คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : start
.start
สวัสดีครับ...ผมชื่อ อนัตตะ วายุ แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นทั้งชื่อจริงหรือชื่อปลอมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือชื่อของผมนักหรอก ส่วนเรื่องที่ว่าผมเป็นใครนั้น ผมบอกได้แค่ว่า ผมเป็นนักเดินทาง...
เมื่อหลายวันก่อนผมเพิ่งจะถูกโจรภูเขาที่อยู่นอกเมืองปล้นเอาเงินทองไปจนหมด ตอนนี้จึงจนกรอบไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกินสักมื้อแต่ไม่เป็นไรผมไปอาศัยในโบสถ์สักพักก่อนก็ได้ อ้อ! ลืมบอกไปตอนนี้ผมกำลังเดินทางอยู่ในเมือง เพชรธานี เมืองที่ดูเป็นไทยสุดๆ ในแดนเวทมนุษย์ของโลกแห่งเวทมนตร์ ทั้งสองโลกนี้ถูกเชื่อมต่อกันโดยประตูมิติและสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระ ทั้งนี้เป็นเพราะการเบิกเส้นทางโดยไฮคิง(ราชาผู้เป็นที่สุดแห่งราชา)แห่งแดนเวทมนุษย์ ที่ทำสัญญาร่วมกันกับองค์กรสหประชาชาติของทางฝั่งโลกไร้เวทมนตร์ และนั่นก็ทำให้มีวัฒนธรรมอันหลากหลายไหลเข้ามาสู่ดินแดนแห่งธรรมชาติแห่งนี้ รวมทั้งเทคโนโลยีด้วย แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ เวทมนตร์ย่อมสะดวกกว่าเทคโนโลยีหลายเท่านัก สิ่งที่เราแลกเปลี่ยนก็คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจการค้าขาย และศิลปวัฒนธรรมเท่านั้นแหละครับ อ้อ! ภาษาก็ด้วย
เพชราธานี เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องเพชรพลอยครับ เมืองนี้จึงร่ำรวยอยู่พอสมควร และเป็นเมืองหนึ่งเมืองที่สำคัญมากกับแดนเวทมนุษย์ในเรื่องเงินทอง ประชากรที่นี่โดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท อันเป็นศาสนาของทางฝั่งโลกไร้เวทมนตร์ เห็นว่ากันว่าเป็นศาสนาที่ดีมากทีเดียว สามารถให้ความกระจ่างในหลายๆ เรื่องที่เราอยากรู้ได้ แต่ว่าผมคงไม่ได้นับถือหรอก โดยส่วนตัวแล้ว...ผมเป็นพวกไร้ศาสนาน่ะ
บ้านเมืองของที่นี่ก็ไม่มีอะไรมาก ทั้งๆ ที่ชาวเมืองต่างก็ร่ำรวย แต่พวกเขากลับเลือกที่จะสร้างบ้านจากก้อนดิน กระนั้นศิลปะที่พวกเขาใช้ประดับประดาบ้านนั้นก็ทำให้ดูออกมาไม่เลวเลยทีเดียว งดงามยิ่งนัก...
อ้า...เดินทางมาก็ไกล เงินก็ถูกไถ ของก็ถูกปล้น ไม่มีตังค์จะซื้อข้าวกิน แล้วนี่...โบถส์อยู่ไหนน้า...
ถ้าหากคุณสงสัยว่าเหตุใดผมยังคงทำเป็นสบายใจอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะถูกปล้นมา คำตอบง่ายๆ ผมชินแล้วล่ะครับ หากจะให้นับ ผมคงถูกปล้นมาไม่ต่ำกว่า สามร้อยห้าสิบครั้ง นับตั้งแต่เริ่มเดินทางแล้วล่ะครับ ซึ่งผมก็เพิ่งจะเริ่มเดินทางได้แค่ สามปี เท่านั้น ชินแล้วล่ะครับ ชินแล้ว...
ขณะที่ผมเดินตามถนนใหญ่ที่พลุกพล่านไปด้วยรถราซึ่งใช้พลังงานเวทธรรมชาติในการขับเคลื่อน ผมก็เห็นพระราชวังของพระราชาแห่งเมืองนี้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีรั้วสูงที่ทำจากหินอะไรสักอย่างสีขาวบริสุทธิ์จนราวกับจะเปล่งแสงได้ และที่หน้าประตูเหล็กดัดลวดลายงดงามประดับด้วยอัญมณี ก็มีทหารท่าทางน่ากลัวยืนเฝ้าอยู่ แต่ประตูวังที่ว่าก็ได้เปิดกว้างไว้ ให้ประชาชนเข้าไปภายในเขตได้ส่วนหนึ่ง ถือว่าเป็นความใจดีของพระราชาจริงๆ อา...แล้วโบสถ์อยู่ไหนกันวะนี่ โบสถ์อ้ะ!
ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมกำลังหลงทางอยู่ โธ่เว้ย! มาหลงอะไรเอาตอนนี้เนี่ย อีกสองชั่วโมงก็จะมืดแล้วนะ(ดูนาฬิกาที่จัตุรัสครับ) ที่พักก็ยังหาไม่ได้ อาหารก็อย่าพูดถึงเลย!! ฮือ...โบสถ์จ๋า ผมครวญครางในใจไปก็เดินหาต่อไป ไม่คิดที่จะถามชาวเมืองเพราะขี้เกียจ และแล้ว...ห่างออกมาจากตัตุรัสหน้าพระราชวังไปทางทิศตะวันตก สิ่งก่อสร้างที่ดูโอ่อ่าและงดงามไม่แพ้พระราชวังแต่มีขนาดเล็กกว่าก็ปรากฏสู่สายตา สัญลักษณ์ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ที่หน้าประตูนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า...มันคือโบสถ์ โบสถ์แห่งเดียวในเมืองพุทธแห่งนี้ด้วย! โอ้! ปีศาจ ขอบคุณท่านที่ทำให้ข้าได้พบกับแหล่งพักพิง ไม่ตายแล้ว!!! อ๊า!...เหมือนน้ำตาจะนองหน้าด้วยความปลื้มปีติ ผมรีบวิ่งไปที่โบสถ์ทันที ท่านนักบวชอยู่ไหนคร้าบ!
เมื่อเข้ามาภายในโบสถ์ ผมก็อดอึ้งกับสถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ในนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ข้างนอกเป็นคนละแบบแท้ๆ(ไม่ใช่ทั้งโรมัน กรีก หรือเรเนสซองแน่ๆ) แต่ภายในกลับเป็นแบบไทยแท้! สวยอ้ะ สวยมากเลยครับ สวยเกินไปแล้ว ดูลายกนกบนผนังสิละเอียดสุดๆ อ๊า! ลายบนเพดานด้วย ว้าว! แม้แต่รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยก็ยังถูกสกัดจากหินอ่อนดูอ่อนช้อย เป็นประติมากรรมแบบไทยได้เลย! ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเชื้อสายตะวันตกแท้ๆ !!
“เอ่อ...มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” เสียงใสๆ เหมือนเด็กผู้ชายดังขึ้นที่ด้านหลัง เฮือก!...สะดุ้งเลย ใครวะ? ผมรีบหันขวับไปมองด้วยความตกใจ เจอกับนักบวชหนูน้อยที่กำลังยืนมองผมตาแป๋ว เอ่อ...รู้สึกว่าหน้าร้อนแปลกๆ สงสัยเราคงหน้าแดงไปแล้วมั้ง ไม่ใช่นะคร้าบ! ท่านนักบวชน้อย ผมไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กน้า! ถึงจะอายแค่ไหนก็เถอะที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ให้นักบวชเด็กเห็น แต่ว่า! ชีวิตสำคัญกว่า
“เอ่อ...คือ...ไม่ทราบว่าท่านผู้ดูแลอยู่ไหนเหรอครับ?” ผมกัดฟันถามและพยายามปั้นหน้าให้ปกติที่สุด
“อยู่ข้างหลังครับ ว่าแต่...จะมาสารภาพบาปเหรอครับ?” นักบวชน้อยถามอย่างใสซื่อ ดูดวงตาเขาสิใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ ให้ตาย
“เปล่าครับ...ผม...จะมาขอพักอาศัยที่นี่น่ะ” ผมสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างไม่อาย เพราะผมทำมาบ่อยแล้ว และที่นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“อ๋อ...เป็นนักเดินทางที่ไม่อยากเสียเงินให้กับที่พักในราคานักท่องเที่ยวสินะครับ” นักบวชน้อยพูดด้วยความใสซื่อ สาบานจริงๆ นะ ผมเห็นว่าเขาใสซื่อมาก แต่ทำไมคำพูดมันแทงใจงี้อ่ะ
“เอ่อ...” ท่านนักบวชน้อย...เรื่องบางเรื่องไม่ต้องแจกแจงรายละเอียดขนาดนั้นก็ดีนะ “ผม...เพิ่งถูกปล้นมาน่ะครับ” นี่คือเรื่องจริง นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง!!!
“อ๋อ...” ท่านนักบวชน้อยพยักหน้าเหมือนเข้าใจ เอ่อ...เข้าใจจริงๆ เปล่าเนี่ย
“งั้นเชิญตามผมมานะครับ เดี๋ยวจะนำไปหาท่าน สิลันด์ ให้ครับ” กล่าวจบก็เดินลิ่วมาตรงผม แล้วก็เดินเลยนำไปยังด้านหลังของรูปปั้นของท่านเทพแห่งความร่ำรวย ผมรีบวิ่งตามไปทันที ทำไมเดินเร็วขนาดนี้เนี่ย!
เมื่อมาที่หลังโบสถ์ก็ได้เจอกับโถงทางเดินว่างๆ ที่ข้างซ้ายมีประตูของห้องติดอยู่บนผนังมากมาย ข้างขวาเป็นสวนที่ดูร่มรื่น เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นว่าเริ่มมืดแล้ว อืม...สีชมพูม่วงรึ ก้อนเมฆเป็นสีม่วงน้ำเงินล่ะ และที่สุดปลายทางนั้นก็คือประตูอีกหนึ่งบาน
เมื่อเราทั้งสองเข้าประตูบานนั้นเข้ามา ก็พบกับห้องครัวที่มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ตรงกลายห้องพอดิบพอดี และที่บริเวณโต๊ะทำกับข้าว ก็มีท่านนักบวชผู้ดูแลโบสถ์ที่ดูแก่ชราท่านหนึ่ง ดูยุ่งวุ่นวายกับอะไรบางอย่าง เหมือนกับว่าท่านกำลังจัดอาหารเย็นใส่จานอยู่ กลิ่นหอมๆ ของมันทำเอาผมรู้สึกว่าท้องเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ยังไม่หนักถึงขั้นร้องประท้วง อุ๊ย! น้ำลายสอ
“ท่านสิลันด์ ทิโมธีครับ มีนักเดินทางคนหนึ่งเขาอยากจะมาขออาศัยกับเราน่ะครับ”
ผมมองอย่างอึ้งๆ ท่านนักบวชน้อยเข้าเรื่องเลยเหรอ เข้าเรื่องเลยเหรอเฮ้ย! ไม่มีอารัมภบทหน่อยเหรอ! แล้วนักบวชผู้ชราก็หันมาทางพวกเราสองคน ดูท่านเป็นคนใจดีมากเลย
“โอ้...นักเดินทางงั้นรึ...” เสียงของท่านฟังดูแหบสั่งเหมือนคนแก่ สมกับรูปลักษณ์ของท่านที่ดูอายุแล้วคงไม่ต่ำกว่าแปดสิบปีเป็นแน่ อ๊ะ! เฮ้ย เราต้องแนะนำตัวนี่หว่า ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะอดข้าวเย็น
“อ่า...สวัสดีครับ ผมอนัตตะ เป็นนักเดินทาง ก่อนจะเข้าเมืองมาเพิ่งจะถูกปล้น ตอนนี้ผมไม่มีเงินสักแดง ขอพักอาศัยอยู่ที่นี่สักพักได้ไหมครับ” ฮ่า...พูดบ่อยจนคล่องล่ะครับ เอ้า! ทำหน้าน่าสงสารหน่อยเรา สบตาตรงๆ อย่าได้หลบ และต้องแสดงความจริงใจออกมาให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องนอบน้อมถ่อมตนไปด้วย
“ถ้ามีอะไรช่วยได้ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ผมก็จะช่วยครับ” เสริมเข้าไปอีกนิด ใช่เลยพี่น้อง! ทีนี้ก็มาดูกันว่า...ท่านดิลันด์ทิโมธี จะยอมสงสารลูกหมาตัวน้อยๆ ตัวนี้หรือไม่
“อืม...จะพักนานแค่ไหนล่ะ?” ท่านถามอย่างไม่ข้องใจสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ขอบคุณครับปีศาจ! นึกว่าเขาจะสงสัยซะแล้วว่าทำไมคนโดนปล้นถึงได้ดูไม่มีร่องรอยอะไรเลยแบบนี้ ทุกอย่างแทบจะปกติดีทั้งหมด!
“ก็...จนกว่าจะหาเงินมากพอที่จะเดินทางต่อน่ะครับ” เรื่องจริงครับท่าน ผมยิ้มแหยๆ ส่งให้ เรื่องเงินน่ะเรื่องใหญ่สุดๆ
“อืม...งั้น...มากินข้าวเย็นก่อนไหม? เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยล่ะสิ”
“คะ...ครับ ขอบคุณครับ” ผมรีบตอบรับทันทีอย่างไม่มีคัดค้าน แน่นอนว่าท้องของผมเริ่มจะประท้วงแล้ว แต่ก่อนที่มันจะได้ส่งเสียงร้อง ผมก็รีบเติมอาหารลงไปก่อน อ๊า! อร่อยสุดยอด ไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย มันคืออะไรนะ ต้มยำกุ้งเหรอ? ใช่มั้ง ก็หน้าตาของมันคือต้มยำกุ้งชัดๆ นี่ ดูสิกุ้งตัวโตๆ ลอยอยู่ในน้ำต้มยำที่เต็มไปด้วยเครื่องมากมาย อ๊า! อร่อยจริงๆ เล้ย
ว่าแต่ว่า...ทำไมมันดูเหมาะเจาะขนาดนี้นี่...ราวกับเป็นเรื่องที่ถูกวางแผนเอาไว้มากกว่าบังเอิญ แต่ช่างเหอะ ตราบใดที่อาหารไม่มีพิษ และมีที่พักนอน แค่นี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ทีเหลือก็ต้อง...หางานทำเพื่อเงินสินะ
************** ***************** ************** ******************
ความคิดเห็น