หนึ่งถ้อยร้อยพันธะ : Word is Bond
ตอนที่ 65 : 18.3 หลงรักคนมีเจ้าของ
ช้องนางเดินมาหยุดยืนข้างกศิณา เพ่งมองชายสามคนที่ควรจะอยู่กับตำรวจจัดการดับไฟแทนอย่างงงๆ ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ เมื่อสองสาวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ได้ดีตั้งแต่แรก
ศานต์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ เช็กให้แน่ใจอีกครั้งว่าทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ จึงเดินออกจากอาคารตรงมาหาพนักงานดับเพลิงจำเป็น
“ขอบคุณมากนะ แล้วบาดเจ็บตรงไหนกันบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” กศิณารีบตอบพลางยิ้มให้ตาหยี ทันทีที่คนถามเอ่ยพร้อมมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของเธอ
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เดินไปหาคนประจำตำแหน่งครัว
“เดี๋ยวผมขอกันครัวไว้ให้ตำรวจมาตรวจสอบก่อนนะครับ แล้วเราค่อยมาลิสต์ของที่เสียหายจะได้ไปซื้อใหม่กัน แม่นอมแม่ชื่นไปนั่งรอที่ออฟฟิศก็ได้ครับ อาจจะขอรบกวนให้ปากคำกับตำรวจหน่อย แล้วก็ฝากโทรสอบถามครัวที่รีสอร์ตให้ผมทีว่าทำอาหารเย็นมาให้พวกเราได้ไหม ส่วนคนอื่นๆ ไปทำงานกันต่อได้ ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว”
คนที่รับมือทุกอย่างได้เป็นขั้นเป็นตอนก้มศีรษะขอบคุณทุกคนพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้ แล้วเดินย้อนกลับมาหากลุ่มคนที่ยืนรอเขาอยู่
“แกคิดว่าฝีมือใครวะ” ช้องนางเอ่ยถามเสียงเบาเมื่อผู้คนเริ่มบางตา
“ฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ จากที่ฟังแม่นอมเล่ามาแก๊สรั่วทั้งสี่ถังมันเป็นไปไม่ได้”
ช้องนางพยักหน้ารับคำหงึกหงักเมื่อได้สอบถามเหตุการณ์คร่าวๆ บ้างแล้วตั้งแต่มาถึง อีกทั้งเธอและกศิณาเป็นผู้นำกระสอบเปล่าชุบน้ำไปวางคลุมถังแก๊สที่เอียงกระเท่เร่ทั้งสี่ถัง
“แล้วเขาจะทำไปทำไมอะคะ” กศิณาที่ยืนครุ่นคิดอยู่เงยหน้าเอ่ยถามรอบวง
“ไม่รู้ แต่มันไม่หวังดีแน่”
“เราติดกล้องวงจรปิดดีไหมคะ ช่วงนี้สถานการณ์ที่ไร่ดูไม่ดีเลย เราไม่รู้ว่าจุดประสงค์เขาคืออะไรและคนทำเป็นใคร อาจจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ได้”
“ก็คงต้องติดแหละ เธอก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน พยายามอยู่ห่างๆ เรื่องนี้ไว้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เกิดไปเจอคนร้ายเข้าจะแย่”
ศานต์ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาหมายแจ้งเหตุกับนายตำรวจที่กลับไปเก็บหลักฐานทางฝั่งป่า พลันโทรศัพท์ในมือก็ส่งเสียงร้องขึ้นก่อนโดยที่ยังไม่ทันเปิดหน้าจอ ปรากฏชื่อคนที่เขากำลังคิดจะโทรหาพอดี
“ครับสารวัตร”
“ว่าไงนะครับ!” ศานต์เอ่ยเสียงตกใจ มองสบตาทุกคนที่จ้องมาอย่างใจจดใจจ่อ
“เดี๋ยว...ผมให้อาเชษไปนะครับ” ชายหนุ่มสบตาผู้จัดการไร่แล้ววางสาย
“อาเชษไปดูที่ป่ากับช้องได้ไหมครับ สารวัตรบอกว่าดินตรงที่เกิดเหตุโดนพรวนจนระบุร่องรอยอะไรไม่ได้เลย เลยอยากได้คนไปยืนยันสภาพที่เกิดเหตุเมื่อเช้าน่ะครับ เดี๋ยวผมกับยุ้งจะเฝ้าอยู่ที่นี่เผื่อมันย้อนกลับมา”
“ยุ้งไปด้วยไม่ได้เหรอคะ”
“ยุ้งอยู่นี่เถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันกับอาเชษรีบไปรีบกลับ” ช้องนางรีบขัด สบตาเพื่อนสนิทเพียงชั่วครู่ รู้ดีว่าเจ้าตัวไม่อยากให้กศิณาเกี่ยวพันกับคดีไปมากกว่านี้จึงพยายามกีดกันทุกหนทาง และคนที่จะคุมตัวเด็กสาวได้ก็มีเพียงแค่ศานต์คนเดียวเท่านั้น ส่วนถ้าให้เวฬุไปด้วยกศิณาก็อาจจะขอตามไป
“แต่...เฮ้อ ไม่น่าเลย เมื่อเช้าเราน่าจะถ่ายรูปไว้ ดันถ่ายแต่รอยเท้า” กศิณาบ่นอย่างเสียดาย
“ยุ้ง!” เจ้าของไร่เรียกเสียงเข้ม สองมือประคองต้นแขนหญิงสาวไว้ หมุนตัวเธอมาจ้องหน้าสบตาจริงจัง
“อย่าพูดเรื่องที่เราไปที่เกิดเหตุกันตอนเช้าหรือแม้แต่เรื่องที่เธอไปมาเมื่อคืนให้ใครได้ยินเด็ดขาด อย่าให้ใครรู้ว่าเราได้หลักฐานชิ้นใหญ่มาแล้ว โดยเฉพาะคนที่ได้มันมาเป็นเธอ”
“เอ่อ...แต่ว่า...”
“ฉันบอกอะไรก็ให้ทำตาม เข้าใจไหม” ศานต์เอ่ยย้ำเสียงเข้ม
กศิณามองสบดวงตากลมโตที่แลดูเข้มขึ้นกว่าในยามปกติ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ราวกับเธอโดนสะกดให้พยักหน้ารับคำแต่โดยดีแม้ว่าในใจจะค้านสุดเสียงก็ตาม
“ว่าแต่...” ศานต์เงียบไป ใบหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างตามตัวกศิณา “ทำไมตัวเปื้อนหยากไย่”
เขามั่นใจว่าในครัวที่มีการใช้งานตลอดไม่น่าจะมีแมงมุมชักใย หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะเปื้อนเลอะเต็มร่างของหญิงสาว
“อ๋อ...ยุ้งคง...” ช้องนางที่กำลังจะจากไปรีบหันกลับมาทันที คิดหาคำแก้ตัวให้หญิงสาว เพราะรู้ดีว่าล่าสุดที่ตัวเองเคยจะเข้าไปเก็บของในห้องนั้นเมื่อหลายปีก่อนศานต์อาละวาดหนักขนาดไหน ชายหนุ่มโมโหที่สั่งห้ามไว้แล้วยังไม่เชื่อฟัง จึงหวั่นว่ากศิณาจะโดนระเบิดลง แต่ก็ไม่ทันคนที่พูดตรงๆ
“ฉันเข้าไปในห้องวาดรูปของคุณน่ะค่ะ ก็ไม่รู้นี่นาว่าห้องไหนห้องนอน เลยเปิดเข้าไป”
คำตอบนั้นทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบราวกับทุกคนหยุดหายใจ ดวงตาของศานต์มีรอยวูบไหว มือที่จับต้นแขนกศิณาไว้ตกลงข้างตัวก่อนจะเซถอยหลังจนกศิณาต้องรีบถลาเข้าหา
“คุณศานต์คะ คือ...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” แม้จะรู้ดีว่าตนไม่ตั้งใจเปิด แต่เธอตั้งใจเข้าไปสำรวจเต็มๆ หากปิดประตูกลับเสียคงไม่ตัวเปื้อนขนาดนี้ ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดเพื่อระงับโทสะของคนตรงหน้าที่ดูท่าว่าจะพุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ดวงตาเศร้าสลดของหญิงสาวทำให้ศานต์รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก แต่มันกลับไม่ใช่อาการโกรธที่กศิณา ‘ล่วงล้ำ’ เข้าพื้นที่หวงห้ามซึ่งแม้แต่ช้องนางก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ความรู้สึกที่เกิดยามสบตาหญิงสาวคือรู้สึกผิดที่ทำให้เธอไม่สบายใจต่างหาก
ศานต์เม้มปากแน่นพลางถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบผมหยักศกประบ่าของกศิณาที่เจ้าตัวไม่ค่อยได้ปล่อยสยายนัก อ้างว่ามันทั้งชี้ทั้งฟูไม่เป็นทรง เขาเห็นจริงตามนั้น แต่ก็รู้สึกว่ามันธรรมชาติและน่ามองดี
“ไม่เป็นไรหรอกยุ้ง”
“คุณศานต์ไม่โกรธยุ้งจริงๆ ใช่ไหมคะ” ดวงตาเปล่งประกายกลับมาอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่กว้างจนดวงตารียาวยิบหยี เรียกให้เขาส่งยิ้มตอบกลับเช่นกัน
“อื้อ แต่อย่าเข้าไปอีกแล้วกัน ทั้งฝุ่น ทั้งอับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
คล้ายบรรยากาศรอบตัวจะกลับมาดีขึ้นทันตาเห็น ศานต์รู้ว่าทั้งผู้จัดการไร่และเพื่อนสนิทต่างพากันถอนหายใจโล่งอก เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่โกรธจริงๆ ทั้งคู่จึงขอตัวไปยังป่าน้ำผุด
ศานต์มองคนที่ยังพยักหน้าหงึกหงักรับคำเขาพร้อมทั้งยิ้มตาหยีไม่เลิก เขาไม่หยุดมือที่สัมผัสศีรษะของหญิงสาว โดยไม่กล้าเหลือบมองอีกหนึ่งบุคคลที่เหลือ กลัวเหลือเกินหากได้เห็นสายตาหึงหวงที่มองมาแล้วจะยิ่งเจ็บในใจ
ทั้งที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าคนรักของเจ้าหล่อน แต่เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ รู้แน่แล้วคราวนี้ว่าสำหรับเขากศิณาไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา อยากลงมือพิสูจน์ความรู้สึกที่คั่งค้างในใจ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อเธอมีเจ้าของแล้ว
คุณศานต์ ลุยไม่ลุย!
0 ความคิดเห็น