ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    series comic fiction

    ลำดับตอนที่ #1 : คู่ระห่ำ พิฆาตผี

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 53







    คู่ระห่ำ พิฆาตผี

     

                    เล็กซ์ โรเซซิส อดีตทหารผ่านศึกที่เคยถูกส่งไปยังเขตเอเชียกลาง ปัจจุบัน เป็นเพียงทหารหนุ่มในหน่วยพิเศษหนึ่งเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นวันหยุดที่นานๆ ทีชายหนุ่มจะมีกับเขาเสียด้วย เมื่อสามวันที่แล้ว ชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านหลังเล็กๆ ในรัฐนิวยอร์ก เพื่อไปพักร้อนที่รัฐฟลอริดา และในวันนี้ก็คือวันกำหนดกลับบ้านที่นิวยอร์ก มหานครแห่งความวุ่นวาย

                    ในรถคันหรูสีเงิน ชายหนุ่มเจ้าของรถกำลังขับไปผิวปากตามเพลงในวิทยุไปบนถนนอันว่างเปล่า ปราศจากเพื่อนร่วมทาง เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้จึงทำให้ถนนอันเงียบเหงานี้ยังมีร่มเงาให้รู้สึกเย็นชื่นใจแม้จะอยู่ในรถก็ตามบ้าง หลังจากนั้นเขาก็หลุดพ้นแนวทิวไม้ และก้าวเข้าสู่ถนนกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

    ขับมานานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้เพราะเล็กซ์ไม่ได้ดูเวลา แต่ที่เบื้องหน้าในยามนี้ ชายหนุ่มเห็นทางแยกออกไปทางซ้ายหนึ่งทางและมีป้ายบอกว่าอีกทางนั้นไปไหน ในขณะที่ทางข้างหน้ามุ่งสู่นิวยอร์กอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะขับตรงไปอย่างไม่สนใจทางแยกซ้าย เขาก็เหลือบไปมองหน้าปัดน้ำมันเพื่อตรวจเช็ค แล้วก็ต้องอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เมื่อพบว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้วนั่นเอง

    อะไรวะ...เพิ่งเติมเองนะ... ชายหนุ่มบ่นเบาๆ จากที่ต้องการมุ่งตรงสู่นิวยอร์กรวดเดียว เขาก็ต้องจำใจเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อหาแหล่งน้ำมัน เพราะตลอดทางจากนี้ตรงตลอดไปสู่นิวยอร์ก ปั๊มน้ำมันที่จะแวะก็อยู่ไกลเกินที่น้ำมันในถังจะเพียงพอ ชายหนุ่มหักพวงมาลัยเลี้ยวช้าๆ ไปตามป้ายบอกทางที่มันเขียนไว้ว่า

    ทางไปเมือง พีซฟูล

    ...เมืองอะไรวะ ไม่เคยได้ยิน... ชายหนุ่มคิด แต่ก็ไม่นึกสนใจ เพราะขับตามทางมาไม่นาน เขาก็พบกับทางเข้าเมืองอย่างรวดเร็วจนทำเอาใจหาย

    ...บะ...บ้าน่า...ทำไมมันถึงเร็วจังวะ เพิ่งเลี้ยวมาเองนะ...

    หัวใจของชายหนุ่มที่กรำศึกเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

    ...เล็กซ์เพ่งสายตามองหมู่บ้านข้างหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะที่ค่อยๆ ชะลอรถให้วิ่งช้าลง แล้วชายหนุ่มก็หันกลับไปมองข้างหลัง

    หัวใจของชายหนุ่มหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที...ไม่มีทางแยกที่เขาเพิ่งผ่านเข้ามาแต่อย่างใด ที่มีนั้นเป็นเพียงถนนเส้นหนึ่งที่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตากลางทะเลยทรายอันร้อนแรงและแห้งแล้งแห่งนี้...

    ครึ่กๆ เครื่องยนต์เริ่มขัดข้อง เมื่อน้ำมันที่เคยเต็มถังหมดลงจนเข็มหน้าปัดชี้ไปจนสุดทาง เล็กซ์เม้มปาก ทั้งขัดใจและตกใจ ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไปกว่านี้ไม่ได้ ชายหนุ่มก็หักเลี้ยวลงไหล่ถนนแล้วเอาจอดใกล้ๆ กับรั้วของหมู่บ้าน เขาวุ่นวายอยู่กับการล็อกรถนิดหน่อย พอเสร็จแล้วและเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้ง...ตะลึงงัน...กับสิ่งที่เห็น...

    เมืองในตอนแรกที่ไม่มีต้นไม้แม้แต่นอกรั้วหมู่บ้าน บัดนี้ ต้นไม้สูงใหญ่ใบรกครึ้ม กำลังยืนลำต้นอยู่ตรงหน้ารถของเขา ซึ่งกันชนก็ห่างจากลำต้นเพียงไม่กี่เซนต์เท่านั้น

    ...มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?... ชายหนุ่มคิด พอมองไปที่หน้าปัดบอกระดับน้ำมันแล้วเห็นเข็มตก เล็กซ์ก็รู้สึกละเหี่ยใจเกินกว่าจะสนเรื่องต้นไม้ ชายหนุ่มเปิดประตูรถออกไป แล้วก็ต้องอึ้งรอบสอง   

                    ท้องฟ้ายามบ่ายที่สว่างจ้าโล่งแจ้งไม่มีเมฆสักก้อน ตอนนี้มันกลับครึ้มไปด้วยเมฆฝนประหลาดที่จู่ๆ ก็โผล่มา พลันชายหนุ่มก็รู้สึกขนลุกซู่ไม่มีสาเหตุ แต่เขาก็สะบัดศรีษะขับไล่ความรู้สึกแปลกๆ ในตัวให้ออกไป

                    ...สงสัยโลกร้อน อากาศเลยแปรปรวนล่ะมั้ง... ชายหนุ่มหาเหตุผลให้ตัวเอง

                    โครม! เสียงอะไรบางอย่างตกกระแทกหลังคารถ เล็กซ์หันขวับไปมองด้วยความตกใจ

                    ...

                    แต่ไม่มีแม้กิ่งไม้สักกิ่งบนหลังคารถของเขา

                    ...หูฝาดแล้วเรา... ชายหนุ่มคิด แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขาเริ่มไม่ไว้ใจในสิ่งที่อยู่รอบตัว ทั้งๆ ที่เป็นเมืองแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงการใช้ชีวิตล่ะ? ทำไมไม่มีแม้แต่คนที่จะออกมาดูข้างนอกเลยสักคน? พอคิดอย่างนั้นแล้ว เล็กซ์ก็นึกถึงอาวุธที่พกมาด้วย แต่มันยังอยู่ในรถ ชายหนุ่มรีบกระชากประตูรถเปิดออก เพื่อหาปืนประจำตระกูลของตัวเอง

                    ปืนสีเงินรูปร่างแปลกตา ลวดลายส่วนใหญ่เป็นลายไม้กางเขน แต่ไม่มีการประทับชื่อหรือวันที่ผลิต เล็กซ์เสียบปืนไว้ที่ขอบกางเกงแล้วเอาชายเสื้อปิด ตบกระเป๋ากางเกางเช็คกระเป๋าเงิน เมื่อเสร็จสิ้นแล้วชายหนุ่มก็หันไปล็อกรถ แล้วเดินตรงไปยังหน้าเมือง ซึ่งประตูที่กั้นระหว่างเขากับเมืองนั้น ไม่ได้ถูกล็อคแต่อย่างใด... ชายหนุ่มเองก็ไร้มารยาทเกินกว่าจะตะโกนเรียกใคร เขาจึงผลักประตูเปิดเข้าไปเอง

                    แอ๊ด...

                    ...แม่เจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!...

                    สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า...คือเมืองที่แสนจะคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงจอแจแห่งชีวิต ทั้งรถราง ร้านค้า ผู้คนที่แต่งตัวไม่คุ้นตา...

                   

    เมืองพีซฟูล...เมืองแห่งความสงบสุข ยินดีต้อนรับ

     

    เดินมานานสองนานหาร้านขายน้ำมัน แต่เล็กซ์ก็พบแต่ความผิดหวัง แม้ว่าจะมีร้านขายน้ำมัน แต่กลับไม่มีน้ำมันที่ใช้สำหรับรถของเล็กซ์เลย ในที่สุดแล้ว...ชายหนุ่มจึงตกลงใจไปนั่งอยู่ใต้ชายคาของอาคารแห่งหนึ่งแทน ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าและพบว่ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว...

    ...เวรล่ะ! มืดแล้วดิ... ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันที ...ต้องหาที่พักก่อนล่ะ ว่าแต่แถวนี้มีโรงแรมเปล่าวะ... คิดพลางหันซ้ายแลขวา แล้วเขาก็พบกับป้ายชื่อโรงแรมที่ทางขวามือพอดี ลูกศรบนป้ายนั้นชี้กลับไปด้านหลังของเล็กซ์ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ หันไปมองตาม และพบกับ โรงแรม ที่พักสำหรับนักเดินทาง และเป็นอาคารที่ชายหนุ่มมานั่งพักพอดิบพอดี

    ภายในโรงแรมนั้นไม่ค่อยใหญ่นัก เคาน์เตอร์กับท้องบันไดที่นำไปสู่ชั้นบนอยู่ติดกันเสียจนถ้าไม่ระวัง คนหลังเคาน์เตอร์อาจศีรษะชนได้ ส่วนด้านขวามือคือประตูไม้ที่นำไปสู่อีกห้องหนึ่ง มีป้ายห้อยอยู่หน้าประตูเขียนไว้ว่า ห้องอาหาร เมื่อเข้ามาข้างในแล้วชายหนุ่มก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวัน

    “มากี่คนครับ” ชายแก่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมเอ่ยถาม

    “คนเดียว” เล็กซ์ตอบ

    “กรุณาเซ็นชื่อไว้ด้วยนะครับ ประเดี๋ยวจะให้เด็กนำไปยังห้องพักนะครับ” ชายแก่บอกพร้อมกับเลื่อนสมุดรายชื่อมาให้ แล้วเดินหายเข้าไปในประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ เล็กซ์จึงเซ็นชื่ออยู่คนเดียวในห้องโถงแคบๆ แห่งนี้

    ....บรรยากาศช่างเงียบเหงาจนเมื่อเขียนชื่อลงบนสมุดเสร็จ แต่ชายแก่ก็ยังไม่กลับมา ชายหนุ่มจึงมองสำรวจไปทั่วห้องโถงเพื่อฆ่าเวลา

    ...ปากกาจุ่มหมึก...แล้วก็...อย่างอื่นอีก ดูเป็นของโบราณคนละยุคทั้งนั้น...นี่เราย้อนอดีตมาหรือเปล่าวะ...

    “มิสเตอร์ครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาเล็กซ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองตรงตีนบันได พบกับเด็กหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่งในชุดแบบญี่ปุ่นประยุกต์สีฟ้า กำลังยืนจ้องตนอยู่อย่างสงบ เมื่อเห็นว่าเล็กซ์หันมาสนใจตนแล้วก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอะไร แล้วเดินขึ้นบันไดไปเลย ชายหนุ่มจึงรีบเดินตามไปอย่างฉงนและมึนงงหน่อยๆ กับการปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบของเด็กคนนี้

    ตามขึ้นไปถึงชั้นบนก็พบกับโถงทางเดินที่ยาวไปสุดทาง ด้านซ้ายเป็นหน้าต่าง ด้านขวาเป็นประตูห้องพักผ่อน เล็กซ์เดินตามเด็กหนุ่มเอเชียไปหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ที่มีตัวเลขไม้สลักติดอยู่ไว้เป็น 27 หรือชั้นสองห้องเจ็ด แล้วเด็กหนุ่มนิรนามผู้นั้นก็จัดการเปิดประตูให้กับเล็กซ์

    ในห้องพักเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่ไม่ใหญ่มาก แต่สะอาดสะอ้านและเครื่องเรือนครบครัน เล็กซ์ก้าวเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จากเครื่องเรือนในห้อง รู้สึกผ่อนคลายหน่อยๆ

    กริ๊ก เสียงประตูห้องถูกปิดลง เล็กซ์จึงเผลอถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ชายหนุ่มเลิกชายเสื้อขึ้นเพื่อที่จะเอาปืนออกจากเข็มขัด

    “รีบออกไปจากที่นี่ซะ” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง

    กริ๊ก! เล็กหันไปขึ้นไกเล็งใส่ทันทีตามสัญชาตญาณ ปากกระบอกปืนเล็งอยู่กลางหน้าของเด็กหนุ่มชาวเอเชียคนนั้น แต่เขากลับมาสีหน้านิ่งสงบ ส่วนเล็กซ์ก็เบิกตาโพลง ทั้งตกใจและเตรียมใจฆ่า

    “ม...เมื่อกี้...เธอพูดว่าอะไรนะ” เล็กซ์ถาม แต่ยังไม่ลดปืนลง

    “ผมบอกให้คุณรีบออกไปจากที่นี่ซะ มันไม่ปลอดภัย” เด็กหนุ่มพูดช้าๆ ชัดๆ เน้นๆ ราวกับคุยอยู่กับเด็กที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เล็กซ์ทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่ลดปืนลงอยู่ดี

    “ทำไม?”

    “เพราะที่นี่มันไม่ใช่ที่ๆ ของ คนเป็น อย่างคุณน่ะสิ” เด็กหนุ่มพูดเสียงเข้ม แววตาเอาจริงเอาจัง และดูไม่มีภัยอันตรายใดๆ เล็กซ์จึงค่อยๆ ลดปืนลงด้วยรู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก

    “หมายความว่ายังไง? ที่ว่าไม่ใช่ที่ของคนเป็นน่ะ?” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ

    ...นี่ตูเพิ่งจะหาที่พักได้นะเว้ย! ยังจะให้ไปไหนอีกวะ!... แต่แอบโวยวายในใจ

    “ที่นี่เป็นเมืองของคนตายยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ เล็กซ์เบิกตากว้างอย่างตกใจ อึ้ง ตะลึง และไม่เชื่อหูอีกรอบ

    “นายพูดเรื่องอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มถามเสียงสูง

    “คุณไม่ได้สังเกตเหรอ ว่าที่นี่ไม่เหมือนกับยุคของคุณ ทั้งเสื้อผ้า การดำรงชีวิตแล้วก็บ้านเรือน” เด็กหนุ่มร่ายยาว แต่พอคิดตามแล้ว...ชายหนุ่มก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างสูง

    “ประการสุดท้าย เมืองพีซฟูลมันมีอยู่ในแผนที่ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มสะกิดเข้าที่มุมหนึ่งในสมองของชายหนุ่ม

    ...จะว่าไป...ก็ไม่เคยเห็นชื่อเมืองนี้อยู่ในแผนที่เลยนี่นา... ชายหนุ่มค่อยๆ เห็นความเป็นจริงขึ้นมาเรื่อยๆ

    “แต่ว่าฉันจะเชื่อได้ยังไง ว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริงน่ะ” ชายหนุ่มยังคงไม่เชื่อทั้งหมดที่เด็กหนุ่มเล่า

    “...งั้นไปดูรถของมิสเตอร์กันเถอะ ว่าตอนนี้ถูกขโมยรึยัง” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่อง

    “เฮ้ย! จริงด้วย ฮัมเมอร์ของฉัน” แต่มันใช้ได้ดีพอควรเมื่อเล็กซ์ร้องเสียงหลงออกมา เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ แล้วยักไหล่ ก่อนจะหันหลังกลับเดินทะลุประตูออกไป เล็กซ์ที่กำลังจะเดินตามถึงกับหยุดนิ่ง อ้าปากค้างเบิกตากว้างมองประตู เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ตามมา เด็กหนุ่มจึงทะลุประตูเข้ามาดู จะเอ๋กับเล็กซ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูมือเอื้อมจับลูกบิดพอดี ตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่มากเท่าไหร่ ปลายจมูกชนกันแล้วด้วยซ้ำ แต่เล็กซ์กลับไม่รู้สึกถึงสัมผัสของอีกฝ่ายเลย

    ครู่หนึ่งที่ต่างนิ่งด้วยด้วยความตกใจ

    แล้วเด็กหนุ่มก็ผงะผลุบทะลุประตูออกมา ลอยลิ่วทะลุหน้าต่างออกไปข้างนอก ร่วงลงไปถึงชั้นล่างโดยไม่ต้องอาศัยบันได เล็กซ์รีบเปิดประตูผลัวะตามลงไปทันที น่าแปลกว่าเมื่อลงมาถึงเคาน์เตอร์ ชายแก่กลับไม่สนใจเขาที่วิ่งกระวีกระวาดออกไปข้างนอก

    เมื่ออกมาข้างนอก ชายหนุ่มก็พบกับความมืดและเงียบสนิทราวกับเมืองร้างของเมืองพีซฟูล

    “โอย...” เสียงครางเบาๆ ดังขึ้น เล็กซ์หันขวับไปมองทันที เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางมึนงง

    “ไม่รู้สึกเจ็บนี่หว่า ลืมไปเลย...” เด็กหนุ่มบ่นเบาๆ พลางสะบัดหัว แล้วเงยหน้าขึ้นมองเล็กซ์ที่มองมาอย่างอึ้งๆ

    สบตากันครู่หนึ่งเพราะต่างฝ่ายต่างอึ้ง

    “นะ...นาย...ทะลุประตูได้?” ในที่สุดเล็กซ์ก็เอ่ยขึ้น อย่างยากลำบาก เพราะรู้สึกว่าลำคอแห้งผากราวฝุ่นผงอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็พยักหน้ารับเอ๋อๆ

    “เป็นไปได้ไง?”

    “ก็ผมตายไปแล้วนี่ รีบไปดูรถของคุณเถอะ” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาย แล้วหมุนตัวไปยังทิศประตูเมืองก่อนจะวิ่งนำออกไป เล็กซ์รีบวิ่งตามทั้งยังมีความสงสัยอยู่เต็มอก เพียงไม่นานเขาก็ตีเสมอกับเด็กหนุ่ม

    “ฉันเล็กซ์ แล้วเธอชื่ออะไร?” ชายหนุ่มถาม เด็กหนุ่มปรายตามองอย่างฉงนนิดหนึ่ง

    “ริโอะครับ ชาวญี่ปุ่น”

    “แล้ว...ทำไมเธอถึงช่วยฉันล่ะ ถ้าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยจริงๆ น่ะ” ชายหนุ่มถาม

    “เพราะผมยังมีสติอยู่น่ะสิ เรื่องนี้ไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง แต่ถ้ารถคุณยังอยู่ล่ะก็ ขอให้คุณรีบบึ่งออกไปจากที่นี่เลยนะ”

    วิ่งกันไปจนถึงทิศหน้าประตูเมือง ในความทรงจำของเล็กซ์ ชายหนุ่มจำได้ว่าต้องเห็นประตูเมืองแล้วด้วยซ้ำ แล้วนี่มันอะไรกัน!?

    ทั้งสองค่อยๆ ชะลอความเร็วลง จนในที่สุดก็หยุดฝีเท้า ตรงหน้าของพวกที่ทำให้ต้องหยุดด้วยความรู้สึกใจหาย คือกำแพงสูงที่ไร้ประตู

    “ถูกขังแล้วไง...” ริโอะกัดฟันกรอด สะบัดหน้าไปทางเล็กซ์ที่เบิกตากว้างมองกำแพงด้วยความช็อก

    “มากับผมนี่ มีที่หนึ่งที่ปลอดภัย” เด็กหนุ่มพูดรัว แล้วออกวิ่งนำอีกครั้ง เล็กซ์ได้สติรีบตามไปทันที วิ่งไปที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้เพราะรอบข้างนั้นมืดสนิท ในขณะที่ริโอะวิ่งผ่านต้นไม้ฉิว เล็กซ์ก็ต้องคอยหลบหลีก สะดุดกลิ้ง และชนต้นไม้เป็นระยะๆ จึงทำให้เขารู้ว่า กำลังวิ่งเข้าไปในป่า

    “ถึงแล้ว” ริโอะประกาศ

    ติดตามอ่านตอนต่อไปซะดีๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×