ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] +:-= Because of Love =-:+ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : 11 - 12 - 03 : น่าจะโอเคแล้ว (รึเปล่า)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 54


     

     

     

     

    03  ธันวาคม  2011

     

     

                วันนี้เป็นวันเสาร์ใช่ไหมครับ  ผมก็เลยไม่มีเรียน  ต้องอยู่ห้องทั้งวัน  (เพื่อประหยัดตังค์)  น่าเบื่อเอามาก ๆ เลยล่ะ  แถมช่วงนี้ก็รู้สึกนอยด์ ๆ ทั้งวันอีกต่างหาก

     

                พอไม่รู้จะทำอะไร  ผมก็เลยลุกขึ้นมาทำกับข้าวกินครับ  (เพื่อความประหยัดอีกเช่นกัน)  ค้น ๆ ในตู้เย็น  เจอเนื้อหมูกลิ่นตุ ๆ กับแครอทเหี่ยว ๆ ก็เอาเลยสิ  ของใกล้หมดอายุแล้วทั้งที  ผมก็เลยจัดหนักใส่เครื่องไม่ยั้ง  ผัดไปผัดมา  ออกมาเป็นข้าวผัดกลิ่นหอม ๆ หน้าตาหน้ากินใช่ย่อย  เอ...  สงสัยผมจะหลงตัวเอง  แต่ก็นั่นแหละฮะ  คงเพราะเคยอยู่กับรูมเมทสองคน  ข้าวผัดของผมวันนี้ก็เลยเยอะเหมือนกินกันสองคนซะอย่างนั้นน่ะ

     

                แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงคำแนะนำของทุกคนในห้องนี้ขึ้นมาได้  ผมน่าจะแบ่งไปให้ยุนโฮกินบ้างเนอะ  เพราะดูแล้วเขาคงทำอาหารไม่เป็น  และถ้ากินแต่มาม่าบ่อย ๆ มันก็คงไม่ดี  พอคิดได้อย่างนั้นปุ๊บ  ผมก็เลยส่องตาแมวที่ประตูดู  (ใครบอกว่าผมโรคจิตกัน  ผมแค่รอบคอบต่างหาก)  นั่นไงล่ะ  ยุนโฮนั่งเล่นโน้ตบุ๊กของเขาอยู่จริง ๆ ด้วย

     

                อันที่จริงตั้งแต่วันพฤหัสที่ผ่านมา  ผมก็ยังไม่ได้คุยอะไรกับเขาอีกเลยนะ  (เขาทำตามคำพูดของตัวเองจริง ๆ ฮะ  เพราะยุนโฮเลิกถามคำถามผมทุกอย่างเลยล่ะ  เวลาเราเจอกันหน้าประตู  ยุนโฮจะทำเหมือนผมไม่มีตัวตนแทน  ซึ่งผมว่ามันน่าอึดอัดกว่าการระดมยิงคำถามใส่ผมอีกนะ)  พอคิดไปคิดมา  ผมก็ยังติดคำขอโทษยุนโฮอยู่จริง ๆ ด้วยแฮะ  งั้นข้าวผัดจานพูน ๆ นี่ถือเป็นของไถ่โทษก็แล้วกัน  ผมจึงจัดแจงหาจานใบที่สวยที่สุดมาใส่ข้าวเที่ยงให้ยุนโฮ  แล้วก็เปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเขาฮะ

     

                ตอนแรกยุนโฮก็ทำเหมือนสองวันที่ผ่านมา  คือก้มหน้าก้มตาเล่นโน้ตบุ๊กของเขาไป  ผมยืนอยู่ตรงนั้นหลายวินาทีเลยล่ะเพื่อปรับสายตาให้ชินกับหนวดของเขา  อืมมม  ถ้ามองในมุมของเพื่อนร่วมหอที่ห่วงใยผม  ยุนโฮเขาก็ให้อารมณ์เหมือนหมีแก่ ๆ ที่ติสต์แตกตัวนึงนะฮะ  พอผมคิดอย่างนั้นก็เริ่มรู้สึกว่ายุนโฮไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยกลัวแล้วล่ะ

     

                “เอ่อ... ยุนโฮ”  แน่นอนว่าผมต้องเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน  “กินข้าวเที่ยงด้วยกันมั้ย”

     

                เขาเงยหน้าขึ้นมองผม  นัยน์ตาดุ ๆ ยังเบิกโตเหมือนแปลกใจที่เห็นผมเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อน  โอเค  ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ผมระแวงเขา  แต่เขาก็ควรจะเก็บอาการบ้างอะไรบ้างสิ  ไม่ใช่ทำเหมือนผมเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ

     

                “พอดี... ฉัน... ทำมาเยอะเกินไปน่ะ  กินคนเดียวไม่หมด  แล้ว... นายก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยใช่ไหมล่ะ  งั้นเรามานั่งกินด้วยกันดีมั้ย”  ผมพูดไปก็เอานิ้วเกาแก้มตัวเองไป  สงสัยจะแพ้อากาศหน้าห้องขึ้นมากะทันหัน  “แต่ถ้านายไม่อยากก็ไม่เป็นไรนะ  ฉันแค่....”

     

                “เอามาสิ”  ยุนโฮพูดตัดบทผมซะงั้นน่ะ  เขายังเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทอย่างเคยจริง ๆ นั่นแหละ  เขาเพยิบหน้าไปที่มือซ้ายของผม  ซึ่งยังคงถือจานข้าวสำหรับเขาอยู่  “ยังไงก็ยกมาแล้วนี่”

     

                นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน  อาการนอยด์ของผมหายไปปลิดทิ้งแล้วเริ่มมีน้ำโหกับท่าทีของเขาแทน  ผมไม่ใช่เบ๊เขาเสียหน่อย  แล้วทำไมต้องใช้เสียงเย็นชาแบบนั้นด้วย  ก็รู้แล้วไงว่าที่ผ่านมาผมอาจเป็นฝ่ายผิด  และก็ยังติดคำขอโทษเขาอยู่  แต่เขาก็ควรจะเป็นมิตรกับผมเหมือนที่เขาปฏิบัติกับน้องของเขาสิ

     

                “นี่ยุนโฮ”  ผมต้องให้รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร  ถึงเขาจะดูน่ากลัว  แต่ถ้ามองในมุมหมี ๆ   ยุนโฮก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไหร่แล้ว  ผมยืนกอดอก  จ้องข้าวคำแรกที่กำลังจะเข้าปากเขาแต่ก็ถูกเสียงของผมขัดไว้

     

                “อะไร”  ดูสิ  ดูยุนโฮตอบผม  เขารับข้าวผมไป  แต่ยังไม่ทันขอบคุณผมสักคำก็จะกินซะแล้ว

     

                “ฉันนั่งกินด้วยได้มั้ย”  ...ถึงผมจะหายกลัวเขาแล้ว  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกล้าตีฝีปากกับเขานี่นา

     

                สุดท้ายเราสองคนก็นั่งหน้าประตูห้องตัวเองแล้วต่างคนต่างกิน  นี่ถ้ามีใครเดินผ่านมาเห็นเข้าคงเป็นภาพที่พิลึกน่าดู  ห้องตัวเองมีไม่กิน  มานั่งกินกันหน้าห้องสองคน

     

                พวกเรานั่งกินกันเงียบ ๆ โดยปราศจากเสียงคุย  เอาล่ะ  มันคงถึงเวลาที่ผมต้องเคลียร์มลทินให้ตัวเองแล้ว  ผมเขี่ยข้าวในจานเป็นครั้งที่สามสิบหก  ก่อนจะกลั้นใจพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ข้างในมาตลอดสองวันออกไปในท้ายที่สุด

     

                “ฉันขอโทษ”  ผมไม่กล้ามองหน้าเขาเลยล่ะ  ผมก็เลยเขี่ยข้าวเป็นครั้งที่สามสิบเจ็ดแทน  “ขอโทษนะถ้าฉันพูดอะไรไม่ดีออกไป”

     

                ยุนโฮเงียบไปนานสองนาน  ก่อนจะตอบออกมาแค่ว่า  “ไม่เป็นไร”

     

                “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้นายคิดถึงน้องนายนะ”

     

                “อืม  ฉันเองก็ควรจะบอกนายตั้งแต่แรกเหมือนกัน  ถือว่าเราผิดทั้งคู่ก็แล้วกัน”  เสียงของยุนโฮดูอ่อนลง  และเรื่องค้างคาในใจผมก็ดูจะจางลงด้วยเหมือนกัน  ผมถือว่าเราทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ในระดับหนึ่งแล้วก็แล้วกัน

     

                ผมค่อย ๆ เหลือบตามองยุนโฮ  เห็นเขากำลังจ้องผมอยู่  แต่คราวนี้ผมไม่กลัวเขาแล้วล่ะ

     

                “ฉันคิดถึงเขาตลอดเวลาตั้งแต่วันที่เขาหายไป  แล้วพอมาเจอนาย...  ฉันก็รู้สึกเหมือนได้โอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่สอง”  ยุนโฮเกาหัวยุ่ง ๆ ของเขาให้ยิ่งยุ่งกว่าเดิม  หวังว่าเขาคงไม่มีรังแคนะ  เพราะนั่นอาจทำให้ข้าวผัดฝีมือผมเปลี่ยนรสได้  นี่เขายังไม่บอกผมเลยว่าฝีมือผมอร่อยถูกปากเขารึเปล่า  “แต่คงเพราะฉันเป็นคนพูดไม่เก่ง  ก็เลยไม่รู้จะเริ่มรู้จักนายยังไงดี  คือ...  ฉันไม่รู้จะคุยกับนายยังไงไม่ให้นายตกใจหน้าฉันน่ะ”

     

                ผมอยากบอกเขามาก ๆ เลยว่าวิธีที่เขาทำมาทั้งหมดนั่นนะ  คือการทำให้ผมตกใจที่สุดแล้ว  แต่ก็ยังดีนะที่เขารู้จักความน่ากลัวของตัวเองอยู่บ้าง

     

                “นี่...  เล่าเรื่องน้องของนายให้ฉันฟังหน่อยสิ”  ผมเริ่มอยากรู้แล้วสิว่าคนที่เหมือนผมจะเป็นคนยังไง  คนแบบไหนนะที่ทำให้ตาดุ ๆ ของยุนโฮอ่อนลงได้มากขนาดนี้  “เขากับฉัน... เราสองคนเหมือนกันที่ตรงไหน”

     

                แล้วหลังจากนั้นยุนโฮก็เอาแต่เล่าถึงน้องชายที่หายตัวไปของเขา  เสียงทุ้ม ๆ ของเขาบอกเล่าอดีตมากมายให้ผมฟัง  แต่ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง  ดูนิสัยไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะ  แต่เพราะผมเอาแต่จ้องรอยยิ้มของเขาต่างหาก  อันที่จริงถ้ายุนโฮยิ้มให้ผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน  บางทีผมก็อาจไม่รู้สึกอึดอัดแบบที่แล้วมาก็ได้นะ  เพราะแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน  แต่ผมก็ยังต้องยอมรับเลยล่ะว่ารอยยิ้มของยุนโฮเป็นอะไรที่มีเสน่ห์มาก  นี่ถ้าสาวที่ไหนมาเห็นเขายิ้มเข้าล่ะก็  คงได้ระทวยกันแหง ๆ   แต่ก็คงยากล่ะเนอะ  เพราะยุนโฮเป็นเสือยิ้มยากนี่นา  ขนาดผมที่อยู่ห้องตรงข้ามเขา  เห็นเขาทุกวัน  ผมก็เพิ่งได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นครั้งแรกนี่เอง

     

                อืมมม  ผมว่าเราทั้งคู่เริ่มรู้จักกันมากขึ้นแล้วล่ะ  หรือพูดอีกแง่ก็คือผมรู้จักยุนโฮเพิ่มขึ้นอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า  แต่นั่นก็เป็นก้าวแรกที่ดีของการผูกมิตรกันใช่ไหมฮะ  แล้วผมจะหาทางสนิทกับเขาให้มากขึ้นก็แล้วกัน  (แม้จะยังไม่รู้วิธีการเลยก็ตาม)  แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้า  ผมจะมาบอกเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟังต่อนะครับ

     

                ปล.  ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเขียนไดอารี่ยังไงก็ไม่รู้แฮะ  ชักเขินซะแล้วสิ

     

     

                แจจุง            

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×