คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จุดหมายที่2 "ผมชื่อศิลา" และเป้าหมายการเดินทาง
จุดหมายที่2
“ผมชื่อศิลา” และเป้าหมายการเดินทาง
เช้าตรู่แห่งวันใหม่ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสปลอดโปร่ง ปุยเมฆสีขาวล่องลอยเต็มท้องฟ้าดูนุ่มน่าสัมผัส แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดผ่านใบไม้ในป่าทึบลงมากระทบกับผืนแผ่นดินเบื้องล่าง ลำแสงสีทองลำหนึ่งสาดส่องอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มผมหยักศกที่แผ่สยาย
อนัตตะหลับตาปี๋เพราะแสงที่แยงนัยย์ตาทำให้แสบ เด็กหนุ่มพลิกตัวในถุงนอนเพื่อนอนตะแคงข้างหลบแสงทันที แต่ทว่าจมูกของเขากลับโดนอะไรสักอย่างนิ่มๆ
...อือ...อะไรวะ...เม่นเหรอ หรือตุ่น... คิดแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อมองหาต้นตอ
ใบหน้าในระยะใกล้ดูสวยหวานราวหยาดนางฟ้า ผมสีดำสนิทที่ตกลงมาปรกหน้าทำให้ดูเหมือนเด็กน้อยที่หลับใหล แพขนตางอนยาวแตะผิวหน้าเพราะหลับพริ้ม
แล้วอนัตตะก็ได้รู้ว่า...จมูกของเขาโดนอะไร ก็โดนปลายจมูกของอีกฝ่ายไง
เจ้าของเรือนผมหยักศกพลิกตัวกลับมานอนหงายอีกครั้ง ก่อนจะรูดซิปออกพร้อมลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง เด็กหนุ่มสะบัดหัวเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าผ่านช่องของเหล่าใบไม้
“ว้ากกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องดังก้องป่า ทำเอาร่างที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาเงอะงะ แล้วมาสะดุดหยุดอยู่ที่ใบหน้าอันถมึงทึงของคนกรีดร้อง
ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง
“อะ....เอ่อ...อรุณสวัสดิ์...”
“เธอเป็นใคร!?” อนัตตะชิงถามก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดจบ เจ้าของเสียงหวานใสปิดปากเงียบ แล้วมองอนัตตะด้วยความหวาดหวั่นแทน
“ฉันถาม...ว่าเธอเป็นใคร” อนัตตะพูดเสียงขรึม ตีสีหน้าจริงจัง ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากถุงนอน
“เอ่อ...” ผู้ไม่ทราบนามยิ้มขำกับท่าทางนั้นนิดๆ
“ไม่ต้องมาหัวเราะ!!” อนัตตะตะคอกใส่
“...เหมือนแมว...เลยนะครับ” เสียงหวานใสราวผู้หญิงกล่าวขึ้น
ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เสียงร้องของนกน้อยดังกังวานไปทั่วป่า
“...ผะ...ผู้ชาย? ผู้ชายงั้นรึ!?” อนัตตะตกใจเป็นสองเท่า
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ทำเพียงแค่มองอนัตตะด้วยแววตาใสซื่อเท่านั้น อนัตตะจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา ด้วยเกรงว่าหากคลาดสายตาไปหน่อยเดียว ผู้ชายตรงหน้าอาจจะโจมตีใส่ก็เป็นได้
...แล้วไอ้มีดสั้นคู่นั่นอยู่ไหนวะ...โธ่เว้ย! เก็บไว้ไหนเนี่ย... เด็กหนุ่มร้อนรน อยากจะละสายตามาหาอาวุธ แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจคนตรงหน้าอยู่ดี
“ผมชื่อศิลา” บุรุษผู้งดงามเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้อยากรู้ชื่อนาย” อนัตตะแยกเขี้ยวใส่
“ก็นายท่านอยากรู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าผมเป็นใคร”
...นายท่าน... อนัตตะถึงกับอึ้ง มองอีกฝ่ายตาค้าง แมลงวันตัวหนึ่งบินฉวัดเฉวียนมาเกาะที่หน้าผาก อนัตตะสะดุ้ง แมลงวันก็สะดุ้งก่อนจะบินจากไป
“นายท่าน...นายท่านอะไรของนาย?” อนัตตะถามอย่างงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
“ผมคือศิลา” อีกฝ่ายกล่าวอีกครั้ง
...(มันชื่อศิลา)... เสียงของเด็กหนุ่มวัยรุ่นจากชายชราผู้ขายอาวุธ ดังก้องอยู่ภายในศีรษะของเด็กหนุ่ม
อนัตตะอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง มอง ‘ศิลา’ อย่างตกตะลึง
“ตะ...ตะ...แต่ว่า...ศิลาน่ะ...ปะ...เป็น...เป็นมีดสั้นไม่ใช่เรอะ” เด็กหนุ่มพูดติดอ่าง ศิลายิ้มหวาน
“ผมทราบอยู่แล้วว่านายท่านต้องไม่เชื่อ เพราะพวกเชื้อสายอาวุธอย่างพวกเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว” กล่าวจบ ศิลาก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ระเบิดออกมาจากความว่างเปล่า แล้วตีเกลียวเข้าไปพันรอบๆ ตัวของศิลาจนมองไม่เห็น ก่อนจะสลายหายไปทิ้งไว้แต่มีดสั้นคู่สองเล่มที่วางนิ่งสงบอยู่บนพื้นดิน
...ศิลาจริงๆ ด้วย... อนัตตะร้องในใจ
อาจจะง่ายไปหากจะเชื่อในทันที แต่สำหรับอนัตตะแล้ว เขาเป็นคนที่เชื่อคนค่อนข้างง่ายมาก เด็กหนุ่มนั่งนิ่งมองสิ่งที่วางอยู่บนพื้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือมีดสั้นคู่ที่เขาซื้อมา ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เหลียวซ้ายและขวา แล้วก็เห็นปลอกหนังที่ใช้ใส่มีดวางนิ่งอยู่ในที่ที่เขาวางมีดสั้นเอาไว้เมื่อคืนนี้ นอกจากมันจะวางคู่กันอย่างเป็นระเบียบเหมือนเมื่อคืนแล้ว มันยังปราศจากมีดที่อยู่ข้างในด้วย!
“เชื่อรึยังครับ” เสียงหวานกล่าวขึ้น อนัตตะหันขวับไปมอง เห็นศิลากลับร่างมนุษย์นั่งอยู่บนพื้นดินที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว...
“มันยากที่จะเชื่อนะ” เด็กหนุ่มว่า ทั้งๆ ที่เชื่อไปเต็มหัวใจแล้วด้วยซ้ำ
“...ผมจะทำอย่างไรให้คุณเชื่อดี” เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเผยอารมณ์อื่นออกมา ความกังวลใจนั้นครอบครองประกายในดวงตา ทำให้ดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด อนัตตะเกาหัวแกรก เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี
“ช่างเหอะ ฉันเชื่อแล้ว” เด็กหนุ่มผมหยักศกตัดบทห้วนๆ
โครก!
เสียงท้องร้องของคนทั้งคู่ดังปิดท้าย
“อา...สงสัยต้องกลับเข้าเมืองไปซื้ออาหารมาเพิ่มมั้งนี่...” อนัตตะบ่นขณะที่กำลังนับเนื้อแห้งและข้าวก้อนในกระเป๋าเป้ “มันไม่พอสำหรับสองคนอ่ะ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นบอก
“...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ทานอาหารธรรมดาเป็นจานหลักน่ะ”
สิ่งที่ศิลาบอก ทำให้มือของเด็กหนุ่มหยุดชะงัก อนัตตะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าอย่างด้วยความตะลึงและสงสัยเป็นล้นพ้น
“...ว่า...อะไรนะ?”
“ผมดื่มเลือด”
เป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบคั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง
อนัตตะสะบัดหัวจนผมหยิกๆ ที่ไม่ได้มัดยุ่งเหยิง แล้วสบตากับศิลาอีกครั้ง เมื่อเห็นความจริงจังในแววตาแล้ว เด็กหนุ่มก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก
“จริงดิ?”
“ครับ”
“ดื่มเยอะแค่ไหนอ่ะ ลิตรหนึ่งอ่ะเปล่า?”
“ไม่ถึงลิตรหรอกครับ(ยิ้มนิดๆ) อันที่จริง เลือดจำนวนหนึ่งของเจ้านายจะทำให้ผมไม่หิวไปได้ตลอดเจ็ดวันน่ะครับ แต่ยังสามารถทานอาหารตามปกติได้อยู่ เพียงแต่...ผมจะไม่หิวเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ถ้านายท่านยอมให้ผมดื่มเลือดของท่าน ผมก็จะไม่รบกวนเงินค่าอาหาร แต่ถ้าท่านไม่ยินยอม ท่านจะได้เสียค่าอาหารสำหรับคนทานจุอย่างผมแน่ๆ” ศิลาอธิบายด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล พร้อมแย้มรอยยิ้มประดับริมฝีปากงามสีชมพูอวบอิ่ม
อนัตตะมองศิลาตาค้าง ความพรั่นพรึงปรากฏในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่านครับ” ศิลาเพิ่มระดับเสียงเพื่อดึงสติอีกฝ่าย อนัตตะกะพริบตาปริบๆ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“งืม...ดูก่อนว่ามีกระบอกไม้ไผ่หรือเปล่า” พูดจบก็ลงมือค้นเป้อีกครั้ง ศิลาเอียงคอมองอย่างรอคอย
“เจอแล้ว!” เด็กหนุ่มหัวหยักศกร้องอย่างยินดี แล้วหยิบเอากระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่น้ำกระบอกหนึ่งออกมา มันยาวพอๆ กับศอกจรดปลายนิ้วของอนัตตะ ความกว้างประมาณห้านิ้ว
“นายจะดื่มเท่าไหร่?”
“เอ่อ...(ทำหน้างง)ครึ่งของครึ่งครับ”
“น้อยไปมั้ง... เอ้าขอคมมีดหน่อยสิ ฉันจะกรีดข้อมือตัวเองน่ะ” อนัตตะบอกเสียงใสพลางยื่นมือไปทางศิลา แต่เด็กหนุ่มหน้าหวานกลับมองมือของเจ้านายเหมือนมองสิ่งน่ารังเกียจซะงั้น
“เป็นไรเล่า...ขอมีดหน่อย” อนัตตะย้ำ
“ไม่ดีมั้งครับ...”
“แล้วจะให้ฉันทำไง?” อนัตตะเลิกคิ้ว
“ปกติผมชอบดื่มจากเจ้านายมากกว่า...” ศิลาบอก อนัตตะอึ้งไปอีกครั้ง
“แบบพวกแวมไพร์น่ะเรอะ?”
“ครับ”
“แต่ฉันไม่อนุญาต เพราะงั้นเอามีดมา” อนัตตะดุเสียงเข้ม สีหน้าเอาจริง เมื่อเห็นว่าเจ้านายต้องการแบบนี้โดยไม่คิดเปลี่ยน อาวุธหนุ่มหน้าหวานของเราก็ยอมเปลี่ยนมือข้างหนึ่งให้เป็นใบมีด
“ให้ได้อย่างนี้สิ” อนัตตะยิ้ม แล้วจับวางกระบอกไม้ไผ่ลงบนพื้น ยื่นแขนซ้ายออกไปตรงปากกระบอก ส่วนมือขวาก็จับที่สันมีด ดึงมาวางคมไว้ตรงข้อมือทำมุมสี่สิบห้าองศา แล้วออกแรงเฉือนฉับเดียว ตอนแรกมันยังไม่ปรากฏแผลให้เห็นหรอก แต่สักพักก็มีรอยแดงๆ ปรากฏขึ้นบริเวณข้อมือตรงที่เชือดไว้ แล้วเลือดสีแดงสดค่อนไปทางดำก็ทะลักออกมาจากบาดแผล ไหลเป็นทางหยดลงไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้อย่างแม่นยำ
ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าที่เลือดในกระบอกจะเพิ่มขึ้นจนเห็นได้ชัด
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มีเลือดนองออกมาจากก้นกระบอก
“เฮ้ย! กระบอกรั่ว!!!” อนัตตะโพล่งขึ้น ก่อนจะใช้มือขวาฉวยกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาจากพื้น แต่ยังไม่ทันที่จะยกขึ้นได้เท่าไหร่มันก็แตกออกสองซีกท่ามกลางความตระหนกตกใจของคนทั้งสอง
เลือดยังคงไหลทะลักออกมา และหยดลงบนพื้นต่อไป รวมกับกองที่นองอยู่บนพื้นด้วย ดูน่าเสียดายชอบกล
ไม่ทันที่อนัตตะจะได้ทำอะไร ศิลาก็ฉวยข้อมือข้างซ้ายนั้นมาพร้อมกับประทับปากลงบนปากแผล จากนั้นก็ดูดเลือดเข้าไปในปากของตัวเองอย่างกระหาย อนัตตะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองศิลาที่กำลังดื่มเลือดของตนจากแผลอยู่อย่างอดอยาก
“เบาๆ ดูดแรงทำซากอะไรวะ” อนัตตะบ่นเบาๆ มองเลือดของตัวเองที่ถูกลิ้นสีชมพูเลียเข้าปากไปอย่างด้านชา ก่อนที่ใบหน้าจะขึ้นสีแดงซ่านอย่างอับอาย
“ใครใช้ให้เลีย! ดูดก็ดูดดีๆ สิฟะ เฮ้ย! แล้วนี่ดื่มไปกี่ลิตรแล้ว เดี๋ยวเลือดหมดตัวกันพอดี!!!” อนัตตะกำลังจะดึงแขนตัวเองออก ก็พอดีรู้สึกได้ว่ามีเลือดจำนวนมากถูกดูดออกไปอย่างแรงและรวดเร็ว โอ้ว! รู้สึกเหมือนตัวจะเบาหวิวราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างเลยอ้ะ...
“พอได้แล้ววววว!!! เปลี่ยนจากข้อมือมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่คอเลยดีไหม?” อนัตตะตะโกนห้ามพร้อมประชด แต่ยังไม่สามารดึงแขนออกมาจากปากปลิงของอีกฝ่ายได้อยู่ดี ทว่าจู่ๆ ศิลาก็ผละออกมาจากแผลที่ข้อมือแล้วหันมามองอนัตตะด้วยแววตาใสแป๋วบ๊องแบ๊ว
“ด้วยความยินดีครับ” พูดเสียงใสพร้อมโปรยยิ้มหวาน ทั้งๆ ที่บริเวณปากเลอะไปด้วยคราบเลือดสีสด
...ไอ้บ้า...ประชดโว้ย...
“พอเลยๆ ไหนว่ากินไม่มากไง” อนัตตะดึงแขนกลับมาซึ่งศิลาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี เขาสำรวจแผลของตัวเองซึ่งตอนนี้มันกำลังสมานตัวกันอยู่ ...อืม...รอบๆ แผลไม่มีคราบเลือดสักหยด ถูกทำความสะอาดซะเกลี้ยงเกลา แต่มี...น้ำลายแทน...
“เชี่ย”
“อะไรนะครับ?”
“เปล่า...เฮ้อ...เล่นดูดไปซะเยอะ ฉันจะเป็นโลหิตจางไหมเนี่ย” บ่นพลางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้อนัตตะรู้สึกวูบเหมือนโลกทั้งโลกตีลังกา เด็กหนุ่มล้มหน้าคว่ำอย่างทรงตัวไม่อยู่ทันที ทว่าศิลาก็พุ่งเข้ามารับได้อย่างทันท่วงที
“...ขอโทษด้วยครับ ดูท่าผมจะสูบเลือดของท่านมากไปหน่อย...” ศิลาขอโทษขอโพย เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างสำนึกผิด “เลือดของท่านรสชาติดีมาก จนผมเผลอตัวไป...” น้ำเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ อนัตตะเงยหน้าขึ้นมองคนที่พยุงตัวเองอยู่ เห็นคราบเลือดสดๆ เลอะอยู่รอบปากของอีกฝ่าย สีสด กลิ่นหอม และดูจะรสชาติไม่เลวเลย เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็หยัดตัวขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เผยอริมฝีปากออกพร้อมแลบลิ้นออกมาตั้งใจจะเลียคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ แต่แล้วอนัตตะก็หยุดชะงัก ปลายลิ้นห่างจากเป้าหมายแค่ไม่กี่เซนติเมตร
“นี่ไม่ใช่นิยายวายเว้ย!!!” เด็กหนุ่มร้องพลางผลักร่างบางของอีกฝ่ายออก ก่อนจะเดินเซถอยหลังไปชนกับก้อนหินใหญ่ แล้วอนัตตะก็ค่อยๆ ไถลตัวลงนั่นช้าๆ พลางเอามือปิดหน้า
“...ผมดูดเลือดไปเยอะก็จริง แต่ว่าไม่น่าจะทำให้เป็นถึงขนาดนั้น...” ศิลาร้อนรน เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ
“เปล่าไม่ใช่...” อนัตตะหายใจหอบน้อยๆ “ฉันหิวข้าวน่ะ”
เมื่อเติมพลังงานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อนัตตะก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
“จุดหมายปลายทางของเราคือที่เมืองข้างหน้านี้ (พูดพลางชี้ให้ดูเป้าหมายในแผนที่) เมือง นาคราธานี เอ๊ะ! ทำไมเมืองทางใต้มีแต่ชื่อไทยๆ วะ เออ ช่างเหอะ เมืองนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็พวกสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติแหละ ถ้าแวะไปแล้วฉันว่าจะเที่ยวดูสักสองสามวัน แล้วค่อยเดินทางต่อไปเมืองหลวง”
อธิบายจบก็ม้วนแผนที่เก็บใส่กระเป๋าเป้ แล้วหันไปสบตากับศิลา
“นายเดินทางด้วยเท้าไหวไหม ถ้าไม่ไหวจะได้โบกรถ”
“ไหวครับ” อีกฝ่ายตอบกลับทันที ได้ยินดังนั้นอนัตตะก็ไล่สายตาสำรวจชุดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเพื่อดูความเหมาะสมในการเดินทาง และนี่ก็ทำให้เขาอึ้งอีกครั้ง อึ้งจนอ้าปากค้าง ตากถลน
“นายใส่...กระโปรง” อนัตตะละล่ำละลักคำพูด ความสับสนและหวาดกลัวพุ่งเข้าปะทะในหัวจนสับสน
“เอ่อ...ครับ?” ดูเหมือนว่าศิลาจะไม่เข้าใจถึงความกลัวของอนัตตะ
“นายเป็นพวกสาวประเภทสองเหรอ?” เด็กหนุ่มโพล่งถาม
“มะ...ไม่ใช่นะครับ” ศิลาหน้าตื่น เด็กหนุ่มโบกมือปฏิเสธพัลวัน แต่ท่าทางที่ดูนุ่มนิ่มแบบนั้นกลับยิ่งดูเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่
ชุดเสื้อผ้าของศิลาที่ทำให้อนัตตะถึงกับอึ้งนั้น เป็นดังนี้...หนึ่ง ตรงไหล่ขวาของเด็กหนุ่มมีเส้นหนังสองเส้นเหมือนเข็มขัดสีดำพาดข้ามไหล่อยู่ คอยยึดเสื้อแขนกุดที่มีแขนข้างเดียวสีขาวคือข้างซ้ายเอาไว้ แปลว่าแขนขวาโล่ง ที่แขนทั้งสองข้างใส่แขนเสื้อที่ยาวเหยียดจนเกือบจะถึงน่องสีดำสนิท คาดเข็มขัดหนังสีดำไว้ที่เอว กระโปรงเป็นแบบผ้าไม่ต่อกัน ข้างหน้าและข้างหลังเป็นหนังแท้สีน้ำตาลเข้ม ส่วนด้านข้างเป็นผ้าจับจีบสีขาว สั้นเหนือเข่าพอสมควร แต่ศิลาไม่ได้โชว์ขาอ่อนแต่อย่างใด เพราะเขาใส่รองเท้าบู๊ทที่ยาวขึ้นมาจนถึงขาอ่อนน่ะสิ เป็นบู๊ทหนังแท้สีดำ นอกจากนี้หน้าตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าบวกกับอากัปกริยาก็ทำให้ดูเข้ากับชุดได้เป็นอย่างดี แม่เจ้า...นี่มันผู้หญิงชัดๆ ผู้หญิงที่ดัดจริตจะเป็นผู้ชายทั้งๆ ที่ตัวเองก็แสดงความเป็นหญิงออกมาอย่างชัดเจน!
“ทำไมใส่กระโปรงไม่ทราบ” อนัตตะยิงคำถาม แล้วเริ่มก้าวเท้าออกเดินทาง
“คุณศิมันต์บอกว่ามันเข้ากับผม” ศิลาตอบพลางก้าวเท้าเร็วๆ ตามมา
“ศิมันต์?”
“คนที่ขายผมให้ท่านไงครับ”
“อ๋อ...”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป เดินเร็วๆ มาได้สักพัก ทั้งคู่ก็โผล่ออกมาอยู่บนเส้นทางเดินรถแล้ว ซึ่งบนถนนก็มีรถรามากมาย มีตั้งแต่เกวียนเทียมลา ไปจนถึงรถบรรทุกขนาดหลายตัน แต่เด็กหนุ่มทั้งสองกลับเดินเท้าอยู่ข้างถนนซะอย่างนั้น
“หมอนั่นรสนิยมพิลึกแฮะ” อนัตตะบ่นให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ไม่ใช่นะครับ! คุณศิมันต์น่ะ ไม่ใช่คนพิลึกนะครับ” ศิลาออกตัวปกป้องชายชราทันที อนัตตะยิ้มเมื่อมันเป็นไปตามคาด
“ปกป้องกันจัง เธอมีอะไรกับไอ้หนุ่มนั่นรึไง”
“ไอ้หนุ่ม?...คุณศิมันต์เป็นคนชรานะครับ เขาเหมือนกับคุณตาของผม” ศิลาพูดงงๆ
คำพูดนั้นทำให้อนัตตะหยุดฝีเท้ากึก ...อะไรนะ...ชายชราเหรอ แม้แต่ไอ้หมอนี่ก็เห็นว่าหมอนั่นเป็นคนแก่จริงๆ รึนี่...
“ทำไมท่านถึงคิดว่าเขาเป็นคนหนุ่มล่ะครับ?” ศิลาถามเสียงเครียด พลางเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
“ฉัน...คงจะหูฝาดไปเอง” อนัตตะเลี่ยงที่จะตอบความจริง แล้วก้าวเท้าเดินต่อไป ทิ้งให้ศิลาขมวดคิ้วอย่างขัดใจและสงสัย เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากขึ้น
“เลิกเรียกฉันว่าท่าน แล้วเรียกแต่ชื่อแทนได้ไหม” แต่อนัตตะชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน
“ทำไมล่ะครับ ท่านเป็นเจ้านายผมนะ” ศิลาพูดอย่างสงบเสงี่ยม เก็บกลืนคำพูดของตนลงคอไป
“ฉันไม่ชอบ เราคนกันเองดีที่สุด” อนัตตะว่าเรียบๆ สายตาก็มองหญิงสาวสุดสวยคนหนึ่งที่ขับรถผ่านไป
“ถ้าอย่างนั้น...ให้ผมได้เรียกว่า คุณ จะได้ไหมครับ” ศิลาถามเสียงอ่อนอยู่ข้างๆ อนัตตะหันไปตั้งใจจะดุแต่ก็สะดุดเข้ากับดวงตากลมโตสีดำสนิทที่ส่งสายตาอย่างออดอ้อน
...เอากับมันสิ อย่างกับลูกหมาก็ไม่ปาน...น่ารักจริงว้อย!...
อนัตตะเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น แต่ใบหูแดงๆ ก็ไม่พ้นสายตาของศิลาอยู่ดี
“ตามใจ”
“ครับคุณ...”
“อนัตตะ อนัตตะวายุ เรียกสั้นๆ ว่า นัต” อนัตตะแนะนำตัว
“ครับ”
เสียงรถราดังไม่มากนักแม้ว่ารถบนถนนมีจะมากก็ตาม คนขับรถและผู้โดยสารหลายคนต่างก็มองคนทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น อนัตตะถอนหายใจเฮือกอย่างเบื่อหน่าย
...คนเดินทางโดยใช้เท้าแบบเราก็มีมากมายแท้ๆ แต่ทำไมถึงเอาแต่จ้องเราอยู่ได้...หรือเพราะ...ไอ้กะเทยที่เดินข้างๆ เรานี่... อนัตตะเหลือบหางตาไปมองคนข้างหลังที่เดินเยื้องมาอยู่ข้างๆ อย่ามาดร้าย แต่ดูเหมือนว่าศิลาจะไม่รู้ตัว เพราะเด็กหนุ่มหน้าหวานเอาแต่มองรถราบนถนนอย่างสนอกสนใจ
“ว่าแต่...คุณอนัตตะมีโครงการจะไปไหนบ้างเหรอครับ?” ศิลาหันกลับมาถาม ทำเอาอนัตตะเกือบหลบสายตาไม่ทัน
“อืม...ตอนนี้ฉันมีอยู่โครงการนึง...ถ้าไปเมืองหลวงแล้วกะจะทำวีซ่าไปอีกมิติน่ะ มิติของพวกไร้เวท”
“หวาว! ผมไม่เคยไปเสียด้วยสิ อยากไปจัง” ศิลาพูดอย่างตื่นเต้น ไม่ได้หันไปมองก็พอเดาออกว่าตอนนี้หมอนี่ตาเป็นประกายแค่ไหน
“แล้วเราจะไปที่ไหนล่ะครับพอไปถึงที่นั่นแล้ว?” ถามต่ออย่างกระตือรือร้น
“อืม...มีอยู่จังหวัดนึงที่ใครๆ ก็บอกว่า เป็นจังหวัดที่น่าเที่ยวที่สุดแล้วในประเทศไทย เห็นว่า...เป็นเมืองหลวงของประเทศด้วย ชื่ออะไรน้า...”
อนัตตะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นนกฝูงหนึ่งบินผ่านไป
“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” เด็กหนุ่มร่ายคำยาวอย่างรื่นเริง
“อะ...เอ่อ...สรุปคือ...กรุงเทพมหานครสินะครับ”
****************************************
ไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ ก็อัพสองตอนติดกันแบบนี้ แต่เอาเถอะ นี่เป็นแค่ช่วงเห่อเท่านั้น รับรองว่าอีกไม่นานผมต้องดองนิยายแน่ๆ จะว่าไปแล้ว...เรื่องนี้...มันคงไม่วายหรอกนะ-*- (เขียนเองกลัวเอง) อ่ะ แถมรูปๆ
ความคิดเห็น