ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] +:-= Because of Love =-:+ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #25 : 12 - 02 - 14 : ผมเกลียดวันวาเลนไทน์

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 55


     

     

     

     

    14  กุมภาพันธ์  2012

     

     

                วาเลนไทน์~ วาเลนไทน์..... ผมเกลียดวันวาเลนไทน์  T_____T

     

                อย่างที่บอกฮะว่าวันนี้ผมไปช่วยยุนโฮขายของที่มหาลัยมา  แต่... แต่รู้มั้ย... แต่รู้มั้ยว่าปีหน้าผมจะไม่ไปอีกแล้ว!

     

                ยุนโฮโกหก  ยุนโฮขี้โกง  ยุนโฮขี้ฮก  นายยุนโฮเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของการกลับกลอกเลยครับ  เพราะอะไรน่ะเหรอ  เพราะเขาบอกว่าจะให้ผมไปขายของ  แต่เขาก็ให้ผมนั่งเฉย ๆ !  และเพราะยุนโฮบอกว่าจะให้ผมไปเป็นแมวกวัก  แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทำเหมือนผมเป็นลูกหมาของเขาอยู่วันยันค่ำ!  แถมที่สำคัญ....  แถมที่สำคัญ.....  ผมไม่อยากเล่าอีกแล้วอ่า

     

                เฮ้อ  ลำบากใจเวลาพิมพ์จัง  สัญญากันแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่ล้อ  ห้ามล้อผมนะ  นิดเดียวก็ห้าม  เพราะถ้าเรื่องบนเตียงเมื่อวานยุนโฮทำผมหัวใจวายไปสิบหน  เรื่องในมหาวิทยาลัยวันนี้ก็ทำผมต้องปั๊มหัวใจสักร้อยรอบได้

     

                เอาล่ะ  ผมจะเข้าเรื่องล่ะนะ

     

                มันเริ่มจากที่ผมซ้อนท้ายมอไซค์ของยุนโฮไปมหาวิทยาลัย  และก็แน่นอน  การปรากฎตัวของเขาเรียกเสียงฮือฮาได้ในพริบตา  ยุนโฮหายหน้าหายตาไปเป็นสัปดาห์นี่เนอะ  คงมีเพื่อนคิดถึงเขาเยอะเลย  แต่ก็นั่นแหละ  นายคนโลกส่วนตัวสูงก็ไม่สนใจใครหน้าไหน  พอหาที่จอดรถได้ปุ๊บ  เขาก็ลากผมเดินไปที่คณะตัวเองทันที  ผมสาบานว่าพยายามแกะมือยุนโฮออกแล้ว  แต่นายหมีแข็งแรงกว่าผมอ่า  ผมล่ะอายจริง ๆ   ตลอดทางที่เดินมีแต่คนหันมองด้วย

     

                แล้วพอมาถึงคณะยุนโฮ  ก็ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของเขาจะตั้งซุ้มกันเสร็จแล้วครับ  ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองมาสายก็ตอนนี้นี่แหละ  แต่เหมือนคนจงใจสายอย่างยุนโฮจะไม่รู้สึกผิดเอาซะเลย  เพราะพอผมหันไปค้อนใส่เขา  ยุนโฮก็ทำท่าจะดีดหน้าผากผมซะงั้นน่ะ  ทำไมผมถึงทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยนะ

     

                “อ้าว  มาแล้วเหรอ  มา ๆ ๆ”  รุ่นพี่คนหนึ่ง (เพื่อนยุนโฮนั่นแหละ) โบกมือทักพวกเราสองคน  “นี่ถ้าแกมาสายกว่านี้อีกสักชั่วโมงนะไอ้ยุนโฮ  ฉันคงนึกว่าเลิกกับแจจุงไปแล้วจริง ๆ ว่ะ”

     

                “ปากหมา”  จนถึงตอนนี้ยุนโฮก็ยังไม่ปล่อยมือผมเลย  และท่ามกลางสายตาของเพื่อน ๆ ในคณะเขา  คงไม่ต้องให้ผมบรรยายความน่าอายหรอกใช่ไหมฮะ  และเพราะแกะมือยุนโฮทิ้งไม่ได้สักที  ผมก็เลยตัดสินใจหลบหลังยุนโฮเป็นการหนีปัญหา  ผมไม่รู้ผมไม่สน  ผมมองอะไรไม่เห็นทั้งน้านนนน

     

                “อุ๊ย ๆ  มีเขินด้วยวุ้ย”

     

                “วี๊ดวิ้ว~  อย่าหวงตัวเองอย่างนั้นสิครับ”

     

                “พามาเปิดตัวสยบข่าวลือเลยเหรอวะ  โคตรแมนอ่ะเพื่อนกู”

     

                “โถ่ ๆ ๆ  น้องแจจุง  เลิกกับยุนโฮแล้วมาคบกับพี่แทนดีกว่า”

     

                “ไอ้บ้า  ไม่รู้เหรอว่าฉันต่อคิวต่อจากยุนโฮมันแล้ว”

               

                และอีกนานาประการที่ผมแทบระเบิดตัวเองตาย...

     

                ยุนโฮก็เลยจัดการด่าเพื่อนตัวเองด้วยคำหยาบคายที่ผมไม่สามารถพิมพ์ลงมาในนี้ได้  แต่ก็ตามประสาเพื่อนกันแหละ  เพราะพวกเขาต่างก็หัวเราะสะใจก่อนจะวิ่งหลบส้นเท้ายุนโฮเป็นการใหญ่  จนสุดท้ายความสงบสุขก็กลับมาตามเดิม  แต่ก็แน่นอน... ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว

     

                “ยุนโฮ  ฉันอยากกลับอ่ะ”  แค่ก้าวเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ผมก็โดนล้อซะขนาดนี้  แล้วถ้าต้องอยู่ถึงตอนเย็น  ผมต้องทำฮาราคีรีตัวเองอย่างแน่นอน

     

                “ไม่ได้  ฉันจองตัวนายแล้วไง”

     

                “แต่... แต่มัน.....”

     

                “จองทั้งวันด้วย”  นี่เขาสนใจเสียงผมบ้างมั้ยเนี่ย!

     

                “ยุนโฮอ่า”  ผมมองเขาปริบ ๆ   รู้สึกว่าเวลาทำอย่างนี้แล้วยุนโฮจะใจอ่อนง่ายขึ้นฮะ  “เพื่อนนายชอบล้อฉันอ่ะ”

     

                “แล้วจะอายทำไม”  ดูคนหน้าด้านติสต์แตกพูดสิครับ  ผมไม่ใช่ยุนโฮนะ  จะได้ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอ่ะ  “เขาจะพูดอะไรก็อย่าไปสน  เรื่องจริงซะอย่าง”

     

                “จริง!?  อะไรจริงของนายน่ะยุนโฮ!?  ผมอยากบีบคอเขาชะมัด  พูดอะไรออกมาได้หน้าด้านมาก ๆ  จนคิ้วสักเส้นก็ยังไม่กระตุกอ่ะ

     

                “ก็นายมากับฉัน”

     

                “ไม่  ฉันหมายถึงล้อเรื่องที่เราเป็นแฟนกันต่างหากเล่า”

     

                “แล้วมันต่างกันตรงไหน”  ยุนโฮรวววววววว!!  ผมอยากจับเขามาผ่ากะโหลกวิจัยสมองมาก ๆ  คือถึงจะดีใจก็เถอะ  แต่...  แต่ว่า.....

     

                “ต่างสิ  ก็นายยังไม่ได้ขอฉันเลยนี่...!  อุ๊บ!!  ผมปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน  แล้วอะไรดลใจให้ผมพูดออกไปเนี่ย  มันเหมือนผมอยากเป็นแฟนยุนโฮไปเลยอ่ะ  ไม่นะ  ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นน่ะ  อ๊าก!  ผมอยากตีปากตัวเอง  แต่อยากตบปากยุนโฮมากกว่าด้วย  ทำไมเขาต้องมาทำให้ผมใจเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ  ไม่เอาแล้ว  ผมไม่อยู่ที่นี่แล้ว

     

                “จะไปไหน”

     

                “กลับ!

     

                “นี่แจจุง”

     

                “อะไรอีกเล่า!?

     

                “ฉัน... ต้องขอก่อนงั้นเหรอ”

     

                มันจะมีอะไรน่าบัดซบไปกว่านี้อีกไหมฮะ  คือผมตอบยุนโฮไม่ถูกเลยทีเดียว  คือตามหลักแล้วเนี่ย  คนมันจะคบกันอ่ะ  เค้าก็ต้องขอกันก่อนใช่ไหม  แต่ถ้าผมตอบออกไปว่าใช่  มันก็หมายความว่าผมอยากให้ยุนโฮขอผมอ่ะดิ  แต่ถ้าผมตอบว่าไม่ใช่  มันก็หมายความว่าที่ผ่านมาเราเป็นแฟนกันอยู่แล้วงั้นเหรอ  โอ๊ย  นี่ผมงงไปหมดแล้วนะเนี่ย

     

                ผมมองหน้ายุนโฮเหมือนเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่กำลังปล่อยตด  คืออายแทน  อายมาก  เขินมาก  เขินสุด ๆ   ยิ่งยุนโฮจ้องผมด้วยสายตาที่สามารถละลายผมได้ด้วยแล้ว  ผมก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออกไปเลยล่ะฮะ

     

                “ระ... รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา”  เสียงผมสั่นมาก

     

                “นายยังไม่ให้คำตอบฉันเลย”  แต่นายคนนี้ยังนิ่งเป็นโน้ตคีย์เดียวอ่ะ

     

                “ก็มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอไง  คนจะคบกันเขาก็ต้องขอกันก่อนสิ  ไม่งั้นจะเป็นแฟนกันได้ไง  บ้า!

     

                “งั้น... ฉันต้องขอนายก่อนใช่มั้ย”

     

                โอยยยย  ไม่ไหวแล้ว  นายชิมชางมินนั่นอยู่ไหน  มากระชากวิญญาณผมออกจากร่างด่วน ๆ เลย  นี่ผมจะเก็บสติไว้กับตัวไม่ไหวแล้วนะ  หน้าผมนี่แดงไปหมด  ร้อนผ่าวตัดกับอากาศหนาว ๆ ของเดือนกุมภาพันธ์ชะมัด  นายยุนโฮคนนี้เป็นฮีตเตอร์เหรอไง  ถึงได้ทำให้ผมร้อนอบอ้าวได้ขนาดนี้น่ะ

     

                พวกเรายืนจ้องหน้ากันนานมาก  ก็ยุนโฮไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยอ่ะ  เขาเอาแต่จ้อง ๆ ๆ ๆ แล้วก็จ้องผมอยู่อย่างนั้น  นายคนนี้ต้องสืบสายเลือดมาจากเมดูซ่าแน่ ๆ   ถึงได้ทำให้ผมแข็งเป็นหินจนขยับไปไหนไม่ได้เนี่ย  ถ้ามีอะไรทำไมไม่พูดออกมาสักทีเล่าชองยุนโฮ!  รู้มั้ยว่าคนรอฟังหัวใจจะวายตายอยู่รอมร่อแล้วเนี่ย  มันลุ้นนะมันลุ้น  ผมลุ้นจนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้วครับ

     

                “ทำไม... ทำไมต้องขอฉันด้วยล่ะ”  สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  นี่เหมือนผมอ่อยเขามั้ยเนี่ย  ไม่นะ  ผมไม่ได้เปิดทางนะ  แต่ผมแค่ไม่อยากยืนเป็นเป้าสายตานานไปกว่านี้แล้วต่างหาก

     

                “ก็.....”

     

                “เฮ้ย  หยุดสวีทแล้วไปช่วยขายเด๊ะ!

     

                แต่แล้วเพื่อนของยุนโฮก็กระโดดเข้ามาทำลายบรรยากาศลุ้น ๆ หวิว ๆ อย่างรวดเร็ว  นี่ผมควรจะโล่งอกหรือเสียดายดีล่ะเนี่ย  ยุนโฮมองเพื่อนตัวเองอย่างรำคาญ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย  นอกจากลากผมไปที่ซุ้มดอกกุหลาบที่จัดเรียงอย่างสวยงาม  มีแบบเป็นดอกเดี่ยว ๆ แล้วก็เป็นช่อดอกไม้คละไซส์กันไปครับ  พวกตุ๊กตาก็มีนะ  แต่เหมือนจุดขายจะเป็นดอกกุหลาบอยู่ดีนั่นแหละ  เพราะโต๊ะที่จัดวางยาวมาก ๆ ๆ  ต้องมีคนขายนั่งประจำที่กันอยู่เกือบสิบคนเลยครับ  ก็วันนี้มันวันวาเลนไทน์นี่เนอะ

     

                ยุนโฮจับผมนั่งอยู่หลังกองดอกไม้ที่อยู่เกือบสุดโต๊ะ  อันที่จริงก็คือเป็นปลายแถวแล้วนั่นแหละ  ส่วนเขาก็นั่งลงข้าง ๆ อย่างไม่พูดไม่จา  ผมก็ไม่อยากวกเข้าประเด็นนั้นต่อเหมือนกัน  ขอให้หัวใจได้มีเวลาพักบ้างเถอะ  เพราะงั้นพวกเราก็เลยต่างคนต่างเงียบครับ  มีลูกค้าเข้ามาประปราย  เพราะส่วนใหญ่มักเดินไปกลาง ๆ ซุ้มกันมากกว่า  สงสัยยุนโฮจะเดาหลักการตลาดออก  ก็เลยลากผมมานั่งซะมุมหลืบแบบนี้  ขี้เกียจขายอีกแหง ๆ

     

                แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีลูกค้ามาซื้อที่แถวผมเลยนะ  มีบางคนเข้ามายิ้มให้ผมแล้วถามราคาเหมือนกัน  แต่ยุนโฮก็ชอบพูดแทรกผมทุกที  นายคนไม่มีมารยาท  แถมยังไม่ยอมให้ผมแตะต้องดอกกุหลาบใด ๆ อีกต่างหาก  ตกลงว่ายุนโฮก็กลายเป็นคนขายอยู่คนเดียว  ส่วนผม... แม้แต่หน้าที่แมวกวักก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำ  อุตส่าห์เสนอไอเดียว่าจะเอากุหลาบไปยืนขายหน้ามหาลัยให้  ยุนโฮก็บอกว่าผมทำเกินหน้าที่ซะงั้นอ่ะ  นี่ผมทำเกินตรงไหนเนี่ย  ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ  แล้วอย่างนี้ผมจะมาทำไมล่ะ  มานั่งเฉย ๆ เป็นเป้าสายตาของคนที่เดินไปมาเนี่ยนะ  น่าอายจะตาย  ผมไม่ใช่ตุ๊กตาตั้งโชว์เสียหน่อย   ชิ ๆ ๆ   พอไม่รู้จะอยู่ไปทำไม  แถมยุนโฮก็ไม่ให้กลับอีก  ผมก็เลยได้แต่นั่งเขี่ยใบไม้เล่น  (เขาไม่ให้ผมแตะดอกกุหลาบเลยนี่นา)

     

                แต่ยุนโฮก็เอาดอกกุหลาบสีแดงดอกเบอเริ่มมายั่วผมอีกแน่ะ  เขาเอามาแกว่ง ๆ ตรงหน้าผม  พอผมทำเป็นไม่สน  นายคนนี้ก็เอามาจิ้ม ๆ แก้มผมต่ออีก  แกล้งกันจัง!

     

                “รู้แล้วน่าว่าไม่ให้ยุ่ง”  ผมทำหน้าปลาปักเป้าใส่เขา

     

                “ดอกนี้เป็นกรณียกเว้น  นายแตะได้” 

     

                “จริงเหรอ”

     

                “อืม  เพราะไม่ได้มีไว้ขาย”

     

                “อ้าว”

     

                “ฉันซื้อให้”

     

                .........................................................................

     

                .............................................

     

                .......................

               

                ผมยิ้มค้างเลยครับ  สมองไม่ทำงานอีกแล้ว  เพราะปากติสต์ ๆ ของยุนโฮนั่นแหละที่ทำร้ายผม  เพราะการกระทำเน้น ๆ ไม่แคร์โลกนั่นแหละที่ทำผมเขินจนพูดอะไรไม่ออก!

     

                แถมเผลอรับไปแล้วด้วย  ดันยื่นมือไปรับก่อนที่ยุนโฮจะเอ่ยประโยคฆ่าผมออกมาแบบนั้น  จะคืนให้ก็ไม่ได้  จะยิ้มต่อก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ  นี่ผมควรทำตัวยังไง  ควรพูดประโยคแบบไหน  ...ณ  เวลานั้น  ผมอยากเปิดคอมแล้วพิมพ์ถามเพื่อน ๆ ในห้องนี้ชะมัดเลยครับ!!

     

                “แล้วให้ฉันทำไมเล่า”  ผมค้อนใส่เขาแก้เขิน  ใช่มั้ยล่ะ  ขอผมเป็นแฟนรึก็ยัง  มาทำเป็นซื้อให้  ชิ  รวยนักเหรอไง

     

                “ก็...”  อยู่ดี ๆ ยุนโฮก็อึกอักขึ้นมาฮะ  ผมไม่เคยเห็นเขาจนมุมแบบนี้มาก่อนเลยนะ  แปลกตาชะมัดอ่า  แต่ก็ตลกดีเหมือนกัน  ผมก็เลยยิ่งจ้องเขาเข้าไปอีก  ยุนโฮทำเป็นเกาจมูก  ก้มลงมองกุหลาบที่ผมถืออยู่แทนการจ้องหน้าผม  ทำท่าเหมือนจะพูด  แต่อีกเดี๋ยวก็เงียบ  แล้วสักพักก็อ้าปากเหมือนจะพูดใหม่  แต่สุดท้ายก็เงียบอีก  ผมมองดูแบบไม่เข้าใจโลกส่วนตัวของยุนโฮเอาซะเลย  จนสุดท้ายนายหมีป่าก็ถอนใจออกมายาว ๆ เหมือนยอมแพ้  “ฉันทำไม่ได้”

     

                “ทำอะไร”  นี่ผมยังไม่เข้าใจเลยนะ

     

                “พูด”  ยุนโฮตอบอะไรสั้น ๆ จนผมต้องซักต่ออีกแล้ว

     

                “พูด?”

     

                “อือ  ไม่กล้าจริง ๆ แฮะ”

     

                “เดี๋ยวสิ  บนโลกนี้มีอะไรที่นายไม่กล้าทำด้วยเหรอ”

     

                “ก็ขอนายเป็นแฟนไง”

     

                .........................................................................

     

                .............................................

     

                .......................

               

                ผมโดนหมีแอ็กแท็กอีกแล้วครับทุก ๆ คน  อ๊ากกกก!  ผมต้องเขียนพินัยกรรมบ้างแล้วล่ะ  เพราะผมอาจเป็นโรคหัวใจวายตายเข้าสักวัน!!  นี่ขนาดไม่กล้านะ  นี่ขนาดไม่กล้าพูดนะเนี่ยชองยุนโฮ!!  ถ้ากล้าพูดนี่จะขอผมแต่งงานเลยรึเปล่าครับ!?

     

                ผมก็เขินสิ  มนุษย์หน้าด้านที่กล้าใส่บ็อกเซอร์เน่า ๆ ลงไปวิ่งออกตามหาผมทั้งคืนเมื่อสามเดือนก่อนคนนั้น  มาบัดนี้กลับกำลังนั่งเกาจมูกอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วบอกว่าเขินที่จะขอผมเป็นแฟนเนี่ยนะ

     

                เขิน...

     

                กล้าพูดว่าเขินเพราะอะไร

     

                แต่ก็เขิน...

     

                ถ้าจะให้พูดมันออกมา

     

                งงมั้ย...  งงกันมั้ย...  ผมงงมาก!!  เขาต้องการอะไร  เขาต้องการอะไรจากการทำผมใจเต้นแรงครับเนี่ย  ก็ในเมื่อเหมือนเขาพูดไปแล้วชัด ๆ อ่ะ  มันเหมือนยุนโฮพูดไปแล้วว่าขอผมเป็นแฟน  แต่ผมก็ตอบตกลงไม่ได้  เพราะที่จริงแล้วเขาไม่ได้ขอ  แต่แค่บอกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง

     

                ผมล่ะงงงงงงงงงงงงงงง  (เอา ง.งู ไปอีกล้าน ๆ ๆ ตัว)

     

                เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราอีกครั้ง  แถมครั้งนี้ไม่มีเพื่อนยุนโฮมาแทรกด้วย  พวกเรานั่งกันเงียบมาก  คือมันไม่ได้อึดอัดนะฮะ  ผมรู้สึกดีนะ  เหมือนรู้แล้วว่ายุนโฮพยายามจะทำอะไรอยู่  เหมือนจะจับได้แล้วว่าเขากำลังจะบอกอะไรกับผม  และตลอดเวลาที่ผ่านมา  สาเหตุที่เขาทำตัวแปลก ๆ ทั้งหมดนั่น  ผมเริ่มรู้แล้วล่ะว่าเขาทำเพื่ออะไร

     

                ผมก็เลยเขินจนไม่กล้ามองหน้าเขาอีกเลย  ส่วนยุนโฮเองก็เงียบไปถนัดตา  มีหลายหนเหมือนกันที่เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกมา  แต่จนแล้วจนรอดก็ทำเป็นหันไปขายดอกไม้แทน  การกระทำของยุนโฮทำผมซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่ได้เลยล่ะฮะ  แก้มผมงี้ทั้งแดงทั้งปริไปหมดแล้ว  โอยยยย  มีความสุขชะมัด

     

                แถมสิ่งที่ยิ่งทำให้ผมมีความสุขก็คือนายยุนโฮคนนี้....  แม้จะไม่พูด  แต่ก็ยื่นกุหลาบมาให้ผมเพิ่มทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง

     

                เขาจะพูดสั้น ๆ แค่ว่าให้  แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย  และดอกกุหลาบสีแดงสดที่ให้มาก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย  โหย  ยุนโฮตอนนี้เป็นอะไรที่ประทับใจผมมาก ๆ เลยฮะ  ผมงี้ก็พูดไรไม่ออกเหมือนกัน  เรากลายเป็นคู่เงียบไปเลย  (เพื่อนยุนโฮที่เดินไปมาแซวว่างั้น)  แต่ผมก็ชอบบรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้นะ  มันอุ่นตรงหัวใจไปหมดเลยครับ

               

                สุดท้ายผมก็ได้กุหลาบมาทั้งหมดสิบกว่าดอก  จับรวมเป็นช่อได้เลย  งานขายของในวันวาเลนไทน์จบลงแล้ว  และยุนโฮก็รีบหิ้วปีกผมไปที่ลานจอดรถทันที  แน่ะ  ชิ่งหนีงานเก็บกวาดอีกแน่ะนายคนนี้

     

                “ไม่ช่วยพวกเขาเก็บร้านก่อนเหรอ”

     

                “หนาว”  ดูเหตุผลของยุนโฮสิครับ  น่าเลิกคบมาก

     

                “คนอื่น ๆ ก็หนาวนะ”  ผมว่าเขา  ตอนมาก็มาสาย  ตอนขายก็เลือกที่นั่งซะริม  แล้วตอนเลิกก็ยังจะชิ่งกลับก่อนอีกต่างหาก  จะโลกส่วนตัวสูงเกินไปแล้ว  “ถ้าช่วย ๆ กัน  แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

     

                “ขี้บ่นจัง”  นายหมีว่าผมอ่า!!

     

                “งั้นฉันไปช่วยคนเดียวก็ได้  นายกลับไปก่อนเลยไป”  ผมยู่หน้าใส่เขา  เสียบดอกไม้ทั้งหมดลงกับมอไซค์ยุนโฮ  แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงานอีกครั้ง  แต่สุดท้ายยุนโฮก็ยอมเดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ อยู่ดี

     

                ผมเสนอตัวช่วยทำความสะอาด  แต่เพื่อน ๆ ของยุนโฮก็มองเลยหัวผมไปหานายหมีที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเหมือนขออนุญาตซะงั้นอ่ะ  ทำไมพวกเขาต้องเกรงใจยุนโฮกันด้วยนะ  แค่ต้นฉบับให้ลอกการบ้านเท่านั้นเอง  จะเกรงใจกันไปทำไม  หนอย~

     

                “งั้นเอาผ้าปูโต๊ะขึ้นไปเก็บที่ห้องก็แล้วกัน”  สุดท้ายพวกเขาก็หางานเบา ๆ ให้ผมได้  ก็เอาเถอะ  ก็ยังดี  ผมเลยรีบอุ้มผ้าที่พับไว้แล้วเรียบร้อยขึ้นมา  แต่ยุนโฮก็แย่งไปถืออีกจนได้

     

                “ตามมา”  เชอะ  ทำเป็นวางมาด  ยุนโฮเดินนำขึ้นไปที่ตึกคณะตัวเอง  แต่เขามาด้วยก็เหมือนกัน  เพราะผมไม่เคยขึ้นมาตึกนี้เลย  มาคนเดียวคงได้มีหลงแหละ

     

                พวกเรามาถึงห้องเรียนห้องหนึ่งที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องกิจกรรมชั่วคราว  ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยครับ  เพราะทุกคนกำลังเก็บกวาดกันอยู่ข้างล่าง  โต๊ะเลคเชอร์ทั้งหมดถูกดันชิดติดผนังไปอีกด้าน  เหลือพื้นที่โล่ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะโล่งสักเท่าไหร่  เพราะมีข้าวของวางระเกะระกะไปหมดจนผมต้องเคลียร์โต๊ะตัวหนึ่งเพื่อให้ยุนโฮได้มีที่วางผ้า

     

                “ดูสิยุนโฮ  พระอาทิตย์กำลังตกแหละ”  ผมอยู่ชั้นหกครับตอนนี้  เห็นวิวกำลังสวยเลยทีเดียว  ผมรีบเดินไปที่หน้าต่างซึ่งเปิดทิ้งไว้  ผ้าม่านโปร่ง ๆ โบกสะบัดเป็นระลอกคลื่นเลย  แสงสีแดงอมส้มทะลุผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาย้อมห้องทั้งห้องให้เป็นสีแสด  มันเป็นอะไรที่สวยจริง ๆ นะ  “ดูสิ ๆ   เห็นตึกคณะฉันด้วยนะ  มองลงไปข้างล่างก็เห็นเพื่อน ๆ นายด้วย”

     

                “ก็งั้น ๆ”

     

                “ใจร้าย...”  ผมหันไปต่อว่าเขา  แต่ยุนโฮดันมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ผมก็เลยเหวอสิฮะ  รีบพลิกตัวกลับไปหาเขาอย่างเร็วไว  ทำไมชอบมาเงียบ ๆ ให้ผมไม่ทันตั้งตัวทุกทีเลยนะ

     

                “ตกใจเหรอ”  ยังจะมีหน้ามากระตุกยิ้มอีกน่ะยุนโฮ  ร้ายเกินไปแล้วนะ!

     

                “ก็... ก็แหงสิ”  เพราะไม่มีทางให้หนี  (นอกจากโดดหน้าต่างลงไป)  ผมก็เลยต้องตกอยู่ในสภาพน่าอายสุด ๆ ครับ  ยุนโฮเท้าแขนลงกับขอบหน้าต่าง  แต่เพราะมีตัวผมยืนขวางอยู่ตรงกลาง  มันก็เลยเหมือนเขาขังผมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้เลย  แล้วยังจะยื่นหน้ามาใกล้ ๆ อีกน่ะ  ฆ่าผมเลยเถ้อออออ  “จะ... จะทำอะไรน่ะ!

     

                “ดูวิว”  ยุนโฮพูดพลางจ้องตาผมในระยะที่ใกล้มาก ๆ ๆ ๆ ห่างกันไม่ถึงสิบเซนแล้วมั้งเนี่ย  วิวบ้าวิวบออะไรกันล่ะ!  ฮืออออออ!!

     

                “ยุนโฮอ่า...”  ผมอยากจะร้องไห้แล้วนะ  ผมจะร้องไห้แล้วจริง ๆ นะ  และเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมากั้นหน้า  ผมก็เลยคว้าผ้าม่านบาง ๆ ทั้งสองฝั่งมาปิดหน้าตัวเอง  กั้นไม่ให้ยุนโฮเห็นว่าผมกำลังอายหนักแค่ไหน

     

                หัวใจของผมเต้นแรงมาก  แรงจนได้ยินเหมือนมันมาเต้นอยู่ข้าง ๆ หูเลยครับ  แก้มงี้ก็ร้อนไปหมด  อันที่จริงก็คือร้อนไปหมดทั้งตัวแล้วต่างหาก  แต่ก็ตลกดีเหมือนกันที่ทั้งที่อายขนาดนี้  แต่ผมกลับไม่สามารถละสายตาออกจากยุนโฮได้เลย  มันเป็นเหมือนแรงดึงดูดเลยล่ะครับ  ตาของเขาสวยจริง ๆ   มันมีประกายแสงแดดยามเย็นตกกระทบด้วยล่ะมั้ง  ยุนโฮในตอนนี้ก็เลยยิ่งทำเอาผมคันหัวใจยุบยิบไปหมด

     

                “แจจุง...”  แล้วริมฝีปากเขาที่อยู่ใกล้หน้าผมมาก ๆ ก็เอ่ยชื่อผมออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มนุ่มน่าฟังสุด ๆ

     

                “อะไรเล่า...”  ในขณะที่เสียงผมมันเล็กมาก  ก็คนมันตื่นเต้นอ่ะ

     

                “วิวสวยชะมัดเลยเนอะ”  ยุนโฮจ้องตาผมใกล้มากกกกกก  ...อ่อก  ผมขอลาโลกนี้เลยครับ  ผมสละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้แล้ว  ฝากบอกครอบครัวผมด้วยว่าผมถูกฆาตกรรม

     

                บอกได้เลยว่าวิญญาณผมหลุดออกจากร่างไปแล้ว  เมื่อคืนที่ยุนโฮนอนกอดผม  ผมก็ยังหลบหน้าซุกอกเขาได้  แต่สำหรับเหตุการณ์ตอนนี้  ผมหลบไม่ได้  หันไปไหนก็ไม่ได้  หนีไปไหนก็ไม่ได้อีก  แล้วนั่น!  นั่น ๆ ๆ   จะยังยื่นหน้าเข้ามาอีกทำม๊ายยยย  จมูกแทบจะชนกันได้อยู่แล้วนะยุนโฮ!

     

                มือผมจิกผ้าม่านแน่นมาก  คนมันตื่นเต้นอ่ะ  ผมยกผ้าม่านขึ้นมาปิดหน้าถึงจมูกตัวเอง  ไม่ไหวแล้ว  ผมทนหายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว

     

                แล้วรู้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้ผมนึกอยากโดดออกไปจากชั้นหกให้รู้แล้วรู้รอด

     

                รู้มั้ยฮะว่ายุนโฮทำอะไรกับผม

     

                เขา....

     

                จูบ...

     

                ผ้าม่าน...

     

                ที่มีปากผม... ซ่อนอยู่ด้านหลัง

     

                .........................................................................

     

                .............................................

     

                .......................

               

                โอ๊ยยยยย!  ผมจะอธิบายฉากนี้ยังไงดี  มันเหมือนเขาจูบผมอ่ะ!  มันเหมือนเขาจูบผมชะมัด!!  แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าจูบ  เพราะผมเป็นคนยกผ้าม่านมากั้นไว้เอง  เพราะงั้นมันก็เลยเหมือนจูบกันทางอ้อมมากกว่า  แต่เพื่ออะไรล่ะ!  ยุนโฮจะจูบผ้าม่านไปเพื่ออะไร!!  นี่ผมต้องทำวิจัยสิ่งมีชีวิตที่ชื่อยุนโฮจริง ๆ แล้วใช่มั้ยครับ

     

                ผมรู้สึกได้ถึงริมฝีปากนุ่ม ๆ ของยุนโฮที่ทะลุผ่านเนื้อผ้ามาสัมผัสถูกปากผมด้วย  นี่ผมบ้าไปแล้วใช่มั้ยฮะ  ผมบ้าไปแล้วใช่ไหมที่ใจเต้นแรงขนาดนี้  ทั้งที่เรายังไม่ได้จูบกันจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ

     

                พวกเราอยู่ท่านั้นกันนานมาก  ยุนโฮไม่ยอมผละออก  และผมก็ไม่กล้าผลักเขาออกด้วย

     

                และหัวใจผมที่เต้นแรงจนแทบบ้า... ก็เริ่มสงบลงอย่างน่าประหลาด

     

                มันอุ่น... เหมือนถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ไปทั้งดวง

     

                สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือเรื่องจริง  และผมก็รู้ด้วยว่ามันตลก  แต่เอาจริง ๆ ก็คือผมไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยในชีวิต  จริง ๆ นะฮะ  ก็ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน  แล้วผมจะเอาใครที่ไหนมาทำอย่างนี้ด้วยกันล่ะ  ยิ่งเป็นจูบผ่านผ้าม่านแบบนี้ก็ยิ่งไม่เคยเข้าไปใหญ่

     

                นั่นทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาในใจ

     

                ว่าแล้วอย่างนี้... จะถือว่าเป็นจูบแรกได้รึเปล่านะ

     

     

                แจจุง            

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×