คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 11 - 12 - 19 : เมื่อผมไม่สบาย
19 ธันวาคม 2011
ช่วงนี้อากาศหนาวมาก ๆ เลยล่ะครับ หวังว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะดูแลสุขภาพตัวเองกันนะ เพราะผมโดนไข้หวัดเล่นงานเข้าแล้วล่ะ (ผลของการโต้รุ่งปั่นรายงานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) เพิ่งอาการดีขึ้นเมื่อวานนี้เองฮะ ก็เลยถือโอกาสเปิดคอมมาอัพเดตเรื่องราวหลังจากวันนั้นที่ยุนโฮเอ่ยคำว่า “เพื่อนผม...” เสียหน่อย
หลังจากวันนั้นมา ยูชอนก็โผล่มาลากจุนซูกลับไปตามคาดครับ แหงล่ะสิที่จุนซูจะเล่นตัวไม่ยอมกลับ แถมยังพาลมางอนผมอีกคนด้วยน่ะ เพราะรู้แล้วว่าผมเอาเรื่องนี้ไปฟ้องยูชอน ไอ้เรารึก็ปฎิเสธหัวชนฝาแล้วเชียวว่าไม่ใช่ อุตส่าห์มียูชอนมาช่วยโกหกด้วยอีกเสียง แต่จนแล้วจนรอดจุนซูก็ปักใจเชื่อชนิดฝังหัวไปแล้วว่าผมแกล้งเขา ส่วนเหตุผลที่ผมหักหลังเขาน่ะเหรอฮะ มันตลกมากเลยล่ะ เพราะจุนซูบอกว่า “เพราะผมชอบยุนโฮ”
ฟังตอนแรกผมงี้ถึงกับไปไม่ถูกเลย จุนซูก็ใส่ต่อไม่ยั้งว่าเพราะผมกลัวจุนซูจะจีบยุนโฮติด ผมก็เลยโทรไปฟ้องยูชอนเสียเลย เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมอะไรประมาณนั้น ผมล่ะซูฮกในจินตนาการของเพื่อนคนนี้จริง ๆ คิดเข้าไปได้ยังไงว่าผมจะชอบยุนโฮ ในเมื่อก่อนหน้านี้ผมยังระแวงกลัวเขาเอาโน้ตบุ๊กฟาดผมแทบตาย
สุดท้ายจุนซูก็เลยโกรธผมมากกว่ายูชอนซะอย่างนั้นน่ะ และเพราะโกรธผมมากกว่า จุนซูก็เลยกลับไปกับแฟนฮะ (จนถึงบัดนี้ผมก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันว่าผมผิดตรงไหน) ยูชอนแอบโทรมาหาผมทีหลังแล้วขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ บอกว่าจะพยายามกล่อมจุนซูให้ใจเย็นลงก่อน แล้วค่อยอธิบายความจริงทั้งหมดให้ฟังอีกที ผมน่ะยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะรู้นิสัยเอาแต่ใจของจุนซูดีว่าเขาโกรธผมได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวพอเจอร้านขนมอร่อย ๆ หรือไม่ก็หนังที่น่าดูสักเรื่องแล้วล่ะก็ เขาก็จะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเองนั่นแหละ
เพราะงั้นเรื่องของจุนซู สำหรับตัวผมผมว่ามันจบลงได้โอเคแล้วล่ะ
แต่เรื่องที่ยังไม่โอเคน่ะ... คือคำตอบสุดกำกวมของนายคนห้องตรงข้ามผมต่างหาก
และในเมื่อจุนซูไม่อยู่เป็น กขค. ให้ยุนโฮต้องหลบตัวอยู่แต่ในห้องอีกต่อไปแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสไปนั่งดักรอเขาที่หน้าห้องซะเลย (ผมว่าเราสองคนคงเป็นสโตกเกอร์ที่น่ากลัวพอ ๆ กันแล้วล่ะ) ผมนั่งอ่านหนังสือไปตามเรื่องฮะ แต่รอแล้วรอเล่า ยุนโฮก็ไม่ออกมาซักทีจนผมชักจะหงุดหงิดซะแล้วสิ นี่ใจคอเขาจะปล่อยให้ผมรออีกนานแค่ไหนกัน ผมจำได้ว่าวันนี้ยุนโฮไม่มีเรียนสักหน่อย เอ๊ะ หรือว่าเขาจะออกไปเที่ยวข้างนอกนะ พอคิดมาถึงตอนนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขา... ออกไปกับใคร
ใช่คนที่เขาแอบชอบอยู่รึเปล่านะ
ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอีกครั้ง ไม่รู้สิฮะ มันเหมือนกับผมอิจฉารึเปล่านะ ผมไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เดาว่าผมคงกำลังอิจฉายุนโฮที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักล่ะมั้ง แต่ที่แน่ ๆ ก็คือผมไม่ชอบความรู้สึกที่ร้อนวูบวาบในอกอย่างนี้เลย มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ๆ ฮะ ดูเป็นคนนิสัยไม่ดียังไงก็ไม่รู้ ในใจก็พาลแต่จะคิดถึงฉากที่ยุนโฮเดินกุมมือกับคนอื่นท่ามกลางอากาศหนาว มันคงโรแมนติกน่าดูเลยล่ะ แต่พอคิดแล้วก็หงุดหงิดทุกทีเลย
สุดท้ายผมก็เลยเก็บของเข้าห้อง ไม่รงไม่รอมันแล้วนายหนวดคนนั้นน่ะ แต่เหมือนการตัดสินใจของผมคงจะช้าไปหน่อย เพราะนั่งตากลมอยู่หน้าห้องนานเกินไป ผมก็เลยรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้จนได้ เรื่องนี้ผมต้องโทษยุนโฮเลยนะเนี่ย เพราะเขานั่นแหละที่ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน อากาศตรงทางเดินมันก็ย่อมหนาวกว่าในห้องที่มีฮีตเตอร์อยู่แล้วด้วย เพราะงั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกหากตัวผมจะรุ่ม ๆ ขึ้นมา บางทีที่ผมรู้สึกร้อนใจเมื่อกี้อาจเป็นเพราะผมกำลังไม่สบายด้วยก็ได้
เพราะงั้นผมก็เลยตัดสินใจนอนพักในห้องสักพักให้อาการดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าพอตื่นมาอีกทีก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ๆ แล้ว และเพราะนอนผิดเวลา หัวผมก็เลยปวดระบมเหมือนโดนมือล่องหนมาบีบตลอดเวลาเลยล่ะฮะ ใจจริงผมอยากได้ยาซักเม็ด แต่จำได้ว่าจุนซูกินหมดไปแล้วเมื่อวันก่อน แถมผมเองก็ไม่ค่อยอยากลงไปซื้อข้างล่างเวลานี้ด้วยสิ ก็ข้างนอกน่ะหนาวจะตายไป ขืนลงไปสภาพนี้มีหวังได้คลานกลับขึ้นมาแทนแน่ แล้วพอไม่รู้จะพึ่งใครดี ผมก็เลยนึกถึงคนต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่สบายขึ้นมา (แน่นอนว่าผมยังไม่ลืมความผิดของยุนโฮหรอกนะ) ห้องของเขาอยู่แต่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง ยุนโฮน่าจะมียาแก้ปวดเก็บไว้บ้างล่ะน่า แถมสมองอันชั่วร้ายของผมลึก ๆ แล้วก็อยากให้ยุนโฮสำนึกผิดด้วย ในเมื่อเขาเป็นต้นเหตุ เขาก็ควรจะรู้เรื่องที่ผมไม่สบายเช่นกัน (...มันน่าสงสัยนะว่าตอนนั้นผมคิดอะไรงี่เง่าแบบนี้ได้ยังไง คิดย้อนกลับไปแล้วก็น่าอายชะมัด ผมว่าคงเพราะตัวเองเป็นไข้ล่ะมั้งฮะ ปกติเวลาไม่สบายผมมักเป็นพวกขี้อ้อนฮะ แต่พอไม่มีใครให้อ้อน ผมก็เลยเปลี่ยนโหมดมาเป็นเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแปลก ๆ แทนล่ะมั้ง)
คิดได้อย่างนั้น ผมก็เลยลากสังขารไปเคาะประตูห้องเขาซะเลย หวังว่ายุนโฮคงจะกลับมาแล้วนะ ไม่อย่างนั้นมีหวังผมต้องลงไปซื้อยาข้างล่างเองแน่ ๆ ภาวนาให้ยุนโฮอยู่ห้องจะดีกว่า
“แจจุง?” ดีนะที่เสียงภาวนาของผมสัมฤทธิ์ผล ยุนโฮเปิดประตูออกมามองผมด้วยสีหน้างง ๆ เขาก้มลงมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ นี่สภาพผมมันแย่มากเลยรึไงนะ ผมลืมส่องกระจกก่อนออกมาซะด้วยสิ
“นายพอจะมียาแก้ไข้มั้ย” ผมพยายามลูบผมยุ่ง ๆ ของตัวเองให้เรียบ
“ไม่สบายเหรอ” ไหล่ของยุนโฮลู่ลงเล็กน้อยพลางเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเพื่อดูอาการ นั่นไง เขาต้องกำลังรู้สึกผิดแน่ ๆ พอเห็นท่าทีแบบนี้ของยุนโฮ ผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ อย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงผมอย่างที่ผมต้องการนี่นา “โทษทีนะ แต่ว่าห้องฉันไม่มียาหรอก รอหน่อยได้รึเปล่า เดี๋ยวลงไปซื้อมาให้”
“เอ่อ... งั้นไม่เป็นไรหรอก” ผมเกรงใจเขามากกว่า “ถ้านายไม่มีก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนอนสักคืนก็คงดีขึ้นล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ” ยุนโฮขมวดคิ้วมุ่น หน้าเขาตอนนี้ก็เลยดูเหมือนโจรเข้าอีกขั้น อืม ผมเริ่มเป็นฝ่ายรู้สึกผิดแทนเขาซะแล้วสิ ไม่น่าออกมาให้ยุนโฮรู้ตัวเลยว่าผมไม่สบาย
“จริง ๆ นะ เมื่อก่อนฉันก็เป็นงี้บ่อย ๆ แหละ แต่พอนอนสักพักก็หาย” ผมยืนยันให้เขาสบายใจ ก่อนจะรีบขอตัวกลับห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว บางส่วนในใจผมชักรู้สึกแปลก ๆ เวลาจ้องหน้ายุนโฮแล้วด้วย หรือว่านี่จะเป็นเพียงอาการไข้ของผมกันนะ มันเป็นอะไรที่สับสนมากเลยล่ะฮะ
ผมทิ้งตัวลงนอนคลุมโปงที่เตียงตัวเองต่อตามเดิม หัวยังปวดตุ้บ ๆ อยู่เลยล่ะ แต่ผมจะไม่มีวันฝ่าลมหนาวลงไปข้างล่างแน่ เพราะงั้นผมก็เลยนอนคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบจะคล้อยหลับไปอีกหนได้อยู่แล้วเชียว ในตอนที่ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูที่หน้าห้อง
“ยุนโฮ?” ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีกที่เห็นยุนโฮยืนอยู่หน้าห้อง “ปากนายซีดจัง ไม่สบายตามไปฉันอีกคนแล้วเหรอ”
“พูดมากจริง” เขาขยี้หัวผมให้เละกว่าเดิม ทำเหมือนผมเป็นเด็กไปได้ แต่มองอีกแง่ เขาก็คงเห็นผมเป็นน้องชายเขาจริง ๆ นั่นแหละ “อาการดีขึ้นบ้างรึยัง”
“ก็... ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“โกหก”
ก็ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วงผมไปมากกว่านี้นี่นา ผมมุ่ยหน้าใส่เป็นเชิงว่าถ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว แล้วจะยังมาถามผมอีกทำไม แต่ยุนโฮก็ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของผมซะอย่างนั้นน่ะ บางครั้งผมก็อยากกระชากหนวดเขาเพื่อสร้างความเจ็บปวดจริง ๆ นะเนี่ย
“เอ้า” อยู่ดี ๆ ยุนโฮก็ยื่นถุงยามาให้ผม แถมยังมีนมร้อน ๆ อีกแก้วแถมมาให้อีกต่างหาก “กินอะไรรองท้องก่อนกินยาด้วย แล้วก็รีบนอนได้แล้ว”
“นาย... เดินไปซื้อมาให้ฉันเหรอ” ทันทีที่ผมรับแก้วกระดาษมาถือ ความร้อนของมันก็อุ่นวาบเข้าไปถึงความรู้สึกผมเลยล่ะ ผมซึ้งจนเกือบจะลืมขอบคุณเขาแล้วเชียว “ขอบคุณมากเลยนะยุนโฮ”
“ฉันมีมอไซค์” ยุนโฮตอบเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร “ไปล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวกลับไปไขประตูห้องตัวเอง ผมยืนมองแผ่นหลังกว้าง ๆ ของยุนโฮเหมือนกับว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่พอ แม้จะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าเขาแค่อยากดูแลผมเพื่อชดเชยเรื่องน้องชายของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยุนโฮทำอะไรเพื่อผมแบบนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีกับเขามากจริง ๆ
“นี่ยุนโฮ” กว่าจะรู้ตัว ผมก็เผลอเรียกชื่อเขาออกไปเสียแล้ว
ยุนโฮหันกลับมามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ผมก็เลยอึกอักอยู่พักนึง เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเรียกเขาไปทำไม ก็ปากผมมันไปเองนี่นา แต่จะให้ตีปากต่อหน้ายุนโฮมันก็ใช่เรื่องเสียที่ไหนล่ะ
ผมก็เลยตัดสินใจพูดแก้เก้อด้วยรอยยิ้มอาย ๆ
“ฝันดีนะ”
เขาเงียบกริบเลยล่ะ... ผมล่ะเกลียดเวลายุนโฮเงียบจริง ๆ เพราะหนวดเครารุงรังนั่นจะทำให้ผมอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ดังนั้นถ้ายุนโฮไม่พูด ผมก็จะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน บางทีเขาอาจจะกำลังรู้สึกว่าผมก้าวก่ายมากเกินไปก็ได้ล่ะมั้ง
“นายก็ด้วย” แต่แล้วยุนโฮก็ตอบผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเข้าห้องตัวเองไป และแม้เสียงล็อกประตูของฝั่งตรงข้ามจะบอกผมว่ายุนโฮไกลออกไปมาก ๆ แล้ว แต่หัวใจผมก็ยังเต้นโครมครามไม่เลิกเสียที ก็มันน้อยครั้งมาก ๆ เลยนี่ที่ยุนโฮจะยิ้ม นายเสือยิ้มยากคนนี้ยอมยิ้มให้ผมแล้วบอกให้ผมฝันดีด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ ยุนโฮจะรู้บ้างมั้ยว่าเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้คืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ เพราะพอหลับตาลง ผมก็จะเห็นแต่รอยยิ้มของยุนโฮที่ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ แล้วจากนั้นผมก็จะเริ่มสงสัยว่าตอนนี้ยุนโฮหลับไปแล้วรึยัง หรือไม่ก็เขาจะฝันดีอย่างที่ผมบอกรึเปล่านะ อืมมม ผมว่าพิษไข้นี่มันมีพลังรุนแรงจริง ๆ นั่นแหละ เพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
พอเช้าวันถัดมา ผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ทุเลาลง กิจวัตรแรกของวันที่ผมทำเป็นประจำก็คือการมองนาฬิกา ต่อจากนั้นเป็นปฎิทินที่แขวนอยู่ข้าง ๆ กัน
วันนี้ยุนโฮมีเรียนเช้า
นั่นคือสิ่งแรกที่ผมนึกออกก่อนที่เสียงท้องร้องจะประท้วงลั่นดึงความสนใจไปจนหมด ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปซื้ออะไรร้อน ๆ มากินเป็นข้าวเช้า แต่ทันทีที่เปิดประตู ผมก็สังเกตได้ว่าน้ำหนักของบานประตูมันเปลี่ยนไป ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ถุงข้าวต้มถุงหนึ่งแขวนไว้กับกลอนประตูห้องผม แถมยังมีโพสท์อิทสีเหลืองสดใสแปะไว้ที่หน้าประตูห้องผมข้าง ๆ ถุงข้าวต้มอีกต่างหาก ผมไม่รอช้าที่จะแกะมันขึ้นมาอ่าน พลันใจผมก็เต้นอย่างประหลาดในยามที่รู้ว่าเจ้าของลายมือนี่คือใคร
อย่าลืมกินยา
แม้จะเป็นเพียงตัวหนังสือสั้น ๆ ที่เขียนอย่างหวัด ๆ ไม่ตั้งใจ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนึกภาพยุนโฮตอนเขียนสิ่งนี้ออก เขาคงต้องขมวดคิ้วอีกตามเคยในตอนที่นึกว่าจะเขียนเตือนผมว่ายังไงดี
ผมเอาข้าวต้มกลับไปอุ่นใหม่อีกครั้งก่อนกิน มันเป็นข้าวต้มที่แม้จะไม่อร่อยอะไรมากมาย แต่ผมกลับตั้งใจละเลียดทุกคำที่กินเลยทีเดียว พอกินเสร็จผมก็ทำตามคำสั่งเขาอย่างว่าง่ายด้วยการไม่ลืมกินยา พลันอยู่ดี ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะขอบคุณยุนโฮเสียหน่อย แต่เพราะยังไม่มีเบอร์มือถือของอีกฝ่าย ผมก็เลยตัดสินใจเขียนคำขอบคุณใส่โพสท์อิทแผ่นใหม่ที่เป็นสีชมพูสดใสแล้วก็เอาไปแปะไว้ที่หน้าประตูห้องเขาแทน
ไม่รู้ว่ายุนโฮจะเห็นกระดาษของผมรึเปล่า เพราะตั้งแต่วันนั้นมาผมแทบไม่ได้เจอหน้ายุนโฮตรง ๆ เลยล่ะ ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะไม่ค่อยว่างเท่าไหร่แล้ว ได้ข่าวมาว่ายุนโฮต้องเป็นตัวแทนไปแข่งอะไรสักอย่าง ก็เลยถูกอาจารย์จับติวเข้มเป็นการเร่งด่วนที่มหาลัย แต่ถึงอย่างนั้นทุก ๆ เช้า ผมก็จะยังได้กินข้าวต้มพร้อมกระดาษโพสท์อิทแผ่นใหม่ที่แปะอยู่หน้าห้องอยู่ดี
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันจันทร์ หรือก็คือวันนี้ที่ผมอัพนั่นเอง
อาการผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ แทบจะหายสนิทแล้ว แต่เพราะอยากกินข้าวต้มเป็นมื้อเช้าต่อ ผมก็เลยไม่ได้บอกยุนโฮสักทีว่าหายแล้ว ก็แหม นาน ๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเช้าทุกวันนี่นา ยุนโฮอยากสอนให้ผมเป็นคนรักสบายจนเกินตัวเองเองทำไมล่ะ
และในขณะที่ผมกำลังตักข้าวต้มเข้าปากอยู่นั่นเอง ประตูห้องผมก็ถูกเคาะรัว ๆ ในแบบที่ผมมั่นใจว่ามีอยู่คนเดียวบนโลกที่กล้าทำอะไรไม่เกรงใจเจ้าของห้องแบบนี้
“ไงจุนซู” ผมเอ่ยทักเพื่อนตรงหน้า เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเชียว “ทะเลาะกับยูชอนอีกแล้วเหรอ”
“ยัง” จุนซูพูดเหมือนยังไม่ทะเลาะตอนนี้ แต่อนาคตน่ะไม่แน่ เขาเดินเข้ามาในห้องผม มองชามข้าวต้มแล้วก็ได้แต่ย่นหน้า จุนซูเกลียดข้าวต้มและอาหารเหลวทุกชนิด เขาบอกว่ามันทำให้อรรถรสแห่งความสุขในการเคี้ยวลดลง “เห็นนายไม่ไปมอหลายวันแล้ว ก็เลยแวะมาเยี่ยมหน่อย ...ยังไม่หายอีกเหรอ”
“ใกล้แล้วล่ะ ขอบใจนะที่มาเยี่ยม”
“ฉันไม่ได้มาเยี่ยมอย่างเดียว ฉันมีข่าวมาบอกนายด้วย”
“บอกฉัน?”
“ก็นายชอบพี่ยุนโฮนี่” ดูเหมือนจุนซูจะยังไม่เลิกยึดติดกับความเชื่อนี้ เขาหันกลับมามองผม ยืนเท้าสะเอวคล้ายคุณแม่ที่เหลืออดในความไม่เอาไหนของลูกชายจอมเอื่อยเฉื่อย “ฉันอุตส่าห์เห็นว่าเป็นนาย ก็เลยยอมถอยออกมาให้ แต่ทำไมนายทำอย่างนี้ล่ะฮะแจจุง?”
“ฉันทำอะไร” นี่ยูชอนยังไม่แก้ความเข้าใจผิดนี้อีกเหรอเนี่ย ไหนเขาบอกว่าจะเป็นคนพูดเองไงล่ะ เชื่อลมปากนายไก่นั่นไม่ได้จริง ๆ ด้วย “แถมฉันไม่ได้ชอบยุนโฮเสียหน่อย นายคิดเองเออเองอีกแล้ว”
“ไม่รู้ล่ะ นายจะปากแข็งยังไงก็เรื่องของนาย แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้เพื่อนของฉันต้องขึ้นคานแน่” มันก็ซาบซึ้งดีหรอกนะที่จุนซูเลิกโกรธผมแล้ว แถมยังเป็นห่วงเป็นใยอนาคตผมอีกต่างหาก แต่ปัญหาก็คือผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับยุนโฮเสียหน่อย แถมดูเหมือนว่าต่อให้ผมจะพยายามอธิบายยังไง จุนซูก็จะมองแค่ว่าผมแก้ตัวซะด้วยสิ “นายไม่ได้ไปมอตั้งหลายวัน คงไม่รู้ล่ะสิว่ายัยซุนเอน่ะกำลังจะคาบพี่ยุนโฮไปกินแล้ว”
“หา? ซุนเอเพื่อนเราน่ะนะ?” ซุนเอน่ะเรียนเก่งสุด ๆ ไปเลยล่ะฮะ สอบกี่ทีก็ได้ท็อปตลอดเลย แถมยังสวยอีกต่างหาก ผมยังชอบมองเธอเลย อาหารตาดี ๆ แบบนี้เป็นใครก็ชอบมองทั้งนั้นนี่นา แต่ผมก็คิดกับเธอแค่เพื่อนคนนึงนะ ออกแนวไม่สนิทเท่าไหร่ด้วยซ้ำ เพราะถึงจะเรียนด้วยกัน แต่ก็มีเพื่อนคนละกลุ่ม จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่
“จะซุนเอไหนอีกล่ะ ก็ยัยนั่นนั่นแหละ” จุนซูถอนใจยืดยาวแบบหน่ายใจสุดขีด “ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่ก็ได้เป็นตัวแทนไปแข่งเลขพร้อมกันกับพี่ยุนโฮ ถูกอาจารย์จับติวเหมือนกัน ก็เลยมีช่องว่างให้ได้ใกล้ชิดกับพี่ยุนโฮของนายน่ะสิ”
ผมอยากตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ไม่ใส่ใจว่าแล้วไง แต่ความจริงก็คือผมได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก พลันถ้อยคำในวันนั้นที่ยุนโฮพูดไม่จบก็วกกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง คำพูดสั้น ๆ ที่ทำเอาผมคิดไม่ตกตลอดมา แต่เพราะไม่สบายบวกกับเห็นแก่กินมากเกินไป ผมก็เลยลืมมันไปเสียสนิท ทั้งที่ความจริงแล้วมันยังรอผมอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงที่เดิมที่ยุนโฮเคยเกริ่นออกมาว่า
“เพื่อนนาย...”
หรือว่า... ยุนโฮจะหมายถึงซุนเอ?
มันไม่แปลกหรอกที่ยุนโฮจะชอบซุนเอ เพราะซุนเอเนื้อหอมมาก ยิ่งเธอไม่มีแฟน ผู้ชายมากหน้าหลายตาก็พากันเข้ามาจีบเธอไม่ขาดสายจนเป็นเหมือนเรื่องปกติของคณะเราไปแล้ว
แต่ยุนโฮอย่างนั้นเหรอ
ยุนโฮ... น่ะนะ
ชอบซุนเอ...?
“นายเข้าใจผิดแล้วล่ะมั้ง ชอบตีความอะไรเอาเองอยู่แล้วนี่” ผมทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเสียงของตัวเองมันแปร่งพิกล แล้วมีหรือที่เพื่อนสนิทอย่างจุนซูจะดูไม่ออก
“งั้นไปกับฉันสิ” จุนซูเอ่ยเสียงแน่วแน่ราวกับว่าต่อให้ผมปฎิเสธ เขาก็จะลากผมออกไปอยู่ดี “พวกเขานัดติวเลขกันทุกเย็น นายเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน เย็นนี้ฉันจะมารับ”
“แต่...” ผมไม่แน่ใจว่าผมจะอยากไปเห็นยุนโฮอยู่กับซุนเอ
“ไม่มีแต่” จุนซูดักคอผม “นายชอบพี่ยุนโฮ ฉันยอมยกให้ แล้วไงล่ะ พอเจอซุนเอนิดเดียวนายก็จะถอยแล้วงั้นเหรอไง ป๊อดอะไรนักหนา มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน”
ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชอบยุนโฮ นี่ผมควรแคะขี้หูให้จุนซูมั้ยนะ เขาจะได้ได้ยินในสิ่งที่ผมเพียรบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเนี่ย ผมอธิบายจนเหนื่อยแล้วด้วย ขี้เกียจอีกต่างหาก อีกใจก็ชักคิด ๆ แล้วล่ะว่าปล่อย ๆ ไปก็ได้ ในเมื่อจุนซูไม่คิดจะฟัง งั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอย่างนั้นต่อไปก็แล้วกัน
จุนซูย้ำอีกครั้งว่าจะมารับผมตอนสี่โมง ก่อนจะกลับออกไปเพราะมีนัดไปเที่ยวกับแฟนตัวเองต่อ ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่กลางห้องอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ผมหันไปมองข้าวต้มที่ยังกินไม่หมดอีกครั้ง คนที่ซื้อมาให้ผมเขากำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ เขาทำดีกับผม ห่วงใยผม ดูแลผม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าตัวแทนของน้องชาย
แล้วผมล่ะ
ทำไมผมต้องเศร้าใจเมื่อคิดว่ามีเพียงผมฝ่ายเดียวที่รู้สึกดีด้วย
ผมชักสงสัยแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับยุนโฮกันแน่ การเข้ามาของเขาทำให้ผมตื่นตระหนก แปลกประหลาด แล้วก็อบอุ่นในทุกการกระทำ ทั้งหมดนี่จะหมายถึงพี่ชายได้รึเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าผมเองก็มองยุนโฮเป็นพี่ชายคนหนึ่งไม่ต่างกัน
ส่วนลึกในใจผมรู้ดีว่าไม่ใช่
ผมไม่ได้อยากมีพี่ชาย
แล้ว... ผมอยากมีอะไรล่ะ
จู่ ๆ ผมก็กลัวคำตอบของคำถามนี้ขึ้นมาเสียเฉย ๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ รู้แค่ว่ามันอันตราย... มันอันตรายที่จะปล่อยให้ความเคยชินนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ผมรู้จักยุนโฮได้แค่เดือนเดียว แค่เดือนเดียวเท่านั้น
ทำไมเขาถึงมีอิทธิพลต่อผมนัก
ผมเริ่มไม่อยากไปซะแล้วสิ ถึงจะมีจุนซูไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าให้ต้องไปเห็นยุนโฮอยู่กับซุนเอ ผมก็คิดว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะไป ผมไปแล้วได้อะไรงั้นเหรอ มันจะทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปได้รึไง คำตอบก็ยังคงเป็นคำว่า ‘ไม่’ อยู่ดี
ผมตัดสินใจว่าจะไม่ไป
ถ้าจุนซูมา ผมจะบอกจุนซูว่าผมปวดหัว คงออกจากห้องไม่ไหวแล้ว (ถ้าไม่อ้างแบบนี้ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ต้องลากผมไปแน่) แล้วเพื่อน ๆ ในห้องนี้ล่ะครับ คิดว่าผมทำถูกไหมที่ตัดสินใจอย่างนี้ หรือว่าทุกคนมีทางออกอื่นที่ดีกว่า ผมควรจะไปหรือไม่ไปกันแน่ ถ้าไปแล้วผมจะได้อะไรล่ะ ไปแล้วผมจะทำอะไรได้อย่างนั้นเหรอ นี่ผมนึกไม่ออกจริง ๆ นะเนี่ย ยังไงก็รบกวนช่วยผมหาทางออกอีกครั้งด้วยนะฮะ เฮ้อ ผมนี่ถนัดแต่สร้างปัญหาชะมัด
แจจุง
ความคิดเห็น