คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : จุดหมายที่4 วายุนิลกาฬ
จุดหมายที่4
วายุนิลกาฬ
โซนต้องห้ามหรือโซนมืดของเมืองหลวง แหล่งชุมนุมคนเดนตายและคนสังคมไม่ยอมรับ ที่ๆ เต็มไปด้วยโสเภณี บ่อน พวกนักเล่นการพนัน พวกขี้เมา พวกเมายา นักฆ่า และสารพัดความมืดดำเท่าที่จะมีอยู่ในโลก ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ณ ฝั่งตะวันตกของเมือง
อนัตตะเดินช้าๆ ไปตามทางเดินแคบๆ เพราะมีขยะและผู้คนกินพื้นที่เสียมาก ทั้งๆ ที่ถนนก็ออกจะกว้างขวาง ส่วนข้างทางทั้งสองคือร้านรวง ซ่อง และบ่อนการพนันทั้งหลายแหล่ ที่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง มีโสเภณีสาวสวยหลายคนส่งสายตากรุ้มกริ่มกะลิ้มกะเหลี่ยมาให้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าอยู่เหมือนเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ้ย! น้องชาย อยากได้เงินใช้ไหม” เสียงตะโกนดังมาจากหน้าบ่อนการพนันบ่อนหนึ่ง แต่อนัตตะไม่แม้แต่จะชายตามอง
“คุณหนูครับ” เสียงเรียกนุ่มๆ ดังขึ้นที่ด้านหน้า
อนัตตะหยุดเดิน เด็กหนุ่มมองคนที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าด้วยแววตานิ่งเฉย เขาเป็นชายร่างสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบอยู่ในชุดสูทสีดำ ผมตัดสั้นติดศีรษะ(แต่ไม่เกรียน) ใบหน้าเรียว จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ดวงตาคม
“มีอะไรหรือ? ทัต” เด็กหนุ่มเอียงคอถามเอ่ยถามคนตรงหน้า ที่อยู่ห่างประมาณครึ่งเมตร
ทัตก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย
“นายท่าน ธีรเดช อยากพบครับ”
อนัตตะเหลือบมองที่ร้านข้างซ้ายตัวเอง แล้วก็พบกับร้านอาหารร้านหนึ่งที่ดูหรูหราไม่เบาตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผับ คาเฟ่ บาร์ ซ่อง บ่อน และร้านรวงอีกมากมาย แต่ร้านนี้กลับดูโดดเด่น เพราะในขณะที่ร้านอื่นๆ พยายามจะตกแต่งร้านให้ดูมีสีสันประชันโฉมกันยามราตรี ร้านอาหารแห่งนี้กลับตกแต่งด้วยโทนสีม่วง น้ำเงิน ชมพูเข้ม และแดงม่วง ทำให้ดูมืดๆ แต่โดดเด่นท่ามกลางร้านรวงที่เต็มไปด้วยสีสันลายตา
ชื่อร้านคือ วายุนิลกาฬ เป็นทั้งชื่อร้าน...และชื่อแก๊งค์มาเฟีย...
เมื่อก้าวเข้ามาไปร้านอาหารนั้นแล้ว สภาพของร้านอาหารสุดหรูก็กระแทกเข้าตาของอนัตตะทันที
“...นี่เปลี่ยนสไตล์การตกแต่งภายในอีกแล้วเหรอ...” อนัตตะบ่นพึมพำเบาๆ ส่วนทัตก็นำคุณหนูเดินไปที่หลังร้านซึ่งมีบันไดทอดตัวขึ้นไปชั้นบน ระหว่างที่เดินผ่านกลางร้านไป อนัตตะรู้สึกได้ว่ามีใครหลายคนมองเขาอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็หาได้ใส่ใจไม่ ยังคงเดินตามทัตไปจนถึงบันได เมื่อมาถึงบันไดทั้งสองก็ขึ้นมาที่ชั้นสอง เมื่อเลี้ยวซ้ายปุ๊บ ก็เจอกับประตูห้องทำงานของบอสใหญ่อยู่ตรงหน้า ที่มีบอร์ดีการ์ดชุดสูทดำ แว่นดำเฝ้าอยู่สองคน ทัตพูดอะไรกับพวกนั้นสองสามคำ แล้วเขาก็หันไปที่ประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาได้” เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากข้างใน
ทัตหันมามองอนัตตะพลางพยักหน้าให้ แล้วเปิดประตูให้กับคุณหนู เด็กหนุ่มยืนนิ่งนิดหน่อยแล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานที่ตกแต่งเรียบๆ แต่หรู ชายหนุ่มไม่ได้ตามเข้าไป เขาปิดประตูตามหลังแผ่วเบา แล้วรอคอยอยู่ข้างนอกแทน
เมื่อในห้องทำงานเหลือกันแค่สองคน อนัตตะก็หันไปเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานบนเก้าอี้หนัง เขากำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงอารมณ์
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับอนัตตะมาก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีผมหยักศก แต่เขามีทรงผมสีดอกเลาที่ตัดรองทรงสูงแทน และเขาก็ไม่ได้มีผิวสีเหลืองน้ำตาล หากแต่เป็นผิวที่ดูขาวซีดราวกับไม่เคยออกไปพบเจอกับแสงสว่าง
ทั้งๆ ที่ในห้องมีคนอื่นอยู่ แต่ชายวัยกลางคนๆ นั้นกลับยังคงวุ่นวายอยู่กับการอ่านเอกสาร อนัตตะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตัดสินใจเด็ดขาด...
“สวัสดีครับพ่อ” อนัตตะยกมือไหว้ชายวัยกลางคนคนนั้น
แม้จะเล็กน้อยแต่อนัตตะก็สังเกตเห็นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของพ่อที่เกร็งขึ้นทันที ราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘ลูกชาย’ เป็นสิ่งที่ชายคนนี้รังเกียจยิ่งนัก
“มาจนได้นะไอ้ลูกเลว” เสียงแหบห้าวพูดเรียบๆ นั่นคือคำทักทายที่คนเป็นพ่อมีต่อลูก แล้วเขาก็ละจากเอกสารมาสบตากับ ‘ลูกชาย’
“พ่อมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?” อนัตตะถามเสียงเรียบ มองบุพการีด้วยแววตาไร้อารมณ์
“ทำไมแกไม่กลับบ้าน?” ชายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และมองลูกชายด้วยสายตาเดียวกัน “แล้วทำไมยังกล้ามาเดินในเขตของฉัน?”
“ผมไม่กลับ แล้วก็...ในฐานะนักเดินทาง ก็แค่จะมาหาความสำราญแบบผู้ชายเท่านั้นเอง” อนัตตะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“หึ...แต่แกก็ไม่ได้แวะซ่องไหนแม้แต่ซ่องเดียว” แค่นเสียงพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง อนัตตะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“แกมาหาฉันเพราะมีเหตุผลบางอย่างสินะ...” ชายวัยกลางคนจ้องมองอนัตตะด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อ
“พ่อก็รู้นี่” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ
ปึง!
ผู้เป็นพ่อตบโต๊ะทำงานเสียงสนั่น แต่อนัตตะหาได้สะทกสะท้านไม่
การ์ดสองคนที่หน้าห้องถึงกับสะดุ้ง ส่วนทัตที่ยืนคอยอยู่ก็ทำได้แค่หลับตาภาวนาเท่านั้น
“แก...ไอ้ลูก...เหอะ! ได้ข่าวว่าวิ่งหนีเอเลน่าอย่างน่าสมเพชมานี่” หัวหน้าแก๊งค์แค่นเสียงดูถูก
“ถ้าพ่อไม่มีอะไรผมก็ขอตัวก่อน” อนัตตะตัดบทเสียงเรียบ แล้วหันหลังกลับ
“หยุด! นี่คือคำสั่ง!” เสียงแหบห้าวสั่งขึ้น อนัตตะหยุดกึกทันที
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัว ...เอาอีกแล้ว...เป็นอีกแล้ว...มันก็แค่คำสั่งธรรมดาๆ เองไม่ใชรึไง... เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเอง ทั้งๆ ที่เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผม เขาเม้มปากแน่น แล้วค่อยๆ หันกลับมามองคนเป็นพ่อ
“มีอะไร...อีกงั้นเหรอครับ?” เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาระดับเสียงให้เป็นปกติทั้งๆ ที่ในอกรู้สึกร้อนวูบวาบ ลำคอแห้งผาก
“ฉันเป็นคนฝึกแกนี่นะ ฝึกแกเพื่อให้มารับตำแหน่ง ฝึกแก...เพื่อให้แกสู้คนเป็น...” ธีรเดชแค่นเสียงพูดพลางยกมือขึ้นระดับอก อนัตตะเบิกตากว้าง เด็กหนุ่มรู้ว่าผู้เป็นพ่อจะทำอะไร แต่ก็ไม่อาจจะหนีไปไหนได้ เพราะดวงตาสีดำนิลแบบเดียวกันที่กำลังมองมา ได้ตรึงเด็กหนุ่มเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“เวลาที่หมาฝึกมันดื้อ ก็ต้องมีการสั่งสอนกันบ้างล่ะ” ธีรเดชพูดเสียงเฉียบขาด แล้วเขาก็กำมือข้างที่ยื่นออกไปแน่น
ร่างเด็กหนุ่มกระตุกวูบ ความรู้สึกเจ็บปวดปะทุขึ้นที่หัวใจก่อนจะแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย ผิวหนังปริแตกออกเป็นทางเหมือนแผลถูกกรีด เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้น แล้วใช้สองมือยันพื้นก่อนที่จะล้มลง
ธีรเดชคลายมือออกนิดหนึ่งก่อนจะรวบกำให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
ร่างเพรียวกระตุกอีกครั้ง สองแขนหมดแรง ร่างล้มแผละคว่ำหน้าลงกับพื้น สองมือกำแน่นจนเห็นข้อกระดูกปูดโปนออกมา เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อห้ามเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดจนห้อเลือด หัวใจที่กำลังเต้นแต่ล่ะครั้งนำความเจ็บปวดมาให้อย่างต่อเนื่อง บาดแผลบนร่างกายกรีดลึกลงไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาแม้สักหยด ลมหายใจขาดห้วง ลำคอรู้สึกเหมือนถูกบีบ ความเจ็บปวดที่กำลังเล่นงานอยู่นั้นแทบทำให้ดิ้นพล่าน แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะฝืนร่างกายจนกล้ามเนื้อเกร็ง
เมื่อเห็นลูกชายดื้อดึงที่ไม่ยอมจะเปล่งเสียงร้องออกมา หรือขอยอมแพ้ หนุ่มใหญ่ก็คลายคำสาปลง อย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็มีความพอใจปรากฏอยู่ในแววตาวูบหนึ่งก่อนหายไปเป็นนิ่งเฉยดังเดิม
“ที่ฝึกมาไม่เสียเปล่าสินะ” ธีรเดชเอ่ยพลางมองบาดแผลบนร่างกายของอนัตตะที่สมานตัวกันอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกว่าแผลบนร่างกายหายไปเกือบหมดแล้ว เด็กหนุ่มจึงค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แขนที่ใช้ยันพื้นนั้นยังสั่นอยู่ แต่ในที่สุดก็สามารถยืนหยัดจนลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และแววตาที่ใช้มองบิดาตน ก็ดูจะเย็นชามากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“แกจะไปตายที่ไหนก็ไป ฉันหมดเรื่องพูดกับแกแล้ว” ธีรเดชพูดเสียงเรียบ แล้วหันกลับไปอ่านเอกสารต่อด้วยท่าทีปกติ ราวกับเรื่องเมื่อกี้นี้มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“สวัสดีครับ” อนัตตะยกมือไหว้บิดาอย่างฝืนๆ รู้สึกว่าร่างกายเมื่อล้าไปหมด แล้วจึงเดินไปที่ประตูอย่างอ่อนแรง
ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิด ทัตที่รอคอยอยู่ข้างนอกก็รีบเดินเข้าไปหาอนัตตะ ที่เดินออกมาอย่างสะโหลสะเหลทันที
“จะไปแล้วเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ในใจคาดหวังเหลือเกินว่าคุณหนูของเขาจะไม่ไปไหนอีก
อนัตตะพยักหน้า
“ไปก่อนนะทัต” เด็กหนุ่มพูดสั้นๆ แล้วหันกายเดินตรงไปยังบันได ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของบอสเพียงคนเดียว อนัตตะกำลังจะเดินลงบันไดไปแล้ว...กำลังจะจากไปแล้ว...ตลอดกาล
“กลับมาเถอะครับ!” ชายหนุ่มตัดสินใจตะโกนออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเปอร์เซนจะตอบกลับนั้นเป็นศูนย์
อนัตตะชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวลงบันได เด็กหนุ่มหันไปมองทัต แต่ผมที่ยุ่งเหยิงได้ปรกหน้าอยู่ ทำให้ไม่เห็นแววตาของอีกฝ่ายว่าอยู่ในอารมณ์ใด แล้วคุณหนูของทัตก็ยิ้มตอบกลับมา เป็นยิ้มบอกลา...
อนัตตะเดินโซเซออกมาจากร้านวายุนิลกาฬ รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างหนักจนแทบจะหมดแรงยืน หัวก็ปวดแทบระเบิด แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงฝืนตัวเองเดินต่อไป เพื่อกลับไปยั่งที่พักของตนซึ่งมีใคร...ซึ่งมีเตียงนอนนุ่มๆ รออยู่
พลั่ก! ร่างเพรียวชนเข้ากับร่างบอบบางแต่แข็งแกร่งของใครคนหนึ่ง
“อุ๊ย!”
อนัตตะไม่มีอารมณ์จะมาใส่ใจว่าเจ้าของเสียงอุทานนั้นเป็นใคร แต่เด็กหนุ่มเลือกที่จะหงายหลังล้มเพราะหมดแรงยืน ทว่าร่างกายของเขากลับไม่ได้สัมผัสพื้นอย่างที่ควรจะเป็น เพราะได้มีเถาวัลย์เส้นหนึ่งรองหลังเขาไว้ก่อนจะถึงพื้นอยู่
“เอเลน่า...” อนัตตะพึมพำชื่อของเจ้าของเสียงอุทานอย่างแผ่วเบา
ในร้านเหล้าซอมซ่อ อนัตตะกำลังสวาปามทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าอย่างหิวโหย ส่วนเอเลน่าลูกน้องคนสนิทของบิดา และลูกน้องที่พ่วงตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงของตน ก็กำลังมองดูอยู่อย่างเอ็นดูระคนกังวลใจ
“คุณหนูมาทำอะไรที่นี่คะ?” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอนัตตะกรอกน้ำลงคอหมดแก้วแล้ว
“เดินเล่น” อนัตตะตอบสั้นๆ ก่อนจะเริ่มหันไปจัดการกับของหวานต่อ
“...ทั้งๆ ที่เป็นเขตของบอสน่ะเหรอคะ?” เอเลน่ารู้สึกไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคุณหนูคนนี้เท่าไหร่
“เหอะ! โซนอันตรายเกือบทั้งหมดเป็นของพ่อ ไปเดินเล่นที่ไหนก็เหมือนกันน่ะแหละ” อนัตตะขมวดคิ้ว แล้วยัดฝอยทองเข้าปากอย่างไม่สนใจสายตาใครในร้านเหล้า
“แล้ว...ที่อื่นก็มีให้เดิน ทำไมไม่ไปเดินล่ะคะ” เอเลน่าเหนื่อยหน่ายใจ เธอเลิกเซ็งกับการกินอย่างไร้มารยาทของคุณหนู มาเป็นอึ้งกับความเร็วแทน
“ก็เพราะถ้าไปที่อื่นจะไม่เจอพ่อไง” อนัตตะเงยหน้าขึ้นมองเอเลน่าด้วยแววตาบ้องแบ๊ว
...กรี๊ด! น่ารักมากค่า เอ้ย!...
“ก็ไหนคุณหนู...บอกว่าจะไม่กลับบ้านไงคะ”
“ไม่กลับอยู่แล้ว เนี่ย! เดี๋ยวจะเดินทางข้ามมิติล่ะ ไปเที่ยวกรุงเทพฯ” พูดพลางกราดสายตาเลือกของหวานตรงหน้า อะไรจะมาเป็นเหยื่อรายต่อไปหลังจบจากฝอยทอง
“เอ่อ...” เอเลน่าชักงง
“แบบนี้ไง!” อนัตตะพูดพลางรูดซิปเสื้อฮู้ดแขนกุดออก แล้วเปิดสาบเสื้อเผยให้เห็นแผงอกสีเข้ม
...กรี๊ด! สุดยอดค่า!!...
“อะไรคะ?” เอเลน่าถามอย่างงุนงง เพราะเธอไม่เห็นอะไร นอกจากแผงอกของเด็กผู้ชายวัยแตกเนื้อหนุ่ม
“พ่อเขาถอนยันต์สะกดให้แล้ว แต่เจ็บเป็นบ้าเลย” อนัตตะเฉลย
“อ้อ!” นางไม้สาวถึงกับบางอ้อ
ยันต์สะกดคือเวทมนตร์ที่ธีรเดชร่ายสะกดพลังของลูกชายไว้ ทำให้อนัตตะมีพละกำลังและความเร็วเท่ามนุษย์ธรรมดาๆ และใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เป็นการลงโทษที่เด็กหนุ่มคิดหนีออกจากบ้าน แต่ถึงแม้ว่าจะทำขนาดนั้นแล้วอนัตตะก็ยังอุตส่าห์หนีออกมาได้ แถมยังหายหน้าไปตั้งสามปี เพิ่งจะกลับมาก็ป่านนี้แหละ
“แล้ว...แผลรอยกรีดบนผิวล่ะคะ?” เอเลน่าเพ่งสายตามองรอยจางๆ ที่ยังไม่หายไปหลังแผลสมานกัน
“อ๋อ...พ่อเขากรีดน่ะ ยังรักสะอาดเหมือนเดิมไม่ยอมให้เลือดตกพื้นสักหยด แต่ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเลือด แต่เจ็บเป็นบ้าเลย! ทำเอาหิวท้องกิ่วๆ”
...คุณหนูคะ เวลาคนเจ็บเพราะถูกกรีดน่ะ ไม่มีใครหิวกันหรอกนะคะ...
หลังจากหมดเงินเดือนไปกับค่าอาหารบานตะไทของอนัตตะไปแล้ว เอเลน่าก็จำต้องโบกมือลาคุณหนูด้วยความอาลัยอาวรณ์ ในตอนแรกทั้งคู่ต่างหันหลังให้กันแล้วเดินไปคนละทาง แต่พอไปได้นิดหน่อย เอเลน่าก็ต้องวิ่งกลับไปกอดอนัตตะจากด้านหลังทั้งน้ำตา หญิงสาวโวยวายคล้ายเด็กเล็กๆ เด็กหนุ่มจึงต้องเสียเวลาปลอบกันอยู่นาน กว่าเอเลน่าจะสงบสติอารมณ์ได้ แล้วยอมลากจากกันแต่โดยดี
เป็นเวลาฟ้าเกือบสางเมื่ออนัตตะกลับมาถึงโรงแรม
ความคิดเห็น