ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] +:-= Because of Love =-:+ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #10 : 11 - 12 - 23 : คนเราต้องเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นสินะฮะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.5K
      4
      5 ม.ค. 55

     

     

     

     

    23  ธันวาคม  2011

     

     

                ตอนนี้ผมนอยด์มาก ๆ เลยล่ะ  เพราะงั้นภาษาอาจแปร่ง ๆ หรือไม่ก็วกวนไปบ้าง  แถมยังไม่ค่อยมีอารมณ์พิมพ์เท่าไหร่ด้วย  ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ  เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ เล่าแน่นอน  ดังนั้นต้องขอโทษทุกคนล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะฮะหากมันจะสั้น ๆ ไปบ้าง  แต่ผมจะพยายามพิมพ์ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

     

                สรุปก็คือ...  สุดท้ายวันนั้นผมก็ไปฮะ  คงเพราะเสียงของเพื่อน ๆ ในห้องนี้ส่วนใหญ่บอกให้ผมไปล่ะมั้ง  ไม่รู้สิ  ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วผมไปเพราะอะไรกันแน่  แต่ที่ทุกคนพูดก็มีเหตุผลนี่นา  ถ้าผมไป  ผมก็อาจจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นก็ได้  (แต่ชอบยุนโฮงั้นเหรอฮะ?  เอ่อ...  ผมไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าเสียงส่วนใหญ่จะบอกกันอย่างนี้  มันออกแนว...  ยังไงก็ไม่รู้แฮะ  ถึงผมจะไม่ได้ต่อต้านเรื่องแบบนี้  แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นจริง ๆ นะ)

     

                พวกเราไปถึงมหาลัยกันตอนเกือบ ๆ จะห้าโมงเย็น  แล้วจุนซูก็ตรงดิ่งไปที่ห้องเรียนที่ว่าทันที  มาถึงตอนนี้ผมเริ่มป๊อดอีกแล้วล่ะ  (ผมยอมรับฮะว่าผมป๊อด  แต่ผมไม่มีจุดมุ่งหมายในการเดินเข้าไปหายุนโฮจริง ๆ นี่นา)  ผมเริ่มถ่วงเวลา  แต่แหงล่ะที่จุนซูจะไม่สนใจ  สุดท้ายเราสองคนก็มาถึงหน้าห้องจนได้

     

                “พี่ยุนโฮ!  จุนซูพุ่งพรวดเข้าไปแบบไม่สนใจมารยาท  (ตามสไตล์เขาล่ะ)  แต่ปรากฏว่าพวกเขายังไม่ได้เริ่มติวกัน  เพราะอาจารย์ติดประชุมอยู่  ยุนโฮก็เลยถือโอกาสนี้ลงไปซื้อของกินข้างล่าง  เหลือซุนเอคนเดียวที่นั่งรออยู่ในห้อง  ใจนึงผมก็เสียดายนะที่ไม่ได้มาเห็นเองกับตา  แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งยังไงก็ไม่รู้ที่ไม่ต้องมาเห็นเต็มสองตา  มีกองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะทั้งสองตัว  และเมื่อดูจะความกว้างของโต๊ะแล้ว  ผมก็คิดว่าพวกเขาคงไม่ได้ใกล้ชิดติดกันเป็นตังเมจนหนวดยุนโฮทิ้งแก้มซุนเออย่างที่จุนซูพร่ำบอกผมตลอดระยะทางที่ขึ้นรถเมล์มาหรอก

     

                และผมก็กำลังจะเดินออกมาอยู่แล้วเชียว  แต่ถ้าเรื่องมันจบแค่ตอนนั้น  ผมก็คงไม่นอยด์มาจนถึงวันนี้แน่ ๆ   เพราะดูเหมือนจุนซูจะเคยแวะมาปะฉะดะที่นี่แล้วหนนึง  งวดนี้ซุนเอก็เลยพร้อมหาเรื่องกลับเต็มที่

     

                “ฉันถามพี่ยุนโฮแล้ว”  เธอเกริ่นประโยคขึ้นมา  แถมยังส่งยิ้มแปลก ๆ ให้ผมอีกต่างหาก  ผมหันไปมองจุนซูเป็นเชิงถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่  แต่จุนซูกลับไม่สนใจผมเลย  เขาเอาแต่เขม็งมองซุนเออย่างกับเกลียดขี้หน้ากันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  ปล่อยให้ซุนเอได้สานต่อประโยคของตัวเองจนจบ  และเป็นประโยคที่ทำเอาผมหน้าชาด้วย  “พี่ยุนโฮบอกว่าเขา - ไม่ - ได้ - เป็น - อะไร - กับแจจุง”

     

                ผมอยากถามจุนซูเดี๋ยวนั้นเลยว่าเขาเอาผมไปพูดอะไรไว้บ้าง  แต่จุนซูก็ยังปากไวกว่าผมอยู่ดี

     

                “พี่ยุนโฮเขาก็แค่ไม่อยากตกเป็นข่าวเท่านั้นแหละ”  ผมว่าผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วล่ะ  ผมพยายามจะลากจุนซูออกไปจากห้อง  แต่เขาหนักกว่าผม  ผมก็เลยลากออกไปไม่ไหว  บ้าชะมัด  “พี่ยุนโฮก็เป็นคนดัง  ส่วนแจจุงน่ะเหรอ  หึ  ถ้าไม่ติดว่าคนทั้งมหาลัยเขารู้กันว่าแจจุงเป็นโรคกลัวคนแปลกหน้าขึ้นสมองนะ  เธอก็เธอเถอะ  ได้แพ้แจจุงหลุดลุ่ยแน่”

     

                “พอเถอะจุนซู”  ผมพยายามปราม  ชักไม่ชอบแล้วเหมือนกันที่เขาทำอะไรไม่ปรึกษาผมก่อนอย่างนี้  จริงอยู่ที่จุนซูเป็นคนแรง  แต่ครั้งนี้เขาก็แรงเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ  ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับยุนโฮสักหน่อย  เขาไม่ควรเอามาป่าวประกาศผิด ๆ แบบนี้สิ  “เราออกไปคุยกันก่อนดีกว่า”

     

                “เดี๋ยวก่อนสิแจจุง”  กลับเป็นซุนเอที่รั้งผมไว้  ผมไม่ชอบสายตาของเธอที่กำลังมองผมเลย  รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของเธอผมก็ไม่ชอบด้วยเหมือนกัน  “นาย... ชอบพี่ยุนโฮเหรอ”

     

                “...เปล่า”  ผมตอบออกไปแค่นั้นเพื่อตัดบท

     

                “แต่ฉันชอบพี่เขา”  เป็นซุนเอที่ไม่ยอมจบ  แล้วเธอจะมาบอกผมทำไมล่ะ  ผมไม่ได้อยากรู้เสียหน่อยว่ามีใครบ้างที่ชอบยุนโฮ  “และถึงนายจะปากแข็งยังไง  แต่การที่นายมาหาพี่ยุนโฮถึงที่นี่แบบนี้...  ฉันก็เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นล่ะนะ”

     

                “ก็เรื่องของเธอสิ”  ผมใช้น้ำเสียงที่ปกติที่สุดในการตอบเธอกลับไป

     

                “แล้วก็ดูเหมือนพี่ยุนโฮเขาจะสนิทกับนายระดับหนึ่ง”

     

                “เธออยากพูดอะไรกันแน่”

     

                “ฉันอยากตัดไฟแต่ต้นลม”  อยู่ดี ๆ ซุนเอก็ถือขวดน้ำเดินมาหาผม  ตอนแรกผมนึกว่าจะโดนเธอสาดน้ำใส่แล้วซะอีก  แต่ผิดคาดเลยฮะ  เธอกลับค่อย ๆ ยกขวดน้ำเปล่าขึ้นเทใส่หัวตัวเองท่ามกลางความตกตะลึงของผมกับจุนซู

     

                “เป็นบ้าไปแล้วรึไง”  จุนซูเหมือนจะอ่านเกมออก  เขารีบดึงแขนผมหนีทันที  แต่ก็ช้ากว่าเสียงของซุนเอที่อยู่ดี ๆ ก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา  เล่นเอาผมตกใจหมดเลย  แต่ที่ผมตกใจยิ่งกว่าก็คือมีเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาทางห้องเราอย่างรวดเร็ว  พร้อมด้วยการปรากฏตัวของยุนโฮในวินาทีถัดมา

     

                “แจจุง?  ...ซุนเอ!!?  ยุนโฮมองหน้าผมงง ๆ แวบเดียว  ก่อนที่จะมองข้ามหัวผมไปหาซุนเอ  เขาก้าวเท้าผ่านผมไปหาเธอทันทีเพื่อถอดเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองให้ซุนเอได้คลุมทับไว้แทน  (วันนั้นซุนเอใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนครับ  มันเลยเห็นอะไรต่อมีอะไรได้ง่ายมาก)  “เกิดอะไรขึ้นน่ะ  ทำไมตัวเปียกอย่างนี้ล่ะ”

     

                “พะ... พี่ยุนโฮ”  ซุนเอรีบซบยุนโฮทันที  ผมว่าผมเริ่มหมั่นไส้เธอแล้วล่ะ  “คือเมื่อกี้แจจุงเขา...”

     

                “แจจุงไม่ได้ทำ!  จุนซูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย  ในขณะที่ผมยังได้แต่อ้าปากเหวอเพราะตามเกมนี้ไม่ทัน

     

                “มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอแจจุง”  สุดท้ายยุนโฮก็หันมาถามผม  แต่สายตาที่เขาใช้มองผมนี่สิ  มันเหมือนกับว่าเขาเชื่อซุนเอไปหมดแล้ว  และถ้าเขาเชื่อไปแล้วอย่างนี้  แล้วเขาจะยังมาถามผมอีกทำไมกัน  และที่สำคัญคือทำไมผมต้องเสียใจมากขนาดนี้ด้วย

     

                “พี่ยุนโฮจะบอกว่าฉันเอาน้ำราดตัวเองงั้นเหรอคะ!?  ซุนเอฉวยจังหวะที่ผมเอาแต่เงียบดึงความสนใจจากยุนโฮไปหาตัวเอง  และก็สำเร็จเสียด้วยสิ

     

                “พี่แค่อยากฟังความทั้งสองข้าง”

     

                “พี่ก็รู้ว่าแจจุงต้องพูดแก้ตัวให้ตัวเองอยู่แล้ว  แต่ฉันเป็นผู้เสียหายนะคะพี่!  ฉันเป็นคนที่โดนเอาน้ำสาดใส่นะคะ  แล้วในห้องนี้ก็มีกันอยู่แค่นี้  มันจะเหลือใครได้อีกล่ะที่แกล้งฉันน่ะ!

     

                ผมรู้สึกจุกไปหมดกับการเล่นละครของเธอ  นี่อาจเป็นมารยาหญิงอย่างที่ผมเคยได้ยินมาก็ได้  และอาจเพราะเพิ่งเคยเห็นจะ ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต  ผมก็เลยตั้งตัวไม่ทันอย่างแรง  มันทั้งเคว้งแล้วก็เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก  ผมอยากเถียงกลับไปว่าไม่จริง  มันไม่ใช่อย่างที่ซุนเอพูดซักอย่าง  แต่เพราะสายตาที่ยุนโฮมองมามันสามารถสะกดผมไว้ได้ทุกคำพูด  ความโกรธจางหายไป  แล้วถูกทดแทนด้วยความเศร้าที่ไร้เหตุผลแทน

     

                “ว่าไงล่ะแจจุง”  ยุนโฮยังรอคำตอบจากปากของผม  แต่ตอนนั้นผมเลือกที่จะไม่มองหน้าเขาแล้ว  มันไม่ใช่เพราะกลัวหนวดรุงรังนั่นอย่างทุกครั้ง  แต่เป็นเพราะผมกลัวว่าเขาจะเป็นความอ่อนแอของผม

     

                “ฉันไม่ได้ทำ”  ผมตอบออกไปได้แค่นั้น  ก่อนจะรีบเดินหนีออกมาจากห้องทันที  ผมไม่กล้ายืนอยู่ตรงนั้นต่อ  เพราะกลัวว่าตัวเองจะคุมให้นิ่งไม่ได้  ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนขี้โวยวายหรือโผงผางอยู่แล้ว  ผมชอบที่จะอยู่เงียบ ๆ ในมุมของตัวเองเสมอมา  มีครั้งนี้นี่แหละที่ผมถูกกดดันให้ต้องหนี...  ใช่  ผมอยากจะหนี  หนีไปให้ไกลจากทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง  ทั้งจุนซู  ซุนเอ  ...แล้วก็ยุนโฮ

     

                เขาทำให้ผมเศร้า  เศร้าที่เขาไม่อยู่ข้างผม  แต่เลือกที่จะอยู่ข้างซุนเอ

     

                มันคงไม่สำคัญแล้วล่ะว่าผมจะรู้สึกยังไงกับยุนโฮ

     

                เพราะอย่างไรเสีย... ผมกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน

     

                แล้วนับตั้งแต่วันนั้นมา  ผมก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบหน้ายุนโฮ  ผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วคุยเรื่องของซุนเออีกครั้ง  ผมเกลียดการถูกเค้น  ถูกถาม  ถูกกดดันให้ต้องตอบ  เพราะลึก ๆ แล้วผมรู้ดีว่ายุนโฮเลือกที่จะเชื่อใครกันแน่  ก็แน่ล่ะสิ  ในเมื่อมีในห้องนั้นมีแค่ผม  จุนซู  แล้วก็ซุนเอ  เธอก็ย่อมพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น  เพราะยุนโฮต้องมองว่าจุนซูจะเข้าข้างผมในฐานะเพื่อนอยู่แล้ว  เพราะแม้แต่ตัวผมเอง...  ถ้าผมเป็นยุนโฮ  ผมก็คงเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนั่นแหละ  ผมคงเชื่อการแสดงของซุนเอ  ดังนั้นผมไม่โทษเขาหรอก...  ผมไม่โทษยุนโฮหรอกในเรื่องนี้...  แต่ถึงอย่างนั้น  ผมก็ยังไม่อยากเจอหน้าเขาอยู่ดี

     

                มีหลายครั้งที่ยุนโฮเคาะประตูห้องผม  แต่ผมก็เลือกที่จะทำเป็นไม่อยู่  และไม่ว่ายุนโฮจะรู้ความจริงนี้หรือไม่  สุดท้ายแล้วเขาก็จะล่าถอยไปเพราะไม่อยากสร้างเสียงรบกวนห้องอื่น ๆ

     

                ยุนโฮยังคงติดติวทุกเย็น  ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีของผม  เพราะทำให้ผมเลี่ยงที่จะพบเจอเขาได้ง่ายขึ้นไปอีก  แต่ถึงอย่างนั้นทุกเช้า  ยุนโฮก็จะยังหิ้วถุงข้าวต้มและโพสท์อิทมารบกวนประตูห้องผมอยู่ดี  ทั้ง ๆ ที่ผมอุตส่าห์เขียนโน้ตแปะไปว่าหายแล้ว  แต่เขากลับเขียนตอบกลับมาว่าไม่เชื่อ  ยุนโฮต้องกำลังแกล้งผมแน่ ๆ

     

                และจนถึงตอนนี้ผมก็ยังยึดมั่นที่จะใช้ความเงียบสยบทุกความเคลื่อนไหว  จริงอยู่ที่มันไม่ถูก  ผมรู้ดีว่ามันไม่ถูกที่ทำตัวขี้ขลาดอย่างนี้  แต่ว่าผมไม่อยากเจอหน้ายุนโฮนี่นา  แล้วพอปล่อยไปหลาย ๆ วันเข้า  กำแพงของผมก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนทลายไม่ลงแทนแล้ว  เหมือนกับว่าระยะห่างที่ผมจงใจขีดไว้กำลังทำให้ผมห่างจากยุนโฮเข้าจริง ๆ   ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมเริ่มกังวล  บางทีผมไม่น่าหนีตั้งแต่แรก  เพราะมันเหมือนเป็นการยอมรับทางอ้อมว่าตัวเองทำผิด  แต่มาคิดได้เมื่อสายไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร  ยังไงผมก็หนีมาตั้งหลายวันขนาดนี้แล้ว  ผมคงหมดโอกาสที่จะแก้ตัวแล้วล่ะมั้งฮะ  แล้วยิ่งช่วงที่ผมไม่ยอมเจอหน้าเขาอย่างนี้  ซุนเอคงใส่ไฟผมมันปากเลยเชียว  ป่านนี้ยุนโฮอาจจะมองผมเป็นตัวร้ายนิสัยเสียไปแล้วก็ได้ 

     

                สุดท้ายผมก็เลยมานั่งจิตตกเสียใจอยู่คนเดียว  ไม่อยากรับโทรศัพท์ใครทั้งนั้น  ไม่อยากออกไปไหนด้วย  อาการไข้ที่คล้ายว่าจะหายดีก็กลับมาซ้ำเติมกันอีก  สงสัยผมจะโชคร้ายต้อนรับวันคริสต์มาสเป็นคนแรกของโลกแน่ ๆ เลยล่ะครับ

     

                ให้ตายสิ...  ผมเกลียดตัวเองตอนนี้ชะมัด 

     

     

                แจจุง            

     

     

     

     

     

     

     

     

                เนื่องจากอาซินเริ่มขี้เกียจ (ตามประสาอาซินสไตล์) ก็เลยเริ่มอยากทำเกมโอเวอร์ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ  (ออกแนวเลวอย่างเปิดเผย)   แต่เพราะอาซินเป็นคนมีจริยธรรมในระดับหนึ่ง (???)   เพราะงั้นอาซินจะไม่ตัดจบด้วยตัวเอง  แต่จะพยายามสุมปัญหาให้แจจวงของทุกคนกลุ้มใจมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนทุกคนเล่นโอเวอร์ไปเอง...

     

                แผนเด็ดใช่มั้ยล่า~

     

                ก็มาดูกันเน้อ  ว่าคนอ่านจะดึงความกล้าของแจจุงออกมาได้หรือไม่  แล้วตาหนวดของชาวเราจะมีบทบาทมากกว่านี้รึเปล่า  และชางมิน (ของอาซิน) ที่ทุกคนถามหา  จะได้ออกมาในบทบาทแบบไหนกันหนอ

     

                อาซินจะพยายามกลับมาอัพให้ถี่กว่านี้ค่ะ  ช่วงนี้ติดขี้เกียจจริง ๆ   ยอมรับความผิดแต่โดยดี  ขอโทษค่ะ  ขอโทษที่อาซินเป็นอาซิน  คือแบบมันมีเรื่องให้คิดให้ทำมากมาย  และก็ตัดสินใจไม่ได้ด้วยว่าจะปรานีแจจุงถึงขั้นไหนดี (??)

     

                ปล. รักคนอ่าน

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×