คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : จุดหมายที่6 การต่อสู้ในตรอกเล็ก กับ พี่ชายปริศนา
จุดหมายที่6
การต่อสู้ในตรอกเล็ก กับ พี่ชายปริศนา
“ทำไมพวกมีเวทมนตร์อย่างพวกคุณ ถึงต้องเป็นอาชญากรด้วยล่ะครับ” ศิลาเอ่ยปากถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เพราะ...มันเป็นวิธีหาเงินที่ง่ายดีอย่างไรล่ะครับ” หนุ่มเพลย์บอยตอบ ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเก่า
...นิสัยไม่ดีจากส่วนลึกเลยสินะ ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบไปจากที่นี่แล้ว... ศิลาเหล่สายตาไปยังทางแยกที่เพิ่งผ่านเข้ามา
“อย่าคิดหนีดีกว่าครับคนสวย...”
“ศิลา...”
“ฮะ!?” สามหนุ่มอาชญากรประสานเสียงพร้อมขมวดคิ้วงุนงง
“ผมชื่อศิลา” เด็กหนุ่มหน้าหวานบอกเรียบๆ ครู่หนึ่งที่สามหนุ่มมองเหยื่อตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความหมาย สักพักทั้งหมดก็เผยยิ้มออกมา
“ราลครับ” หนุ่มมาดเพลย์บอยแนะนำตัว
“เรน” เด็กหนุ่มผมดำตาดำบอกเรียบๆ พลางควงมีดสั้นเล่นข่มขู่
“ซีซ่า ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มผมบลอนด์บอก
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเช่นกันครับ” ศิลาโค้งให้ทั้งสามอย่างมีมารยาท
วูบ!
เด็กหนุ่มอาศัยตอนโค้งพุ่งตัวแทรกออกมาจากช่องว่างของทั้งสามคน แล้วตบเท้าเลี้ยวตรงไปยังทางออกทันที แต่แล้วอะไรดำๆ ก็โผล่เข้ามาในคลองสายตา เด็กหนุ่มหยุดชะงักพลางเอนกายไปด้านหลังเพื่อหลบหลีก สิ่งนั้นผ่านวูบเหนือศีรษะไปอย่างน่าเสียวไส้ เมื่อกลับมายืนตรงอีกครั้งแล้วหันกลับไปดู ศิลาก็พบว่าสิ่งนั้นที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มผมบลอนด์คือไม้เบสบอลโลหะนั่นเอง
...ขะ...ของหนัก... ศิลาหน้าซีด
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่งที่พุ่งมาจากด้านหลังอย่างประสงค์ร้าย ศิลาพลิกตัวหลบ อะไรบางอย่างที่บางเฉียบและเป็นสีขาวพุ่งเฉียดสีข้างไป เด็กหนุ่มผมดำนามเรนรีบชักกลับทันทีเมื่อพลาดเป้าหมาย ก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมโดยมีอาวุธอย่างหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งนำมาซึ่งความอึ้งและตะลึงสู่ศิลา
...ดาบเรเปียร์!!...
“อย่าสร้างแผลให้มากนัก” ราลสั่งลูกน้องทั้งสองเสียงขรึม ศิลาหันไปมอง ก็พบว่าเด็กหนุ่มที่ชอบยิ้มหน้าเป็นคนนั้นได้หายไปแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้าจริงจังเท่านั้น
“ไอ้หมอนี่น่าจะเอาไปขายได้หลายตังค์”
การแนะนำตัวเมื่อครู่ที่ผ่านมา...คงเป็นมุกตลกของทั้งสี่สินะ
...ช้าจริง... อนัตตะสบถในใจขณะที่นั่งดื่มน้ำชาในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านมิสเตอร์รองเท้านัก แม้ว่าน้ำชาจะรสชาติดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจสงบลงได้เลย ภายในอกนี้เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ กับจะกังวลใจ ไม่...ไม่ใช่ความกังวลใจของตน หากแต่เป็นความกังวลใจของอีกคนหนึ่งต่างหาก... แล้ว...ทำไมความรู้สึกถึงส่งผ่านกันได้แบบนี้นะ?
กรุ๊งกริ๊ง ประตูร้านน้ำชาเปิดออก
“ยินดีต้อนรับค่า” พนักงานสาวต้อนรับเสียงใส
ใครคนหนึ่งในชุดเหมือนพวกเด็กฮิปฮอปเดินเข้ามาในร้าน แล้วเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอนัตตะมากนัก
“ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ” พนักงานสาวเอ่ยถาม
“ชามะนาวครับ”
...เสียเปรียบเต็มๆ... ศิลาที่แปลงแขนทั้งสองข้างให้เป็นอาวุธแล้วกวาดตามองไปรอบๆ พื้นที่สำหรับการต่อสู้ในยามนี้นั้นแคบเกินไป อาวุธที่ใช้...หมายถึงแขนของตัวเองก็ใหญ่เกินไปอีก แถมไม่มีที่สูงๆ ให้เหยียบ และถ้าคิดจะกระโดดไต่กำแพงหนี ก็มีมือเบสบอลนามเรนคอยสกัดอยู่
...โอ้ว! ให้ตายสิ แบบนี้มันเสียเวลามากเกินไปแล้วนะ!!... ศิลาเริ่มหงุดหงิด แต่เด็กหนุ่มยังไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
“ถ้าคิดหนีล่ะก็เปล่าประโยชน์ โปรดยอมพวกเราแต่โดยดีเถอะ” ราลพูดเสียงเรียบ เด็กหนุ่มกางแขนออกข้างตัว สองมือกำเข้าหากันแน่น แล้วเกลียวสายลมเล็กๆ ก็ก่อตัวขึ้นที่กำปั้นทั้งคู่ของราล ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏรูปร่างเป็นสนับมือสีทอง ศิลามองราลอย่างระวัง ตอนนี้ยังไม่มีใครโจมตีมาก็จริง แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด ว่าแต่...ท่าทางขี้เล่นเมื่อครู่หายไปหมดเลยแฮะ
“ราลน่ะนะ” <เรน
“เป็นคนที่จริงจังกับงานน่ะ” <ซีซ่า
สองหนุ่มที่เหมือนจะอ่านคำถามในสายตาของศิลาออกประสานเสียงตอบ เด็กหนุ่มเจ้าของคำถาม
หันไปมองอย่างขอบคุณ แล้วศิลาก็กลับมารวบรวมสมาธิเตรียมสู้อีกครั้ง
...ถ้าขนาดคุณราลยังเรียกอาวุธออกมา อย่าเลวร้ายสุดก็รุมสาม แต่ท่าทางของคุณราลดูเหมือนจะคุมเชิงอยู่นอกวง ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้...
แล้วการโจมตีอีกระลอกก็ได้เริ่มขึ้น ซึ่งในตอนนี้ที่ศิลาทำได้ก็คือการหลบการโจมตีของดาบเรเปียร์ที่พุ่งเข้ามาอย่างหนักหน่วง เนื่องจากว่าพื้นที่แคบทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง จึงทำได้แค่ปัดป้อง แต่ความเล็กและไวของเรเปียร์ก็มักจะลอดเข้ามาสะกิดเสื้อผ้าให้ขาดวิ่นได้เสมอ
...เผด็จการ... ศิลาคิด เด็กหนุ่มตั้งใจจะรวบรัดตัดตอนแบบฉับเดียวจบ
ผัวะ!
หน้าเรียวสะบัดตามแรงชก ร่างบางเสียการทรงตัวจนล้มไปพิงผนังอิฐสกปรกๆ สองหนุ่มนักเบสบอลและนักดาบถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วหันขวับไปมองคนชกที่ยืนนิ่งมองเหยื่อด้วยสายตาเคร่างขรึมอยู่
“ไหนบอกว่า”
“อย่าให้มีแผลไง”
สองหนุ่มว่าต่อคำอย่างชำนาญ สีหน้าบ่งบอกความไม่ชอบใจ
“พวกมึงลีลากันอยู่ได้” ราลหันไปตวาดใส่เพื่อนกึ่งลูกน้องทั้งสอง
“แต่นานๆ ที” เรน
“จะมีคนเก่งๆ” ซีซ่า
“พวกเราก็อยากสู้มั่งนี่!” สองหนุ่มพร้อมใจกันประสานเสียง ราลมองทั้งสองตาขวาง
ศิลาถึงกับมึนเมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มค่อยๆ ยันตัวออกจากผนัง สะบัดหัวหน่อยๆ แล้วเปลี่ยนมือข้างขวาให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะยกขึ้นแตะๆ แถวๆ โหนกแก้มแล้วยกขึ้นดู
เลือดสีแดงเปื้อนติดนิ้วเรียวมาด้วย มันตัดกับผิวที่ขาวผ่องจนดูหลอกตา
...เวรแล้วไงเลือดออก...
ตึ้ง! ร่างบางถูกผลักกระแทกเข้ากับผนังอิฐ
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! จนผนังถึงกับร้าว เศษอิฐเศษปูนร่วงหล่นกระจายเต็มพื้น
“อะ...!!!” ศิลาอ้าปากร้องแต่เสียงไม่ออก เพราะส่วนลำคอที่มือแข็งแกร่งของราลกำไว้อยู่ แล้วมืออีกข้างของเด็กหนุ่มก็ดึงไปข้างหลัง
ปึ้ก! กำปั้นสวมสนับเหล็กกระแทกเข้ากับท้องของศิลาอย่างแรง
ราลรัวกำปั้นใส่ไม่ยั้งมือ ทั้งลิ้นปรี่ ท้อง ท้องน้อย และจุดต่างๆ บนลำตัวเท่าที่ความเร็วและพละกำลังของตนจะอำนวย ส่วนศิลาก็ทำได้แค่แหงนหน้าอ้าปากค้างส่งเสียงไม่ออก
“ทำไม” เรน
“ไม่ชกให้สลบไปเลยคราวเดียวล่ะ” ซีซ่า
“ก็เห็นเก่งนัก เลยอยากทดสอบความอึดหน่อย” ราลพูดกระทบเพื่อนทั้งสอง เมื่อเห็นว่าศิลานิ่งไปแล้วเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากลำคอขาวของอีกฝ่าย เมื่อไร้สิ่งตรึงร่างบางที่สะบักสะบอมเพราะโดนชกก็ร่วงครูดไปกับผนัง ทรุดลงไปนั่งคอตกอย่างหมดท่ากับพื้น
“นึกว่าจะแน่” ราลพูดเสียงแผ่ว แต่ทว่ากลับมีประกายคมกริบโฉบผ่านดวงตาของเรนไป เด็กหนุ่มถองซีซ่าเบาๆ เพื่อนคู่หูจอมประสานเสียงหันมามองอย่างสงสัย เรนยักหน้าไปทางศิลา ซีซ่าหันไปดูแล้วหันกลับมามองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ แต่พอได้สบตากันก็รู้ซึ้งถึงความหมาย ซีซ่าสะกิดไหล่ราลเบาๆ เด็กหนุ่มหันมามองตาดุ
“ราล...ทั้งๆ ที่ศิลามือก็ว่าง แต่ตอนที่ถูกนายจับซ้อมเขากลับไม่ป้องกันตัวเลย ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?” ซีซ่ากล่าว ราลเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ รีบหันกลับไปหาศิลาทันที
วืด! เชียะ!
ราลถึงกับผงะถอยพลางแหงนหน้าขึ้นเท่าที่คอจะอำนวย เพื่อหลบคมดาบขนาดใหญ่ที่ศิลาแทงขึ้นมาจากด้านล่าง
โป๊ก!
เพราะพื้นที่แคบ ส่งผลให้การหลบอย่างรวดเร็วของราลถูกจำกัด พอแหงนหน้าปุ๊บศีรษะจึงกระแทกกับกำแพงอิฐปั๊บ
“โอย...” ราลทรุดตัวกุมศีรษะด้านหลังอย่างเจ็บปวด ส่วนศิลาก็หันไปวาดดาบใส่สองหนุ่ม ซีซ่ายกไม้เบสบอลโลหะขึ้นกัน ส่วนเรนที่อยู่ด้านหลังก็อาศัยช่องว่างในการพุ่งดาบเรเปียร์เข้าไปหาศิลา แต่ก็ทำได้แค่สะกิดเสื้อผ้าให้ขาดเท่านั้น ระหว่างที่ซีซ่าเริ่มเครียดกับการปัดป้อง และเรเปียร์แทบไม่มีผล ศิลาก็อาศัยจังหวะถีบท้องซีซ่าโครมจนร่างของเด็กหนุ่มกระเด็น แล้วหันไปหาเรน เด็กหนุ่มผมดำถึงกับเครียดจัด แต่พอดูสภาพการณ์แล้วก็ทำเอายิ้มออกมาได้ เพราะดาบของศิลาใหญ่แต่พื้นที่นั้นแคบ
ครืด!
“บ้าน่า!!” เรนร้องเสียงหลง เมื่อดาบของศิลาสามารถตัดผ่านกำแพงเข้ามา หนำซ้ำกำแพงก็ไม่ได้มีผลต่อความเร็วอีกด้วย
“คุณน่ะอ่อนสุดในสามคนนี้ เพราะฉะนั้นผมต้องจัดการคุณก่อน” ศิลาพูดเสียงเรียบ ตวัดดาบใส่เรน เด็กหนุ่มยกเรเปียร์ขึ้นกันอย่างจนปัญญา
เคร้ง!
“หากจะโทษใคร ก็โปรดโทษในความอ่อนหัดของคุณเถอะครับ”
เรนเบิกตากว้าง ความหวาดกลัวพุ่งเข้าห่อหุ้มหัวใจและแววตา ในหัวกลายเป็นสีขาวโพลน แขนขาเกิดอัมพาตขึ้นกะทันหัน ทั่วทุกอณูในร่างกายสั่นระริก ดวงตาที่เบิกกว้างนั้นสะท้อนภาพของดาบใหญ่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่อาจหลีกหนี
ไม่อาจกรีดร้อง
ไม่อาจขอชีวิต
ฉัวะ!
ร่างของเรนถูกผ่าสะพายแล่งขาดเป็นสองท่อน เลือดสีแดงเข้มพุ่งทะลักออกมาจากบาดแผลเป็นสาย หลั่งไหลออกมาเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ
...ไม่รงไม่รอแล้ว...!!!
ตัดสินใจได้อนัตตะก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อที่จะชำระเงิน แต่ยังไปไม่ถึงก็ต้องชะงัก เพราะชายเสื้อถูกใครบางคนดึงไว้ พอหันไปมองด้วยสายตาเอาเรื่อง ก็เจอกับสายตาที่โผล่ออกมาจากปอยผมและฮู้ดคลุมหัว ที่ใหญ่จนจะคลุมหน้าได้ ดวงตานั้นเป็นสีมรกตสดใส แลดูลึกลับยิ่งนัก
“มาดื่มชาเป็นเพื่อนหน่อยสิน้องชาย พี่รอคนอยู่น่ะแล้วยังไม่มา เลยอยากมีเพื่อนคุยแก้เซ็งหน่อยน่ะ” อีกฝ่ายแจ้งความประสงค์ด้วยน้ำเสียงร่าเริง อนัตตะนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วยิ้มนิดๆ
“ถ้าคุณเลี้ยงผมก็โอเค”
“ได้อยู่แล้ว”
“ของเก่าด้วยนะ”
“...เอ่อ...ก็ได้”
“เรน!!!”
ซีซ่ากรีดเสียงโหยหวนปานจะขาดใจ ไม่มีน้ำตา มีแต่ความเจ็บแค้นที่แสดงออกมาทางดวงตาที่เบิกกว้าง รูม่านตาหดเล็กเป็นรูปเรียวเหมือนแมว มือทั้งสองกำจับด้ามไม้เบสบอลแน่น แล้วเด็กหนุ่มก็กระโจนเข้าใส่ศิลา พร้อมหวดไม้เบสบอลไปมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนศิลาก็ทำเพียงแค่เดินถอยหลังหลบไปมาเท่านั้น
“แก!...แก แกฆ่าเขา!” ซีซ่าตะโกน ไม้เบสบอลที่หวดไปมา กระทบกับผนังและกำแพงอิฐอย่างแรง จนเกิดเป็นรอยร้าวมากมาย แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความแค้นทั้งหมดของซีซ่า
“แกฆ่าน้องชายฉัน!!”
ศิลาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำนั้น
ราลที่คอยจังหวะมาตลอด พุ่งเข้าใส่ศิลาจากด้านหลัง กำปั้นข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มอยู่ในท่าเตรียมพร้อม สายตาของราลเล็งไปที่กระดูกสันหลังของศิลา
เด็กหนุ่มหน้าหวานหลับตาลง ก่อนจะกระโดดตีลังกากลับหลัง ฟาดเท้าใส่ซีซ่าแล้วตอกหัวรองเท้าใส่ศีรษะของราล ก่อนจะกลับมายืนประจันหน้ากับซีซ่าตามเดิม ส่วนเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่ถูกเสยคางจนมึน ก็ตั้งท่าจะบุกต่อ
“ขอโทษด้วยนะครับ” ศิลาโพล่งขึ้น
.................
ซีซ่าและราลถึงกับยืนอึ้ง ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมศิลาถึงต้องขอโทษ ทั้งๆ ที่ฝ่ายผู้เสียหายก็เป็นตัวเองแท้ๆ ศิลาเงยหน้าขึ้นสบตากับซีซ่า เด็กหนุ่มผมบลอนด์ถึงกับลมหายใจกระตุก เมื่อพบว่าสายตาของศิลาที่มองมานั้น...ไม่ใช่สายตาของมนุษย์
เย็นชา เรียบเฉย ไร้อารมณ์ และชีวิต...
ราวกับสายตาของตุ๊กตาที่แม้จะทำประกายเหมือนตาของมนุษย์ แต่ก็ยังคงไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม
“...ผมไม่ทราบว่าคุณสองคนเป็นพี่น้องกัน ถ้าเช่นนั้น...ผมจะส่งคุณไปอยู่กับเขาเดี๋ยวนี้แหละครับ คุณซีซ่า...”
“รอใครอยู่เหรอครับ?” อนัตตะถามชวนคุย ระหว่างที่กำลังตัดแบ่งเค้กช็อกโกแล็ตในจาน
“เพื่อนน่ะครับ เรานัดกันว่าจะมาไฟท์ที่นี่น่ะ” ชายหนุ่มพูดเนิบช้า แล้วยกชาขึ้นจิบ
“ไฟท์?” อนัตตะเงยหน้าขึ้นมอง สบเข้ากับอัญมณีสีเขียวมรกตที่ส่องประกายวิบวับ
“อืม...สตรีทไฟท์เตอร์น่ะ สนใจเหรอครับน้อง?” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ปอยผมหยักศกตกลงมาปรกหน้าเมื่อเขาขยับตัว ให้นั่งประจันหน้ากับอนัตตะอย่างถนัดถนี่ แล้วชายหนุ่มก็ประสานมือรองไว้ใต้คาง พลางมองสบตากับอนัตตะ แววตาของเขาพราวระยับดูกรุ้มกริ่มราวหนุ่มเจ้าชู้
“...ก็...สนใจอยู่หรอกครับ แต่ผมคงเป็นได้แค่คนดู...” อนัตตะตอบเสียงแผ่ว จงใจหลบเลี่ยงสายตาที่จะสบ รู้สึกกระดากอายยังไงไม่รู้ที่ถูกจ้องแบบนั้น...ไม่ใช่สิ...ไม่ใช่อาย... แต่กลัวว่ะ ถูกไม้ป่าเดียวกันจ้องแบบนั้นน่ะ...
“อะไรกัน...พี่ว่าน้องเองก็มีแววนะ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ แต่สายตาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับ...สัตว์นักล่าที่จ้องมองเหยื่อรสโอชา
“แววแบบ...เหมือนน้องเคย ฆ่า คนมาก่อนน่ะ” เหมือนจะเป็นเพียงการพูดเล่น แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงทำให้อนัตตะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง เด็กหนุ่มนักเดินทางค่อยๆ สบตากับอีกฝ่าย และพบว่าสายตาที่มองมานั้นเปลี่ยนไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ
...ฉันไม่ใช่เหยื่อซะหน่อย... เด็กหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด
“ผมว่า...เพื่อนของพี่คงไม่มาแล้วล่ะ งั้นผมขอตัวก่อนนะ เรื่องค่าน้ำชาผมจ่ายส่วนของผมเองก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มตัดบทเรียบๆ ทำท่าจะเดินออกไปจากโต๊ะ แต่อีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้ได้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งรีบไปสิน้องชาย รอให้ เขา มาก่อนแล้วค่อยไปเถอะนะ” ชายหนุ่มพูดอ้อนวอน แต่น้ำเสียงยังคงความสบายอกสบายใจอยู่ดี อนัตตะหันมามองอย่างรำคาญ
“เขา ไหนเหรอครับ?”
ฉัวะ!
ซีซ่าอ้าปากค้าง เด็กหนุ่มไม่ได้ร้อง ทั้งยังปล่อยมือจากไม้เบสบอลด้วย ก่อนจะก้าวถอยหลังพร้อมกับช้อนสายตาขึ้นสบกับศิลา ซึ่งเด็กหนุ่มก็มองตอบมา แววตานั้นสะท้อนประกายแห่งความ...เสียใจ แล้วศิลาก็ขยับริมฝีปาก ซีซ่าอ่านได้ว่า
...ขอให้มีความสุขบนสวรรค์นะครับ...
ตุ้บ!
แล้วศีรษะของซีซ่าก็หลุดจากลำคอตกลงบนพื้น ก่อนตามด้วยร่างที่ทรุดคุกเข่า แล้วเลือดสีแดงเข้มก็ฉีดพุ่งออกมาจากเส้นเลือดที่ถูกเฉือน ค้างอยู่ท่าคุกเข่าสักพักให้เลือดไหลชโลม แล้วจึงล้มตึงลงไป เลือดที่ไหลออกมาจึงเจิ่งนองไปทั่วพื้นจนเป็นแอ่งเลือด
ราลถึงกับหน้าซีด ตัวสั่น เหงื่อตก และหมดแรง เป็นครั้งแรกที่ผู้ล่าอย่างเขาตกอยู่ในสภาพของผู้ถูกล่าอย่างนี้
“พี่ชอบน้องชายจัง” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ พลางจ้องอนัตตะที่กำลังดื่มชาเป็นแก้วที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้อยู่
พรูด! “แค่กๆ” อนัตตะถึงกับพ่นน้ำชาอุ่นๆ ออกมาทางจมูก ทำเอาคนทั้งร้านหันมามอง
“อ้าว!?” ชายหนุ่มทำเสียงอย่างฉงน
“ยะ...แค่ก อย่าพูดอะไรชวนคลื่นไส้ได้ไหม แค่กๆ”
“เอ้อ...พี่ไม่ได้หมายความแบบน้าน(เกาหน้าแกรกๆ)พี่หมายถึง...พี่ชอบแววตาของน้องน่ะ แบบว่า...มันเหมือนผ่านสมรภูมิมาเยอะดี ไม่สิ จะว่าไงดีล่ะ มันเหมือนกับผ่านเรื่องร้ายแรงมาแล้วน่ะ” ชายหนุ่มแก้ตัว อนัตตะมองค้อนขวับ แล้วกระดกน้ำเปล่าดื่มล้างคอที่แสบร้อน ก่อนจะวางแก้วลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร...” อนัตตะดึงทิชชู่มาจากกล่องที่วางอยู่กลางโต๊ะ นำมาซับๆ ปากของตนเอง ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ มองอนัตตะอย่างอ่อนใจ
ศิลาหันกลับไปหาราลช้าๆ แววตาของเด็กหนุ่มนั้นเย็นเยียบ ส่วนราลนั้น...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเมื่อสนับมือหายไป ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเมื่อตนลงมานั่งกองกับพื้น...อย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง แม้แต่ความคิดจะหนี...ก็ไม่มีอยู่ในหัวสมองที่ขาวโพลน
...ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ...
ราลเบิกตากว้าง แม้ว่าดวงตาจะสะท้อนภาพของศิลาที่เดินตรงเข้ามาหา แต่ในหัวสมองกลับไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเด็กหนุ่มหน้าหวาน
...ตายแน่ๆ ตายแน่ๆ ตาย ตาย ตายแน่ๆ...
ศิลาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าราลที่แหงนหน้าขึ้นมาจ้องตน ดวงตาของอีกฝ่ายนั้นเบิกกว้างจนแทบจะถลน ซ้ำยังมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่อีกต่างหาก ดูแล้วน่าสมเพชนัก แล้วศิลาก็ยกดาบทั้งสองข้างของตนขึ้นเหนือศีรษะ
กรุ๊งกริ๊ง ประตูร้านน้ำชาเปิดออกพร้อมเสียงกระดิ่ง
“ยินดีต้อน...รับค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวพูดขาดห้วง คำข้างหลังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ศิลากับชายหนุ่มหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครอนัตตะถึงกับหน้าตึงไปทันที
“โอ้ว! นี่ไงล่ะเขาน่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างร่าเริง ศิลาชะงักเท้านิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ตัวคนเดียว แต่มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ ผมหยักศกเหมือนกันแต่ยาวกว่าและยุ่งกว่า ผิวขาวซีด ดวงตาสีมรกต อยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่มีฮู้ดหลวมโคร่ง กางเกงเป็นแบบสไตล์ฮิปฮอป อนัตตะลุกขึ้นยืนช้าๆ
“งั้น...ผมไปก่อนนะครับ ฝากค่าน้ำชา ทั้งหมด ด้วย” อนัตตะเน้นคำว่าทั้งหมด แล้วเดินมาหาศิลาที่ยืนบื้ออยู่
“ทำไมมาช้า?” เด็กหนุ่มนักเดินทางถามเสียงห้วน บ่งบอกว่าอารมณ์ขึ้นแต่ไม่ขึ้นมากนัก
“ผมเจอเรื่องน่ะครับ” ศิลาตอบแบบขอไปที อนัตตะไม่ได้ถามหาความอะไรอีก เด็กหนุ่มแค่ปรายตามองอาวุธของตน แล้วเดินออกจากร้านไปเงียบๆ ศิลารีบหันกลับวิ่งตามไป
“โชคดีนะทั้งสองคน” ชายหนุ่มปริศนาโบกมือลาไล่หลัง
“เอ่อ...คนคนนั้นใครเหรอครับ?” ศิลาถามหยั่งเชิงออกไป
...เงียบ...
เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคุณอนัตตะกำลังโกรธอยู่ แต่ระดับยังไม่รุนแรงนัก กระนั้นศิลาก็ไม่สบายใจกับท่าทางนั้นเลยสักนิด เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็ต้องให้นึกขอบคุณชายปริศนาที่รั้งคุณอนัตตะเอาไว้ ทำให้ศิลาที่ไปถามเอาจากคนร้านรองเท้าแล้วรู้ว่าเจ้านายอยู่ไหน ตามไปพบได้โดยไม่คลาดจากกัน
“ดูสิเธอ...เด็กสมัยนี้ชอบโชว์กันจังนะ”
“นั่นเด็กผู้ชาหรือเปล่าเธอ ไม่มีหน้าอกด้วยแหละ”
“แฟชั่นบ้าบอของคนสมัยนี้รึนี่...”
เสียงนินทาระยะเผาขน ใกล้ และไกล ลอยมาเข้าหูคนหูดีทั้งสอง ศิลานั้นอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เด็กหนุ่มพอจะรู้อยู่หรอกว่าสภาพของตัวเองนั้นเป็นยังไง เสื้อผ้าขาดวิ่น ทำให้เห็นผิวใต้เนื้อผ้าที่ขาวสม่ำเสมอกับผิวนอกเนื้อผ้า ส่วนอนัตตะที่ได้ยินเสียงเหล่านั้น ก็ให้นึกรำคาญยิ่งนัก เขาจึงหยุดฝีเท้า ทำให้ศิลาต้องหยุดตาม เด็กหนุ่มนักเดินทางหันมาหาศิลาหน้าบอกบุญไม่รับ ก่อนจะเปิดเป้ที่สะพาย ค้นๆ อยู่สักพักเสื้อคลุมกันหนาวมีฮู้ดตัวใหญ่ก็ติดมือกลับมา อนัตตะโยนใส่เด็กหนุ่มหน้าหวานอย่างไม่นุ่มนวล
“เอาไป แล้วใส่ซะ!” เด็กหนุ่มนักเดินทางพูดห้วนๆ ก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ ศิลารับมาประคองไว้ มองด้านหลังของเจ้านายอย่างสำนึกผิด แต่...ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากไปกว่าการสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวนี้ให้เรียบร้อย แล้วเดินตามหลังไปเงียบๆ อย่างที่เคยทำมา
ในตรอกร้างเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลาย บนพื้นปูนขรุขระแข็งกระด้าง มีร่างอยู่สองร่างนอนหมดลมหายใจอยู่ ร่างหนึ่งนั้นขาดเป็นสองท่อน รอยฟันเป็นแบบสะพายแล่ง และนอนจมกองเลือด ส่วนอีกร่างนั้นไร้ซึ่งศีรษะ ไม่ไกลจากสองศพที่นอนจมแอ่งเลือด ลึกเข้าไปในทางตัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนคว่ำอยู่กับพื้น สภาพภายนอกนั้นปราศจากซึ่งบาดแผล จึงไม่อาจทราบได้ว่า...เป็น หรือ ตาย
“น่าสงสารนะ” เสียงผู้ชายดังขึ้น แต่ในตรอกนั้นกลับไม่พบใครเลยสักคน
“จะช่วยเหรอ” อีกเสียงดังขึ้น เป็นเสียงผู้ชายเช่นกัน แต่นุ่มกว่า และเยือกเย็นกว่า
“ไม่รู้สิ...อ๊ะ! ครอว์มาแน่ะ...”
เมื่อกี้นี้ตรอกมรณะยังไม่ปรากฏร่างของใครนอกจากผู้เคราะห์ร้ายสามคนนี้ แต่แล้วกลับมีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าของราลที่ดูไม่ออกว่าเป็นหรือตาย
“ตายหรือยังน่ะครอว์” เสียงแรกถาม
“ยัง” บุรุษนามครอว์ตอบเสียงเรียบ
“แล้วอีกสองคนล่ะจะทำยังไง?” เสียงของบุรุษที่สองเอ่ยถาม
“ฝังสิ” ครอว์ตอบเรียบๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปเบื้องหน้า คว่ำมือลง ทั้งๆ ที่ปากของเขาไม่ได้ขยับ แต่กลับปรากฏวงเวทสีดำสนิทขึ้น มันประทับอยู่บนหลังของเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำไม่รู้ชะตาตัวเอง วงเวทดังกล่าวหมุนตามเข็มนาฬิกา ระหว่างที่หมุนอยู่นั้นร่างอันบอบช้ำของราลก็ค่อยๆ ถูกดูดกลืนหายเข้าไปในวงเวทนั้นช้าๆ วงเวทหมุนครบสามรอบ ร่างของราลก็ไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
“อีกสองคนที่เหลือจะฝังจริงๆ เหรือครอว์” เสียงแรกถาม น้ำเสียงฟังดูเสียดาย
บุรุษนามครอว์ตวัดสายตาสีมรกตไปมองด้านข้าง พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนยิ้มหน้าเป็นอยู่
“หรือนายอยากได้เอาไปเป็นของเล่น” ครอว์ถามเสียงราบเรียบ ลมตึกพัดมาวูบหนึ่ง ผมหยักศกยาวถึงกลางหลังจึงปลิวสยาย ดวงตาสีมรกตวาววาม เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะในลำคอ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันไม่มีรสนิยามเล่นศพหรอกนะ เพราะฉันไม่ใช่อีกา...” เด็กหนุ่มว่า ดวงตาของครอว์วาวโรจน์ขึ้นด้วยโทสะ
“อีกาไม่ได้เล่นศพเสียหน่อย...แต่มันกินซากศพต่างหาก...” เสียงของบุรุษคนที่สองดังขึ้น เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ถึงกับต้องปิดปากหัวเราะเงียบๆ
“จะไปที่ไหนก็ไป” ครอว์ออกปากไล่ทั้งสอง น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบราวกับแผ่นกระจก
หนุ่มน้อยถึงกับชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองครอว์ด้วยความอึ้ง
“ดะ...เดี๋ยวสิ ล้อเล่นแค่นี้อย่าเพิ่งโกรธเลยน่า...” เด็กหนุ่มละล่ำละลักคำพูด
“ถ้างั้นเราไปก่อนนะครอว์ เด็กใหม่ที่นายเจอน่าสนใจดี เอาไปรายงานหัวหน้าเร็วๆ ล่ะ” เสียงที่สองตัดบทเร็วปรื๋อ แล้วในความรู้สึกของครอว์ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีดวงจิตของสิ่งมีชีวิตประเภทมนุษย์คนหนึ่งหายวับไปจากบริเวณ แล้วตามด้วยดวงจิตดวงที่สองของเด็กหนุ่มข้างกาย ครอว์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
...เล่นไม่เป็นเล่นเลย สองคนนี้... คิดอย่างหงุดหงิดแล้วหันกลับมาหาสองศพที่เหลือ พอเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่
...น้องชายหน้าสวยคนนั้น จะเก็บกวาดผลงานสักหน่อยก็ไม่ได้รึไงกันนะ...
เนื่องจาก...สภาพการจราจรที่ติดขัด บวกกับอากาศร้อนนรกเพราะเป็นเวลาเที่ยงวัน สองหนุ่มจึงเลือกที่จะเดิน กับเดิน หลังจากนั่งรถเมลล์มาเป็นเวลาหลายชั่วโมงกว่า แต่กลับไปไม่ถึงไหนเลย เป้าหมายต่อไปของเด็กทั้งสองคือย่านไชน่าทาวน์ อนัตตะบอกกับศิลาว่าจะไปหาโรงแรมราคาถูกๆ ที่นั่นพักสำหรับคืนนี้ และวันพรุ่งนี้เช้าก็จะเดินทางต่อ โดยมีจุดหมายเป็นโซนมืดของเมือง
เป็นเวลาล่วงเข้ายามเย็นกว่าทั้งสองจะมาถึงย่านไชน่าทาวน์ ซึ่งการมาถึงนั้นก็ยากลำบากยิ่งนัก เพราะทั้งคู่เดินทางมาด้วยการเดิน...บางทีมันอาจจะเวอร์ไปสักหน่อย แต่คงไม่เวอร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าทั้งสองได้ใช้เวทมนตร์เพื่อช่วยในการเดินทาง ซึ่งนักเวท พ่อมดหรือแม่มดที่ไหนๆ เขาก็ทำกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เริ่มตระเวนหาที่พัก
ตอนนี้ทั้งสองกำลังยืนอยู่ริมถนน รอให้ไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเขียวน่าเกลียดมาเป็นสีแดงน่าชังก่อน เพื่อที่ถนนจะได้ว่างประมาณสิบห้าวินาทีสำหรับการข้ามไปอีกฝั่ง รอๆ อยู่ครู่หนึ่ง ขบวนรถทิ่วิ่งตามกันเป็นทอดๆ ก็ขาดห้วง ทำให้ท้องถนนว่างเปล่าครู่หนึ่ง แต่ไฟเขียวยังไม่เปลี่ยนไป ทว่าอนัตตะกลับใจร้อน เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงไปบนถนนด้วยความเร่งรีบ ศิลาหันไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็วพอดี
“คุณอนัตตะ! รถครับ” เด็กหนุ่มตะโกนแต่เสียงรถราบนท้องถนนอีกสายที่อยู่ไม่ไกล กลบไปเสียหมด
อนัตตะที่ได้ยินแว่วๆ แต่ไม่รู้เรื่องจึงหันไปหาศิลา
เฟี้ยว!
สายลมคมกริบพัดเฉียดกรีดผิวเนื้อที่แขนผ่านไป อนัตตะหันกลับมามองทันทีทันเห็นแขนของตัวเองมีแผลเหมือนถูกเฉี่ยว แล้วพอมองออกไปที่ถนน ก็เห็นใครบางคนกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์จากไปด้วยความเร็วจนตำรวจน่าเรียก เด็กหนุ่มอาจจะไม่ใส่ใจ ถ้าหากคนขับมันไม่ได้ใส่หมวกันน็อกประหลาดน่ะนะ...
แล้วไฟเขียวก็กลายเป็นไฟแดง
“เมื่อกี้...ฉันเกือบตายไปแล้วแน่ะ ใจยังเต้นอยู่เลย” อนัตตะพูดเสียงหวิว เมื่อก้าวเข้ามาสู่ดินแดนแห่งคนไทยเชื้อสายจีนในที่สุด เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำมืดพอดิบพอดี
“...โชคดีนะครับที่ไม่เป็นอะไรมาก...” ศิลาเหล่ไปทางแผลที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว แต่พอนึกถึงตอนที่เลือดมันซึมออกมา...
เอื๊อก ศิลากลืนน้ำลายลงคออย่างอดกลั้น อาทิตย์นี้...คุณอนัตตะให้อาหารมาแล้วนา...
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ตระเวนหาที่พัก แล้วก็ได้เช็กอินเข้าโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ดูแล้วเป็นบ้านสองชั้นดัดแปลง ให้ชั้นบนเป็นห้องพักสำหรับพวกนักท่องเที่ยว ที่ต้องการห้องพักนอนราคาถูก หลังจากปลดสัมภาระออกจากร่างกายแล้วและกองไว้ในห้องพักแคบๆ ทั้งสองก็พากันลงไปที่ถนนเยาวราชในยามค่ำคืน เพื่อที่จะไปหาสิ่งที่เรียกกันว่า...อาหารเย็น
คนอ่านน้อยTT^TT ไม่ใช่น้อยธรรมดาๆ นะ แต่เป็นศูนย์เลยต่างหาก(โฮ) เอ้า มาดูตัวละครใหม่กันดีกว่า:)
แนะนำตัว: ชื่อครอว์ครับ เป็นชื่อปลอม
เพศ: ชายสิครับ เห็นเป็นอะไรล่ะ
อายุ: 25 ปีบริบูรณ์ครับ
อาชีพ: สตรีทไฟเตอร์(street fighter) ครับ
คำพูด: คนอ่านน้อยจังนะครับ นิยายเรื่องนี้จะไปรอดเร้อ...
ความคิดเห็น