หนึ่งถ้อยร้อยพันธะ : Word is Bond
ตอนที่ 68 : 19.3 ดีลนะ
“เราว่าตรงตามที่นายเดาว่ะเทล พี่ศานต์ชอบไอ้ยุ้งชัวร์” เวฬุเอ่ยถึงข้อสงสัยที่ทิวัตถ์แอบโทรแจ้งตั้งแต่ตอนเขาขับรถออกจากวังน้ำเขียว ลูกพี่ลูกน้องให้ช่วยลองเล่นเป็นแฟนกศิณาหน่อย เขาจึงไปแอบวางแผนกับนายตำรวจญาติผู้พี่อีกต่อ เพื่อสร้างบทสนทนาที่จะช่วยพิสูจน์ให้ชัดเจน
“เห็นไหม บอกแล้ว จริงๆ พี่ช้องก็ไลน์เล่าเราตลอดนะว่าพี่ศานต์น่าจะชอบคนงานใหม่ แต่ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเป็นยุ้ง มารู้เมื่อคืนนี่แหละ ถ้าไม่คิดอะไรจะห่วงขนาดนั้นทำไม เล่นไปปลุกเราตอนตีสามเพราะยุ้งไม่สบาย ทั้งที่แค่ตัวร้อนเช็ดตัวทานยาก็หาย เป็นเดือดเป็นร้อนเกินหน้าขนาดนี้...ชัดเจน”
“พี่กกก็ว่าใช่ ตอนไปป่าน้ำผุดนะ พอเราคุยกับพี่กกว่าจะแต่งงานกับยุ้ง หน้าพี่ศานต์งี้ซีดเชียว” เวฬุเล่าไปหัวเราะไปด้วยทีท่าตื่นเต้น
“ไม่รู้พี่ศานต์จะรู้ใจตัวเองหรือยัง แต่ถ้าไม่รู้ ก็เป็นหน้าที่พวกเรานี่แหละที่ต้องสะกิดกันรัวๆ” ทิวัตถ์เอ่ยอย่างหมายมาดในขณะที่คนร่วมแผนการหัวเราะร่วนอย่างนึกสนุก ถูกใจที่จะได้เล่นอะไรขำๆ โดยเฉพาะกับกศิณาที่คงงงไม่น้อยกับทีท่าของเขา เห็นหน้าเหวอๆ ของรุ่นน้องสาวแล้วอารมณ์ดี ทั้งยังจะได้เป็นผู้ฉุดดึงให้น้องมีแฟนและอาจพ่วงแรงไปถึงการมีสามี ยิ่งต้องรีบทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ทางด้านหนุ่มสาวที่เดินเชื่องช้าเพราะขาของกศิณายังไม่หายดีนัก บรรยากาศรอบกายเงียบสงัด จนคนที่ถูกเรียกไว้อดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
“คุณศานต์มีอะไรจะคุยกับยุ้งหรือคะ”
กศิณาหันมองคนที่เดินเคียงข้างกัน เขาเม้มปากเสียสนิท แถมยังหลุบตามองต่ำ เป็นกิริยาที่ประหลาดชอบกล ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้น คิ้วเข้มเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลาย แล้วสุดท้ายก็เอื้อมมือมาแตะหน้าผากของเธอ
“ตัวไม่ร้อนมากนี่นา เมื่อกี้กินยาไปแล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ทานไปเม็ดหนึ่งตามที่คุณบอก”
“อื้อ งั้นรีบพักผ่อน นอนให้เยอะๆ อย่าแอบออกมาซ่าตอนกลางคืนล่ะ”
เธอหัวเราะขำเมื่อได้ฟังคำกล่าวของเขา
“ฉันจะไปกินข้าวกับพวกพี่ไผ่ จะไม่ให้ออกไปซ่าได้ยังไงละคะ”
“คบกันมานานเท่าไรแล้ว”
“คะ...” คำถามที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับประโยคก่อนหน้าทำให้กศิณาเหวอไปทันที
“กับไผ่...คบกันมากี่ปีแล้ว” เสียงถามค่อนข้างเบา แต่ดูท่าหญิงสาวคงจับใจความได้ เพราะศานต์เห็นเธอร้อง อ๋อ...แล้วทำหน้ารับรู้
ความจริงก็ไม่อยากก้าวก่าย แต่เพราะอยากถามให้แน่ใจ ภาพความสนิทสนมนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งแปลกๆ ในอก แต่ดวงตากศิณายามที่มองเวฬุไม่ได้เหมือนการมองคนรักสักนิด จึงอาศัยความหวังเสี้ยวสุดท้าย ผลักดันให้ตัวเองวิ่งตามมาขอคุยกับเธอ
“ห้าปีแล้วค่ะ ตั้งแต่มหา’ลัยปีหนึ่ง”
คำตอบที่ได้รับคล้ายน้ำเย็นจัดที่สาดซัดแสงแห่งความหวังให้ดับวูบ
“แล้ว...จะแต่งงานกันเมื่อไหร่หรือ” เสียงของเขาเบาหวิวจนอีกฝั่งต้องเอียงหูเข้าหา
“ใครแต่งกับใครนะคะ”
“เธอกับไผ่ไง”
สิ้นเสียงเขา เธอก็แหวออกมาด้วยความตกใจ “เฮ้ย! ใครจะไปแต่งงานกับไอ้พี่ไผ่ ตลกแล้ว ตีกันตายทั้งวันแน่ๆ นอกจากไม่ได้รัก ยังเป็นคู่แค้นกันมาแต่ชาติปางก่อนด้วย”
“ก็เห็นไผ่คุยกับสารวัตรกก ว่าถ้าแต่งงานกับเธอแล้วจะให้ไปบริหารรีสอร์ต”
“โอ๊ย...รีสอร์ตที่วังน้ำเขียวน่ะเหรอคะ เคยแต่ไปเที่ยว แต่บริหารน่ะ ถ้าพี่ไผ่ไม่คิดสั้นอยากเลิกกิจการเขาคงไม่เอามายกให้ฉันหรอก หัวฉันไม่ได้ทางนั้นเลย พี่ไผ่มันก็รู้ ส่วนเรื่องแต่งงานคุณฟังผิดหรือเปล่า” ใบหน้ากศิณายับยู่ยี่ นึกคาดโทษไปถึงคนพูดไม่คิดที่มื้อค่ำนี้คงต้องไปจัดการ
“แต่เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ ทั้งไผ่ เทล สารวัตรกกพูดตรงกันหมดเลย” ศานต์ยังคงจี้ถามต่อ ตั้งใจให้ชัดเจนกันไปข้าง แม้ใจจะลิงโลดเต้นรัวตั้งแต่ที่กศิณาปฏิเสธแล้ว
“นั่นไง! เล่นน้องแล้วไหมล่ะ รวมพลังสามัคคีกันจริงจริ๊ง ฉันว่า...สงสัยพวกนั้นตั้งใจจะแกล้งให้ฉันมีแฟนเป็นหมีหนวดเครารกรุงรัง ที่จริงฉันเคยได้ยินพี่ไผ่บอกว่าเป็นแฟนฉันรอบนึงตอนพี่กกชมว่าฉันน่ารัก แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้หวงฉันหรอกนะ ไอ้พี่ไผ่น่ะหวงพี่ชายตัวเองมากกว่า เอาหัวกศิณาเป็นประกัน!”
คนฟังยิ้มแก้มแทบแตก และไม่สามารถหุบได้ รู้สึกคล้ายมีดอกไม้บานในร่างกาย ทุกอณูพูฟองล่องลอย ทั้งดีใจทั้งโล่งอก แม้จะยังมีเรื่องของน้องตัวเล็กให้คิด แต่ปัดเรื่องเวฬุไปได้เรื่องหนึ่งก็ดีแล้ว
“อีกอย่างนะ คนอย่างพี่ไผ่ยังไงชาตินี้ก็คงไม่มีแฟนหรอก เล่นมองคนทั้งโลกเป็นผู้ชาย ประมาณว่าทุกคนแมนๆ ไล่เตะกันได้หมด” ไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด ดาวคณะผู้เรียบร้อยที่สุดในรุ่นเธอยังเจอพี่ไผ่วิ่งไล่เตะมาแล้ว
ศานต์ไม่ได้สนใจเรื่องเวฬุ สิ่งสำคัญคือคนตรงหน้าต่างหาก ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องไปให้สุด “แล้วตอนนี้เธอยังไม่มีแฟนใช่ไหม”
“อย่าว่าแต่ตอนนี้เลยคุณ ตอนไหนก็ไม่เคยมี”
คำตอบนั้นทำให้ศานต์เลิกคิ้ว เมื่ออีกฝั่งตอบด้วยทีท่าสบายๆ จนน่าประหลาด “ทำไมละ”
“ฉันไม่สนผู้ชาย” ใบหน้าตกใจของชายหนุ่มทำให้กศิณาต้องรีบอธิบายต่อ “ไม่ได้หมายความว่าชอบผู้หญิงนะ แต่แค่แบบ...ไม่ได้โฟกัสอ่ะ แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไร จริงๆ ก็มองผู้ชายหน้าตาดี แต่ข้ามวันก็ลืมหน้าแล้ว”
อ๋อ...ต้องยกเว้นเขาไว้เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ให้รองเท้า จนวันที่รถชน ลามไปถึงวันที่เจอกันในบ้านศิลปกิจจา ก็ไม่รู้ว่าเพราะเขาคือพี่ตัวใหญ่ เธอถึงจำหน้าเขาได้ หรือเพราะอะไร แต่กรณีพิเศษของเขาอีกอย่างคือ ‘พี่ตัวใหญ่’ เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเล่าให้คู่ฤทัยฟังบ่อยๆ แม้เสี้ยววินาทีแรกที่ได้เจออีกครั้งจะจำไม่ได้ก็ตามที แถมเกือบออกงิ้วใส่อีกต่างหาก
“แต่เธอไม่ลืมหน้าฉันใช่ไหม”
“แหมคุณ” กศิณาแทบจะค้อนควัก ส่ายหน้าด้วยความขบขัน “ถ้าลืมตอนนี้ก็สมองเสื่อมแล้วมั้งเนี่ย”
“อืม แล้วทำยังไงถึงจะโฟกัส”
“หือ...” กศิณามองหน้าเขานิ่ง จ้องลึกสู่นัยน์ตากลมโตที่เข้มจัด ลึกล้ำประหลาดตา แล้วอะไรบางอย่างในนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกหน้าร้อนวาบจนไม่อาจสู้ต่อได้ เสเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่น
“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ แต่ต่อไปนี้เรียกพี่ได้ไหม”
“ไม่ได้! แก่กว่าฉันตั้งสิบกว่าปี ขืนคุณเรียกฉันว่าพี่ ฉันก็อายุสั้นตาย” คนที่รู้สึกหน้าร้อนซู่แปลกๆ รีบกลบเกลื่อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
คำกล่าวของกศิณาทำให้ศานต์ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหลุดขำเมื่อจับใจความได้ หญิงสาวลอยหน้าคล้ายจะใสซื่อ แต่เขาสัมผัสได้ว่าเธอตั้งใจยียวน
“หมายถึงเรียกฉันว่าพี่ศานต์ได้ไหม แล้วก็จะแทนตัวเองว่ายุ้งหรือหนูแบบเมื่อคืนก็ได้”
“อะไรนะคะ” ดวงตารียาวเบิกกว้างอย่างตกใจ “เมื่อคืนฉันพูดตอนไหน” ไม่เห็นจะจำได้สักนิด เพราะเธอเลี่ยงโดยตลอด แม้จะรู้ว่าการพูดฉัน-คุณกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า แถมยังเป็นถึงเจ้านายมันไม่ค่อยสุภาพนัก แต่เพราะต้องการปัดตัวตนที่แท้จริงไปห่างๆ จึงไม่กล้าเรียกเขาว่าพี่ เพราะกลัวจะแทนตัวว่าหนูจนหลุดทุกอย่างออกมา
นี่นั่งพูด ฉัน-คุณ ให้ชินปากก่อนมาเริ่มงานตั้งนาน ไปหลุดตอนไหนกัน
“พูด เธอเรียกฉันพี่แล้วแทนตัวเองว่าหนู ก็ดูน่ารักดีนะ” ถึงชายหนุ่มจะรู้สึกว่าตนอาจจะดูแก่ แต่ในเมื่อริจะรักจะชอบเด็กก็คงต้องยอมหน่อยล่ะ เพื่อความสนิทสนมกลมเกลียวมากขึ้น
“ไม่อะคุณ” กศิณาส่ายหน้าพรืด แล้วก็พบว่าในแววตาคนฟังมีร่องรอยผิดหวังพาดผ่าน ทำให้เธอใจเสีย จึงคิดเล่นมุกแก้สถานการณ์ “เรียกพี่ไม่ถนัด เรียกที่รักน่าจะง่ายกว่า”
อาการเหวอของศานต์เรียกเสียงหัวเราะคิกของคนปล่อยมุก เวลาพี่ๆ ที่ทำงานเล่น เธอรู้สึกว่ามันช่างแป้กเหลือใจ แต่สุดท้ายก็เอามาเล่นเองเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้คุณ ล้อเล่นน่า ตาจะโตกว่าล้อรถสิบล้อแล้ว” รีบยกมือโบกตรงหน้าเขาให้คลายกังวล ยังคงหัวเราะค้าง แต่แล้วก็ต้องเงียบโดยพลันเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาเอ่ย
“ฉันดีลนะ”
วร้าย วร้าย ดีลอะไรค้าคุณศานต์
รีบไปบอกสองหนุ่มนั่นเลยนะ จะได้ไม่เปลืองแรงวางแผน
เพราะคุณศานต์จะลุยเองค่า
0 ความคิดเห็น