หนึ่งถ้อยร้อยพันธะ : Word is Bond
ตอนที่ 8 : 2.4 ไม้กันลลนา
กำลังคุยเพลินศานต์ก็ขยับเข้าประชิด กศิณาเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ดวงตาหวานคู่นั้นจับจ้องไปเบื้องหน้า เธอมองตามสายตาเขาพบร่างระหงในชุดราตรียาวสีแดงคล้องคออวดแผ่นหลังเนียนสวย ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางขับเน้นเครื่องหน้าคมให้ชัดขึ้น ผมรวบตึงเป็นมวยใหญ่กลางศีรษะถักเปียล้อมรอบเสมือนมีมงกุฎประดับอยู่ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้วงสนทนา มองสบตาศานต์อย่างมีความหมาย
ริมฝีปากสีนู้ดแย้มยิ้ม เอ่ยเสียงหวานระรื่นหู “สวัสดีค่ะพี่ลินพี่รุ้งอัคศานต์ ไม่คิดจะแนะนำหน่อยหรือคะ”
กศิณาจำได้ว่านี่คือคนที่เธอมองหาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้างาน ผู้มาใหม่จ้องหน้าเธอนิ่ง ก่อนหันกลับไปมองศานต์แล้วบรรจงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ขณะที่ริมฝีปากยังไม่คลายยิ้ม
กศิณาเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแขนแกร่งโอบรอบเอว
“ครับลิลลี่ นี่ยุ้งข้าวครับ”
เธอยกมือไหว้อย่างนอบน้อม รู้ว่าคนตรงหน้าอายุมากกว่า สายตาลลนานั้นอ่านยาก กศิณาอดที่จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ แต่ในเมื่อยอมรับทำหน้าที่เป็นไม้แล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด
มือของเธอค่อยๆ สัมผัสร่างแกร่งอย่างแผ่วเบาไต่เรื่อยจนถึงบ่ากว้าง อดรู้สึกไม่ได้ว่าร่างกายของเขาช่างกำยำกว่าภายนอกที่เห็น จากนั้นก็เอียงแก้มซบไหล่เขา ช้อนสายตามองผู้เป็นเจ้าของ ส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้มพอประมาณแล้วหันไปยิ้มให้หญิงสาวร่างระหงตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณลิลลี่” แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นกดต่ำ จนคนที่ได้ยินไม่แน่ใจนักว่าพยายามจะผูกสัมพันธ์หรือตั้งกำแพง
สองสาวจ้องหน้ากันไปมา บรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด ศานต์จ้องมองเธอคล้ายไม่อยากเชื่อสายตา แน่ละสิ! ตุ๊กตาทองนี่แทบจะต้องประเคนให้ถึงที่ เด็กชมรมการแสดงอย่างเธอ ถึงจะเป็นมือสมัครเล่นที่หวังเข้าไปหาเพื่อนฝึกแค่อาทิตย์ละชั่วโมง แต่นับห้า สี่ สาม สอง ดีดนิ้วเปาะก็เปลี่ยนได้ในพริบตาแล้ว
“ไอ้ศานต์ กว่าจะหาแกเจอ คนเยอะชะมัด”
เสียงจากผู้มาใหม่ทำให้กศิณามาดหลุดทันที พบหญิงสาวในเดรสสายเดี่ยวสีม่วงอ่อนก้าวเข้ามาแทรกกลางวงพร้อมเหลือบตาไปมองเจ้าของชุดแดง แสร้งทำหน้าตกใจแบบที่ใครดูก็รู้ว่าจงใจเล่นละคร แล้วยังจงใจให้รู้ด้วยว่าจงใจ
“อุ๊ย คุณลิลลี่อยู่นี่ด้วยหรือคะ เดี๋ยวรบกวนช่วยออกไปหน่อยนะคะ คนในครอบครัวเขาจะคุยกัน”
อีกฝ่ายไม่ตอบและไม่ไป ยังยืนนิ่งหน้าเชิดหลังตึงสบตาท้าทาย
“ถ้าคุณลิลลี่ไม่สะดวกจะเคลื่อนย้ายตัวเองนี่ เดี๋ยวพวกเราเปลี่ยนที่เองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ใบหน้าหวานของผู้มาใหม่ยังคงมีรอยยิ้มประดับ แต่เป็นยิ้มที่ไม่จริงใจ
กศิณาเบิกตากว้าง พลันต้องรีบเม้มปากกลั้นหัวเราะ ประทับใจคนมาใหม่ในทันที ก่อนเดินตามมือที่ผายเชิญทุกคนให้ไปอีกทาง ทิ้งให้ลลนาที่ยังคงวางท่างามสง่าได้แต่เชิดหน้าขึ้นมากกว่าเก่าแล้วเดินจากไป
“ก็แค่เนี่ย ไม่อยากคุยด้วยก็แค่เชิญเขาออกไป ถ้าเขาไม่ไปเราก็เดินออกมา ไปยืนอึดอัดทำไมตรงน้านนน” หญิงสาวลากเสียงสูงยาว ส่ายหัวไปมาแล้วกลอกตาสามร้อยหกสิบองศาเมื่อศานต์ยกแขนขึ้นคล้องคอ
“ไอ้ช้องเอ๊ย แกนี่ไม่รู้อะไรเลย ฉันกำลังจะรอดูฤทธิ์ยุ้งข้าวว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้รู้แล้วละ ไม่มีใครหน้าไหนสู้แม่นางช้องศรีได้หรอก” ชายหนุ่มหัวเราะเต็มหน้า มือขยี้ผมสาวชุดม่วงที่ทำหน้าตายู่ยี่ใส่เพราะมันเริ่มจะเสียทรง
“อ้อ ขอโทษที ช้องนางนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ช้องนางแย้มยิ้มเป็นมิตรส่งให้ กศิณาแอบพรูลมหายใจ โชคดีที่ยิ้มนี้จริงใจกว่ายิ้มที่หญิงสาวให้ลลนา “ใครอ่ะแก อวบไปนิดนะ แต่สวยดี”
คำกระซิบที่ดังเข้าหูทำกศิณาถึงกับสำลัก ในขณะที่ศานต์กลั้นหัวเราะจนฟันกระทบกันกึกกัก เธอเผลอค้อนเขาตาคว่ำ ก็รู้ว่าเธอค่อนข้างจะอวบ แต่จริงๆ แล้วหุ่นเธอยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานนะ แค่ตัวใหญ่นิดหน่อยและกล้ามเนื้อค่อนข้างแน่นเพราะออกกำลังกายตลอด ส่วนที่กินเยอะๆ เข้าไปทุกวันเธอมั่นใจว่าเบิร์นออกหมดแล้ว...มั้ง?
“ช้องๆ”
เสียงของชายหนุ่มอีกคนเรียกอยู่ไม่ไกลนัก ช้องนางหันไปมองก่อนจะส่งยิ้มให้รอบวง
“ขอตัวก่อนนะคะ” แล้วก็หายปรู๊ดไปไม่ทันให้กศิณาได้ร่ำลา
“มาเร็วเคลมเร็วแบบนี้นี่ละไอ้ช้อง” ศานต์เอ่ยกลั้วหัวเราะราวกับรู้ทันความคิดของเธอ
วงสนทนาอยู่ต่อไม่นานนักก็ถึงเวลาแฟชั่นโชว์ ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ กศิณาขอแยกตัวเช่นกัน ไม่อยากให้ศานต์ต้องมาคอยดูแลจนไม่ได้เจอแขกของเขาในงาน
“ดูโชว์จบแล้วดิฉันขอออกไปอยู่ตรงระเบียงนะคะ อยากไปรับลม มีอะไรก็ไปตามแล้วกัน” บุ้ยหน้าไปยังประตูกระจกที่เปิดออกสู่ระเบียงหลังห้อง แล้วเตรียมแทรกตัวเข้าปะปนผู้คนเมื่อศานต์ตั้งท่าจะลากเธอไปนั่งที่ฟรอนท์โรว์
ก็ไม่ได้อยากดูโชว์นี่ แค่อ้างให้แนบเนียนไปอย่างนั้น และถึงแม้จะเข้าที่นี่ในฐาะนะคนของเขา แต่ไม่อยากไปเสนอหน้าออกสื่ออยู่ ณ ที่ตรงนั้น ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีน้อยเสียเมื่อไหร่ อาจจะมีสาวๆ มาตามรายล้อมก็เป็นได้ เธอไม่อยากมีศัตรูหลายคน พลังผู้หญิงน่ากลัวจะตายไป
ศานต์ดึงแขนเสื้อคนที่ตั้งท่าจะหลบไว้ เม้มปากแน่นขณะตัดสินใจ แต่ดูท่าเธอจะไม่อยากไปกับเขาจึงออกปากเตือนบางสิ่งที่ใจจริงเขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้
“ถ้ามีผู้ชายเข้ามาคุยด้วยก็บอกเขาไปนะว่ามีแฟนแล้ว ไม่อย่างนั้นลิลลี่จะสงสัย”
งานนี้มีคนมาลอบๆ มองๆ เธออยู่บ้าง เขาเป็นผู้ชายมองออกว่าสายตาคนเหล่านั้นหยุดที่ใคร แต่ดูท่าหนุ่มๆ จะไม่กล้าเข้ามาทักทาย อาจเพราะแม้ไม่ได้ควงแขนกันออกหน้าแต่ว่าเธอก็เดินมาพร้อมเขา
“อ้อ ก็ฉันสวยไงคุณมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ลองไม่ได้แต่งหน้าสิ ดูไม่ได้กันเลยทีเดียว” คำตอบพร้อมเสียงหัวเราะกังวานใสอย่างไม่สนใจรักษาภาพพจน์ ทำให้เขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
ก็ไม่รู้เธอจะเล่นตัวเองทำไม แม้ใบหน้าตอนแต่งหน้ากับใบหน้าจริงนั้นจะแตกต่างกันมาก แต่ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้แย่ น่าแปลกที่ยามเครื่องสำอางหนาทึบบดบังความเป็นธรรมชาติ เขากลับจำได้ว่าใบหน้าปราศจากสิ่งตกแต่งเป็นเช่นไร ผิวเนียนใสขาวซีด ทว่าพวงแก้มยุ้ยกลับอมชมพู ขนตายาวหนาเป็นแพล้อมกรอบรูปตารียาวไม่มีชั้นแต่ดวงตาดำนั้นใหญ่ชัดใสแจ๋วเปล่งประกาย จมูกเล็กเชิดรั้นบ่งบอกว่าคงดื้อไม่น้อย รับกับปากอิ่มสีแดงอ่อนที่ไม่ได้ถูกแต่งแต้มด้วยสิ่งใด
ยิ่งถูกตกแต่งยิ่งเสริมความเย้ายวนให้ดูเป็นสาวสมวัย เครื่องหน้าเด่นชัดได้รูปเหมาะเจาะลงตัวจนไม่อาจละสายตาได้ กิริยาท่าทางจากที่ดูเหมือนเด็กกะโปโลในตอนแรกกลับเปลี่ยนเป็นสง่าผ่าเผย เหมาะที่เขาจะควงเข้างานได้โดยไม่ต้องกลัวอายใคร
*****
เหมาะอะไรหรอคุณศานต์ ช่างสังเกตจริงๆ นะ พึ่งเจอกันไม่ใช่หรือไง
0 ความคิดเห็น