้งสองก็มักจะเจอกับบุคคลที่ส่งออร่าผิดปกติไปจากมนุษย์ธรรมดาๆ ด้วย อย่างเช่นเมื่อหลายวันก่อน อนัตตะก็ได้พบกับผู้ชายที่เขาเจอในร้านเค้กของสองสาว คนที่อนัตตะบอกว่ามีความไม่ชอบมาพากลนั่นล่ะ ซึ่งผู้ชายคนนั้นทำงานอยู่ที่ เชสเซอร์บาร์ เด็กหนุ่มนักเดินทางไม่เคยเข้าไปหรอกนะ แต่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นเข้าไปข้างในด้วยชุดบาร์เทนเดอร์ นอกจากนี้อนัตตะก็ยังเคยเจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งออกจะคล้ายๆ ผู้หญิงอยู่ แล้วก็เด็กผู้ชายที่ดูสูงสักหนึ่งร้อยหกสิบกว่าๆ อืม...แล้วเจอใครอีกน้า...
ไม่นานนัก หลังจากตระเวนหาไปทั่ว ทั้งสองหน่อก็ไปพบเข้ากับบ้านเช่าหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงบ้านเช่าหลังเล็กๆ ราคาไม่แพง ไม่ใช่ไม่แพงธรรมดาๆ ด้วยนะ แต่โคตรถูกเลยอีกต่างหาก ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องคิดหน้าคิดหลัง อนัตตะก็บังคับให้ศิลายอมตกลงปลงใจอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังนั้น
บ้านเช่าดังกล่าวตั้งอยู่ในโซนมืดนี่แหละ เข้าไปในซอยไม่ไกลนักคุณก็จะพบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเงียบเชียบ ไม่สิ เฉพาะแถวบ้านเช่าต่างหากที่เงียบ เพราะทั้งๆ ที่ข้างขวามีบ้านหลังใหญ่กว่าเลี้ยงสุนัขไว้และมันก็ชอบเห่าแทบจะตลอดเวลา แต่พอมายืนอยู่หน้าบ้านเช่าก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงของมันเลย ส่วนข้างซ้ายเป็นบ้านไสตล์เรือนไทยประยุกต์ แต่เจ้าของบ้านเป็นคนบ้าคาราโอเกะ ชอบแหกปากตะโกนกรอกไมค์อยู่ทุกวัน ทั้งเช้า กลางวัน เย็น แต่...ทั้งอย่างนั้นแล้ว เมื่อมายืนอยู่หน้าบ้านเช่าหลังนี้ เสียงที่ว่าก็กลายเป็นเสียงลมพัดไปเลยทันที
ลักษณะของบ้านนั้น เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังไม่ใหญ่มากนัก พื้นที่ก็กว้างขวางพอสมควร แต่ตัวบ้านส่วนใหญ่แทบจะจมไปกับต้นหญ้าที่ขึ้นสูงเพราะไม่มีคนตัด มีสีสันด้วยดอกอันสวยสดจากต้นวัชพืชที่ขึ้นแซม นอกจากนี้ก็มีไม้เลื้อย เลื้อยพันไปตามตัวบ้านอย่างสำราญใจอีกต่างหาก
ส่วนตัวบ้านนั้น...สีทาบ้านก็ลอก กระจกหน้าต่างหลายบานก็ร้าว แถมกระเบื้องหลังคาก็หลุดอีกต่างหาก ดูๆ ไปแล้วเหมือนบ้านร้างมากกว่าบ้านเช่าเสียอีก
และในวันนี้ก็คือวันเปิดบ้านครั้งแรก รวมทั้งเป็นวันที่แจ็คกี้ไลฟ์เฮาส์มีการแสดงคอสเสิร์ตของวงดนตรี Crackup เหตุที่รู้นั้นเป็นเพราะมีใบปลิวใบหนึ่งซึ่งมีข่าวดังกล่าว ถูกเสียบอยู่กับรั้วบ้านเก่าๆ โทรมๆ นั่นเอง
“เอ่อ...นี่คือกุญแจ” เจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ราวกับกลัวจะมีใครมาได้ยิน พลางล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยมืออันสั่นเทา
เจ้าของบ้านเป็นชายร่างเล็ก ที่มีศีระษะล้านและพุงพลุ้ย ในตอนแรกที่อนัตตะเจอบ้านเช่าหลังนี้และติดต่อไปหาเพื่อคุยกัน น้ำเสียงในโทรศัพท์นั้นออกอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แล้วเมื่อได้พบหน้ากันเพื่อหารือเกี่ยวกับการเช่าบ้าน สองหนุ่มนักเดินทางก็สังเกตเห็นท่าทางที่ดูวิตกจริตและหวาดกลัวแบบสุดๆ ของเขา จนเมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ทั้งสามมายืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น เจ้าของบ้านก็ไม่ยอมมองไปที่บ้านของตัวเองเลยแม้แต่แค่เหลือบไปสักแวบก็ไม่ทำ
ต่อให้เป็นคนไม่ฉลาดก็ต้องรู้ว่าบ้านหลังนี้มีอะไรแน่ๆ
ทั้งอย่างนั้น...อนัตตะกลับดึงดันที่จะเช่าบ้านหลังนี้ให้ได้โดยไม่ฟังคำคัดค้านของศิลา แถมเจ้าของบ้านพุงพลุ้ยนั่นก็ยังไปสนับสนุนแบบสั่นๆ ให้อนัตตะยอมเช่าอีกต่างหาก โธ่ถัง...
“ขอบคุณครับ” อนัตตะกล่าวยิ้มๆ พลางรับกุญแจมา แล้วหันไปปลดล็อกที่แม่กุญแจซึ่งคล้องอยู่ที่ประตูรั้วเหล็กเก่าๆ นั้น
กริ๊ก
เสียงปลดล็อกดังแจ่มชัดในความรู้สึกของทั้งสาม
“...หมดธุระของผมแล้ว...ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะครับ” เจ้าของบ้านพูดรัวเร็ว โดยไม่รีรอเขาก็รีบตรงไปขึ้นรถปอร์เช่สีแดงสดที่จอดไว้ใกล้ๆ สตาร์ทอย่างรวดเร็ว แล้วบึ่งออกไปด้วยความเร็วเหนือแสง หายลับไปกับทางแยกของถนน เมื่อปราศจากตาอ้วนลงพุง สองหนุ่มเจ้าของบ้านชั่วคราวคนใหม่ก็หันขวับกลับมาที่บ้านหลังสยองตรงหน้า ครั้นแล้วอนัตตะก็ผลักบานประตูเปิดเข้าข้างในบริเวณ...
ศิลายืนกลืนน้ำลายอยู่ข้างหลังเจ้านายตน
อนัตตะมองตรงไปที่บ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจทั้งที่ไม่จำเป็น หลังจากพอจะมีความมั่นใจแล้ว เด็กหนุ่มก็...ยังยืนนิ่งอยู่ ด้วยความลังเล
“เธอไม่ร้ากช้านแล้ว ทำไมเธอถืงยางอยู่กับช้าน~~~” เสียงตะโกนหนวกหูจากข้างบ้านที่คลั่งคาราโอเกะกำลังกระแทกโสตของอนัตตะอยู่
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง แฮ่ กรร โฮ่ง โฮ่ง ข้างบ้านอีกด้านก็มีสุนัขคลั่งเห่าอยู่ทั้งวัน
อนัตตะหลับตาเพื่อทำใจสลัดความรำคาญ ครั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ก้าวเข้าไปในบริเวณบ้านทันที
...จู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบสงบ...ในความรู้สึก แม้จะยังได้ยินเสียงอันไม่รื่นหูจากเพื่อนบ้านทั้งสองที่ขนาบข้าง แต่พอเข้ามาในบริเวณบ้านนี้แล้ว...ก็ให้รู้สึกได้ถึงความเงียบ สงบ วังเวง... ราวกับหลุดเข้ามาในป่าช้าอย่างไรอย่างนั้น
ศิลาที่ยังยืนอยู่ด้านนอก สังเกตปฏิกิริยาของเจ้านายตอนด้วยความลุ้นระทึก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นายท่านถึงได้หยุดยืนอยู่ทั้งๆ ที่น่าจะเดินตรงไปยังตัวบ้าน ด้วยเหตุนั้นศิลาจึงยังไม่ได้ตามเข้าไปแต่อย่างใด
อนัตตะยืนนิ่งไม่ไหวติง รู้สึกคว้างเพราะอยู่ๆ ในบริเวณบ้านก็เงียบสงัด เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง
ช้านร้ากเธ้อ ด้ายยีนม้าย...
เบาเหลือเกิน โ
ฮ่ง...โฮ่ง...โฮ่ง!
ช้านไม่ได้อยากให้เธอปาย!
อนัตตะสะดุ้งนิดหนึ่งศิลาจึงไม่ทันสังเกต เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ เมื่อครู่นี้...ถ้าหากสมองไม่ได้เพี้ยนไปล่ะก็... ตอนแรกเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านดูเหมือนจะเบามาก แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับมาสู่ความดังระดับเดิม เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย เด็กหนุ่มผมหยักศกพ่นลมพรูดออกจากปาก แล้วก้าวฉับๆ ตรงไปที่ตัวบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นว่าเจ้านายตนเดินตรงไปยังบ้านอย่างมั่นคง เด็กหนุ่มก็รีบเดินตามเข้าไปทันที แต่ไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เร่งฝีเท้าให้ไปเดินอยู่ด้านหลังเยื้องขวา ตำแหน่งที่ชอบเดินประจำ
จู่ๆ อนัตตะก็หยุดเดินกึก! ศิลาที่ไม่ทันตั้งตัวก็เลยชนปึ้กเข้าอย่างจังที่แผ่นหลังของคนข้างหน้า
“มะ...มีอะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถามขณะที่เดินถอยออกมา แต่อนัตตะไม่ตอบ ศิลามองด้านหลังเจ้านายอย่างฉงนแล้วก็สังเกตเห็นว่าเขากำลังแหงนหน้ามองขึ้นข้างบน ที่นั่นมีหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสอง กระจกหน้าต่างแตกร้าวและมีผ้าม่านพลิ้วสะบัดอยู่
...ก็แค่ลมพัดผ้าม่านนี่นา... ศิลาคิด พอกลับมามองมุมปกติอีกที ก็พบว่าอนัตตะกำลังไขกุญแจประตูอยู่ ในที่สุด...ประตูบ้านก็เปิดออก สภาพบ้านที่มีฝุ่นเขรอะและเครื่องเรือนระเกะระกะก็เปิดเผยสู่สายตา
แล้วอนัตตะก็เดินนำเข้าไป ศิลารีบวิ่งตามไป แต่แล้วเด็กหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สิ่งนั้นทำเอาหน้าซีและทำให้กำลังที่วิ่งอยู่ตกลงไปมากโขจนเกือบเข่าทรุด
...หน้าต่างนั่น...กระจกแตกก็จริงแต่ไม่มีช่องกว้างพอให้ลมเข้า...แล้ว...ผ้าม่านมันปลิวได้ยังไง?...
บ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
..................
............
....
...
ความคิดเห็น