คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : _____บทที่ 5 : คนที่ไม่เคยจากไป
บทที่ 5 : คนที่ไม่เคยจากไป
น้ำทะเลสาดกระทบผิวกาย พระอาทิตย์ที่กำลังจะจมหายไปในทะเล เสียงของเจ้านิลเร่งเครื่องตามการบังคับ เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวสูงก่อเกิดฟองอากาศสีขาวทั่วบริเวณ...บรรยากาศรอบตัวเหล่านี้เป็นมนตร์สะกดเขาให้หลงอยู่ในโลกแห่งท้องทะเล ...โลกแห่งท้องทะเลที่ทำให้เขาลืมความจริงบางอย่างได้ชั่วคราว....
ดรันต์มองวิวรอบตัวที่น่าหลงใหล เขามองไกลไปยังน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม ...ทำไมทะเลที่เขารัก ต้องอยู่ติดกับท้องฟ้าที่เขาไม่ชอบ... ยิ่งมองไปไกลยิ่งเห็นความกลมกลืนระหว่างทะเลกับท้องฟ้า เขาเลยหักเลี้ยวเจ้านิลให้หันทิศไปยังหาดทราย
บริเวณหนึ่งในท้องทะเลปรากฏภาพการว่ายน้ำแบบแปลกๆ ช่วงแขนขยับโผล่พ้นน้ำแล้วก็จมหายไปแล้วก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ...ไม่ยักวาดแขนไปข้างหน้าตัว... จนการว่ายน้ำแบบแปลกๆนั้นจบลงด้วยการจมหายไป
มีคนจมน้ำ!!!! ดรันต์เพิ่งจะตระหนักได้ในที่สุด เขาเร่งเครื่องยนต์ไปยังคนจมน้ำแล้วกระตุกกุญแจออกเพื่อดับเครื่องในกรณีฉุกเฉิน โดยไม่รีรออะไรอีก เขาก็กระโดดลงน้ำไปตรงตำแหน่งที่มีคนจมหายไป
น้ำทะเลมีผลต่อการมองเห็นภาพใต้น้ำของเขาไม่มากนัก เนื่องด้วยความคุ้นชินเลยทำให้เขาไม่ค่อยแสบตาเท่าไหร่จึงมองเห็นเหยื่อของท้องทะเลได้ค่อนข้างถนัด ...โมนิก้า... เขาเอื้อมมือจับมือของเธอที่เอื้อมตะกายค้างไว้ ดึงร่างช่างภาพสาวที่สติเลื่อนลอยขึ้นมาให้โผล่พ้นน้ำ แขนสีแทนโอบรอบคอหญิงสาวพยุงให้ใบหน้าอยู่เหนือน้ำในท่าพื้นฐานของการช่วยคนจมน้ำ
คลื่นที่ม้วนตัวสูงไม่เป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือโมนิก้า เพราะเขาผู้มีทะเลเป็นเพื่อนสนิทนั้นรู้จังหวะว่าควรผ่อนหรือเพิ่มแรงเวลาไหน บวกกับการเป็นนักกีฬาทางทะเลที่ต้องผ่านการฝึกเรื่องความปลอดภัยทางน้ำมาพอควร ทำให้ใช้เวลาไม่นานในการพาช่างภาพสาวและตัวเองกลับเข้าสู่ชายฝั่งได้
ดรันต์ อุ้ม โมนิก้า ขึ้นฝั่งข้างๆโขดหินริมชายหาด เขาวางเธอลงนอนราบกับหาดทรายแล้วจัดแจงลักษณะมือให้วางไว้ข้างลำตัวตามที่เคยได้รับการฝึกมา ที่มือขวาของเธอปรากฏกล่องใสทรงกระบอกที่มีกล่องฟิล์มสีดำซ้อนอยู่ด้านใน เธอกำมันไว้แน่นจน ดรันต์นึกสนใจ... แต่ไม่ใช่เวลานี้...เขาคิดก่อนจะจัดลำคอและใบหน้าของหญิงสาวให้ตั้งตรงตามท่าที่ได้ร่ำเรียนมา เขาจำได้คร่าวๆจากการฝึกว่าถ้าคนจมน้ำแล้วหมดสติไปแบบนี้ แสดงว่าน้ำเข้าปอดผู้ปฐมพยาบาลต้องรีบทำการผายปอด ให้อากาศแก่ผู้ป่วย........เหมือนเสียงร่ายยาวของครูฝึกจะมาเยือน ดรันต์อีกครั้ง
เมื่อลำดับได้ว่าควรทำสิ่งใดก่อน-หลัง เขาก็ไม่รอช้า ถอดเสื้อนอกของโมนิก้าออกอย่างลวกๆแล้วปลดกระดุมเสื้อตัวในออกให้สะดวกต่อการช่วยเหลือ มือทั้งสองประสานกันกดและผ่อนแรงบริเวณหน้าอกค่อนๆไปทางซ้ายของโมนิก้าเป็นจังหวะๆ จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองมาอยู่บริเวณหน้าของเธอ เขาจัดการให้ปากของเธอเปิดออก ก่อนจะบีบจมูกเธอเบาๆเพื่อปิดช่องทางไม่ให้อากาศที่เขาจะส่งให้เธอรั่วออกมา
ดรันต์ ก้มโน้มตัวลงประกบริมฝีปากของตัวเองกับของโมนิก้า ความเย็นจากร่างบางแผ่มาสู่เขาอย่างน่าตกใจ...
ตัวเย็นเฉียบ... เหมือนดรณ์
ระหว่างที่ทำการช่วยเหลือชีวิตคน เจ้าเจ็ตสกีสีดำถูกปล่อยให้ล่องลอยอยู่กลางท้องทะเล ไม่มีคนขี่ ไม่มีทุ่นจอด มันลอยอย่างอิสระไปตามกระแสคลื่น กระแสลม จะพัดพามันไป
...
...
...
คนริมฝั่งทะเลที่เพิ่งเสร็จจากการจัดแจงเวลาของวันพรุ่งนี้ มองหานักกีฬาของเธอ สองเท้าก้าวเดินไปอย่างรู้จุดหมาย...
อย่างรันต์ ถ้าได้ขี่เจ็ตแล้ว อย่าหวังว่าจะเลิกง่ายๆ ยิ่งถ้าไม่มีกำหนดการทำอะไรอะไรต่ออย่างนี้.... โน่น ต้องรอตะวันตกดินโน่นถึงจะยอมเลิกขี่เจ้านิลได้
นันทนัช เดินไปยังท่าน้ำของรีสอร์ทอย่างไม่รีบเร่ง ในมือยังถือสมุดตารางเวลาของดรันต์ไว้ดูกิจกรรมของวันพรุ่งนี้ที่คาดว่าคงจะได้ใจนักกีฬาของเธอไม่น้อย มุมปากสีโอรสยกขึ้นนิดๆบอกถึงอารมณ์ดีๆของเจ้าของ
...รีบไปก็ต้องไปรอ รันต์ ขี่เจ็ตอีกนานอยู่ดี... เธอค่อยๆย่างเท้าแต่ละก้าว แต่ละก้าวผิดจากปกติที่เธอมักจะก้าวเดินเร็วๆตามประสาคนใจร้อน ดูซับบรรยากาศรอบตัวอย่างสบายอารมณ์ จนในที่สุดเธอแลเห็นเงารางๆของเจ็ตสกีที่อยู่กลางทะเล
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เธอกลับต้องยิ่งแปลกใจ ...ทำไมวันนี้ รันต์ ขี่เจ็ตช้าจัง อย่างกับปล่อยเครื่องให้ลอยเฉยๆ ซะงั้น...
เธอหยุดที่ริมท่าน้ำที่ยื่นออกไปในทะเล มองเพ่งไปยังเจ็ตสกีกลางทะเล
วูบบบบบบบบบบบบบบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!
นัท แทบจะลืมวิธีการหายใจ หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ เรี่ยวแรงที่แขนที่ขาเหมือนจะมลายหายไปอย่างกะทันหัน
ไม่มีคนขี่ ไม่มีดรันต์
เธอใช้เวลารวบรวมสติไม่นาน ก็หันหลังกลับออกตัววิ่งลงไปยังชายหาดด้วยความเร็วสูงสุดที่ขาเล็กๆของเธอจะสามารถ สมุดตารางเวลาที่หญิงสาวพกติดตัวเสมอถูกปล่อยให้ตกพื้นอย่างไม่ใยดี ตอนนี้ความกลัวเข้าแทรกแซงสติสัมปชัญญะของเธอสิ้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
รันต์ เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ เธอต้องไม่ทำแบบนั้นอีกนะ
ไหนว่าเธอสัญญาแล้วไง ดรันต์... ดรันต์...... รันต์.... “รันนนนนนนนนนนนต์!!!!!” นัท เผลอร้องออกมา ด้วยความเป็นห่วง กังวล และกลัว
เธอวิ่งอย่างไม่สนใจสิ่งรอบตัว ในหัวคิดแต่จะไปยังชายหาด ลงไปยังทะเล ไปตามหา ดรันต์ นักกีฬาของเธอ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งที่เธอวิ่งชนคนที่อยู่ระหว่างทางจากท่าน้ำสู่ชายหาด
วิ่ง วิ่ง วิ่ง... ตามหาชายหนุ่มท่ามกลางความว่างเปล่าของหาดทรายและท้องทะเล
น้ำใสก่อตัวเป็นเม็ดที่ผิวหนังของหญิงสาว เนื่องจากวิ่งมาเป็นระยะทางพอดู ร่างกายเริ่มประท้วงขอพัก แต่รอบตัวเธอยังไม่ปรากฏภาพที่เธออยากจะเห็น ไร้ซึ่งเขาคนนั้น ....ดรันต์....ความว่างเปล่านี้เองที่เป็นแหล่งพลังงานสุดท้ายกระตุ้นให้เธอไม่หยุดพัก
...เหลียวซ้าย แลขวา ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ปรากฏภาพชายหนุ่ม
ความเร็วในการวิ่งของ นัท เริ่มลดลง ลดลง ไม่ว่าความว่างเปล่าจะยังคงเป็นตัวกระตุ้นแต่จนแล้วจนรอด ร่างกายคนย่อมมีขีดสุด เธอทอดมองไปเบื้องหน้าอีกรอบมองเลยไปยังโขดหินริมทะเลด้วยความหวังสุดท้าย เพราะดูเหมือนว่าร่างกายเธอจะยื่นคำขาดว่า ไม่ไหวแล้ว...
วูบบบบบบบบบบบบบบ ...อีกครั้งที่เรี่ยวแรงซึ่งแทบไม่เหลืออยู่หายไปจากเธอ
ตุบบบบ... นัททรุดตัวคุกเข่ากับผืนทราย มองภาพตรงหน้ายังโขดหินสีน้ำตาลดำ
ภาพตรงหน้า... ทำให้ทั้งเธอยิ้มและน้ำตาไหลในเวลาเดียวกัน...
นักกีฬาของเธอกำลังประกบปากกับช่างภาพสาวชาวแคนนาดา
ดรันต์ ผายปอดให้โมนิก้าเป็นชุดที่สี่แล้ว เธอยังไม่มีวี่แววว่าจะได้สติ ในช่วงสุดท้ายเขาจึงเน้นการผายปอดให้นานกว่าปกตินิดหน่อย ริมฝีปากหนาจึงสัมผัสกับริมฝีปากบางจนเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ
ดรันต์ถอนริมฝีปากออก ทีนี้เขาตบหน้า โมนิก้าเบาๆข้างซ้ายที ขวาที หวังให้เธอได้สติโดยไว เขากลัวว่าสมองเธอจะขาดออกซิเจนนานเกินไป กลัวว่าเขาจะไม่สามารถช่วยเธอได้ กลัวว่าเธอจะเป็นแบบดรณ์
แค่กกกก!! แค่กกกกกกกๆ !!!
เสียงไอที่พาน้ำทะเลออกมาจากร่างกายของเธอตอนนี้เหมือนเสียงสวรรค์แก่เขา นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลค่อยปรือขึ้นช้าๆ เธอส่งรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาให้จากดวงหน้าซีดๆของเธอ ริมฝีปากที่เริ่มขึ้นสีชมพูเหมือนปกติเปล่งเสียงแหบ เบา “พ่อ...ขอบคุณ.........คุณพ่อ” แล้วร่างบางก็หมดสติไป ลมหายใจที่สม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับบอกชายหนุ่มว่าหญิงสาวไม่เป็นอะไรแล้ว คงเหนื่อยเพลีย จนร่างกายทนไม่ไหวขอพักผ่อน...
ดรันต์ ยิ้มออกมาอย่างเบาใจ ก่อนที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้คิด เขาก็ค่อยๆโน้มตัวไปจูบหน้าผากมนของหญิงสาวผู้พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างนุ่มนวล และอ่อนโยน.....สักพักเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมา เขาก็ถอนริมฝีปากออกอย่างรวดเร็ว ตกใจกับการกระทำของตัวเองเล็กน้อย แล้วค่อยจัดแจงอุ้มโมนิก้าไปยังรีสอร์ทที่พวกเขาต้องพักในคืนนี้
ตุบบบ เสียงวัตถุตกกระทบผืนทราย...ระหว่างที่ ดรันต์อุ้มโมนิก้าขึ้น
กล่องใสทรงกระบอกที่บรรจุฟิล์มนั่นเอง ดรันต์ย่อตัวลงเก็บฟิล์มใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปยังทิศที่จะมุ่งสู่รีสอร์ทอีกครั้ง
“อ้าว คุณนันท์” ดรันต์ทักผู้จัดการส่วนตัวของเขา ที่ขณะนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าเขามองดูร่างไร้สติในอ้อมแขนของเขา
“...รีบกลับรีสอร์ทกันเถอะ รันต์ มิสโมนิก้า คงต้องการหมอตัวจริง ไม่ใช่หมอมือสมัครเล่นอย่างเธอ ป่ะ... ไปเร็ว” นัท เงียบไปพักหนึ่งก่อนออกความเห็นและพูดกัดๆคุณหมอจำเป็น เธอรอให้เขาเดินนำเธอไปก่อนแล้วเธอค่อยออกเดินตามแถมกระทุ้งเร่งเป็นพักๆเมื่อชายหนุ่มเดินช้าลง
แม้ นัท จะปรับท่าทีและน้ำเสียงได้เร็วกว่าที่เขาจะสังเกตเห็นว่าเธออยู่บริเวณนั้น ที่ที่เห็นทั้งการผายปอดช่วยชีวิต และการจูบปลอบที่หน้าผาก ในตัวของเธอเกิดเสียงเรียกร้องที่เธอพยายามปฏิเสธมาตลอด 7 ปีเธอส่ายหัวหมายจะสลัดความคิดนั้นออกไป เหมือนทุกครั้งที่มันร่ำร้องขึ้นมา...
รอยยิ้มมีให้เมื่อเห็นเธอปลอดภัยดี...รันต์
น้ำตามีให้เมื่อเห็นเธอ.....เมื่อเห็นภาพนั้น....
แม้จะเป็นการผายปอดช่วยชีวิต....รู้ดีว่ามันไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น...
ถึงรู้ดี แต่ก็ห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้ บังคับไม่ให้น้ำตาไม่ไหลไม่ได้
ถึงรู้ดี แต่ทำไมหัวใจดวงนี้ถึงเจ็บจี๊ดๆขึ้นมา...เจ็บ...ทรมาน...ทำไม
“โมนิก้า!!!” เสียงทุ้มดังขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างรีสอร์ทกับหาดทราย อีริค หนึ่งในคนที่ถูก นัท วิ่งชนนึกสงสัยตงิดๆในใจแปลกๆจึงเดินตามมา เขาไม่ได้รีบเร่งนักจึงทำให้มาเจอช่างภาพสาวหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของหนุ่มนายแบบนักกีฬา ผมสีดำขลับของเธอเปียกน้ำลู่ติดใบหน้านวล เสื้อที่เธอชอบใส่ถึง 2 ชั้นแม้จะอยู่ในเมืองร้อนถูกคลายออกจนแอบเห็นเสื้อชั้นในยามเกิดการเคลื่อนไหวต่างๆ “โมนิก้าเป็นอะไรไปครับ” อีริคหันไปถามดรันต์ด้วยภาษาอังกฤษที่รัวเร็วกว่าปกติ
“เธอจมน้ำครับ ผมเล่นเจ็ตอยู่แถวนั้นพอดีเลยช่วยขึ้นมาทัน” ดรันต์ตอบกลับด้วยภาษาเดียวกันอย่างใจเย็น “พาเธอไปพักดูอาการที่ห้องพักก่อนดีมั้ยครับ” เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของอีริค ดรันต์จึงออกความเห็นซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบ ชาย2 หญิง2 จึงมุ่งหน้าสู่ห้องพักของโมนิก้า
...
...
...
“ไปโรงพยาบาลมั้ย?”
“ไม่.....ไม่ได้เป็นไรแล้ว”
“งั้นกลับกรุงเทพมั้ย”
“ไม่ พรุ่งนี้ยังต้องไปถ่ายรูปอีกไม่ใช่หรอ”
“ใช้รูปที่ถ่ายวันนี้ก็ได้ ไม่ต้องไปถึงสิมิลันแล้ว”
“ไม่ได้หรอก อีริค ฉันทำฟิล์มหายไปแล้ว...” น้ำเสียงที่บอกถึงความเสียดาย...ใช่ว่าเธอจะไม่อยากกลับ แต่ความรับผิดชอบมันดึงรั้งเธอไว้...
“งั้นเอาแค่ภาพในสตูดิโอคราวที่แล้วก็พอ”
“ไม่...ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะทำงาน พรุ่งนี้ฉันจะนั่งเรือไปถ่ายรูป ไดแลน ที่สิมิลัน”
“...” คนที่เพียรเสนอหนทางให้หญิงสาวที่เพิ่งฟื้นได้ไม่นานเท่าไหร่เงียบอย่างใช้ความคิด
“...” คนที่ปฏิเสธทุกหนทางที่ถูกหยิบยื่นให้ก็ไม่ต่อความใดๆ
“ใคร...คือ ไดแลน” เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่าง อีริค ก็ป้อนคำถามกลับไป
“อ่อ...ก็นายแบบไง...ด..ดรัน...อะไรนี่ไง ชื่อเรียกยากเลยตั้งใหม่ไว้เรียกเอง”
“อืมม์.....โมนิก้าไหวแน่หรอ เธอ...” อีริคไม่ทันได้ต่อประโยคจนจบโมนิก้าก็แย้งขึ้นมา
“นี่ตัวฉัน ฉันรู้ตัวฉันดี อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนอ่อนแอ”
อีริค รับรู้ได้ในทันทีว่า อารมณ์ของโมนิก้าเริ่มขึ้น....ในใจยังคงเป็นห่วงหญิงสาวอยากจะให้เธอไปหาหมอ ไปพัก ไปทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ต้องอยู่กับสิ่งที่เธอกลัว...ทะเล... เขาไม่ได้เสนองานนี้ให้เธอเลย ไม่น่าเลย
“ฉันอยากพักผ่อน”
โมนิก้าออกปากถึงขนาดนี้ คงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขืนอยู่ต่อ ชายหนุ่มจึงออกจากห้อง ไปยังจุดหมายใหม่ ซึ่งเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก ห้องพัก ของไดแลน.....
ก๊อกๆ ก๊อกๆ... หลังจากที่ชายหนุ่มออกจากห้องไปแล้ว ไม่นานก็มีเคาะประตูดังขึ้น
โมนิก้าอยากจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน... แต่คำว่า มารยาท ที่ฝังแน่นติดหัวเธอ ทำให้เธอต้องฝืนใจลุกขึ้นไปยังประตู เธอมองลอดบริเวณช่องตาปลาเพื่อดูว่าบุคคลที่เคาะประตูเป็นใคร ...ผู้หญิงคนนั้น...
ประตูหน้าห้องถูกเปิดออกต้อนรับหญิงสาวอีกคน โมนิก้า ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากยิ้มทักทาย ...จะให้พูดอะไรล่ะในเมื่อชื่อของเธอยังจำไม่ได้เลย...
“มิสโมนิก้า มีอะไรให้นัทช่วยมั้ยคะ” หญิงสาวคนใหม่ถามอย่างจริงใจ ภาษาอังกฤษของเธอดีพอๆกับเจ้าของภาษา
“ไม่เป็นไรค่ะ....เข้ามาก่อนสิคะ” โมนิก้า เพิ่งระลึกได้ว่าควรจะเชิญ นัท เข้ามาในห้องก่อน ไม่ใช่ความเหนื่อยล้าที่ทำให้เธอลืม...แต่เป็นนัยน์ตาสีดำดูอบอุ่นจริงใจที่เธอบังเอิญได้สบประสานต่างหากที่ทำให้เธอลืม...
“ค่ะ นัทว่างๆน่ะค่ะ เลยว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วเผื่อคุณเป็นอะไรไปจะได้มีคนรู้เห็นทันที” นัท เดินเข้ามายังห้องพักของโมนิก้า ตามคำเชิญ เธอมองรอบๆห้องตามประสาคนช่างสังเกต ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีก “มิสโมนิก้าชอบเมืองไทยมั้ยคะ?”
“ค่ะ...ชอบ” ...ชอบทุกที่ที่มีเซลีน เธอต่อประโยคในใจ
“แล้วอาหารไทยล่ะคะ ชอบมั้ย”
“ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เลยยังบอกไม่ได้ค่ะ”
“อ่อค่ะ เอ่อ...มิสโมนิก้า มาอยู่เมืองไทยนานรึยังคะเนี่ย” แม้กับคนที่ไม่คุ้นเคย นันทนัชก็สามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยพื้นฐานที่ว่าเธอเป็นคนมีอัธยาศัยดี
“ประมาณสองอาทิตย์กว่าๆได้มั้งคะ” หลังตอบกลับไป โมนิก้า คิดย้อนไปถึง เซลีน ที่อยู่รอเธอที่กรุงเทพทำให้แววตาเธอดูหม่นลงเล็กน้อย
“เอ่อออ... นี่นัทมารบกวนคุณรึเปล่าคะเนี่ย” อาการของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ นัท ชักไม่แน่ใจว่าเธอสมควรจะอยู่ต่อหรือจากไปดี...
หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วก็ส่งยิ้มน้อยๆให้ นันทนัช
อะไรบางอย่างในตัวโมนิก้า....อะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยโมนิก้าไว้คนเดียว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ คล้ายๆความรู้สึกตอนที่เธออยู่กับ ดรันต์
แล้วสองสาวก็นั่งคุยกันอย่างออกรสชาติ.....(คนที่ออกรสชาติดูเหมือนจะเป็นแต่หญิงสาวชาวไทยเพียงคนเดียว ส่วนหญิงสาวชาวแคนนาดานี้เป็นเหมือนลูกรับตอบคำถามที่ถูกป้อนมาซะเป็นส่วนใหญ่)
...
...
...
ดรันต์เดินเล่นริมชายหาดของรีสอร์ท ความมืดยามค่ำคืนแทบจะกลืนกินเขาจากสายตาของคนอื่น เดินเรื่อยๆ เรื่อยๆจนกระเพาะเริ่มส่งเสียงประท้วงเนื่องด้วยวันนี้อาหารมื้อเย็นเป็นอันต้องยกเลิกไปเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับ โมนิก้า เขาเดินจนไปถึงบริเวณริมโขดหินที่เขาได้ทำการปฐมพยาบาลให้แก่เธอ มือที่ปล่อยให้กวัดแกว่งอย่างอิสระตามจังหวะการก้าวเดินขยับเปลี่ยนไปล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างเป็นนิสัย
กึก... เสียงเล็บกระทบกับของแข็งภายในกระเป๋ากางเกงของเขา
ฟิล์มของโมนิก้านั่นเอง ดรันต์หยิบกล่องทรงกระบอกใสที่มีฟิล์มบรรจุอยู่ภายในออกมาโยนรับเล่นระหว่างการเดินกลับไปยังรีสอร์ท ...ไปคืนฟิล์ม
“มิสเตอร์ไดแลน เอ๊ยมิสเตอร์ดรันต์ .” อีริคที่ตามหา ดรันต์ ทั่วรีสอร์ทร้องทักทันทีที่เห็น ดรันต์ปรากฏตัวที่ลอบบี้ เขาเผลอเรียกดรันต์เป็นไดแลนเพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของโมนิก้า แต่ด้วยการเงียบมาสักพักใหญ่เลยทำให้เสียงอีริคแหบพร่าจนทำให้ ดรันต์ ไม่ได้ยินชื่อใหม่ของตัวเอง
“อ้าวมิสเตอร์อีริค.... ผมว่าจะไปหามิสโมนิก้าหน่อย ไปด้วยกันมั้ยครับ”
“หาโมนิก้า? ไปทำไม...เอ่อ คือ คือผมเพิ่งออกจากห้องเธอมา เธอเอ่อ..เธอว่าเธออยากพักผ่อน คุณมีอะไรกับเธอหรอครับ” อีริคเสียงแข็งขึ้นมาทันที ก่อนนะค่อยๆปรับให้เป็นปกติ แต่ก็ยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเสียเท่าไหร่
“..หึหึ.....อ่อไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผมว่าจะเอาฟิล์มไปคืนให้เธอ บังเอิญเพิ่งนึกขึ้นได้นะครับว่าผมเก็บมันไว้ตอนที่เธอหมดสติไป” ดรันต์แอบหัวเราะเบาๆพอได้ยินคนเดียวกับท่าทีของคนตรงหน้า แล้วค่อยอธิบายเหตุผลที่อีกฝ่ายสงสัย
ความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดา...
“ฟิล์ม....คุณเก็บมันไว้...คุณเก็บมันได้หรอครับ” น้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด...
“ครับ ทีแรกเธอกำมันไว้แน่น แต่พอหมดสติรอบสองแล้วถึงคลายมือปล่อยให้ฟิล์มตก..ผมเลยเก็บเอาไว้ให้น่ะครับ”
“มีหมดสติรอบสองด้วยหรอครับ” ไม่ได้การแล้ว...ยังไงก็ต้องบังคับให้ไปโรงพยาบาลให้ได้
“ก็ถ้านับตอนแรกที่พาขึ้นมาจากน้ำเป็นครั้งที่หนึ่ง....แล้วเธอก็ได้สติแล้วก็หมดสติหลับไปนับครั้งนั้นเป็นครั้งที่สองน่ะครับ” ดรันต์อธิบายให้ละเอียดขึ้น
“ครับ” อีริคตอบรับ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ดรันต์อธิบายให้ฟังเท่าไหร่ หน้านิ่วคิ้วขมวดผิดจากปกติขนาดนั้น...
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ ผมเคยฝึกการช่วยเหลือคนจมน้ำมา....เท่าที่ดูมิสโมนิก้าแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงครับ ถ้ายังไม่สติน่ะก็อีกเรื่องหนึ่ง” ดรันต์ ยังไม่สามารถทำให้คิ้วที่แทบจะผูกกันเป็นโบว์ของอีริคคลายออกได้ “เอ่อออ.... งั้นผมฝากฟิล์มนี่ไว้กับคุณก็แล้วกันนะครับ” เขาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาพร้อมกับยื่นฟิล์มที่อยู่ในมือให้คนตรงหน้า
“ครับ” อีริคตอบรับแต่ก็ไม่ได้ยื่นมือมารับฟิล์มไป
สงสัยจะยังคิดอะไรอยู่....
“นี่ครับ” ดรันต์ ส่งเสียงเรียกสติคนข้างหน้า
“อ่อ ครับ ครับ....แล้วผมจะเอาไปให้เธอเอง” ในที่สุด อีริคก็รับฟิล์มจากดรันต์ไป “เอ่อมิสเตอร์ดรันต์ครับผมมีอะไรจะถามนิดหน่อย.....คุณพอสะดวกกับผมมั้ยครับ” เมื่อเห็นว่า ดรันต์ ทำท่าจะบอกขอตัว อีริคก็รีบแจ้งความจำนงของตนทันที
“ได้ซิครับ ผมว่าง” ดรันต์ตอบอย่างสุภาพ ในใจแอบเดาคำถามของอีริคไว้ล่วงหน้า.....คงหนีไม่พ้นเรื่องของโมนิก้า
ชายหนุ่มทั้งสองเปลี่ยนสถานที่สนทนาจากล็อบบี้มาเป็นคอฟฟี่ช็อป ดรันต์ถือโอกาสสั่งอาหารมากินตอบสนองคำประท้วงของกระเพาะ ส่วนอีริคไม่ได้สั่งอาหารอะไรชายหนุ่มสั่งแค่กาแฟร้อนๆหนึ่งถ้วยเป็นพอ
“.......คุณเห็นโมนิก้าลงไปในทะเลหรอครับ” คนมีข้อสงสัยเปิดประเด็นทันทีที่บริกรเดินจากไปหลังจากรับออเดอร์จากพวกเขาแล้ว
“ไม่ครับ.....ผมเห็นตอนที่เธอผุบๆโผล่ๆอยู่กลางทะเลน่ะครับ.....ทีแรกนึกสนใจว่าทำไมว่ายน้ำท่าแปลกจังแต่จู่ๆเธอก็จมน้ำหายไป ผมเลยได้เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวไปช่วยได้ทัน” ดรันต์พูดติดตลกนิดๆ ไม่ใช่อยากกวนเล่นเหมือนกับที่เขามักจะทำกับ คุณนันท์ แต่เขาทำเพราะอยากทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดที่ชายตรงหน้าสร้างขึ้น
“...แปลก...” อีริคเอ่ยออกมาเบาๆ
“อะไรครับ.....อะไรแปลก” แม้จะเป็นเพียงเสียงเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะกระทบเข้าโสตประสาทของดรันต์
“อ่า....โมนิก้าน่ะครับ....ตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเธอลงทะเลเลย ผมเลยว่าแปลกน่ะครับ”
“เอ่อออ...ผมว่าไม่แปลกหรอกครับ.....เอ่อออ” ดรันต์พูดติดๆขัดๆเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง
“ทำไมจะไม่แปลกล่ะครับ” ทำมาเป็นรู้ดี รู้จักโมนิก้าดีแค่ไหนเชียว....อีริคกัดต่อในใจ
“เอ่อออ ถ้าผมเดาไม่ผิด ผมว่าเธอคงจะลงไปเก็บฟิล์มที่บังเอิญตกลงทะเล แล้วอาจเกิดอะไรบางอย่าง...อย่างตะคริวกินขาหรืออะไรประมาณนั้นเลยทำให้เธอจมน้ำ....แล้วยิ่งวันนี้คลื่นค่อนข้างแรงอีกเลยยิ่งพัดเธอออกไปไกลจากชายฝั่ง....เอ่อออผมว่านะครับ”
“...” เป็นไปได้ มีเหตุผลเลยทีเดียว อีริคเงียบตอบดรันต์ แต่ในใจของเขาไม่ได้เงียบตาม
“...”
ความเงียบเข้าครอบคลุมโต๊ะที่ชายหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่พักหนึ่ง ก็มีบริกรหนุ่มมาเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มเป็นการทำลายความเงียบ
หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนมาเป็นเรื่องงานในวันพรุ่งนี้แทน มีทั้งการนัดแนะเวลา การชี้แจ้งเรื่องท่าพิเศษที่ดรันต์ต้องขี่เจ็ตแบบผาดโผนหน่อยๆ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ใช่เรื่องของ...โมนิก้า
...
...
...
“เฮ้ยยย!!!!! เจ้านิล....” ชายหนุ่มที่เพิ่งล้มกายลงนอนต้องผลุดลุกขึ้นมาใหม่เมื่อนึกถึงเจ๊ตสกีคันโปรดที่เขาทิ้งไว้กลางทะเล
เขาไม่เคยเลย....ไม่เคยลืมเจ้านิล....ไม่เคยที่จะสะเพร่าต่อมัน....
ร่างนักกีฬาวิ่งวุ้นอยู่ในห้องของตัวเอง ชนโน่นชนนี่ ควานหาเสื้อจะสวมก็หาไม่เจอ....จนตั้งสติได้ค่อยๆควานหาสวิตช์ไฟก่อน จนทั่วทั้งห้องสว่างเห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรอยู่ที่ไหนแล้ว เขาจึงสามารถคว้าเสื้อยืดที่ถอดพาดไว้มาสวมก่อนจะถลาออกไปยังประตู
ขณะที่ร่างมาถึงหน้าประตูห้อง แต่ใจไปไกลกว่าถึงท้องทะเล ดรันต์ก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองนวลสีเดียวกับกระดาษในสมุดตารางเวลาที่คุณนันท์พกอยู่เสมอ เขาก้มลงหยิบขึ้นอ่าน
ขอโทษ ล้อเล่นน่า....ชั้นให้คนช่วยเก็บเจ้านิลไว้แล้ว....อิอิ ตกใจล่ะสิ:P
ดรันต์งงๆ กับข้อความมันเหมือนจะต้องมีอะไรก่อนหน้านี้ เขาเลยพลิกกระดาษไปอีกหน้าหนึ่ง
รันต์!!!! เจ้านิลหาย พอชั้นนึกได้ก็รีบไปหา คนอื่นช่วยหาก็ไม่เจอ....
“หึหึ” ที่แท้ก็อยากแกล้งให้เราตกใจเล่น......ไม่ไหวเลยคุณนันท์เนี่ย จะแกล้งทั้งทีไม่รอบคอบเอาซะเลย กระดาษมันดันพลิกหน้าที่เฉลยความจริงมาให้เห็นแล้วอย่างนี้จะตกใจได้ไง...
“เฮ้อออออ” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก รอยยิ้มกลบความเศร้าหมองของดวงตาได้ชั่วขณะ ช่างเป็นวันที่มีหลากอารมณ์จริงๆ เขาคิดพลางถอดเสื้อยืดออกเหลือเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวที่เป็นเหมือนชุดนอนของเขาแล้วก็เดินไปยังเตียงนอน ปิดไฟ ซุกตัวในผ้าห่ม แล้วปล่อยกายใจไปสู่ห้วงนิทรา
...
...
...
พระอาทิตย์ขึ้น....พระอาทิตย์ตก.....
อีกวันหนึ่งเลยผ่านไป อีกวันหนึ่งของการทำงาน
น้ำทะเลที่สิมิลันสวยใสกว่าที่ภูเก็ตกว่าเป็นสิบๆเท่าเลยทำให้การขี่เจ็ตสกีเล่นกับน้ำทะเลของ ดรันต์ แลดูสนุกสนานทวีคูณ
ท้องฟ้าใสปราศจากมลพิษก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งานเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี...เพราะหน้าเรียบๆที่ดูออกจะบึ้งตึงของหญิงสาวช่างภาพชาวแคนนาดานั้น บึ้งน้อยกว่าปกติ นานๆทียังมียิ้มมุมปากนิดๆปรากฏออกมา ร่วมทำให้การทำงานผ่านไปได้ดียิ่งขึ้น
บรรยากาศดีๆของสิมิลัน ประสบการณ์ดีๆที่สิมิลัน ตราอยู่ในใจของพวกเขาตลอดไป...
...
...
...
“รันต์....ตื่นถึงกรุงเทพแล้ว” นัท ปลุก ดรันต์ ออกจากภวังค์เมื่อเครื่องบินลงจอดเทียบท่าอากาศยานกรุงเทพ
คงจะเหนื่อยสินะ.... วันนี้ทั้งวันขี่เจ็ตตลอด แดดก็แรง... จะไม่สบายมั้ยเนี่ย....
“เฮ้ออออ” คนที่ถูกปลุกส่งเสียงหาวออกมา “ถึงแล้วหรอครับ”
“ก็เออซิยะ เสียงเครื่องบินตอนแลนด์ดิ้งออกจะดัง ชั้นยังงงเลยว่าทำไมเธอยังไม่ตื่น...ไม่ไหวไม่ไหวอย่างนี้นะถ้ามีโจรย่องขึ้นบ้านมานะของไม่หายหมดบ้านหรอกหรอ” นันทนัช บ่นจุกจิก แต่ในประโยคหลังเธอลดความดังของเสียงเป็นพอได้ยินคนเดียว
ดรันต์ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็ก 2 ใบ ที่อยู่ในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะของเครื่องบิน เขาและคุณนันท์ตกลงกันที่จะไม่โหลดกระเป๋าเข้าเครื่องเพราะว่าขี้เกียจเสียเวลา
เมื่อลงมายังสนามบินดอน ดรันต์ และ นันทนัช เอ่ยลาทีมงาน อีริค และ โมนิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากประตูผู้โดยสารภายในประเทศเป็นคู่แรก ดรันต์แยกตัวไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ในอาคารจอดรถซึ่งทางสนามบินมีบริการไว้ให้ โดยไม่ต้องมีคำบอกหรือคำขอใดๆ เขาก็อาสาเป็นคนขับรถส่วนตัวให้แก่นางฟ้าของเขา
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปรากฏชัดเพียงดวงเดือนช่างเงียบเหงา ดูอ้างว้างเดียวดาย ยิ่งในสายตาพวกเขาที่เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ ...ท้องฟ้ากระจ่างชัดไร้มลพิษ ดวงเดือนและดวงดาวแข่งกันเปล่งแสงอวดสายตาชาวโลก เป็นท้องฟ้าที่ดรันต์ยังเผลอ พิศดู...แม้จะเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยชอบก็ตามที
“คุณนันท์......” หลังจากเกิดความเงียบในตัวรถได้ไม่นาน ดรันต์ก็เอ่ยเรียก หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ว่าไง”
“ขอบคุณนะครับ”
“เรื่องอะไร อยู่ดีๆก็มาขอบคุณ ไปเมาอะไรมา เอะ!!!หรือว่าเมาเครื่องบิน หึ” นัท พูดติดตลกในทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงจริงจังแถมยกมือวัดอุณหภูมิของหนุ่มข้างๆตัวแถมให้อีก...
“55..5 ไม่ได้เมา ไม่ได้อยู่ดีดี ผมน่ะ จะขอบคุณคุณนันท์เรื่องเจ้านิลที่ผมจอดทิ้งไว้เมื่อคืนนะครับ”
“อ่ออืมม์ อิอิ แล้วเป็นไง... ตกใจมั้ยจ๊ะ ร้อยเปอร์เซ็นชัวร์ว่าตกใจอิอิอิอิ” นัท พูดเองเออเอง
“ตกใจน่ะ ตกใจครับแต่ไม่ใช่เพราะโน้ตของคุณนันท์ ผมตกใจตอนที่นึกถึงเจ้านิลมันได้อย่างเดียวน่ะครับ” หลังที่พูดจบดรันต์ยังแอบแถมหัวเราะเบาๆให้อีก
“อ้าว.........ทำไมไม่ตกใจล่ะ ชั้นนะเดาไว้กะจะให้รันต์ตกใจสักสองรอบ”
“ก็คุณนันท์เล่นสอดโน้ตด้านที่มันเฉลยออกมาก่อนนี่ครับ แล้วจะให้ผมตกใจรอบสองได้ยังไง เฮ้อออ ไม่ไหวๆ คุณนันท์นี่อ่อนชะมัด” ดรันต์ล้อสาวที่นั่งข้างๆ พลางทำท่าทางส่ายหัวไปมาอย่างน่าหมั่นไส้
“อย่างน้อยชั้นก็เดาถูกตั้งครั้งนึง” นัท แก้ตัวก่อนจะกล่าวข้อหาใหม่ให้ดรันต์ “ไม่เหมือนนายหรอก....ลืมเจ้านิลยังไง ไหนว่าเป็นของสำคัญ เป็นเพื่อนสนิทก็ไม่ปาน แล้วนี่อะไร.....ที่ลืมตอนแรกก็ไม่น่าว่าสักเท่าไหร่เพราะต้องช่วยคน แต่นี่ลืมเจ้านิลตั้งนาน......ถ้านิลมันมีชีวิตล่ะก็มันคงจะน้อยใจ เธอตายเลยแหละรันต์”
“โหย ก็ลองมาเป็นผมสิครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม” ชายหนุ่มแก้ตัวบ้าง ในใจเขายังครุ่นคิดถึงสิ่งที่หญิงสาวข้างๆพูดถึง
นั่นสิ เขาไม่เคยลืมเจ้านิล เขาไม่เคยจอดมันทิ้งกลางทะเล
นี่เป็นครั้งแรก....ที่เค้าลืม...ไม่ใช่ลืมธรรมดาๆ แต่ลืมอย่างสนิทเลยด้วยซ้ำ....
แล้วรถเก๋งสีดำที่มีฝุ่นจับนิดๆ จอดเทียบหน้าบ้านขนาดย่อม 2 ชั้น นันทนัช กำลังจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเดินทางของตนที่อยู่เบาะหลัง แต่ดรันต์เร็วกว่า ชายหนุ่มได้เป็นเด็กถือกระเป๋าส่วนตัวอีกหน้าที่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้กลับบ้านในวันนี้
ดรันต์ ส่งนันทนัชที่ประตูหน้าบ้าน ทีแรกหญิงสาวชวนให้เขาเข้าไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของเธอ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะขณะนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว อีกทั้งร่างกายที่แอบกระซิบบอกว่าอยากพักผ่อนในกองม้วนผ้าห่มที่จากกายมาร่วม 2 วัน
รถคันเดิมแล่นด้วยความเร็วเต็มพิกัดมุ่งสู่บ้าน ศิริพงศ์
แม้จะเหนื่อย แม้จะอ่อนล้า แต่เขา ดรันต์ ศิริพงศ์ ก็ไม่คิดจะทิ้งเพื่อนสนิทไปอีกคน นั่นก็คือ....ความเร็ว
...
...
...
เมื่อกลับมาสู่บ้านศิริพงศ์ ดรันต์ ก็พาร่างกายอันอ่อนล้าของตนไปยังห้องนอนส่วนตัวชั้นสอง เขาล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน ใจว่าจะแกล้งลืมความสกปรกอันก่อเกิดจากกิจกรรมระหว่างวัน คิดเข้าข้างตัวเองว่าเพิ่งอาบน้ำไปตอนที่ขี่เจ้านิลเสร็จ......นั่นมันเมื่อตอน บ่ายหนึ่งบ่ายสองเองไม่ใช่รึ...
เปลือกตาหนักขึ้นเกินจะต้านทาน...
นัยน์ตาสีดำถูกความมืดเข้าครอบคลุม ก่อนที่สติจะจากไปยังห้วงแห่งความฝันก็มีเสียงเอะอะดังมาจากทางเดินหน้าห้องนอนของเขา
“มะลิ มะลิ ..... มีใครอยู่ข้างนอกไหม เอายามาให้คุณผู้หญิงหน่อย เร็ว....มะลิ มะลิ...” เสียงคุณผู้ชายของบ้านศิริพงศ์ร้องลั่นบ้าน
ตึกๆๆๆๆๆๆ เสียงวิ่งชุลมุลของคนในบ้านดังตามมาติดๆ
ดรันต์ กลับมาสู่โลกแห่งความจริงโดยพลัน ไม่หล่งไม่หลับมันแล้ว.... เขาเปิดประตูหน้าห้องมองทอดออกไปยังห้องนอนอีกฝากของบ้าน ห้องนอนของคนที่ตราอยู่ในความทรงจำของทุกคนในบ้านหลังนี้ คนที่ไม่เคยจากไป
ภาพที่ต้องจักษุช่างฉุดดึงความรู้สึกของเขาเสียเหลือเกิน ...คุณพ่อประคองคุณแม่ที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาอยู่ในห้องของ ดรณ์ ประตูสีน้ำตาลแก่ที่เปิดแง้มออกเนื่องจาก พี่มะลิเพิ่งจะก้าวเข้าไปเอายาให้คุณแม่
“ฟ้า....อย่าเป็นอะไรนะ หายใจลึกๆ ลึกๆ ช้าๆ ใจเย็นๆ” เสียงคุณพาณิภัคปลอบภรรยาที่หอบจนตัวโยน มือข้างหนึ่งของเธอกุมแน่นกดที่หน้าอกของตัวเอง อีกมือที่เหลือก็กำกรอบรูปขนาดตั้งโต๊ะเล็กๆไว้แน่น น้ำตายังคงไหลรินออกมาไม่ขาดสาย....
ไม่เป็นไร วันนี้ ตารันต์ไม่อยู่....
ไม่ต้องอดกลั้น ปล่อยมันออกมาให้หมด พรุ่งนี้ตารันต์กลับมาแล้วจะได้ยิ้มต้อนรับได้อย่างเต็มที่
คุณฟ้าศิริ คิดอยู่ในใจแม้จะคิดถึงลูกอีกคนที่หนีจากเธอไปก่อนเวลาอันควร แต่อีกหนึ่งห้วงความคิดของเธอก็เป็นห่วงลูกอีกคนที่ต้องเศร้าหมองไปกับเหตุการณ์นั้น...ตารันต์กำลังเข้มแข็งขึ้นมา ต้องเป็นกำลังใจให้ตารันต์.....เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เป็นการปลุกกระแสความเข้มแข็งในตัวเอง
มือสั่นๆยื่นออกไปรับยาจาก มะลิคนงานในบ้านที่อยู่ร่วมกันมานานตั้งแต่ ดรันต์กับดรณ์ถือกำเนิด....คุณฟ้าศิริ ค่อยๆพ่นยาเข้าปากระงับอาการหืดหอบที่บังเกิดขึ้น เธอยังคนสะอื้นแต่ลดน้อยลง คุณพาณิภัคโอบกอดภรรยาที่รักไปอย่างหลวมๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือปาดสายน้ำตาทั้งสองอย่างเบามือ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรน้า ฟ้า คนดีหายใจลึกๆ” สามีขยับมือตบหลังภรรยาเบาๆขณะเดียวกันก็ก้มลงประทับจูบอ่อนโยนที่หน้าผากมนของหญิงที่รัก
“ฉะ...ฉันคิด...คะ...คิดถึง ดรณ์ เหลือเกินค่ะ ..คุณภาค.....โธ่..ดรณ์....ดรณ์ ลูกแม่ ดรณ์...น้องดรณ์เหงามั้ยครับ.....อยู่ที่นั่นน้องดรณ์...เหงามั้ยครับ......ฮือๆ ฮือ แล้วที่นั่นมันที่ไหน....น้องดรณ์บอกแม่มะซิครับว่าลูกอยู่ที่ไหน....ฮื่อๆ ฮืออ แม่จะไปหาน้องดรณ์เอง......” คุณฟ้าศิริ หลงกลับไปยังห้วงความคิดอีกครั้ง อาการหอบที่เพิ่งทุเลากำเริบขึ้นทันที จนคนที่ปลอมประโลมอยู่ต้องรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อดึงเธอกลับมา....กลับมาสู่โลกแห่งความจริง
“ฟ้า......อย่าพูดอย่างนี้สิ ไม่เอานะคนดี” คุณพาณิภัค ปลอบอย่างใจเย็น นุ่มนวล มือหนาช้อนใบหน้าที่เริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัยขึ้น ปาดธารน้ำตาที่ไม่หยุดไหล เกลี่ยไรผมไปทัดที่ใบหูแล้วลูบแก้มนวลเบาๆ “ดรณ์ เขาไม่ได้จากไปไหนนี่นา...หืมม์คนดี คุณไม่รู้สึกหรือ....ลูกของเรายังคงอยู่กับเราตลอดเวลา...” คุณภาคกุมมือคุณฟ้า ไปวางที่หน้าอกข้างซ้ายของเธอ “ลูกอยู่ในใจของเราตลอดเวลา เขาไม่ได้จากเราไปไหน ...แม้.....แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นเขาแต่...แต่เราก็รู้สึกถึงเขา.....คุณก็รู้สึกใช่มั้ย หึ? คนดีของผม” น้ำใสๆเริ่มเอ่อล้นจากดวงตาของคนพูดบ้าง เขากอดหญิงในอ้อมแขนแน่นก่อนที่จะคลายออกเป็นทั้งการให้กำลังและขอกำลัง....
“ค่ะ....รู้สึกสิคะ ลูกอยู่กับเราตลอด....ไม่ได้จากไปไหน....ฮือๆๆ” ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ยาหรือฤทธิ์ของคำพูดที่ทำให้คุณฟ้าศิริ หายจากอาการหืดหอบ สามีภรรยายังคงกอดปลอบประโลมหัวใจของกันและกัน โดยมีพี่มะลินั่งเป็นก้างขวางคอด้วยความเป็นห่วง....กลัวคุณผู้หญิงอาการกำเริบอีก.....จนเธอแน่ใจแน่ๆแล้ว จึงถอนตัวออกมาจากห้องของน้องดรณ์ อดีตคุณหนูตัวน้อยที่เธอเคยได้ดูแล
“อ้าว....คุณหนูรันต์....” พี่มะลิทักหลังจากที่เดินออกมาจากห้องของ ดรณ์ แต่เพราะเห็นสัญญาณจุๆที่ปากของ ดรันต์ เธอจึงลดระดับเสียงลงทัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่ของดรันต์ไม่ทันได้รับรู้ถึงการกลับมาของเขา
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” มะลิ ถามคุณหนูของเธออย่างเป็นห่วง ทั้งเรื่องทางกายและทางใจ
“สักพักครับกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว ได้ยินเสียงกุกกักๆ หน้าห้องเลยออกมาดู....แล้วมีอะไรหรอครับ ทำไมพี่มะลิถึงไปอยู่...เอ่อออที่ห้องดรณ์ล่ะครับ” ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์อะไรได้อย่างแนบเนียน....เขาไม่อยากให้พี่มะลิ ที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กต้องกังวลใจไปมากกว่านี้...
“พี่ทำให้คุณหนูตื่นหรอกหรือเนี่ย ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ เอ้าๆๆๆ ไปนอนได้แล้วหรือว่าจะรับนมอุ่นๆก่อนนอนดีคะ” พี่เลี้ยงคนสนิทเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็เข้าทางที่ ดรันต์อยากจะให้เป็นอยู่แล้ว เขาเลยเออออห่อหมกไปกับเธอ
“ก็ดีเหมือนกันครับ ..” ทั้งคุณหนูและคุณพี่เลี้ยงก็เดินไปยังห้องครัวอย่างพร้อมเพรียง
“เดี๋ยวพี่เอาไปเสิร์ฟที่ห้องคุณหนูก็ได้นะคะ ไม่ต้องตามลงมาหรอก” มะลิ กล่าวขณะเดินลงบันได เธอแอบเหลือบมองไปทางห้อง ดรณ์ นิดหน่อยพร้อมทั้งภาวนาในใจ.....อย่าเพิ่งให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายออกมาตอนนี้ด้วยเถิดเจ้าพระคุณ
เหมือนวันนี้สวรรค์จะเข้าข้างพี่มะลิของเขา ตลอดเวลาที่ ดรันต์นั่งดื่มนมจนหมดแก้ว ก็ไม่มีวี่แววของ บุพการีทั้งสองเลย
“พี่มะลิครับ พรุ่งนี้เช้าอย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่นะครับว่าผมกลับมาแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ คุณหนูจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีกล่ะเนี่ย....” พี่มะลิดักคุณหนูของเธออย่างรู้ทัน
“ครับ...นิ๊ดหน่อย” ดรันต์ ปั้นเสียงให้รู้สึกถึงความ นิดหน่อย จริงๆ
“ค่ะๆ ได้เจ้าค่ะ พี่มะลิน้อบรับคำสั่งเจ้าค่ะคุณหนู” มะลิตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่คำพูดติดตลก “เอ้า ไปนอนได้แล้วเจ้าค่ะ ดื่มหมดแล้วก็รีบขึ้นไปนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เจ้ามาเล่นพิเรนทร์ไวๆ” เธอรีบชักจูง ดรันต์ ให้ออกจากบริเวณนี้โดยไว เพราะจากที่คาดไว้อีกไม่นานคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายอาจจะเข้าครัวมารับของว่างรอบดึกเหมือนทุกทีที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แล้ววันนี้ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้เธอ เพราะแม้กระทั้งคุณหนูดรันต์ที่แสนทะเล้นชอบหยอกชอบแกล้งเธอก็กลายมาเป็นคุณหนูว่านอนสอนง่าย กลับขึ้นห้องนอนไปโดยไว โดยทิ้งท้ายสั้นๆเพื่อไม่ให้พี่เลี้ยงต้องสงสัยเอากลับไปนอนคิดว่าทำไม...
“ครับ...เหนื่อยเหลือเกิน”
...
...
...
“ 8 ปีแล้วสินะ...ดรณ์” ทันทีที่ปิดประตูห้องนอน ดรันต์ ก็ทิ้งตัวลงนอนแล้วรำพึงกับตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานฉายกลับเข้ามาอีกครั้ง “ใช่......ดรณ์ นายไม่ได้จากไปไหน...นายอยู่ในใจ...ฉันตลอดเวลา” เหมือนร่างกายจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะน้ำใสๆเอ่อล้นขึ้นมาจากดวงตาเศร้า อีกทั้งยังอาการเกร็งที่ต้นคอลามไปยังแขนทั้งสองข้าง....แม้กระทั้งหัวใจเจ็บจี๊ด เหมือนมีบาดแผลฉกรรจ์ก็ไม่ปาน...
“นี่ฉันเป็นพี่ชายที่ไม่ดี ขนาดที่นายต้องหนีไปเชียวรึ...” ดรันต์ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา
นายไม่รู้ความรู้สึกของฉันหรือ ดรณ์.....
เราเป็นฝาแฝดกันไม่ใช่หรือ...
นายไม่คิดเลยหรือว่าคนที่เหลืออยู่จะเป็นยังไง.....อย่างฉันไง
เห็นมั้ย ดรณ์ เห็นไหม.....นายเห็นชั้นมั้ย.....
ในที่สุดชายหนุ่มก็ลากร่างตัวเองไปยังห้องน้ำ เขาเปิดน้ำฝักบัวให้สาดราดมายังตัวของเขาทั้งๆที่ยังไม่ได้ปลดเสื้อผ้าสักกะชิ้น
ความเย็นของน้ำ ดับอารมณ์สับสน เศร้าหมองของเขา สายน้ำที่ไหลผ่านจากฝักบัวผสมปนเข้ากับน้ำตา... เสียงสะอื้นเบาๆจากชายหนุ่มที่บัดนี้ทรุดตัวลงไปยังอ่างอาบน้ำ มือเรียวสีแทนจับที่ข้อมือขวากุมไว้ราวกับว่าเป็นของล้ำค่า ...รอยแผลเป็นเป็นทางสั้นๆตรงเส้นเลือดใหญ่ปรากฏอย่างชัดเจน....รอยแผลแห่งความทรงจำ
หลังจากปลดปล่อยอารมณ์ไปกับสายน้ำ ชายหนุ่มผลัดเสื้อเปลี่ยนเป็นชุดนอน ซึ่งจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ขาล้มตัวลงนอนเป็นรอบที่สามของวันนี้...พยายามไม่คิดถึงเรื่อง ดรณ์ เรื่อง พ่อแม่ หรือแม้กระทั้งเรื่องของคุณนันท์ เพราะนั่นจะพาลทำให้เขาอาจจะต้องไปอาบน้ำรอบที่สองก็เป็นได้
เขาพลิกตัวไปมาสลัดความคิดโน้นความคิดนี้....ก็ไม่มีความคิดไหนที่ไม่สามารถพาดพิงไปถึงเรื่องของดรณ์ได้ จนกระทั้งเขาหลุดมาถึงห้วงความทรงจำไม่วันวานที่เพิ่งผ่านมา... ภาพการช่วยเหลือ โมนิก้า ไหลเวียนเข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงภาพที่เขาโน้มตัวผายปอดให้แก่เธอ....ดรันต์ เผลอยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่ความคิดนี้จะพาเขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้......
วันนี้ เขาจะฝันดีหรือฝันร้าย....เขายังแอบคิดก่อนที่จะเคลิ้มหลับไป..........
ในห้องนอนสีเทาควันบุหรี่ ปรากฏภาพชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่ในห่อผ้าห่ม กอดหมอนข้างคู่ใจ ใบหน้าอมยิ้มดูมีความสุข นี่อาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของสิ่งที่ดรันต์สงสัยก่อนนอนก็เป็นได้.......
ความคิดเห็น