ตอนที่ 4 : Born Lover 3 ความรู้สึกรักที่ถูกหยุดเวลาไว้ {อัพครบ}
Born Lover 3
“แม่จอมต้องไปทำงานก่อนนะคะ น้องริวอยู่ที่นี่กับพี่ ๆ รอแม่จอมกลับมาหาตอนเย็นเนอะ”
เวลา 7 โมง 11 นาทีฉันยังคงยืนอยู่หน้ารั้วประตูไม่ได้ออกจากมูลนิธิไปขึ้นรถเมย์เพราะมีเด็กบางคนงอแง...
“หยักไปกะแมะจอม...”
เมื่อเห็นดวงตากลมโตของลูกชายตัวน้อยคลอไปด้วยน้ำตาหลังสื่อสารในประโยคด้วยสำเนียงที่ยังไม่ค่อยชัดเจนซึ่งสามารถแปลออกมาได้ว่า ‘ริวอยากไปกับแม่จอม’ กลับเป็นฉันเองที่พานจะร้องไห้ขี้แยไปอีกคน
ปกติเคยห่างกับลูกแบบนี้ที่ไหน ตั้งแต่คลอดเขาฉันก็เป็นคนเลี้ยง เรียกได้ว่าตัวติดกันตลอดเวลา เราสองคนไม่เคยห่างกันเลย
พอจู่ ๆ ต้องห่างกันแบบนี้น้องริวก็เลยยังปรับตัวไม่ทัน ซึ่งฉันเองก็เหมือนกันแม้จะผ่านการทำงานมาได้เกือบสองอาทิตย์แล้วก็ตาม
“เดี๋ยวตอนเย็นก็ได้เจอแม่จอมแล้วนะคะ ที่ทำงานแม่จอมไม่มีของเล่นให้เล่น ไม่มีพี่ ๆ อยู่เป็นเพื่อนเหมือนที่บ้าน ถ้าน้องริวไปกับแม่จอมต้องเหงาแน่ ๆ”
ฉันอุ้มลูกหันไปทางเด็ก ๆ ในมูลนิธิซึ่งนับว่าเป็นพี่ของเขาให้ลูกน้อยดู
“ฮึ...หยักไป คิกถึง” (อยากไป คิดถึง)
อ่า...ให้ตายสิ
เมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำตาลูกไหลซึมเสื้อคนเป็นแม่อย่างฉันก็ใจอ่อนยวบกลายเป็นทิชชู่เปียกน้ำทันที ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่เหมย
“น้องริวววว มากับป้าเหมยดีกว่านะครับ วันนี้ป้าเหมยทำปลาทูทอดของโปรดน้องริวไว้ด้วย”
พี่เหมยใช้มุกปลาทูของโปรดมาล่อ ทว่าน้องริวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากการซบไหล่ มือน้อยทั้งสองข้างกำเสื้อของฉันไว้แน่นก่อนดิ้นไปมาพร้อมส่งเสียงงอแง
“ฮึก...ฮือ มะเอา จาเอาแมะจอม” (ไม่เอา จะเอาแม่จอม)
“เอาไงดีพี่เหมย หรือวันนี้จอมโทรไปลาดีไหม...”
ฉันสงสารลูกมาก ถ้าได้ยินลูกร้องไห้อีกนิดคงทนไม่ไหว ที่จริงวันนี้น้องริวมีไข้อ่อน ๆ เพราะเพิ่งไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลมาเมื่อวาน เราอยู่ด้วยกันสองวันเนื่องจากที่ผ่านมาเป็นวันหยุดของฉัน พอถึงวันที่ต้องไปทำงานอีกครั้งเขาเลยต้องเริ่มปรับตัวใหม่
เขาต้องเริ่มปรับตัวแล้วทำใจให้ได้ว่าแม่จอมจะต้องไปทำงานอีกแล้ว
“ไม่เป็นไรจอม พี่จัดการได้น่า ลืมแล้วรึไงนี่ป้าเหมยสุดที่รักของน้องริวนะ”
เมื่อพี่เหมยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจฉันก็เริ่มคลายกังวล ก่อนหมุนตัวให้หน้าลูกหันไปทางพี่เหมยแทน
เด็กแบบน้องริวจะส่งตัวไปให้พี่เหมยอุ้มเลยไม่ได้หรอกเพราะให้ตายยังไงก็คงไม่มีวันผละออกจากอ้อมอกฉันแน่ ต้องค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างจะใช้เวลานานอยู่พอสมควร
“น้องริวอยู่กับป้าเหมยแป๊บเดียวนะคะ ถ้าแม่จอมทำงานเสร็จจะรีบกลับมาหาหนูเลย”
“ม่ายยย!”
เสียงปฏิเสธดังขึ้นชัดเจน ทีนี้ล่ะพูดชัดขึ้นมาในทันที
“มาเร็วคนเก่ง ป้าเหมยมีแผ่นปลานีโม่เปิดให้ดูด้วยน้า เราเอาไปแบ่งกับพี่ ๆ ดูดีไหมครับ”
เขาชอบดูการ์ตูนปลาเป็นชีวิตจิตใจน่ะ หวังว่าแผนนี้จะใช้ได้ผล
“นีโมะเหยอ” (นีโม่เหรอ) เห็นแววว่าจะสำเร็จมาไกล ๆ นะ
“ใช่ครับ ปลานีโม่ที่น้องริวบอกป้าเหมยว่าอยากดูไง ไปดูกับป้าดีกว่าเนาะเดี๋ยวดูจบแม่จอมก็กลับมาพอดี”
“ฮึก...จริงเหยองับ” เขายังคงลังเล ก้ำกึ่งว่าจะไปแต่ก็ยังจับเสื้อฉันไว้แน่นจนมือขึ้นรอยสีแดง
“จริงสิครับ ป้าเหมยเคยโกหกน้องริวที่ไหน มาเร็วให้ป้าเหมยอุ้มดีกว่า ปล่อยให้แม่จอมไปทำงานก่อนแล้วจะได้รีบกลับมาหาน้องริวเร็ว ๆ”
“ฮือ แมะ..”
น้องริวยังละล้าละลัง อยากจะผละตัวไปหาป้าก็อยาก แต่อีกใจเขาก็ยังไม่อยากปล่อยฉัน แต่สุดท้ายฉันก็ต้องแข็งใจรีบส่งคนตัวเล็กให้พี่เหมยรับช่วงต่อ พอน้องริวตกไปอยู่ในอ้อมกอดของป้าฉันจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ติดแก้มเขาออกให้
“น้องริวรักแม่จอมไหมคะ” ฉันเอ่ยถามคำถามลูก ที่มักจะถามเขาอยู่เป็นประจำทุกวัน
“อึก..ลักงับ” (รักครับ)
“แม่จอมก็รักน้องริวเหมือนกัน เพราฉะนั้นน้องริวต้องเป็นเด็กดีไม่งอแง แล้วก็เชื่อฟังป้าเหมยกับพี่ ๆ ทุกคนนะครับ”
“ฮือ...เจื้อ ๆ” (เชื่อ ๆ)
เขาตอบพร้อมน้ำตาล็อตใหม่ที่เริ่มไหลออกมาอีกระลอก เมื่อเห็นแบบนั้นจึงต้องตัดใจเอ่ยบอกลาก่อนที่ลูกจะงอแงอีกครั้ง
“เก่งมากครับ เดี๋ยวแม่จอมไปทำงานหาเงินแป๊บเดียวแล้วจะกลับมาหานะครับ บ๊าย ๆ”
“ฮึก...บ๊ะ บ๊ะ บาย”
น้องริวยกมือขึ้นมาโบกทั้งน้ำตา พอโบกมือเสร็จก็ปาดน้ำตาตัวเองออกเพราะรู้ดีว่าฉันไม่ชอบเห็นเขาร้องไห้ ถึงแม้เขาจะยังเด็กมากแต่สำหรับฉันน้องริวคือคนที่เข้าใจฉันมากที่สุด เขารู้ว่าฉันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
อ่อนแอตอนไหนและเข้มแข็งตอนไหน เขารู้ทุกอย่าง...
แต่แค่วันนี้คงอยากให้แม่จอมอยู่ด้วยจริง ๆ
“จอมไปแล้วนะพี่เหมย ฝากดูน้องริวด้วยนะคะ ยาลดไข้จอมวางไว้ที่โต๊ะในห้องนะ” หันไปฝากฝังกับพี่เหมยบ้าง ช่วงนี้พี่เหมยต้องทำงานหนักรับเลี้ยงเด็กทุกคนเพราะไม่มีฉันคอยอยู่ช่วย ส่วนพี่เลี้ยงคนอื่น ๆ ก็ต้องแบ่งเวรกันไปเดินกล่องรับบริจาค
“ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก จอมรีบไปได้แล้วเดี๋ยวเข้าสายเจ้านายจะว่าเอาได้”
“ค่ะ งั้นจอมไปก่อนนะ แม่ไปแล้วนะคะน้องริว รักหนูนะ”
บอกลาลูกอีกครั้งฉันก็ตัดใจเดินหันหลังสับเท้า ค้นพบว่าวันนี้กว่าจะได้ไปทำงานก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีเลย...
การทำงานของฉันราบรื่นเป็นอย่างดี เพื่อนร่วมงานทุกคนใจดีกับฉันมากแม้ตอนแรก ๆ จะทำอะไรเก้ ๆ กัง ๆ แต่ทุกคนก็คอยสอนอย่างใจเย็น จนตอนนี้คล่องขึ้นมากและสามารถจัดการงานที่รับมอบหมายได้ด้วยตนเอง
ความสนิทสนมของพวกเราเพิ่มขึ้น แถมพี่น้อยหัวหน้าแผนกยังช่วยพูดกับผู้จัดการสาขาเรื่องไปบริจาคของให้เด็ก ๆ อีกด้วย
“งั้นไว้วันหยุดอาทิตย์หน้าพวกพี่จะไปบริจาคกันที่มูลนิธิของน้องจอมนะ”
“ขอบคุณพี่น้อยมากนะคะที่ช่วยเป็นธุระกับผู้จัดการให้ เด็ก ๆ คงมีข้าวกินไปได้อีกหลายมื้อเลยค่ะ”
ฉันยกมือขึ้นไหว้คนสูงวัยกว่าอย่างรู้สึกขอบคุณจากใจจริง ๆ
“เรื่องเล็กน้อยน่า ได้ทำบุญพี่ก็อิ่มบุญไปด้วยเผื่อผลบุญมันจะทำให้พี่ได้เจอกับอะไรดี ๆ เข้ามาบ้าง”
พี่น้อยเอ่ยอย่างติดตลกแต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าสายตาของเธอแฝงความเศร้าอยู่ ฉันไม่รู้หรอกว่าพื้นเพของเธอเป็นแบบไหน มีครอบครัวที่สมบูรณ์รึเปล่า แต่พี่น้อยถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เก่งและนิสัยดีมาก ๆ คนหนึ่ง
ฉันเคารพเธอทั้งในฐานะเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และผู้หญิงด้วยกัน
“พี่น้อยต้องได้เจอกับสิ่งดี ๆ แน่นอนค่ะ จอมเชื่ออย่างนั้นนะ”
ฉันเอ่ยให้กำลังใจ เพราะฉันเองก็บอกกับตัวเองแบบนี้เหมือนกันว่าสักวันจะมีความสุข...
อยู่ได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องคิดถึงใครอีกคนให้ทรมานหัวใจ
“นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขและเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเท่ากับนางเอกชื่อดังคนนี้แน่นอนค่ะ ‘มีญ่า ญานิศา’ นางเอกน้องใหม่ขวัญใจแฟนคลับ สาวน้อยน่ารักที่เพิ่งฝากผลงานละครเรื่อง ‘รักวุ่น ๆ กับคุณชายเย็นชา’ แถมตอนนี้ยังมีข่าวลือจากวงในว่าเธอกำลังมีความสัมพันธ์อธิบายยากกับซุป’ตาร์หนุ่มตัวย่อ ‘ร’ รุ่นพี่ในค่ายเดียวกัน งานนี้หนุ่มคนนั้นจะเป็นใครต้องรอติดตามพวกเราในช่วงหน้าค่ะ ตอนนี้พักชมโฆษณาสักครู่”
ข่าวสยามบันเทิงจากทีวีจอกว้างในโรงอาหารพนักงานดังขึ้นอย่างชัดเจนเรียกความสนใจของฉันให้หันไปจดจ่อก่อนนิ่งค้าง ปกติฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่นัก ทว่าเพราะเรื่องมันเกี่ยวกับใครบางคนในความลับของฉัน สมองเลยจดจำได้อย่างแม่นยำว่าตัวย่อ ‘ร’ คนนั้นหมายถึงใคร
ตอนนี้เขามีผลงานเรื่อง ‘รักวุ่น ๆ กับคุณชายเย็นชา’ ออนแอร์อยู่ที่ช่อง 58 เขาได้รับบทนำซึ่งก็คือพระเอกของเรื่อง ส่วนนางเอกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องมีญ่า...นางเอกหน้าใหม่ของช่องที่พอเปิดตัวความนิยมในตัวเธอก็พุ่งสูงจนยอดไอจีมีคนติดตามถล่มทลายถึง 2 ล้านคนภายในเวลาเดือนเดียว
ฉันพอจะรู้ข่าวนี้มาสักพัก เพราะต้องเช็กตารางงานของเรย์ทุกวันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์โลกกลม แต่ก็เพราะติดตามเขานั่นแหละฉันถึงได้รู้เรื่องพวกนี้
ส่วนจะจริงหรือเท็จยังไง นั่นคงเป็นเรื่องที่ฉันไม่สามารถรับรู้ได้เพราะเจ้าตัวไม่ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อเลยสักครั้ง เขาค่อนข้างเก็บตัว และให้สัมภาษณ์เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น
“ตัวย่อ ‘ร’ นี่มันก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเรย์รึเปล่าทุกคน”
พี่ทิม เพื่อนในแผนกอีกคนซึ่งนั่งตรงข้ามกับฉันหันมาแสดงความคิดเห็น พี่ทิมเขาปลื้มพระเอกช่องนี้เหมือนกันแต่เป็น ‘กลัฟ’ คู่อริของ ‘เรย์’ น่ะ เธอเลยไม่ค่อยจะชอบเรย์เท่าไหร่นัก ซึ่งฉันก็ทำได้เพียงนั่งเงียบ ๆ ต่อไป
“ดาราก็งี้แหละ เดี๋ยวคบกับคนนั้นแล้วก็มาคบกับคนนี้ต่อ แต่เรย์นี่ตั้งแต่โดนข่าวคบสาวนอกวงการเมื่อสามปีที่แล้วจนเกือบดับเขาก็ทำตัวดีมาตลอดเลยนะ ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาเกี่ยวอีกเลย ถ้าในข่าวเมื่อกี้เป็นเรย์จริง ๆ พี่ว่าคนนี้เขาคงจริงจังแหละไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้ข่าวหลุดออกมาได้”
พี่น้อยเอ่ยตอบกลับไปบ้าง ความคิดเห็นของเธอค่อนข้างจะเข้าข้างเรย์อยู่มาก ทว่าฉันกลับรู้สึกไม่สบายใจและจู่ ๆ ก็เหมือนจะรู้สึกจุกตรงกลางอกแปลก ๆ
เขาไม่เคยคบกับใครอีกตั้งแต่จบเรื่องของฉัน แต่ทำไมจู่ ๆ ช่วงนี้ถึงมีข่าวออกมาได้ล่ะถ้าเขาไม่จริงจัง...
อ่า
อดทนไว้อีกนิดนะจอม อีกแค่สามคำข้าวก็หมดจานแล้ว
ฉันรีบตักข้าวคำโตใส่ปากพร้อมกับเคี้ยว ขณะที่หูก็ยังได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ จากเพื่อนร่วมงาน
“พี่น้อยน่ะไม่รู้เรื่องอะไร เห็นเงียบ ๆ แบบนั้นทิมว่าต้องฟาดเรียบมาเยอะแล้วล่ะ เมื่อสามปีที่แล้วก็เอาน้องสาวมาอ้าง ทั้งที่จริงทิมว่าคงเป็นแฟนของเขานั่นแหละ แต่ถ้าเกิดเปิดเผยไปคงได้ดับอนาคตตัวเองกลางคัน สงสารก็แต่ผู้หญิงสุดท้ายโดนทิ้งโดยไม่รู้ตัว ทิมนี่ไม่อยากจะคิดหรอกนะแต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะหลอกผู้หญิงมาฟันฟรี สุดท้ายเป็นข่าวก็เฉดหัวทิ้งเหมือนที่เคยเห็นในหนังบ่อย ๆ”
ทั้งหมดที่พี่ทิมพูดมา ถ้าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดมันก็คงจะดี..
ในประโยคสุดท้ายของพี่ทิม มันทำให้ฉันหวนคิดไปอีกแง่มุมหนึ่งที่ตัวเองพยายามฝังกลบมันไว้สุดลึกหัวใจว่าอย่าไปคิดแบบนั้น
เรย์...ไม่ใช่คนแบบนั้น
เขาไม่ได้หวังฟัน...แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความรักของพวกเรา
อ่า...แต่มันจะเป็นความจริงอย่างที่ฉันคิดไว้ใช่ไหม สิ่งที่ฉันเชื่อมาโดยตลอด
ฉัน...
คงไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอก
ยิ่งฉันเองที่เป็นฝ่ายเดินหนีเขาออกมา เวลาผ่านมาสามปีเขาก็คงตัดใจได้ เราเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกันแล้ว
และชีวิตของเขาก็ควรได้เริ่มใหม่กับใครสักคนที่คู่ควร แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเขาคงไม่ทิ้งหัวใจและชีวิตเพื่อจมปลักกับเรื่องราวแย่ ๆ ในเมื่อตอนนี้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีชื่อเสียงเงินทอง มันก็คงไม่แปลกถ้าเขาคิดที่จะจริงจังกับผู้หญิงสักคน
และ...
เริ่มต้นครอบครัวใหม่
เอาจริงก็สมเพชตัวเองอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน ถ้าสุดท้ายมันเป็นอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับความจริง
ในตอนนั้นฉันเลือกแล้วว่าจะเสียสละและรับผิดชอบทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอถึงเวลาที่เขาจะไปจริง ๆ คงไม่มีสิทธิ์รั้งอะไร
ตอนนี้หากเจอหน้ากันอีกครั้ง เราอาจกลายเป็นคนแปลกหน้า เขาอาจไม่ทักทายและเดินผ่านทำราวกับฉันเป็นอากาศ....
เหมือนอย่างที่ฉันเคยทำกับเขาเมื่อสามปีก่อน
ฉันหนี ฉันไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ หายไปจากโลกของเขาราวกับเขาไม่มีความรู้สึก
ฉันเองที่ผิด
ฉันเองที่ต้องทำใจและยอมรับว่าสักวัน...เขาก็คงมีใครอีกคนมาแทนที่ที่ฉันเคยอยู่ตรงนั้น
แม้ตัวฉันจะยังยืนอยู่จุดเดิมก็ตาม ยอมรับตามตรงว่าแม้เวลาจะผ่านมาสองปีแล้วทว่าทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกช่วงเวลาระหว่างที่เราสองคนคบกันก็ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำเสมอ
ฉันไม่เคยลืมเขา
และไม่คิดว่าจะสามารถลืมเขาได้ คงไม่มีวันนั้นตราบใดที่ฉันยังเห็นหน้าน้องริวซึ่งเหมือนเขาราวกับถอดแบบกันมา
ฉันเลิกงานสี่โมงเย็น ก่อนกลับมูลนิธิวันนี้แวะซื้อของที่ห้างนิดหน่อยเนื่องจากเพิ่งได้เงินค่ารีวิวอาหารสำเร็จรูปเมื่อตอนกลางวัน สองเท้าเดินตรงดิ่งไปยังแผนกเครื่องเขียนเป็นที่แรก
ดินสอ 12 กล่องและสีไม้อีก 12 กล่อง ถูกหยิบลงตะกร้าโดยไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะฉันได้หาข้อมูลและสำรวจความต้องการของเด็ก ๆ มาเรียบร้อยแล้ว
ดินสอ 1 กล่องได้ 12 แท่ง 12 กล่องก็เป็น 144 แท่ง ฉันจะแจกให้พวกเขาเก็บไว้ใช้คนละสองแท่งส่วนที่เหลือก็เอาไว้แจกเวลาใครทำหาย
ส่วนนี้ฉันจะย้ำกับพวกเขาอยู่เสมอเรื่องการรักษาของ ถึงแม้ดินสอจะราคาแท่งละไม่กี่บาทแต่การสอนให้เขารู้จักคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นสิ่งที่สำคัญ ยิ่งเรามีน้อยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องคิดให้มากก่อนจะใช้จ่าย และควรรักษาของที่ไม่สามารถใช้กำลังทรัพย์ของตัวเองซื้อได้ไว้ให้ดีที่สุด
ส่วนสีไม้ 12 กล่อง ไว้ใช้สำหรับเด็ก 12 กลุ่มที่แบ่งไว้ เวลามีคาบวิชาศิลปะฉันจะให้ทุกคนนั่งกันเป็นกลุ่มเพื่อใช้สีด้วยกัน
สำหรับฉันถึงแม้จะไม่มีเงินซื้อให้พวกเขาได้ตามความต้องการอย่างที่ควรจะเป็น แต่การเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขาเป็นสิ่งที่ฉันทำอยู่เสมอ ต้นทุนในการซื้ออาจจะสูงหน่อยแต่ฉันมั่นใจว่าเขาจะได้ใช้ของดี ๆ และมีคุณภาพ สามารถใช้ได้นาน ไม่ใช่ใช้ครั้งแรกก็หักต้องเดินวนไปเหลาสีใหม่หลาย ๆ ครั้งจนทำให้พวกเขาหงุดหงิด
และรู้สึกสงสัยว่าทำไมเขาได้ของที่ไม่ดี...ทำไมถึงโชคร้าย
แค่เกิดมามีครอบครัวที่ไม่พร้อมมันก็แย่พออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแค่เรื่องสีหรือดินสอมันก็ควรเป็นความโชคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเขาสมควรจะได้รับบ้าง
ตอนนี้ที่มูลนิธิมีเด็กอยู่ทั้งหมด 66 คน เป็นเด็กกำพร้าอายุตั้งแต่ 4 ขวบถึง 12 ขวบ 46 คน และเด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลและมาฝากไว้กับมูลนิธิอีก 20 คน กลุ่มนี้เขาจะมาอยู่ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงช่วงเย็น หลังพ่อแม่กลับจากทำงานก็จะมารับไปนอนที่บ้าน
ซึ่งบ้านที่ว่า...ก็เป็นตามใต้สะพานลอย หรือสลัมใกล้ ๆ แถวนั้น
บางครั้งถ้ามีอาหารเหลือจากที่เด็ก ๆ ทานไม่หมดตอนเย็น พี่เหมยก็จะแบ่งใส่ถุงให้พ่อแม่ของเด็กไปกินด้วยกัน ช่วยเหลือได้เท่าไหร่เราก็พยายามจะช่วยแม้ตัวเองแทบจะไม่มีเงินเก็บและสาหัสเอาการเหมือนกัน
แต่ตั้งแต่ที่น้องริวเกิดมา ฉันก็พยายามหักเงินจากรายได้ของตัวเองเก็บไว้อีกบัญชีหนึ่ง ไว้เป็นทุนการศึกษาให้เขาได้เรียนต่อสูง ๆ ยอมรับว่าลำพังแค่ฉันคนเดียวคงไม่มีความสามารถส่งเขาเรียนโรงเรียนดี ๆ ได้ แต่ฉันเชื่อเสมอว่าถ้าคนเราตั้งใจและพยายามยังไงสักวันก็จะประสบความสำเร็จ น้องริวเขาจะทำได้...
ว่ากันว่าความเชื่อคือสิ่งที่เราควรมี และความดีคือสิ่งที่เราควรทำ
ครูจันทร์...ท่านคือครูที่เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านเติมรักแห่งนี้ขึ้นมา ท่านเคยบอกกับฉันเอาไว้แบบนี้ และคำสอนของท่านฉันจดจำได้เสมอทุกคำพูด แม้ตอนนี้ท่านจะจากพวกเราไปไกลแล้วก็ตาม...
ครูจันทร์จากไปด้วยโรคมะเร็งปอด และจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตท่านก็ยังอุทิศตนเพื่อเด็กทุกคน
บนพื้นถนนร้อนจัดในตอนเที่ยงวัน ครูจันทร์ซึ่งล้มลงไปกับพื้นต่อหน้าต่อตาฉัน ในตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านกำลังป่วยหนัก และถ้าฉันรู้สักนิดคงไม่ปล่อยให้ท่านออกมาเดินกล่องขอรับบริจาคด้วยกัน
มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายทว่าในขณะเดียวกันกลับรู้สึกถึงความสวยงามของจิตใจครูคนหนึ่งที่ยอมสละทั้งชีวิต และความสุขของตัวเองเพื่อเด็กแปลกหน้าหลาย ๆ คนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลย
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของฉันในวันนั้น กระทั่งในตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ครูจันทร์ทำเพื่อพวกเรา เพราะแบบนี้เด็กทุกคนที่มูลนิธิเติมรักจึงรักกันมาก ถึงแม้ไม่มีใครรักพวกเราแต่พวกเราจะหมั่นเติมรักให้กันอยู่เสมอ
เพื่อให้ทุกคนที่อยู่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้ไม่คิดว่า...พวกเราขาดความรัก หรือคนรัก
เพราะพวกเรารักกัน
คิดอะไรในหัวอยู่นานจนน้ำตารื้น ฉันก็ผละสายตาออกจากกล่องดินสอและกล่องสีในตะกร้า แล้วเดินไปหยิบกรรไกรด้ามใหม่เพื่อเตรียมไว้ให้สำหรับตัดริบบิ้นพิธีเปิดงานซึ่งจะจัดขึ้นที่มูลนิธิเติมรักในอาทิตย์หน้า
ที่ทำงานของฉันจะมาบริจาคของใช้ อาหารสำเร็จรูป อุปกรณ์การเรียนและของเล่นต่าง ๆ รวมถึงยอดเงินบริจาคซึ่งสามารถต่อชีวิตเด็กได้อีกราวสองสามเดือน
ฉันคิดว่าควรพอแล้วและตั้งใจว่าจะเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังโซนอาหารสดเพื่อซื้อปลาไปทำอาหารให้น้องริวสักหน่อย เขาบ่นอยากกินปลาทุกวันในขณะที่พี่ ๆ ของเขาเริ่มจะเอียนปลากันแล้วฉันเลยกะว่าจะซื้อแยกไปทำให้แทนดีกว่า
เพราะถ้าให้มูลนิธิทำก็ต้องทำให้กินทั้งหมดทุกคน
ส่วนพวกแม่ ๆ (หมายถึงบรรดาจิตอาสาทุกคนในบ้านเติมรัก) ก็ต่างพากันเอ็นดูและเอาอกเอาใจน้องริวกันหมด ให้สิทธิ์น้องริวเป็นน้องเล็กสุดในบ้าน พอรู้ว่าน้องริวชอบปลามากจึงต่างขยันรังสรรค์เมนูปลามาไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนฉันน่ะสงสารเด็ก ๆ คนอื่น จำเป็นต้องกินกับน้องทุกมื้อและแอบบ่นให้ฉันฟังว่า
‘ครูจอม ไม่เอาปลาแล้วได้ไหม’
นี่แหละสาเหตุที่ต้องซื้อแยกให้น้องริว...อยากบอกเด็ก ๆ เหมือนกันว่าแม่จอมก็เพลียที่น้องริวชอบกินปลามากเกินไป
“กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 24 คัท 1 เทค 1…แอคชั่น!”
เมื่อเดินมาจนถึงโซนอาหารสด ฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับกลุ่มคนหลายกลุ่มกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่...
กล้องตัวใหญ่หลายตัวเคลื่อนย้ายไปมาภายใต้การควบคุมของช่างกล้อง ตอนนี้ภายในบริเวณข้างหน้านั้นเงียบลงได้ยินเพียงเสียงของคนสองคนซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่เท่านั้น
“คุณว่าเย็นนี้เราซื้อปลาดีไหม ฉันได้ยินคุณบ่นบอกอยากกินปลาเมื่อวาน”
นี่เป็นน้ำเสียงเล็ก ๆ น่ารักของผู้หญิงคนหนึ่งที่เอ่ยขึ้น ฉันมองไม่เห็นว่าเป็นใครเพราะมีผู้ชายตัวใหญ่หลายคนยืนกันไว้อยู่ เดาว่าอาจจะเป็นการ์ดที่ใช้ดูแลนักแสดง...
พอรู้ว่าน่าจะเป็นกองถ่ายฉันก็รีบเดินหลบเข้าไปอยู่มุมหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก่อนแอบลอบมองไกล ๆ
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ...เพราะปลาที่ผมว่าหมายถึงคุณต่างหาก”
อึก...
มือที่ใช้ถือตะกร้าไว้จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีแรงที่จะจับ น้ำเสียงคุ้นเคยของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนั้นฉันจำได้ดีว่าคือใคร
แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งกันให้ยิ่งเจ็บปวด เมื่อผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เคยยืนบังจนมิดด้านหน้าย่อตัวนั่งชันเข่าผูกเชือกรองเท้าของตัวเองเพียงช่องว่างเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่งคนทำให้ฉันสามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
และนั่นยิ่งตอกย้ำว่าเป็นเขาจริง ๆ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว เส้นผมสีดำสนิท จมูกโด่งสวย และริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อธรรมชาติ
เหมือนเขาจะตัวสูงขึ้นและผอมลง ไหล่ของเขายังกว้างมาก ๆ และฉันยังรู้สึกว่ามันอบอุ่นเสมอ...แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือแววตาที่ใช้มองคนอื่น
ถึงแม้วันนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะไม่ใช่ฉัน และเป็นผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ ‘มีญ่า’ แววตาของเขาก็ยังคงอ่อนโยนไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อสองปีที่แล้ว
ฉันเหมือนคนที่กลายเป็นอัมพาต แขนขาชาดิกและหยุดนิ่งยืนอยู่ตรงจุดเดิม ทั้งที่ตอนนี้มันเสี่ยงมาก...
เขาอาจหันมาในเสี้ยววินาทีหนึ่ง
เราอาจสบตา...และพบเจอกันหลังจากสามปีที่ห่างหาย
เกลียดที่ในหัวฉันเอาแต่คิดว่ามันจะเป็นยังไง ปฏิกิริยาตอบรับของเขาหลังจากได้เจอฉันจะยังเหมือนเดิมไหม
เขาจะรีบวิ่งมาหาและปล่อยทุกอย่างไว้ข้างหลัง หรือเขาจะทำเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมเหมือนกับฉันที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้
อยากรู้ว่าเขาจะถามรึเปล่า
หายไปไหนมา...
สบายดีรึเปล่า...
และสิ่งที่หัวใจฉันอยากได้ยินมากที่สุดก็คงเป็น
ผมตามหาจอมมาตลอด
เรา...กลับมาคบกันไหม
ตึก!
“ขอโทษค่ะ ถ้าพี่ไม่ถ่ายรูปหนูขอยืนตรงนี้แทนได้ไหม”
“เอ่อ...”
ฉันทำได้เพียงอ้ำอึ้งเมื่อนักเรียนหญิงมอปลายคนหนึ่งวิ่งมาชนแล้วเอ่ยถามคำถามที่สามารถแปลได้ว่าอยากจะยืนตรงนี้แทนที่ฉัน
“พี่คะ เร็ว ๆ หน่อยค่ะหนูจะรีบถ่ายรูปพี่เรย์กับพี่มีญ่าลงเพจคู่จิ้น”
ไม่ทันได้เอ่ยตอบด้วยซ้ำเธอก็ใช้ร่างเข้ามาเบียดแทรกจนฉันเซถอยหลัง หลังจากได้ยืนในจุดเดิมแทนที่เธอก็รีบยกกล้องราคาแพงขึ้นมารัวกดชัตเตอร์เก็บรูปทั้งสองคนไว้ทันที
แชะ!
แชะ!
แชะ!
แชะ!
เสียงรัวชัตเตอร์ดังขึ้นซ้ำ ๆ และภายในเวลาไม่กี่วินาทีถัดจากนั้น
“เฮ้ยน้อง! ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ”
การ์ดคนแรกที่ได้ยินเสียงเอ่ยห้ามเป็นคนแรกก่อนเขาจะรีบเดินใกล้เข้ามาในจุดที่เราสองคนยืนอยู่
ฉันและเด็กสาวมัธยมปลายคนนั้น
“คัท! คัทก่อนมีเรื่องโว้ยย!”
ผู้กำกับเอ่ยสั่งคัตผ่านโทรโข่งเสียงดังโวยวาย และนั่นยิ่งเป็นการเรียกสายตาทุกคนให้หันมามองตรงจุดของเราไม่เว้นแม้กระทั่ง...
เรย์!
อึก...
ฉันรีบหันหลังหลบสาตาคู่คมทันที ไม่แน่ใจเหมือนกัน...
ไม่แน่ใจเลยว่าเขาเห็นรึเปล่า
พอตั้งใจว่าจะรีบวิ่งหนีกลับพบว่าตอนนี้มีแต่ฝูงคนล้อมหน้าล้อมหลังเพราะต่างก็มามุงดูการถ่ายทำละคร
“ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนักแสดงตอนถ่ายทำนะครับน้อง พี่ขอให้ลบภาพด้วย” การ์ดคนเดิมเอ่ยขอเด็กสาว
“หนูยังไม่ทันได้ถ่ายเลยค่ะ” ทว่าเธอกลับเลือกจะปฏิเสธเสียงแข็ง
ฉันกำมือตัวเองแน่นทันทีขณะที่ยังรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองถอยชนน้องเขาอยู่ อยากจะเดินหนีแทบตายทว่าก็หนีไม่ได้
“งั้นขอพี่เช็กดูก่อน ถ้าไม่มีก็แล้วไป”
“หนูหวงกล้องมากค่ะ เดี๋ยวหนูจะกดเลื่อนรูปให้พี่ดูเอง”
ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าเธอถ่ายรูปไปได้หลายรูป แต่จะหันไปบอกให้จบเรื่องก็คงไม่ได้ เหงื่อตามร่างกายเริ่มไหลซึมผ่านเนื้อผ้าเพราะความตื่นเต้น
เอาเข้าจริงฉันกลับกลัวการพบเจอกับเขามาก
เอาเข้าจริง ๆ ฉันก็เป็นแค่แฟนเก่าใจเสาะคนหนึ่งที่ไม่อยากจะพบเจอกับเขาอีกแล้ว
ได้โปรดเถอะ
“มีอะไรรึเปล่า”
อึก...
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออีกครั้งเมื่อประโยคนั้นดังขึ้น เสียงนั้นคือเสียงขอเรย์ไม่ผิดแน่ ๆ
“น้องเขาแอบถ่ายรูปครับคุณเรย์”
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงของรองเท้าเริ่มดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ฉันแทบหยุดหายใจในวินาทีนั้นเมื่อประโยคที่การ์ดใช้ตอบย้ำชัดว่าเขากำลังคุยกับเรย์ อยู่จริง ๆ
ฟุบ!
“แล้วผู้หญิงข้างหลัง...”
เสี้ยววินาทีสุดท้ายฉันเลือกย่อตัวลงก่อนคลานเข่าหนีท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนจะมองยังไง แต่วันนี้คงต้องเอาตัวเองพร้อมกล่องดินสอและสีของเด็ก ๆ กลับไปให้ถึงมูลนิธิอย่างปลอดภัย
ได้ยินเสียงของเรย์แทรกเข้ามาเพียงครึ่งประโยคและฉันก็ไม่สามารถจับใจความอะไรได้อีกเลย
ว่ากันว่าการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีสุดท้าย คือความต้องการส่วนลึกที่สุดในจิตใต้สำนึกของเรา
ฉันค้นพบว่าตอนนี้ฉันไม่พร้อม
ไม่พร้อมจริง ๆ ที่ต้องได้เจอกับเขาแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม
แม้จะเป็นการสบตาเพียงเสี้ยววินาที แต่ทางนี้พร้อมพายเรือผีแล้วค่ะ
ไป!
ปล. สนุกไม่สนุกก็อย่าลืมเมนต์เลยน้า หยักอ่านเมนต์งับ
แม่มีอีบุ๊กในธัญวลัยนะงับ ไปตำกันได้ จิ้มโลด> เกิดจากฟามรัก
อีบุ๊กในแมพไรท์น่าจะมีเวลาว่างทำหลังปั่นอีบุ๊กวาฬโต้คลื่นเสร็จงับ ใครไม่รีบรอไปก่อนน้า เค้าขอโทษที่ไม่ได้ทำไว้ และขอบคุณสำหรับรีดที่ตามไปเก็บในธัญวลัยงับ จากใจเลย ดีใจที่ชอบน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอหน่อยน้าขอปั่นต้นฉบับอีกเรื่องแล้วจะรีบลงให้เลยงับ😽