คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จุดหมายที่1 ศิลา
จุดหมายที่1
ศิลา
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวกว่าโกหก
ในหนึ่งอาทิตย์ อนัตตะ ได้พักอาศัยอยู่ในโบสถ์โดยตอนกลางวันทำงานอยู่ที่โบสถ์ ส่วนตอนกลางคืนก็ออกไปทำงานที่สถานเริงรมย์ของเมือง โดยไปเป็นบาร์เทนเดอร์กึ่งโฮสต์ที่บาร์แห่งหนึ่ง หลังจากทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์และอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ แล้ว เด็กหนุ่มก็มีเงินมากพอสมควร จึงนำไปฝากในธนาคารเสียส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็เก็บเอาไว้เป็นค่าเดินทาง เมื่อพร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว เด็กหนุ่มก็ไปล่ำลาท่านสิลันด์ทิโมธี และท่านนักบวชน้อยอีวาน ก่อนจะออกเดินทาง
ดังที่เคยได้บอกไปแล้วว่า เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อด้านเพชรพลอย ดังนั้นที่ท้ายเมืองจึงมีเหมืองขนาดใหญ่อยู่หลายเหมืองและของหลายเจ้า ในยามเช้าเช่นนี้ที่เหมืองก็ได้เปิดทำงานกันแล้ว เหล่าคนงานทั้งหลายก็จะเดินทางไปทำงานกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในบ้านดินสวยๆ นั่นแหละ
อนัตตะเองก็มาที่เหมืองกับเขาเหมือนกัน แต่เด็กหนุ่มาที่เหมืองแห่งนี้เพื่อมาเยี่ยมเพื่อนเก่า และอีกจุดหมายหนึ่งคือการมาหาอัญมณีเอาไปขายในตลาดที่จะเป็นจุดหมายในการเดินทางต่อไปนี้
...เอ...เหมืองไหนวะ เหมืองไหนว้า... คิดพลางสอดส่ายสายตาดูป้ายชื่อเหมืองพร้อมเครื่องหมายบอกทาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเหมืองนับสิบ อนัตตะถอนหายใจเฮือก...ลืมชื่อเหมืองไปซะแล้ว...
“เฮ้! น้องชาย จะมาทำงานเหมืองเหรอ” เสียงทักจากด้านหลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง พอหันไปมองก็เจอกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ผิวคล้ำและหยาบกร้าน ศีรษะเกรียน หน้าตาดุแต่แววตาใจดี ใส่กางเกงแค่ตัวเดียวและสะพายเป้ใบใหญ่
“เอ่อ...ผมมาหาคนครับ” อนัตตะตอบไปตามความจริง
“ใครล่ะ?” ถามพลางก้าวเข้ามาวางมือบนไหล่เล็กของเด็กหนุ่มอย่างตีสนิท ความไม่พอใจพุ่งพรวดขึ้นภายในอกของอนัตตะ แต่เด็กหนุ่มก็ต้องเก็บไว้แล้วปั้นหน้ายิ้มตอบกลับ
“เขาชื่อ...ประจักษ์น่ะครับ โอ๊ย!!” อนัตตะร้องด้วยความเจ็บ แล้วปัดมือของคนตัวใหญ่ออกจากไหล่ ก่อนจะไสล์เท้าไปข้างหลังเพื่อหนี คราวนี้...คนตัวใหญ่หน้าดุตาใจดี กลายเป็นดุครบเซ็ตไปเรียบร้อยแล้ว เขามองไปที่อนัตตะด้วยแววตาเอาเรื่อง
“มีอะไรกับคุณประจักษ์รึ!?” ชายร่างใหญ่ถามเสียงขรึม
...อะไรวะ! ถามอย่างนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่า...จะเป็นลูกน้องของไอ้จักษ์ แต่มันไปทำอะไรไว้ให้ลูกน้องทำหน้าขึงขังได้แบบนี้วะเนี่ย... อนัตตะคิด เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดข่มความเจ็บที่ไหล่ ...เชื่อเขาเลย จะดึงแขนออกมารึไงกัน...
“เป็นเพื่อนครับ” อนัตตะข่มเสียงให้ปกติที่สุด แต่ก็จับได้ว่าสั่น เพราะมันเจ็บ...
“เพื่อน?” อีกฝ่ายทำเสียงไม่เชื่อถือ
เหล่าคนงานเหมืองที่กำลังเดินทางไปทำงาน ต่างก็ส่งสายตามองคนคู่นี้ที่ทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกันอย่างสนใจ อนัตตะกัดฟันกรอดความเจ็บหายไปแล้ว แต่ความอับอายเข้าแทนที่ซะงั้น
“ผมเป็นเพื่อนเขาจริงๆ นะ ไม่เชื่อไปถามได้” อนัตตะพูดอย่างจนใจ เด็กหนุ่มเหลือบมองเป้ที่ตัวเองสะพายมา
...ให้ตายสิ! เราไม่มีอะไรจะมายืนยันซะด้วย...
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงห้วนๆ ดังขึ้นขัดจังหวะคนทั้งคู่ ชายร่างใหญ่และอนัตตะหันไปมองตรงทางเดินไปเหมืองทันที พบกับชายตัวเล็กหน้าคล้ายหนูใส่ชุดสูทดูดีมีฐานะ กำลังเดินสวนกับเหล่าคนงานมายังที่ที่ทั้งสองยืนอยู่
“คุณประจักษ์! สวัสดีครับ” ชายร่างใหญ่รีบหันไปไหว้ทันที ความดุดันเมื่อกี้หายไปสิ้น
“อืม...แล้วทำไมนายยังไม่ไปทำงานอีกล่ะ อเล็กซ์” ชายนามประจักษ์ถาม
“เจ้าหนูนี่น่ะครับ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนของคุณประจักษ์แต่ผมไม่ไว้ใจ...ก็เลยกักตัวไว้น่ะครับ” ชายร่างใหญ่ที่ชื่ออเล็กซ์ตอบ ประจักษ์หันไปมองอนัตตะทันทีด้วยสายตาสำรวจ ซึ่งอนัตตะก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองตอบด้วยสายตาเดือดดาล
ความเงียบผ่านไปครู่หนึ่งท่ามกลางเสียงอึกทึกของการทำเหมือง
“ไอ้นัตนี่!!!” แล้วคุณประจักษ์ก็ตะโกนขึ้นมาทำเอาเอล็กซ์สะดุ้ง แต่เจ้าของชื่อเล่นว่านัตกลับยิ้มแยกเขี้ยว
“กว่าจะจำได้นะเอ็ง” อนัตตะพูดกัดฟัน
“ก็เอ็งเปลี่ยนไปมากเลยนี่หว่า ครั้งล่าสุดที่พบกันยังเป็นคุณชายอยู่เลยนี่” ประจักษ์ว่า
อเล็กซ์มองนายของตนที และมองเจ้าหนูทีด้วยความงุนงง ทั้งๆ ที่นายของเขาดูมีอายุมากกว่าเจ้าหนูหัวหยักศก แต่ทำไมทั้งสองกลับดูสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนวัยเดียวกันอย่างนี้นี่
“โอ้! ใช่ ฉันลืมแนะนำไป นี่อเล็กซ์ลูกน้องคนสนิทของฉัน เป็นหัวหน้างานด้วย อเล็กซ์ นี่เพื่อนของฉัน หมอนี่เป็นนักเดินทางกระยาจกน่ะ” ประจักษ์แนะนำทั้งคู่ด้วยใบหน้าระรื่นจิต ส่วนอเล็กซ์ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“พะ...เพื่อนของคุณประจักษ์เหรอครับ!” หนุ่มร่างใหญ่ละล่ำละลักคำพูด อนัตตะเหยียดมุมปากนิดหนึ่ง
“ก็ใช่น่ะสิ เฮ้ย! นัต เรื่องเมื่อกี้ข้าขอโทษแทนอเล็กซ์ด้วยนะเว้ย” ประจักษ์หันมาบอกกับเพื่อน อนัตตะพยักหน้าตอบรับเบาๆ ส่วนอเล็กซ์ก็ค่อยๆ หันมามองเด็กหนุ่มด้วยความพรั่นพรึง อนัตตะเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้ว ถ้าหากไม่เห็นว่าอเล็กซ์ดูกลัวขนาดไหนซึ่งมันไม่เข้ากับร่างกายอันใหญ่โตของเขาเลย
อนัตตะกับประจักษ์รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งประจักษ์ก็ถือเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ยังไม่ขาดการติดต่อหลังจากที่ออกจากโรงเรียนแล้ว และเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินเป็นอย่างดีและเสมอมา เวลาที่อนัตตะขาดแคลนเงิน ก็ได้คุณหน้าหนูคนนี้แหละช่วยเสมอ ถึงจะบอกว่าหน้าหนูแต่ก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้นหรอกนะ แค่มีส่วนคล้าย อย่างหน้ากลม ใบหูใหญ่ จมูกและปากเล็ก ดวงตาสีดำก็กลมโตบ๊องแบ๊วไม่เข้ากับสูทอย่างไรชอบกล
ทั้งสามตรงมาที่เหมืองของประจักษ์ซึ่งเป็นเหมืองพลอย เมื่อเข้าไปในเหมืองทางขวาก็จะมีห้องอยู่ห้อง
หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่ขุดขึ้นสำหรับทำเป็นห้องทำงานของประจักษ์โดยเฉพาะ
ภายในห้องที่เป็นห้องขุด ไม่มีอะไรมากนอกจากโต๊ะกลางห้อง และรอบๆ ก็เต็มไปด้วยตู้และลิ้นชักที่ใส่เอกสารกับของจำเป็นหลายๆ อย่าง ทำให้ห้องที่เล็กอยู่แล้ว ยิ่งเล็กลงไปอีก แถมพอเข้ามาแออัดกันภายในตั้งสามคน ที่ซึ่งคนหนึ่งตัวใหญ่พอๆ กับนักเพาะกล้ามด้วยแล้ว...อย่าให้พูดถึงความอึดอัดเลย ซึ่งมันก็ทำเอาคนตัวเล็กสุดอย่างประจักษ์หายใจแทบไม่ออก
“อเล็กซ์ฉันขออยู่กับไอ้หมอนี่นะ” ประจักษ์ค่อยๆ หันไปบอกกับลูกน้อง เมื่อได้ยินดังนั้นอเล็กซ์ก็พยักหน้ารับแล้วออกจากห้องไป ประจักษ์แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ก็เหลือแค่คนสองคนในห้องเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยตู้ โต๊ะ และเครื่องมือ ประจักษ์ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่โต๊ะ อนัตตะเดินไปหย่อนก้นนั่งซึ่งประจักษ์ก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากนั่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็จ้องตากันครู่หนึ่ง
“เป็นไงบ้างวะ สบายดีไหม?” ประจักษ์เริ่มบทสนทนาด้วยประโยคยอดฮิต
หลังจากคุยกันจนหายคิดถึงแล้ว อนัตตะก็เข้าเรื่องที่ทำให้เขาต้องมาที่เหมืองพลอยของประจักษ์ ซึ่งเด็กหนุ่มหน้าเหมือนหนูนามประจักษ์ก็ทำหน้ามุ่ยทันทีเมื่อได้ฟังธุระของเพื่อน
“ข้ามีดีแค่เรื่องเงินสิเนี่ย ตั้งอาทิตย์หนึ่งไม่มาหา มาเอาวันจะออกจากเมืองเนี่ยนะ” ตัดพ้อพลางเดินไปยังตู้เก็บเอกสารตู้หนึ่ง อนัตตะยิ้มเล็กน้อย
“อะไรกัน...ปกติก็โทรหาทุกวัน” เด็กหนุ่มกล่าว ประจักษ์หันกลับมาพร้อมถือกล่องไม้กล่องหนึ่งติดมือมาด้วย เด็กหนุ่มค้อนเพื่อนสนิทด้วยดวงตากลมโตใสแจ๋วเหมือนหนู ...โอ๊ย! ให้ตาย น่ารักเป็นบ้า...
“เอ้านี่! ของ” พูดพลางวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ อนัตตะยื่นมือไปดึงกล่องมาพร้อมเปิดออก เจอกับก้อนหินหลากสีที่วางสงบนิ่งอยู่ข้างใน
“หินสี?” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ประจักษ์ยิ้มหน้าบาน
“มันยังไม่ได้เจียระไนน่ะ”
“อัญมณีอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงคล้ายๆ พวกแซฟไฟร์น่ะ” พูดพลางส่งอุปกรณ์อดูอัญมณีให้ อนัตตะรับมาแล้วส่องหินสีของตัวเองทันที
“ไม่ใช่ประเภทแซฟไฟร์ว่ะ ไม่ใช่พวกคริสตัลด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” นั่นคือข้อสรุปหลังจากที่ส่องหินสีทั้งหมดในกล่องไม้แล้ว ประจักษ์รับอุปกรณ์คืนแล้วยักไหล่
“เอาไปขายคงได้เงินน้อยพอดู” เด็กหนุ่มผู้รับสืบทอดกิจการเหมืองพลอยกล่าว อนัตตะเหลือบตามองคนพูด ระหว่างเก็บหินสีแล้วส่ายหน้า
“เอาไปขายให้พวกนักสะสม”
“เดี๋ยวก็ถูกกดราคาหรอก”
“ฉันมีวิธีขายหรอกน่า...”
หลังจากเก็บกล่องไม้ใส่เป้สะพายแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็นั่งเงียบ เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“สามปีแล้วสิที่ออกเดินทางทั่วโลกน่ะ” ในที่สุดประจักษ์ก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“อืม...” อนัตตะตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน “ฉันไปก่อนนะ”
“ไปส่ง”
“ไม่ต้องๆ ขอบใจสำหรับหินสี แล้วเจอกันใหม่สักวันนะ” อนัตตะบอก ประจักษ์ยืนนิ่ง แล้วพยักหน้าอย่างจำใจต้องปล่อยเจ้าเพื่อนตัวดีไป
“ไปล่ะ บ๊าย บาย”
หลังจากออกมาจากเหมืองของประจักษ์ เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปตามถนนใหญ่ ซึ่งตรงออกไปสู่นอกเมืองทันที
เมื่อใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว บ้านช่องที่เห็นก็มีน้อยลง ส่วนป่าข้างทางก็มีมากขึ้น และประตูบานใหญ่ซึ่งติดอยู่กับรั้วสูงก็ปรากฏให้เห็นสู่สายตา ซึ่งมีทหารสองนายยืนเฝ้าอยู่
เสียงรองเท้าบู๊ตหนังสีดำกระทบกับพื้นหินดังสะท้อนไปทั่วบรรยากาศเงียบๆ สองข้างทางที่เป็นป่าละเมาะมีพวกแปลกๆ หลายคนหลบซ่อนอยู่ พวกปกติๆ ก็มี ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกเข้าเมืองใหม่ๆ ที่เข้าไปพักในป่าละเมาะเหล่านั้น ระหว่างที่เดินก้มหน้ามองพื้นอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้าแล้วเจอเข้ากับชายชราคนหนึ่งที่กำลังปูผ้าบนพื้นหิน แล้ววางอาวุธเก่าๆ ขาย
...มีอาวุธติดตัวสักหน่อยก็ดี เวลาเจออะไรจะได้มีไว้ป้องกันตัว... เด็กหนุ่มคิดแล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปหาชายชราคนนั้น
ชายชราเจ้าของแผงอาวุธที่กำลังจัดวางอาวุธเก่าๆ บนผ้าให้เป็นระเบียบ เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าคนหนึ่งที่เดินตรงมาหา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอายุอานามไม่ต่ำกว่าสิบห้าสิบหกปี ใส่เสื้อคลุมมีฮู้ดแขนกุดสีน้ำเงินเข้ม ที่สายห้อยตรงหมวกฮู้ด ถูกรวบไว้ทำให้เป็นรูปตัววาย ตรงปลายสายห้อยหัวกะโหลกอันเล็กๆ อยู่ กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงผ้าร่มขายาวสีดำสนิท ห้อยโซ่ที่ตรงปลายมีอะไรคล้ายเขี้ยวสัตว์สีนวลห้อยอยู่ รองเท้าเป็นบู๊ตหนังสีดำสนิท และเขาก็สะพายเป้แบบสะพายข้างใบใหญ่สีน้ำตาลเข้ม
“สนใจอะไรรึพ่อหนุ่ม” ชายชราเปล่งเสียงถาม อนัตตะชะงักไปนิดหนึ่ง มองเจ้าของร้านอย่างคิดไม่ถึงว่าเสียงจะนุ่ม ทุ้ม ราวกับชายหนุ่มเช่นนี้ซึ่งมันก็ช่างขัดกับรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิง
“ให้ฉันช่วยเลือกไหม?” อีกฝ่ายถามอย่างเป็นมิตร อนัตตะยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อเตรียมเลือกอาวุธ แล้วชายชราก็ตามมานั่งยองๆ ที่ฝั่งตรงข้าม
“พ่อหนุ่มคงไม่ถนัดดาบเท่าไหร่สินะ” พูดพลางกวาดสายตามองบรรดาอาวุธ
อนัตตะชะงักมือที่กำลังจะยื่นไปจับดาบเก่าเล่มหนึ่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้าน แต่เขาไม่ได้มองอนัตตะ
“ถนัดการหลบหลีกมากกว่าการต่อสู้ หากจะสู้คงเป็นแบบลอบสังหารสินะ”
“ผมมันขี้ขลาดครับ” อนัตตะโพล่งขึ้น
ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมคนทั้งสอง หากเป็นคนโดยส่วนใหญ่ ถ้าถูกมองโดยทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ พวกเขาก็เลือกที่จะหนีด้วยความรู้สึกไม่เป็นมิตร แต่ไม่ใช่อนัตตะ เด็กหนุ่มกำลังมองอีกฝ่ายตาแป๋วแหวว ดูไร้เดียงสาและซื่อบริสุทธิ์อย่างจอมปลอม ชายชราหัวเราะลงลูกคอเบาๆ แล้วยื่นมีดสั้นคู่หนึ่งให้
มีดสั้นคู่นั้นด้ามจับทำจากไม้ขัดอย่างดี ไม่มีการแกะสลักลวดลายหรือสลักชื่อคนสร้างไว้แต่อย่างใด ใบมีดทำจากโลหะไม่ระบุชนิด ตรงฐานต่อระหว่างด้ามกับใบมีด มีใบมีดอันเล็กๆ รูปกลีบบัวซ้อนอยู่ด้านบน ตรงกลางกลวง แล้วใบมีดจริงๆ อีกหนึ่งใบก็ซ้อนอยู่ด้านล่าง เป็นมีดใหม่ที่ดูเก่า ราวกับถูกสร้างมาแล้วทิ้งไว้ไม่ได้ใช้
“มันชื่อศิลา” ชายชรากล่าว
อนัตตะผละมือออกจากดาบ แล้วยื่นมือไปรับมีดสั้นคู่นั้น
...ทำไมเมื่อกี้ตอนที่ดูทั้งแผง...ไม่เห็นไอ้คู่นี้มันวางขายอยู่วะ... เด็กหนุ่มสงสัย พลางไล่สายตาสำรวจความสมบูรณ์ของมีด
...น้ำหนักกำลังดี ใบมีดก็แข็งแรงแต่ยืดหยุ่น ด้ามทำจากไม้เนื้อแข็ง...อืม...ใช้ได้เลย...
“ตกลงผมเอามีดสั้นคู่นี้ครับ” อนัตตะเงยหน้าขึ้นบอกคนขายด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“เธอ...ใช้เวลาคิดน้อยมากเลยนะ” ชายชรากล่าวพลางรับมีดสั้นคู่นั้นมาใส่ปลอกหนังให้
“ผมใช้สัญชาตญาณรับรู้น่ะ” อนัตตะโกหก ความจริงคือ...เขากำลังรอคอยสิ่งที่ชายชราคนนี้กำลังจะบอกต่างหาก
“มีดสั้นคู่นี้กรุณาดูแลมันดีๆ ด้วยนะครับ” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกแต่มันไม่ใช่สิ่งที่อนัตตะต้องการ เด็กหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะดึงเป้ออกมาเปิดแล้วล้วงเอากล่องไม้ออกมา
“130อีน” ชายชรากล่าว
“ผมไม่มีเงิน” อนัตตะบอกพลางเปิดกล่องไม้ออก แล้วหยิบหินสีออกมาก้อนหนึ่ง ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะเหมาะกับชายชราเสียงเด็กหนุ่มคนนี้มากที่สุด
“สีน้ำเงิน น่าจะเหมาะกับคุณนะครับ” เด็กหนุ่มพูดพลางยื่นให้
ชายชราจ้องมองหินสีในมือของอนัตตะด้วยแววตานิ่งเฉย ก่อนจะรับมาเพื่อพิจารณาดูใกล้ๆ ทันใดแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นและปีติยินดี
“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มไปได้หินนี้มาจากไหนกัน?” เขาถามด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้น
“เหมืองของเพื่อนครับ” อนัตตะตอบใสซื่อแล้วเก็บกล่องไม้เข้าเป้ไป “คุณรู้จักด้วยเหรอว่ามันเป็นแร่ชนิดไหน?”
“เปล่าไม่รู้หรอก เพราะชื่อมันมีมากมายเหลือเกิน แล้วทุกชื่อล้วนไม่เป็นชื่อจริงทั้งนั้น” ชายชราตอบแล้วเก็บหินใส่กระเป๋าเสื้อ ส่วนอนัตตะก็ลุกขึ้นยืนพลางเหน็บมีดสั้นไขว้ไว้ที่เข็มขัดด้านหลัง
“เธอแน่ใจนะว่าเธอไม่รู้จักชื่อจริงของมันน่ะ?” ชายชราถาม
“แน่ใจครับ ผมมีของแบบนี้อีกสิบสองก้อน” เด็กหนุ่มตอบ แล้วตรวจให้แน่ใจว่ามีดสั้นจะไม่หลุดหากเขาขยับตัวแรงๆ
“งั้นหรือ...ขอให้โชคดีนะพ่อหนุ่ม อ่า...จริงสิ ฉันขอถามหน่อย ปกติแล้วใครๆ จะเรียกฉันว่าปู่หรือไม่ก็ตา แต่ทำไมเธอถึงเรียกฉันว่าคุณ?” แววตาสีดำของชายชราส่องประกายลึกลับออกมา อนัตตะยิ้ม แววตาของเด็กหนุ่มลึกลับและลึกล้ำยิ่งกว่า
“เพราะคุณไม่ใช่คนแก่น่ะสิ ผมไปก่อนนะครับบาย” กล่าวจบ อนัตตะก็หันกายเดินจากไปทันที มีดสั้นที่ยาวประมาณท่อนแขนของเขาจากศอกถึงปลายนิ้ว ถูกติดไขว้ไว้ที่ด้านหลัง ชายชราจึงเห็นได้ชัดเจน แล้วเขาก็โบกมือไล่หลังเด็กหนุ่มไป
“ลาก่อนศิลา ขอให้เธอมีความสุขกับนายใหม่นะ” เสียงนุ่มกระซิบอย่างแผ่วเบา แล้วถูกส่งไปกับสายลม
ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสี ราวกับจิตรกรได้แต่งแต้มสีส้มและสีแดงลงบนผืนฟ้า แล้วแต่งแต้มให้ก้อนเมฆเป็นสีน้ำเงินเข้มที่มีแสงสีส้มจับ ดูสวยงามยิ่งนัก อนัตตะที่เดินไปตามทางรถเลี้ยวเข้าไปในป่าข้างทาง เพื่อหาสถานที่ที่จะนอนพักในคืนนี้ เดินลึกเข้าไปจากถนนประมาณสิบเมตร เด็กหนุ่มก็เจอกับก้อนหินขนาดใหญ่ เขาจึงเลือกพื้นที่ว่างหลังก้อนหินนั้นเป็นที่พักพิง หลังจากเคลียร์พื้นที่แถวนั้นเรียบร้อยแล้ว อนัตตะก็เปิดเป้แล้วหยิบ ‘กองไฟขนาดพกพา’ ออกมา มันเป็นลูกบอลเล็กๆ ที่มีสีสันเหมือนเปลวไฟ และมีตัวอักษรสลักอยู่เป็นคำว่า กองไฟขนาดพกพา ตามด้วยชื่อบริษัทที่ผลิตและจัดจำหน่าย...เอ่อ...ช่างเหอะ แล้วอนัตตะก็วางกองไฟขนาดพกพาไว้ตรงจุดที่ต้องการ แล้วเทน้ำใส่นิดหน่อย กองไฟก็ระเบิดขึ้นมาเบาๆ แล้วขยายเปลวเพลิงออกพร้อมใช้งาน
เมื่อได้กองไฟมาแล้ว เด็กหนุ่มก็ค้นหาเนื้อแห้งและข้าวเหนียว ซึ่งใช้เป็นอาหารในการเดินทาง หลังจากทานอาหารเย็นจนอิ่มแล้ว เด็กหนุ่มก็หยิบเอากล่องไม้ออกมาเปิดเพื่อสำรวจหินสี แล้วก็ปลดมีดสั้นออกมาสำรวจด้วยเช่นกัน
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง หลังจากเก็บกล่องไม้เข้าเป้เรียบร้อยแล้ว อนัตตะก็จัดการปูถุงนอน สอดตัวเข้าไปข้างใน รูดซิปปิด แล้วก็หลับตาลงเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
มันเป็นแค่ความรู้สึก...คงเพราะกึ่งหลับกึ่งตื่นล่ะมั้ง แต่ทำไม...เหมือนมีคนมานั่งอยู่ข้างๆ วะ...
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงที่มีก็มาจากกองไฟขนาดพกพาไม่มีวันดับกองนั้น มันกำลังสาดส่องให้เขาเห็นอะไรบางอย่าง ที่รูปร่างใกล้เคียงกับคนมาก และกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เพียงแต่หันหลังให้เท่านั้น เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากขึ้น ตั้งใจจะเรียกเจ้าของร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่แล้วความง่วงก็ดันมาโจมตีอย่างกะทันหัน เด็กหนุ่มค่อยๆ หุบปากลง แล้วหลับไปอีกครั้ง
มือเรียงบางขาวนวลข้างหนึ่งยื่นไปปัดปอยผมที่หน้าผากของอนัตตะอย่างแผ่วเบา
ความคิดเห็น