คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : จุดหมายที่5 ก้าวเท้าสู่เมืองใหม่
จุดหมายที่5
ก้าวเท้าสู่เมืองใหม่
ทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่แผ่ไพศาลไปจนสุดสายตาจรดกับเส้นขอบฟ้า เมื่อมองขึ้นไปบนนภาก็จะพบกับปุยเมฆมากมายที่ล่องลอยอย่างสบายอารมณ์ ลมรำเพยพัดโชยแผ่วต้องผิวกายเย็นสบาย แลบรรยากาศก็เงียบสงบน่านอนยิ่งนัก
ศิลาเงยหน้ามองฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย ที่ไกลออกไป ณ อีกฝั่ง เด็กหนุ่มราวกับมองเห็นใครบางคนที่มองตอบกลับมา ยิ้มเยาะให้และหันกายเดินจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับอย่างเงียบงัน
“ศิลา” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น ศิลาดึงสายตากลับมามอง พบกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาลอ่อน นัยย์ตาสีฟางคนหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“...คุณศิมันต์” ศิลาครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่ในใจกลับคลางแคลงสงสัย ไม่แน่ใจในตัวเด็กหนุ่มคนนั้น
“นายคนใหม่เป็นไงบ้าง?” เด็กหนุ่มนามศิมันต์ยิ้มแย้ม ไต่ถามด้วยน้ำเสียงใจดีเป็นนิตย์
“...ผมยังไม่ทราบครับ...แต่คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดี...ดีกว่านายคนก่อนๆ” ศิลาตอบยิ้มๆ ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนไม่ดี
“งั้นหรือ...งั้นก็ดีแล้วล่ะ ฉันคงไม่ต้องห่วงอะไรอีก” กล่าวจบเด็กหนุ่มนามศิมันต์ก็สลายกลายเป็นเม็ดข้าวสีทองปลิวไปตามแรงลม ศิลาเบิกตากว้างด้วยความตะลึง กำลังอ้าปากจะร้องเรียก กลุ่มก้อนเม็ดข้าวดังกล่าวก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วแปรรูปร่างกลายเป็นคนๆ หนึ่งที่ศิลาเพิ่งรู้จัก
“คุณอนัตตะ” เด็กหนุ่มอุทานด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วอนัตตะที่ศิลาเห็นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใครอีกคนที่มีผมเปียเดี่ยวเหมือนกัน เป็นใครอีกคนที่มีรอยยิ้มงดงามราวสตรียิ่งนัก และเป็นใครอีกคนที่คุ้นเคยดังเป็นคนๆ เดียวกัน
“...พะ...”
“เฮ้ย! ศิ ตื่นได้แล้วโว้ย” อนัตตะตะโกนกรอกหูศิลาที่หลับอุตุอยู่บนเตียง
“เหวอ!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่งหน้าตื่นๆ แล้วหันไปมองคนตะโกนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมออกเดินทางแล้ว
“ด่วนจี๋พี่น้อง” อนัตตะเท้าเอวสั่งสีหน้าจริงจัง
หลังจากทานข้าวที่โรงแรมเสร็จ คนทั้งสองก็โบกรถเมลล์ตรงไปยังทราเวลเซ็นเตอร์ทันที เมื่อไปถึงอนัตตะที่ชำนาญทางกว่าศิลาก็กึ่งลาก กึ่งจูง กึ่งกระชาก และกึ่งเหวี่ยงเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งตามอย่างมึนงงกับจำนวนนักเดินทางที่มีมากมายมหาศาลให้ตามมาอย่างทุลักทุเล
“เดี๋ยวก็หลงหรอก!” อนัตตะหันมาตะโกนแข่งกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจของนักเดินทางทั้งหลายใส่ศิลา ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็ตื่นตัวทันทีแล้วรีบวิ่งตามอนัตตะตรงไปยังลิฟต์
ทราเวลเซ็นเตอร์เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ ณ ทิศตะวันออกของเมืองหลวง ลักษณะอาคารคล้ายกับโคลอสเซียม การเดินทางลักษณะต่างๆ จะถูกแบ่งไว้เป็นชั้นๆ และเนื่องด้วยว่าการเดินทางนั้นมีหลากวิถี ชั้นของโคลอสเซียมจึงไม่ได้มีน้อยๆ แต่ถ้าเห็นเด่นชัดที่สุดก็คือชั้นบนสุดของโคลอสเซียม ซึ่งเป็นชั้นของ เรือเหาะ ไล่ตั้งแต่ขนาดเล็กที่บรรจุผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน ไปจนถึงเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บรรจุผู้โดยสารได้เป็นพันๆ คน
แต่เป้าหมายอนัตตะและศิลากำลังมุ่งตรงไปนั้น เป็นชั้นของการเดินทางข้ามมิติ
“เวลาในตั๋วที่เราจองไว้กี่โมงวะศิ” อนัตตะหันมาถามเมื่อทั้งสองทะลักออกจากลิฟต์ตามคลื่นผู้คนออกมา
“จะ...เจ็ดโมงตรงครับ” ศิลาเค้นเสียงตอบเพราะถูกเบียดจนแทบจะหายใจไม่ออก
“งั้นรีบเลย! นี่มันจะเจ็ดโมงอยู่แล้ว” อนัตตะตะโกน แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็วิ่งฝ่าฝูงชนตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของชั้นเดินทางข้ามมิติทันที
“ประกาศ ขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านที่ใช้บริการการเดินทางข้ามมิติ ประเภทย้อนเวลา ให้ไปยังประตูที่สาม ห้า เจ็ด เก้า สิบเอ็ด สิบสาม สิบห้า สิบเจ็ด สิบเก้า และยี่สิบเอ็ดค่ะ” เสียงประชาสัมพันธ์สาวดังขึ้นเหนือศีรษะของคนทั้งสอง เมื่อได้ยินดังนั้น สองหนุ่มผู้ตัวเบาเนื่องจากสัมภาระน้อยก็รีบทะยานไปตามโถงอันกว้างขวาง ซอกแซก ซอกซอนไปตามช่องว่างระหว่างผู้คนด้วยความเร็วสูงสุด...
พลั่ก!!!
“โอ๊ย!!!” เด็กสาว(?)ร่างสูงคนหนึ่งร้องเสียงหลงก่อนจะเสียการทรงตัวหงายหลังไป แต่อนัตตะที่ตั้งหลักได้ก่อนเป็นคนคว้าข้อมือของเธอคนนั้นเอาไว้ แล้วดึงกลับมาให้ทรงตัวได้อีกครั้ง
“จะรีบไปตายที่ไหนยะ!!” ทันทีที่ยืนได้มั่นเด็กสาว(?) ก็ตวาดใส่อนัตตะที่เตี้ยกว่าอย่างเดือดดาล
“กรุงเทพฯครับ ขอโทษด้วยผมไปก่อนล่ะ” อนัตตะพูดรัวเร็ว แล้ววิ่งผ่านเด็กสาว(?)คนนั้นไป ตามหลังด้วยศิลาที่วิ่งตัวปลิว เด็กสาว(?)หันไปมองตาม เธออ้าปากจะต่อว่าแต่ทั้งสองก็ไปไกลเกินกว่าจะพูดทันเสียแล้ว เธอจึงทำได้กัดฟันกรอดพร้อมกำหมัดแน่นอย่างสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน หงุดหงิดก็หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังจะมาเจอเด็กผีกระตุ้นต่อมเดือดอีก วันนี้มันวันอะไรกันนี่...
“หนอย...อย่าให้เจออีกนะ” เธอกัดฟันกรอด แต่แล้วก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้น เมื่อก้มลงเก็บเอาขึ้นมาดูใกล้ๆ มันเป็นหัวกะโหลกขนาดเล็กที่ทำจากวัสดุไม่ทราบชนิด แต่เป็นสีขาวงาช้างและค่อนข้างประณีต ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของทำมือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใครเนี่ยสิ แล้วภาพของเด็กหนุ่มผมหยักศกเมื่อกี้ก็แวบเข้ามา เด็กสาว(?)หลับตาข่มอารมณ์พร้อมกำหัวกะโหลกเอาไว้แน่น
...ของทำมือแบบนี้น่าจะสำคัญ เก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน... เธอคิด
ที่ประตูหมายเลขสิบสาม มีผู้โดยสารมากมายต่อแถวอยู่หน้าม่านน้ำใส ข้างๆ ม่านน้ำนั้นมีอมนุษย์ตนหนึ่งที่เหมือนกับเสือชีต้า มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ยืนสองขาใส่ชุดพนักงานตรวจตั๋วยืนอยู่ อมนุษย์คนนั้นมีหน้าที่รับตั๋วมา ร่ายเวท ขยำตั๋ว โยนใส่ม่านน้ำ แล้วพูดกับผู้โดยสารทุกคนว่า
“ขอให้เดินทางให้สนุกนะครับ”
อนัตตะกับศิลายืนต่อแถวอยู่ เด็กทั้งคู่รีบค้นหาตั๋วในกระเป๋า เมื่อเจอแล้วต่างก็กำไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป ในขณะที่กำลังรอคอยให้ถึงคิวของตนอยู่นั้นศิลาก็หวนไปนึกถึงความฝันเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพในฝันยังติดตาตรึงใจนัก คนแรกที่ปรากฏเด็กหนุ่มจำได้แม่นยำว่าเป็นคุณศิมันต์ แต่คุณศิมันต์นั้นเป็นชายชรามิใช่หรือ แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันเล่า คนที่สองโผล่มาแป๊บๆ แล้วหาย กระนั้นคุณอนัตตะก็ยังส่งยิ้มเย็นๆ มาให้ พร้อมกับส่งสายตาลึกลับปิดท้ายก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นใครอีกคน...
ใครอีกคนที่ไม่อยากคิดถึงเลยแม้แต่น้อย
ศิลาเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“เชี่ย! ขาดได้ไงวะ บ้าเอ๊ย!” อนัตตะสบถเสียงเบาแต่ห้วนสั้น ทำเอาศิลาสะดุ้ง มือของเด็กหนุ่มคลายลงไปบ้าง
“อะไรเหรอครับ?” ศิลาถามอย่างอยากรู้ อนัตตะจึงหันมาแล้วดึงสายห้อยเสื้อฮู้ดให้ดูอย่างหงุดหงิด ศิลาจึงเห็นว่ามันขาดหายไปพร้อมกับที่ห้อยรูปหัวกะโหลกนั่นเอง
“สงสัยขาดตอนที่วิ่งชนเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ ว่าแต่...ผู้หญิงอะไรวะตัวสูงชะมัด” บ่นเสร็จก็หันกลับไปสนใจกับแถวต่อ เพราะใกล้จะถึงคิวของตัวเองแล้ว
เมื่อมาถึงคิวของอนัตตะ เด็กหนุ่มยื่นตั๋วไปให้คุณอมนุษย์เสือชีต้านั่น เขาทำตามขั้นตอนทุกอย่างอย่างรวดเร็วก่อนจะขยำบัตรแล้วโยนเข้าไปในม่านน้ำ
“ขอให้เดินทางให้สนุกนะครับ” คุณอมนุษย์บอก
“ขอบคุณครับ” อนัตตะพูดยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในม่านน้ำนั้นอย่างมาดมั่น ก่อนจะหายลับไป จากนั้นคิวก็มาถึงศิลา
“ยินดีต้อนรับสู่ป่านอกเมืองของกรุงเทพมหานครจ้า!!!” เสียงแหลมเล็กเจื้อยแจ้วดังทะลุโสต ศิลาที่หลับตาอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันไปมองรอบๆ กาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็พบว่า...ตัวเองอยู่ในโพรงไม้ขนาดใหญ่โพรงหนึ่งนั่นเอง
“ขอเชิญผู้โดยสารท่านนั้นออกมารับอากาศด้านนอกจ้ะ” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่อาจระบุที่มาได้ ไม่สิ...มัน...ศิลาก้มลงมองพื้นแล้วเด็กหนุ่มก็ได้พบกับ...กระรอกตัวน้อยสีน้ำตาลที่มีหางซึ่งมีขนพองฟูเป็นพวงพู่น่ารัก กำลังแหงนหน้าเล็กๆ ขึ้นมาและใช้ตากลมโตดำขลับเป็นประกายราวลูกปัดของมัน มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างใสซื่อ
...สัตว์ภูต... ศิลาอุทานในใจ ดวงตาเป็นประกายวิบวับเพราะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“เฮ้ย! ออกมาได้แล้ว เราต้องเข้าเมืองก่อนค่ำมืดนะ” เสียงห้าวตะโกนเรียกจากด้านนอก ทำให้ศิลาต้องรีบตามออกไป เด็กหนุ่มระวังไม่ให้ตัวเองเผลอไปเหยียบกระรอกตัวนั้น แต่มันเองก็ไวใช่เล่นเพราะคลาดสายตาแป๊บเดียวมันก็ออกมาอยู่ข้างนอกโดยเกาะอยู่บนบ่าของอนัตตะแล้ว
“โก อเวย์” อนัตตะพูดพลางชี้ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของป่า สีหน้าดูจริงจังยิ่งนัก
ตลอดการเดินทาง อนัตตะเอาแต่เงียบกับเงียบไม่พูดไม่จา ศิลาเองก็ไม่ได้ชวนคุยเพราะดูเหมือนว่าคุณอนัตตะจะไม่อยากให้ใครกวน สักพักเด็กหนุ่มนักเดินทางก็หยิบเอาหูฟังขึ้นมาเสียบหูแล้วฟังเพลงเงียบๆ ตามลำพัง ทิ้งให้ศิลาเดินอยู่ด้านหลังต้องอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ป่านอกเมืองแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นป่าดิบที่รกครึ้ม อากาศภายในนั้นทั้งร้อนและชื้น แต่บางช่วงก็เย็นสบายและหากมีลมพัดโชยมาละก็...สุดแสนจะสบายจนน่านอนเลยล่ะ ในป่านั้นมีทั้งดอกไม้และไม้ผลที่มีผลเต็มต้น บางครั้งก็จะเห็นสัตว์ป่าวิ่งผ่านไปเป็นเงาไหววูบ และบางทีก็จะได้ยินเสียงนกแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
แม้ว่าศิลาจะใส่ชุดแบบผู้หญิง แต่เนื่องจากว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นนักเดินทางตัวยง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักชายป่าอีกฟากฝั่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา
แสงแดดที่ร้อนแรงจนเผาเนื้อสาดส่องต้องเข้าดวงตาของเด็กทั้งสอง ศิลานั้นหยีตาส่วนอนัตตะนั้นกลับมองสำรวจไปโดยรอบ แล้วมองตรงไปข้างหน้า ซึ่งมีป้ายเก่าๆ ที่มีข้อความเลือนๆ เขียนไม่ออกปักอยู่
“ในแผนที่บอกไว้ว่า...ตรงไปข้างหน้าจะเข้าเขตย่านอังกฤษ” อนัตตะพูดเสียงเนิบช้า แต่ดูเหมือนศิลาจะไม่ได้สนใจ เพราะเด็กหนุ่มกำลังเบิกตากว้างมองบางสิ่งที่เห็นเพียงเงาอยู่ในดงไม้ใหญ่ของป่า
“คุณอนัตตะครับ! ผมว่าผมเห็นคนป่าล่ะ”
“บ้า! ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ถึงที่นี่จะเป็นป่าดิบก็เหอะ” อนัตตะหันมาต่อว่า แล้วหันกลับไปดูที่ป้ายต่ออย่างชั่งใจ ศิลาเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าเพื่อหาอะไรทำแก้เบื่อ...
“ผมเห็นมังกรล่ะ”
“เออ โลกนี้ไม่ได้มีแต่เราที่แปลก”
...แล้วทำไมคราวนี้ไม่ว่าผมบ้าล่ะ...
“เอ้อ...เอาล่ะ ไปกันเถอะพี่น้อง กรุงเทพมหานครฯรอเราอยู่”
สถาปัตยกรรมแห่งย่านอังกฤษนั้น เป็นแบบเมืองแมนเชสเตอร์ที่ประเทศอังกฤษ(ชื่อย่านมันก็บอกอยู่) เป็นสถาปัตยกรรมที่...งดงามและให้ความรู้สึกที่...สมบูรณ์แบบของการจัดวางผังเมือง รวมทั้งการก่อสร้างและตกแต่งที่สมจริง จนราวกับว่าคุณได้หลงเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ อย่างไรอย่างนั้นแหละ เสียแต่ว่าที่ประเทศอังกฤษนั้นไม่ได้มีอากาศที่ร้อนจนแทบจะฆ่าตัวตายแบบนี้
ขณะที่เดินไปตามถนนอยู่นั้น อนัตตะและศิลาที่มัวแต่สนใจสถาปัตยกรรมที่ไม่เคยเห็น จนไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งทางรถและทางเดินเท้า ที่พุ่งความสนใจไปยังคนทั้งสองเป็นจำนวนมาก สำหรับอนัตตะแล้วคงไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับศิลานั้นมันต่างกัน ในเวลาอันสั้นเหล่าแม่บ้านบนทางเท้าทั้งหลายต่างก็หันไปจับกลุ่มพูดคุยกันโดยว่องไว
“นั่นแฟชั่นใหม่เหรอเธอ?”
“อุ๊ย!ผมทรงอะไรน่ะ”
“หลุดมาจากโลกไหนหรือเปล่าเด็กคนนั้นน่ะ”
“หน้าตาสวยๆ ไม่น่าเป็นพวกตามกระแสเล้ย”
“เฮ้อ...คนหนอคน” อนัตตะที่บังเอิญได้ยินพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปมองคนข้างหลังที่มองโน่นมองนี่อย่างสนอกสนใจ ดูราวกับเด็กน้อยที่อัศจรรย์ใจต่อโลกกว้างก็ไม่ปาน
“เฮ้! เร็วๆ เข้าฉันจะรีบไปร้านรองเท้า” อนัตตะเร่งคนข้างหลังเสียงดัง ศิลาหันกลับมามองแล้วรีบเร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ด้านหลังเยื้องขวา
“ขออภัยครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าพูดอย่างสุภาพ แต่อนัตตะกลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ
ร้านรองเท้าที่อนัตตะจำได้จากแผนที่ หากเลี้ยวขวาข้างหน้าก็จะถึง และเมื่อเด็กหนุ่มเลี้ยวปุ๊บ ก็เจอปั๊บแทบจะทันที ร้านรองเท้านี้มีชื่อว่า มิสเตอร์รองเท้า เด็กหนุ่มนักเดินทางรีบเข้าไปแบบไม่รีรอ ตามด้วยศิลาที่เดินเนิบช้าตามเข้าไปอีกคน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
อนัตตะเปิดประตูออกมาจากร้านในสภาพรองเท้าแตะ ส่วนศิลาก็เดินตามออกมาอย่างสงบนิ่ง เด็กหนุ่มผมหยักศกมองซ้ายขวา แล้วหันกลับมาหาศิลาก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้ออกท่ามกลางความประหลาดใจของอีกฝ่าย หลังจากหยิบๆ ค้นๆ อะไรแล้ว อนัตตะก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา ศิลาเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรอนัตตะก็ยัดสิ่งนั้นใส่มือเรียวของเด็กหนุ่มหน้าหวานแบบส่งๆ
“เอ้า! เอานี่ไปแล้วไปเดินเล่นแถวๆ นี้ซะ เดี๋ยวฉันมา” อนัตตะพูดเร็วๆ ยังไม่ทันที่ศิลาจะได้ตอบโต้ เด็กหนุ่มก็ผละจากไปแทบจะทันที เขาวิ่งหายกลับไปตามทางเดิม ศิลารีบวิ่งตามไปดู แต่ก็ไม่พบคุณอนัตตะ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนักเดินทางนั้นหายไปไหนเสียแล้ว...
“เฮ้อ...” ศิลาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะมองไปรอบด้านเพื่อหาร้านค้าที่น่าสนใจ
ก่อนหน้านี้คุณอนัตตะได้นำรองเท้าหนังของเขาไปฝากทำความสะอาดที่ร้าน มิสเตอร์รองเท้า หลังจากซื้อรองเท้าแตะมาใส่ไว้ชั่วคราวแล้ว เขาก็จัดแจงยัดเงินที่แลกมาเป็นสกุลบาทเรียบร้อยแล้วใส่มือของศิลา ก่อนจะวิ่งหายไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ
...สงสัยจะมีธุระอะไรล่ะมั้ง... คิดหาเหตุผลให้ตัวเองเงียบๆ พลางกราดสายตาอีกหน แล้วเด็กหนุ่มก็ไปสะดุดเข้ากับ...ร้านขนมหวาน
กรุ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งดังขึ้นต้อนรับเมื่อประตูร้านเปิด บรรยากาศภายในร้านนั้นเงียบสงบเพราะไม่มีลูกค้าอยู่เลยสักคน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงหวานของพนักงานแคชเชียร์สาว ที่ประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านซ้ายมือกล่าวทักทาย ศิลาหันไปยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แล้วก้าวเข้าไปในร้านขนมหวานที่ตกแต่งด้วยโทนสีอันสดใส พื้นที่เกือบทั้งหมดอัดแน่นไปด้วยขนมนานาชนิด แน่นอนว่าไม่มีขนมกรุบกรอบจำพวกมันฝรั่งทอดกรอบอะไรทำนองนั้นแน่นอน ศิลาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ กลิ่นหอมหวานลอยเข้ามาแตะจมูกยั่วน้ำลายยิ่งนัก เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วร้านเพื่อสำรวจแต่...เขาไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว ไม่รอช้า ศิลาก็เริ่มสำรวจหาขนมที่ตนชอบทันที!
ธุระของอนัตตะก็ไม่มีอะไรมากนอกจากมาเดินเล่นบนดาดฟ้า เด็กหนุ่มเลือกตึกที่ดูสูงที่สุดในย่านอังกฤษที่อยู่ในบริเวณรอยต่อระหว่างย่านเพื่อขึ้นมารับลม และสำรวจดูสภาพบ้านเมืองไปด้วย
...อืม...วุ่นวายดีแท้เมืองแห่งนี้... เด็กหนุ่มคิดขณะที่กราดสายตาไปทั่วเพื่อซึมซับภาพ ถึงแม้ว่าจะวุ่นวาย แต่ความน่าสนใจก็มีไม่น้อยไปกว่ากันเลย คิดแล้วหัวใจก็เต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น อยากท่องเที่ยวเสียแล้วสิ! เด็กหนุ่มกระโดดตีลังกาลงมาจากแทงค์น้ำ ลงพื้นอย่างสวยงามเนื่องจากการฝึก จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับปรากฏกระป๋องน้ำอัดลมในมือ
...เอาล่ะ...เที่ยวเล่นต่ออีกนิดหน่อยดีกว่า...
“ทั้งหมดก็...ห้าร้อยเก้าสิบเก้าบาทค่ะ” พนักงานแคชเชียร์สาวบอกราคา เมื่อศิลานำของหวานทั้งหมดมาคิดเงิน เด็กหนุ่มคลั่งของหวานรีบนับจำนวนเงินทันที แล้วส่งเงินจำนวนหกร้อยไปให้
เมื่อคิดเงินเสร็จแล้ว ศิลาก็หิ้วถุงใส่ขนมออกมาอย่างเบิกบานใจ ในนี้มีช็อกโกแล็ตของโปรดคุณอนัตตะด้วย เอาไว้ดับความร้อนหากเขาโมโหเรื่องที่ศิลาไปซื้อขนมมามากจนเกินไป หวังว่าช็อกโกแล็ตของมิตินี้จะถูกปากคุณอนัตตะนะ ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกดุยาวแน่
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีกลับไปตามทางเพื่อไปยังร้านรองเท้าอยู่นั้น ก็มีกลุ่มวัยรุ่นสองสามคนเดินเข้ามาหาจากด้านหลัง ภายในเวลาอันสั้นกลุ่มวัยรุ่นสามคนนั้นก็ล้อมหน้าล้อมหลังศิลาไว้จนหมดทางหนี
“ไงจ๊ะน้องสาว...มาคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอ?” คนที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มเปิดบทสนทนาด้วยท่าทางเพลย์บอย ซึ่งช่างเข้ากับหน้าตาอันหล่อเหลาราวดาราแต่กลับมีแววตาที่เจ้าเล่ห์เกินคาดเดา
“ผมเป็นผู้ชายครับ” ศิลาโต้กลับฉุนๆ
ทั้งกลุ่มเงียบกริบ
แล้วเจ้าหน้าหล่อมาดเพลย์บอยก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ถ้าน่ารักขนาดนี้ก็โอเค...” ไม่พูดเปล่าแต่ยื่นมือมาสัมผัสแก้มนวลของศิลาด้วย เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีตั้งใจจะแทรกกลุ่มออกไป
“ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่าน่า...” คนข้างหลังด้านซ้ายพูดขึ้น แล้วศิลาก็รู้สึกได้ว่ามีแขนของใครก็ไม่รู้โอบรอบเอวมาจากด้านหลัง แล้วออกแรงดึงให้เดินถอยหลังไป
“นี่พวกคุณจะทำอะไรกันเนี่ย!” ศิลาพูดเสียงดัง หวังให้ผู้คนบนทางเท้าทั้งหลายได้ยิน ซึ่งก็ได้ผลเพราะมีหลายคนมองมาที่กลุ่มนี้ด้วยความสนใจและสงสัย
“อ้าว! ก็ไปดื่มไง จำไม่ได้เหรอวะสัด วันนี้นัดกันไว้นะโว้ย” คนข้างหลังด้านขวาพูดเสียงดังกว่า ว่าแล้วทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังก็ขืนตัวศิลาให้หันไปหา แล้วทั้งสองก็ออกแรงดึงกึ่งบังคับให้ศิลาเดินตามการชักจูงไป ส่วนหนุ่มหล่อมาดเพลย์บอยก็เดินคุมหลังตามไป
“ไปดื่มกันๆ” เด็กหนุ่มพูดเสียงร่าเริง ซึ่งผิดกับสีหน้าของศิลาที่ตื่นตระหนกสิ้นดี!
มีบางอย่างแปลกๆ อนัตตะรู้สึกได้ระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่บนดาดฟ้าของอีกตึกหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน... เด็กหนุ่มขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับศิลา
...สงสัยจัง...ว่าการให้เลือดหมอนั่นมันมีผลทางด้านเวทมนตร์หรือเปล่า?...
เข้าซอยตรงซ้ายมือ เดินไปได้ระยะหนึ่งก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แล้วก็ซ้ายอีกที มาถึงตรอกเล็กๆ ที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่ง...
พลั่ก!
ร่างบางถูกผลักกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง แต่ศิลาก็ไม่ได้ร้องออกมาสักแอะ
“กรุณาส่งเงินและของมีค่ามาด้วยครับคนสวย แล้วพวกเราจะรับประกันความปลอดภัยให้” หนุ่มหล่อมาดเพลย์บอยเป็นคนบอกยิ้มๆ แววตาเจ้าเล่ห์ส่งประกายวิบวับ ส่วนลูกน้องด้านหลังที่หน้าตาดีพอๆ กันก็กำลังดึงมีดพกออกมาจากขอบกางเกงที่เหน็บไว้ แล้วสะบัดใบมีดออกเพื่อข่มขู่
“ถ้าให้ไปแล้วพวกคุณจะปล่อยผมไหม?” ศิลาเอียงคอถามอีกฝ่ายอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เพราะดูๆ ไปอีกฝ่ายก็แค่คนธรรมดาๆ ที่ทำตัวเป็นภาระสังคม ไม่น่าจะมีอันตรายมาก
“แน่นอนครับ” เจ้าหนุ่มมาดเพลย์บอยบอก
“สัญญานะ”
“...สัญญาครับ”
ได้ยินดังนั้นศิลาก็ล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋ากระโปรงที่มีทั้งหมด แล้วส่งให้อีกฝ่ายไปอย่างง่ายๆ โดยไม่มีการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
“ว่าง่ายจังนะครับ” หนุ่มมาดเพลย์บอยชมแล้วหันไปทางลูกน้อง พลางยักศีรษะไปทางเงินในมือของเหยื่อ แล้วลูกน้องคนหนึ่งที่ย้อมผมสีบลอนด์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมล้วงถุงผ้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง สะบัดออก แล้วยื่นไปหาศิลา เด็กหนุ่มรีบยัดเงินใส่ลงไปทันที...ทั้งหมด
“ปล่อยผมได้หรือยัง” ศิลาเงยหน้าถามเจ้าหนุ่มเพลย์บอยด้วยแววตาบ้องแบ๊วดูไม่เกรงกลัว เจ้าหนุ่มเดาะลิ้นสองสามทีพลางมองขึ้นข้างบนอย่างใช้ความคิด ก่อนจะกลับมาโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ให้อีกครั้ง
“เกรงว่า...จะไม่ได้ละมั้งครับ” พูดจบ ลูกน้องสงคนด้านหลังก็ย่างสามขุมเข้าหา พลางควงมีดในมือเล่นอย่างเสียวไส้ ศิลาเอียงคอมองอีกฝ่ายโกรธๆ
“ไม่รักษาสัญญานี่ครับ” เด็กหนุ่มต่อว่า
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจรหรอกครับ” เจ้าหนุ่มเพลย์บอยพูดยิ้มๆ แววตาเจ้าเล่ห์ส่งประกายวิบวับไม่น่าไว้ใจ “ดูๆ ไป...อวัยวะของคุณน่าจะราคาดี หรือจะเอาไปขายให้พวกเศรษฐีที่นิยมของแปลกก็ไม่เลวเหมือนกัน...” จากแววตาขี้เล่นเจ้าเล่ห์ บัดนี้ได้เปลี่ยนไปหมดสิ้น ความเคร่งขรึมตึงเครียดเข้ามาแทนที่ทันที บ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จริงจังกับงานแค่ไหน ถึงแม้จะเป็นงานทุจริตก็เถอะ
เอาล่ะ...ขอถอนคำพูดละกัน ตรงที่บอกว่าพวกนี้ดูไม่น่าจะอันตรายอะไร...เพราะศิลาเพิ่งสัมผัสได้ว่า...สามคนนี้เป็นผู้มี เวทมนตร์
เพิ่มรูปแล้วน่อ...สาวน้อยผมตั้งคนนั้นน่ารักไหม= = อนึ่ง บีจีกากเพราะเน้นตัวคน
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะครับ
ความคิดเห็น