ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] +:-= Because of Love =-:+ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #9 : 11 - 12 - 19 : เมื่อผมไม่สบาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.57K
      6
      28 ธ.ค. 54

     

     

     

     

    19  ธันวาคม  2011

     

     

                ช่วงนี้อากาศหนาวมาก ๆ เลยล่ะครับ  หวังว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะดูแลสุขภาพตัวเองกันนะ  เพราะผมโดนไข้หวัดเล่นงานเข้าแล้วล่ะ  (ผลของการโต้รุ่งปั่นรายงานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง)  เพิ่งอาการดีขึ้นเมื่อวานนี้เองฮะ  ก็เลยถือโอกาสเปิดคอมมาอัพเดตเรื่องราวหลังจากวันนั้นที่ยุนโฮเอ่ยคำว่า  “เพื่อนผม...”  เสียหน่อย

     

                หลังจากวันนั้นมา  ยูชอนก็โผล่มาลากจุนซูกลับไปตามคาดครับ  แหงล่ะสิที่จุนซูจะเล่นตัวไม่ยอมกลับ  แถมยังพาลมางอนผมอีกคนด้วยน่ะ  เพราะรู้แล้วว่าผมเอาเรื่องนี้ไปฟ้องยูชอน  ไอ้เรารึก็ปฎิเสธหัวชนฝาแล้วเชียวว่าไม่ใช่  อุตส่าห์มียูชอนมาช่วยโกหกด้วยอีกเสียง  แต่จนแล้วจนรอดจุนซูก็ปักใจเชื่อชนิดฝังหัวไปแล้วว่าผมแกล้งเขา  ส่วนเหตุผลที่ผมหักหลังเขาน่ะเหรอฮะ  มันตลกมากเลยล่ะ  เพราะจุนซูบอกว่า  “เพราะผมชอบยุนโฮ”

     

                ฟังตอนแรกผมงี้ถึงกับไปไม่ถูกเลย  จุนซูก็ใส่ต่อไม่ยั้งว่าเพราะผมกลัวจุนซูจะจีบยุนโฮติด  ผมก็เลยโทรไปฟ้องยูชอนเสียเลย  เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมอะไรประมาณนั้น  ผมล่ะซูฮกในจินตนาการของเพื่อนคนนี้จริง ๆ   คิดเข้าไปได้ยังไงว่าผมจะชอบยุนโฮ  ในเมื่อก่อนหน้านี้ผมยังระแวงกลัวเขาเอาโน้ตบุ๊กฟาดผมแทบตาย

     

                สุดท้ายจุนซูก็เลยโกรธผมมากกว่ายูชอนซะอย่างนั้นน่ะ  และเพราะโกรธผมมากกว่า  จุนซูก็เลยกลับไปกับแฟนฮะ  (จนถึงบัดนี้ผมก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันว่าผมผิดตรงไหน)  ยูชอนแอบโทรมาหาผมทีหลังแล้วขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่  บอกว่าจะพยายามกล่อมจุนซูให้ใจเย็นลงก่อน  แล้วค่อยอธิบายความจริงทั้งหมดให้ฟังอีกที  ผมน่ะยังไงก็ได้อยู่แล้ว  เพราะรู้นิสัยเอาแต่ใจของจุนซูดีว่าเขาโกรธผมได้ไม่นานหรอก  เดี๋ยวพอเจอร้านขนมอร่อย ๆ หรือไม่ก็หนังที่น่าดูสักเรื่องแล้วล่ะก็  เขาก็จะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเองนั่นแหละ

     

                เพราะงั้นเรื่องของจุนซู  สำหรับตัวผมผมว่ามันจบลงได้โอเคแล้วล่ะ

     

                แต่เรื่องที่ยังไม่โอเคน่ะ...  คือคำตอบสุดกำกวมของนายคนห้องตรงข้ามผมต่างหาก

     

                และในเมื่อจุนซูไม่อยู่เป็น กขค. ให้ยุนโฮต้องหลบตัวอยู่แต่ในห้องอีกต่อไปแล้ว  ผมก็เลยถือโอกาสไปนั่งดักรอเขาที่หน้าห้องซะเลย  (ผมว่าเราสองคนคงเป็นสโตกเกอร์ที่น่ากลัวพอ ๆ กันแล้วล่ะ)  ผมนั่งอ่านหนังสือไปตามเรื่องฮะ  แต่รอแล้วรอเล่า  ยุนโฮก็ไม่ออกมาซักทีจนผมชักจะหงุดหงิดซะแล้วสิ  นี่ใจคอเขาจะปล่อยให้ผมรออีกนานแค่ไหนกัน  ผมจำได้ว่าวันนี้ยุนโฮไม่มีเรียนสักหน่อย  เอ๊ะ  หรือว่าเขาจะออกไปเที่ยวข้างนอกนะ  พอคิดมาถึงตอนนี้  ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขา... ออกไปกับใคร

     

                ใช่คนที่เขาแอบชอบอยู่รึเปล่านะ

     

                ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอีกครั้ง  ไม่รู้สิฮะ  มันเหมือนกับผมอิจฉารึเปล่านะ  ผมไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน  แต่เดาว่าผมคงกำลังอิจฉายุนโฮที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักล่ะมั้ง  แต่ที่แน่ ๆ ก็คือผมไม่ชอบความรู้สึกที่ร้อนวูบวาบในอกอย่างนี้เลย  มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ๆ ฮะ  ดูเป็นคนนิสัยไม่ดียังไงก็ไม่รู้  ในใจก็พาลแต่จะคิดถึงฉากที่ยุนโฮเดินกุมมือกับคนอื่นท่ามกลางอากาศหนาว  มันคงโรแมนติกน่าดูเลยล่ะ  แต่พอคิดแล้วก็หงุดหงิดทุกทีเลย

     

                สุดท้ายผมก็เลยเก็บของเข้าห้อง  ไม่รงไม่รอมันแล้วนายหนวดคนนั้นน่ะ  แต่เหมือนการตัดสินใจของผมคงจะช้าไปหน่อย  เพราะนั่งตากลมอยู่หน้าห้องนานเกินไป  ผมก็เลยรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้จนได้  เรื่องนี้ผมต้องโทษยุนโฮเลยนะเนี่ย เพราะเขานั่นแหละที่ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน  อากาศตรงทางเดินมันก็ย่อมหนาวกว่าในห้องที่มีฮีตเตอร์อยู่แล้วด้วย  เพราะงั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกหากตัวผมจะรุ่ม ๆ ขึ้นมา  บางทีที่ผมรู้สึกร้อนใจเมื่อกี้อาจเป็นเพราะผมกำลังไม่สบายด้วยก็ได้

     

                เพราะงั้นผมก็เลยตัดสินใจนอนพักในห้องสักพักให้อาการดีขึ้น  แต่กลับกลายเป็นว่าพอตื่นมาอีกทีก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ๆ แล้ว  และเพราะนอนผิดเวลา  หัวผมก็เลยปวดระบมเหมือนโดนมือล่องหนมาบีบตลอดเวลาเลยล่ะฮะ  ใจจริงผมอยากได้ยาซักเม็ด  แต่จำได้ว่าจุนซูกินหมดไปแล้วเมื่อวันก่อน  แถมผมเองก็ไม่ค่อยอยากลงไปซื้อข้างล่างเวลานี้ด้วยสิ  ก็ข้างนอกน่ะหนาวจะตายไป  ขืนลงไปสภาพนี้มีหวังได้คลานกลับขึ้นมาแทนแน่  แล้วพอไม่รู้จะพึ่งใครดี  ผมก็เลยนึกถึงคนต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่สบายขึ้นมา  (แน่นอนว่าผมยังไม่ลืมความผิดของยุนโฮหรอกนะ)  ห้องของเขาอยู่แต่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง  ยุนโฮน่าจะมียาแก้ปวดเก็บไว้บ้างล่ะน่า  แถมสมองอันชั่วร้ายของผมลึก ๆ แล้วก็อยากให้ยุนโฮสำนึกผิดด้วย  ในเมื่อเขาเป็นต้นเหตุ  เขาก็ควรจะรู้เรื่องที่ผมไม่สบายเช่นกัน  (...มันน่าสงสัยนะว่าตอนนั้นผมคิดอะไรงี่เง่าแบบนี้ได้ยังไง  คิดย้อนกลับไปแล้วก็น่าอายชะมัด  ผมว่าคงเพราะตัวเองเป็นไข้ล่ะมั้งฮะ  ปกติเวลาไม่สบายผมมักเป็นพวกขี้อ้อนฮะ  แต่พอไม่มีใครให้อ้อน  ผมก็เลยเปลี่ยนโหมดมาเป็นเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแปลก ๆ แทนล่ะมั้ง)

     

                คิดได้อย่างนั้น  ผมก็เลยลากสังขารไปเคาะประตูห้องเขาซะเลย  หวังว่ายุนโฮคงจะกลับมาแล้วนะ  ไม่อย่างนั้นมีหวังผมต้องลงไปซื้อยาข้างล่างเองแน่ ๆ   ภาวนาให้ยุนโฮอยู่ห้องจะดีกว่า

     

                “แจจุง?”  ดีนะที่เสียงภาวนาของผมสัมฤทธิ์ผล  ยุนโฮเปิดประตูออกมามองผมด้วยสีหน้างง ๆ   เขาก้มลงมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ   นี่สภาพผมมันแย่มากเลยรึไงนะ  ผมลืมส่องกระจกก่อนออกมาซะด้วยสิ

     

                “นายพอจะมียาแก้ไข้มั้ย”  ผมพยายามลูบผมยุ่ง ๆ ของตัวเองให้เรียบ

     

                “ไม่สบายเหรอ”  ไหล่ของยุนโฮลู่ลงเล็กน้อยพลางเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเพื่อดูอาการ  นั่นไง  เขาต้องกำลังรู้สึกผิดแน่ ๆ   พอเห็นท่าทีแบบนี้ของยุนโฮ  ผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมายังไงก็ไม่รู้  อย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงผมอย่างที่ผมต้องการนี่นา  “โทษทีนะ  แต่ว่าห้องฉันไม่มียาหรอก  รอหน่อยได้รึเปล่า  เดี๋ยวลงไปซื้อมาให้”

     

                “เอ่อ...  งั้นไม่เป็นไรหรอก”  ผมเกรงใจเขามากกว่า  “ถ้านายไม่มีก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวนอนสักคืนก็คงดีขึ้นล่ะมั้ง”

     

                “งั้นเหรอ”  ยุนโฮขมวดคิ้วมุ่น  หน้าเขาตอนนี้ก็เลยดูเหมือนโจรเข้าอีกขั้น  อืม  ผมเริ่มเป็นฝ่ายรู้สึกผิดแทนเขาซะแล้วสิ  ไม่น่าออกมาให้ยุนโฮรู้ตัวเลยว่าผมไม่สบาย

     

                “จริง ๆ นะ   เมื่อก่อนฉันก็เป็นงี้บ่อย ๆ แหละ  แต่พอนอนสักพักก็หาย”  ผมยืนยันให้เขาสบายใจ  ก่อนจะรีบขอตัวกลับห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว  บางส่วนในใจผมชักรู้สึกแปลก ๆ เวลาจ้องหน้ายุนโฮแล้วด้วย  หรือว่านี่จะเป็นเพียงอาการไข้ของผมกันนะ  มันเป็นอะไรที่สับสนมากเลยล่ะฮะ

     

                ผมทิ้งตัวลงนอนคลุมโปงที่เตียงตัวเองต่อตามเดิม  หัวยังปวดตุ้บ ๆ อยู่เลยล่ะ  แต่ผมจะไม่มีวันฝ่าลมหนาวลงไปข้างล่างแน่  เพราะงั้นผมก็เลยนอนคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบจะคล้อยหลับไปอีกหนได้อยู่แล้วเชียว  ในตอนที่ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูที่หน้าห้อง

     

                “ยุนโฮ?”  ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีกที่เห็นยุนโฮยืนอยู่หน้าห้อง  “ปากนายซีดจัง  ไม่สบายตามไปฉันอีกคนแล้วเหรอ”

     

                “พูดมากจริง”  เขาขยี้หัวผมให้เละกว่าเดิม  ทำเหมือนผมเป็นเด็กไปได้  แต่มองอีกแง่  เขาก็คงเห็นผมเป็นน้องชายเขาจริง ๆ นั่นแหละ  “อาการดีขึ้นบ้างรึยัง”

     

                “ก็... ดีขึ้นแล้วล่ะ”

     

                “โกหก”

     

                ก็ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วงผมไปมากกว่านี้นี่นา  ผมมุ่ยหน้าใส่เป็นเชิงว่าถ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว  แล้วจะยังมาถามผมอีกทำไม  แต่ยุนโฮก็ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของผมซะอย่างนั้นน่ะ  บางครั้งผมก็อยากกระชากหนวดเขาเพื่อสร้างความเจ็บปวดจริง ๆ นะเนี่ย

     

                “เอ้า”  อยู่ดี ๆ ยุนโฮก็ยื่นถุงยามาให้ผม  แถมยังมีนมร้อน ๆ อีกแก้วแถมมาให้อีกต่างหาก  “กินอะไรรองท้องก่อนกินยาด้วย  แล้วก็รีบนอนได้แล้ว”

     

                “นาย... เดินไปซื้อมาให้ฉันเหรอ”  ทันทีที่ผมรับแก้วกระดาษมาถือ  ความร้อนของมันก็อุ่นวาบเข้าไปถึงความรู้สึกผมเลยล่ะ  ผมซึ้งจนเกือบจะลืมขอบคุณเขาแล้วเชียว  “ขอบคุณมากเลยนะยุนโฮ”

     

                “ฉันมีมอไซค์”  ยุนโฮตอบเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร  “ไปล่ะ”

     

                ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวกลับไปไขประตูห้องตัวเอง  ผมยืนมองแผ่นหลังกว้าง ๆ ของยุนโฮเหมือนกับว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่พอ  แม้จะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าเขาแค่อยากดูแลผมเพื่อชดเชยเรื่องน้องชายของตัวเอง  แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยุนโฮทำอะไรเพื่อผมแบบนี้  มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีกับเขามากจริง ๆ

     

                “นี่ยุนโฮ”  กว่าจะรู้ตัว  ผมก็เผลอเรียกชื่อเขาออกไปเสียแล้ว

     

                ยุนโฮหันกลับมามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่ามีอะไร  ผมก็เลยอึกอักอยู่พักนึง  เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเรียกเขาไปทำไม  ก็ปากผมมันไปเองนี่นา  แต่จะให้ตีปากต่อหน้ายุนโฮมันก็ใช่เรื่องเสียที่ไหนล่ะ

     

                ผมก็เลยตัดสินใจพูดแก้เก้อด้วยรอยยิ้มอาย ๆ

     

                “ฝันดีนะ”

     

                เขาเงียบกริบเลยล่ะ...  ผมล่ะเกลียดเวลายุนโฮเงียบจริง ๆ   เพราะหนวดเครารุงรังนั่นจะทำให้ผมอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ  ดังนั้นถ้ายุนโฮไม่พูด  ผมก็จะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  ครั้งนี้ก็เช่นกัน  บางทีเขาอาจจะกำลังรู้สึกว่าผมก้าวก่ายมากเกินไปก็ได้ล่ะมั้ง

     

                “นายก็ด้วย”  แต่แล้วยุนโฮก็ตอบผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง  เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเข้าห้องตัวเองไป  และแม้เสียงล็อกประตูของฝั่งตรงข้ามจะบอกผมว่ายุนโฮไกลออกไปมาก ๆ แล้ว  แต่หัวใจผมก็ยังเต้นโครมครามไม่เลิกเสียที  ก็มันน้อยครั้งมาก ๆ เลยนี่ที่ยุนโฮจะยิ้ม  นายเสือยิ้มยากคนนี้ยอมยิ้มให้ผมแล้วบอกให้ผมฝันดีด้วย  แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ  ยุนโฮจะรู้บ้างมั้ยว่าเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้คืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ  เพราะพอหลับตาลง  ผมก็จะเห็นแต่รอยยิ้มของยุนโฮที่ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ  แล้วจากนั้นผมก็จะเริ่มสงสัยว่าตอนนี้ยุนโฮหลับไปแล้วรึยัง  หรือไม่ก็เขาจะฝันดีอย่างที่ผมบอกรึเปล่านะ  อืมมม  ผมว่าพิษไข้นี่มันมีพลังรุนแรงจริง ๆ นั่นแหละ  เพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

     

                พอเช้าวันถัดมา  ผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ทุเลาลง  กิจวัตรแรกของวันที่ผมทำเป็นประจำก็คือการมองนาฬิกา  ต่อจากนั้นเป็นปฎิทินที่แขวนอยู่ข้าง ๆ กัน

     

                วันนี้ยุนโฮมีเรียนเช้า

     

                นั่นคือสิ่งแรกที่ผมนึกออกก่อนที่เสียงท้องร้องจะประท้วงลั่นดึงความสนใจไปจนหมด  ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปซื้ออะไรร้อน ๆ มากินเป็นข้าวเช้า  แต่ทันทีที่เปิดประตู  ผมก็สังเกตได้ว่าน้ำหนักของบานประตูมันเปลี่ยนไป  ซึ่งก็เป็นไปตามคาด  ถุงข้าวต้มถุงหนึ่งแขวนไว้กับกลอนประตูห้องผม  แถมยังมีโพสท์อิทสีเหลืองสดใสแปะไว้ที่หน้าประตูห้องผมข้าง ๆ ถุงข้าวต้มอีกต่างหาก  ผมไม่รอช้าที่จะแกะมันขึ้นมาอ่าน  พลันใจผมก็เต้นอย่างประหลาดในยามที่รู้ว่าเจ้าของลายมือนี่คือใคร

     

     

    อย่าลืมกินยา

     

     

                แม้จะเป็นเพียงตัวหนังสือสั้น ๆ ที่เขียนอย่างหวัด ๆ ไม่ตั้งใจ  แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนึกภาพยุนโฮตอนเขียนสิ่งนี้ออก  เขาคงต้องขมวดคิ้วอีกตามเคยในตอนที่นึกว่าจะเขียนเตือนผมว่ายังไงดี

     

                ผมเอาข้าวต้มกลับไปอุ่นใหม่อีกครั้งก่อนกิน  มันเป็นข้าวต้มที่แม้จะไม่อร่อยอะไรมากมาย  แต่ผมกลับตั้งใจละเลียดทุกคำที่กินเลยทีเดียว  พอกินเสร็จผมก็ทำตามคำสั่งเขาอย่างว่าง่ายด้วยการไม่ลืมกินยา  พลันอยู่ดี ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะขอบคุณยุนโฮเสียหน่อย  แต่เพราะยังไม่มีเบอร์มือถือของอีกฝ่าย  ผมก็เลยตัดสินใจเขียนคำขอบคุณใส่โพสท์อิทแผ่นใหม่ที่เป็นสีชมพูสดใสแล้วก็เอาไปแปะไว้ที่หน้าประตูห้องเขาแทน

     

                ไม่รู้ว่ายุนโฮจะเห็นกระดาษของผมรึเปล่า  เพราะตั้งแต่วันนั้นมาผมแทบไม่ได้เจอหน้ายุนโฮตรง ๆ เลยล่ะ  ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะไม่ค่อยว่างเท่าไหร่แล้ว  ได้ข่าวมาว่ายุนโฮต้องเป็นตัวแทนไปแข่งอะไรสักอย่าง  ก็เลยถูกอาจารย์จับติวเข้มเป็นการเร่งด่วนที่มหาลัย  แต่ถึงอย่างนั้นทุก ๆ เช้า  ผมก็จะยังได้กินข้าวต้มพร้อมกระดาษโพสท์อิทแผ่นใหม่ที่แปะอยู่หน้าห้องอยู่ดี

     

                เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันจันทร์  หรือก็คือวันนี้ที่ผมอัพนั่นเอง

     

                อาการผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ  แทบจะหายสนิทแล้ว  แต่เพราะอยากกินข้าวต้มเป็นมื้อเช้าต่อ  ผมก็เลยไม่ได้บอกยุนโฮสักทีว่าหายแล้ว  ก็แหม  นาน ๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเช้าทุกวันนี่นา  ยุนโฮอยากสอนให้ผมเป็นคนรักสบายจนเกินตัวเองเองทำไมล่ะ

     

                และในขณะที่ผมกำลังตักข้าวต้มเข้าปากอยู่นั่นเอง  ประตูห้องผมก็ถูกเคาะรัว ๆ ในแบบที่ผมมั่นใจว่ามีอยู่คนเดียวบนโลกที่กล้าทำอะไรไม่เกรงใจเจ้าของห้องแบบนี้

     

                “ไงจุนซู”  ผมเอ่ยทักเพื่อนตรงหน้า  เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเชียว  “ทะเลาะกับยูชอนอีกแล้วเหรอ”

     

                “ยัง”  จุนซูพูดเหมือนยังไม่ทะเลาะตอนนี้  แต่อนาคตน่ะไม่แน่  เขาเดินเข้ามาในห้องผม  มองชามข้าวต้มแล้วก็ได้แต่ย่นหน้า  จุนซูเกลียดข้าวต้มและอาหารเหลวทุกชนิด  เขาบอกว่ามันทำให้อรรถรสแห่งความสุขในการเคี้ยวลดลง  “เห็นนายไม่ไปมอหลายวันแล้ว  ก็เลยแวะมาเยี่ยมหน่อย  ...ยังไม่หายอีกเหรอ”

     

                “ใกล้แล้วล่ะ  ขอบใจนะที่มาเยี่ยม”

     

                “ฉันไม่ได้มาเยี่ยมอย่างเดียว  ฉันมีข่าวมาบอกนายด้วย”

     

                “บอกฉัน?”

     

                “ก็นายชอบพี่ยุนโฮนี่”  ดูเหมือนจุนซูจะยังไม่เลิกยึดติดกับความเชื่อนี้  เขาหันกลับมามองผม  ยืนเท้าสะเอวคล้ายคุณแม่ที่เหลืออดในความไม่เอาไหนของลูกชายจอมเอื่อยเฉื่อย  “ฉันอุตส่าห์เห็นว่าเป็นนาย  ก็เลยยอมถอยออกมาให้  แต่ทำไมนายทำอย่างนี้ล่ะฮะแจจุง?”

     

                “ฉันทำอะไร”  นี่ยูชอนยังไม่แก้ความเข้าใจผิดนี้อีกเหรอเนี่ย  ไหนเขาบอกว่าจะเป็นคนพูดเองไงล่ะ  เชื่อลมปากนายไก่นั่นไม่ได้จริง ๆ ด้วย  “แถมฉันไม่ได้ชอบยุนโฮเสียหน่อย  นายคิดเองเออเองอีกแล้ว”

     

                “ไม่รู้ล่ะ  นายจะปากแข็งยังไงก็เรื่องของนาย  แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้เพื่อนของฉันต้องขึ้นคานแน่”  มันก็ซาบซึ้งดีหรอกนะที่จุนซูเลิกโกรธผมแล้ว  แถมยังเป็นห่วงเป็นใยอนาคตผมอีกต่างหาก  แต่ปัญหาก็คือผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับยุนโฮเสียหน่อย  แถมดูเหมือนว่าต่อให้ผมจะพยายามอธิบายยังไง  จุนซูก็จะมองแค่ว่าผมแก้ตัวซะด้วยสิ  “นายไม่ได้ไปมอตั้งหลายวัน  คงไม่รู้ล่ะสิว่ายัยซุนเอน่ะกำลังจะคาบพี่ยุนโฮไปกินแล้ว”

     

                “หา?  ซุนเอเพื่อนเราน่ะนะ?”  ซุนเอน่ะเรียนเก่งสุด ๆ ไปเลยล่ะฮะ  สอบกี่ทีก็ได้ท็อปตลอดเลย  แถมยังสวยอีกต่างหาก  ผมยังชอบมองเธอเลย  อาหารตาดี ๆ แบบนี้เป็นใครก็ชอบมองทั้งนั้นนี่นา  แต่ผมก็คิดกับเธอแค่เพื่อนคนนึงนะ  ออกแนวไม่สนิทเท่าไหร่ด้วยซ้ำ  เพราะถึงจะเรียนด้วยกัน  แต่ก็มีเพื่อนคนละกลุ่ม  จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่

     

                “จะซุนเอไหนอีกล่ะ  ก็ยัยนั่นนั่นแหละ”  จุนซูถอนใจยืดยาวแบบหน่ายใจสุดขีด  “ถึงจะอยู่คนละคณะ  แต่ก็ได้เป็นตัวแทนไปแข่งเลขพร้อมกันกับพี่ยุนโฮ  ถูกอาจารย์จับติวเหมือนกัน  ก็เลยมีช่องว่างให้ได้ใกล้ชิดกับพี่ยุนโฮของนายน่ะสิ”

     

                ผมอยากตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ไม่ใส่ใจว่าแล้วไง  แต่ความจริงก็คือผมได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก  พลันถ้อยคำในวันนั้นที่ยุนโฮพูดไม่จบก็วกกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง  คำพูดสั้น ๆ ที่ทำเอาผมคิดไม่ตกตลอดมา  แต่เพราะไม่สบายบวกกับเห็นแก่กินมากเกินไป  ผมก็เลยลืมมันไปเสียสนิท  ทั้งที่ความจริงแล้วมันยังรอผมอยู่ตรงนั้น  อยู่ตรงที่เดิมที่ยุนโฮเคยเกริ่นออกมาว่า

     

              “เพื่อนนาย...”

     

                หรือว่า... ยุนโฮจะหมายถึงซุนเอ?

     

                มันไม่แปลกหรอกที่ยุนโฮจะชอบซุนเอ  เพราะซุนเอเนื้อหอมมาก  ยิ่งเธอไม่มีแฟน  ผู้ชายมากหน้าหลายตาก็พากันเข้ามาจีบเธอไม่ขาดสายจนเป็นเหมือนเรื่องปกติของคณะเราไปแล้ว

     

                แต่ยุนโฮอย่างนั้นเหรอ

     

                ยุนโฮ... น่ะนะ

     

                ชอบซุนเอ...?

     

                “นายเข้าใจผิดแล้วล่ะมั้ง  ชอบตีความอะไรเอาเองอยู่แล้วนี่”  ผมทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน  แต่ก็ยังรู้สึกว่าเสียงของตัวเองมันแปร่งพิกล  แล้วมีหรือที่เพื่อนสนิทอย่างจุนซูจะดูไม่ออก

     

                “งั้นไปกับฉันสิ”  จุนซูเอ่ยเสียงแน่วแน่ราวกับว่าต่อให้ผมปฎิเสธ  เขาก็จะลากผมออกไปอยู่ดี  “พวกเขานัดติวเลขกันทุกเย็น  นายเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน  เย็นนี้ฉันจะมารับ”

     

                “แต่...”  ผมไม่แน่ใจว่าผมจะอยากไปเห็นยุนโฮอยู่กับซุนเอ

     

                “ไม่มีแต่”  จุนซูดักคอผม  “นายชอบพี่ยุนโฮ  ฉันยอมยกให้  แล้วไงล่ะ  พอเจอซุนเอนิดเดียวนายก็จะถอยแล้วงั้นเหรอไง  ป๊อดอะไรนักหนา  มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน”

     

                ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชอบยุนโฮ  นี่ผมควรแคะขี้หูให้จุนซูมั้ยนะ  เขาจะได้ได้ยินในสิ่งที่ผมเพียรบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเนี่ย  ผมอธิบายจนเหนื่อยแล้วด้วย  ขี้เกียจอีกต่างหาก  อีกใจก็ชักคิด ๆ แล้วล่ะว่าปล่อย ๆ ไปก็ได้  ในเมื่อจุนซูไม่คิดจะฟัง  งั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอย่างนั้นต่อไปก็แล้วกัน

     

                จุนซูย้ำอีกครั้งว่าจะมารับผมตอนสี่โมง  ก่อนจะกลับออกไปเพราะมีนัดไปเที่ยวกับแฟนตัวเองต่อ  ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่กลางห้องอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

     

                ผมหันไปมองข้าวต้มที่ยังกินไม่หมดอีกครั้ง  คนที่ซื้อมาให้ผมเขากำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ  เขาทำดีกับผม  ห่วงใยผม  ดูแลผม  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าตัวแทนของน้องชาย

     

                แล้วผมล่ะ

     

                ทำไมผมต้องเศร้าใจเมื่อคิดว่ามีเพียงผมฝ่ายเดียวที่รู้สึกดีด้วย

     

                ผมชักสงสัยแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับยุนโฮกันแน่  การเข้ามาของเขาทำให้ผมตื่นตระหนก  แปลกประหลาด  แล้วก็อบอุ่นในทุกการกระทำ  ทั้งหมดนี่จะหมายถึงพี่ชายได้รึเปล่า  เป็นไปได้ไหมว่าผมเองก็มองยุนโฮเป็นพี่ชายคนหนึ่งไม่ต่างกัน

     

                ส่วนลึกในใจผมรู้ดีว่าไม่ใช่

     

                ผมไม่ได้อยากมีพี่ชาย

     

                แล้ว... ผมอยากมีอะไรล่ะ

     

                จู่ ๆ ผมก็กลัวคำตอบของคำถามนี้ขึ้นมาเสียเฉย ๆ   ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ  รู้แค่ว่ามันอันตราย...  มันอันตรายที่จะปล่อยให้ความเคยชินนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

     

                ผมรู้จักยุนโฮได้แค่เดือนเดียว  แค่เดือนเดียวเท่านั้น

     

                ทำไมเขาถึงมีอิทธิพลต่อผมนัก

     

                ผมเริ่มไม่อยากไปซะแล้วสิ  ถึงจะมีจุนซูไปเป็นเพื่อน  แต่ถ้าให้ต้องไปเห็นยุนโฮอยู่กับซุนเอ  ผมก็คิดว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะไป  ผมไปแล้วได้อะไรงั้นเหรอ  มันจะทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปได้รึไง  คำตอบก็ยังคงเป็นคำว่า ไม่ อยู่ดี

     

                ผมตัดสินใจว่าจะไม่ไป

     

                ถ้าจุนซูมา  ผมจะบอกจุนซูว่าผมปวดหัว  คงออกจากห้องไม่ไหวแล้ว  (ถ้าไม่อ้างแบบนี้  หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ต้องลากผมไปแน่)  แล้วเพื่อน ๆ ในห้องนี้ล่ะครับ  คิดว่าผมทำถูกไหมที่ตัดสินใจอย่างนี้  หรือว่าทุกคนมีทางออกอื่นที่ดีกว่า  ผมควรจะไปหรือไม่ไปกันแน่  ถ้าไปแล้วผมจะได้อะไรล่ะ  ไปแล้วผมจะทำอะไรได้อย่างนั้นเหรอ  นี่ผมนึกไม่ออกจริง ๆ นะเนี่ย  ยังไงก็รบกวนช่วยผมหาทางออกอีกครั้งด้วยนะฮะ  เฮ้อ  ผมนี่ถนัดแต่สร้างปัญหาชะมัด

     

     

                แจจุง            

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×