คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 11 - 12 - 29 : เจอกันปีหน้าครับผม
29 ธันวาคม 2011
สุขสันต์วันคริสต์มาสย้อนหลังนะครับ อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว เห็นช่องพยากรณ์บอกว่าหิมะจะตกด้วย ถ้าโซลยังหนาวขนาดนี้ แล้วบ้านเกิดผมจะหนาวขนาดไหนกันเนี่ย เลิกบ่นดีกว่า ก็อยากขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยที่คอยอยู่ให้กำลังผมมาตลอด เผลอแป๊บ ๆ ก็ครบเดือนนึงแล้วสินะที่ผมเอาเรื่องมาปรึกษาทุกคนที่นี่ ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกันนะฮะ
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า นับจากวันนั้นมา ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องของซุนเอ ก็อย่างที่ทุก ๆ คนรู้กันดีใช่ไหมฮะว่าผมทำยังไง ใช่แล้ว... ผมหนี (มันเป็นสิ่งที่ผมทำได้เก่งที่สุดในชีวิตจริง ๆ)
ผมหนีหน้ายุนโฮทุกวิถีทาง เราสื่อสารกันผ่านกันโพสท์อิทเท่านั้น แต่... ก็นั่นแหละ สุดท้ายผมก็หนียุนโฮไม่พ้นจนได้
วันนี้เป็นวันที่มหาลัยเปิดเรียนวันสุดท้ายฮะ แล้วก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลหยุดยาวแล้ว ผมก็ออกจากห้องตามปกติ ส่องตาแมวแล้วไม่เจอยุนโฮหน้าห้องก็โอเค เปิดประตูออกไปเรียนได้
“ใจคอจะไม่คุยกันจริง ๆ เหรอ”
“นาย...!” อยู่ดี ๆ เสียงยุนโฮก็ทักผมจากด้านข้าง เล่นเอาสะดุ้งโหยงเลย
ที่ไหนได้ เหมือนยุนโฮจะรู้ทันผม เขาก็เลยยืนพิงกำแพงข้าง ๆ ประตูห้อง ทำให้ผมส่องตาแมวไม่เจอเขาในตอนแรกนั่นเอง (ตกใจผสมแค้นมาก ผมไม่ชอบคนรู้ทันอ่ะ)
ตอนแรกผมก็ว่าจะวิ่งหนี แต่พอมาคิด ๆ ดูอีกที ผมคงหนีเขาไปไม่ได้ตลอดแน่ แถมยุนโฮเล่นดักรอผมขนาดนี้แล้ว จะให้ผมวิ่งหนีเขาอีกก็ดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโตไปหน่อย ผมก็เลยเอาวะ คุยก็คุย ผมหันไปมองยุนโฮ บังคับสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจมันสุดแสนจะยุ่งเหยิง แล้วพอสบตาเขา ผมก็รู้สึกเหมือนความรู้สึกในวันนั้นจะกลับมาอีกครั้ง มันบ้ามากเลยใช่ไหมฮะ ผมไม่เคยรู้สึกอ่อนไหวแบบนี้มาก่อนเลย ต่อให้ทะเลาะกับเพื่อนยังไง ผมก็ไม่ได้ขี้แยถึงขนาดแค่มองตาก็เป็นต้องออกอาการขนาดนี้เสียหน่อย
“มีอะไร” สุดท้ายผมก็หลบตาหนี ไม่ชอบให้ยุนโฮจ้องผมเขม็งแบบนี้เลย ถึงจะไม่ได้กลัวหนวดเขาแล้ว แต่บรรยากาศอึดอัดแบบนี้ก็ทำเอาผมเครียดเหมือนกันนะ
“ทำไมต้องหลบหน้าฉันด้วย”
“...เปล่านี่”
“งั้นทำไมถึงไม่ยอมสบตา”
“...”
“แจจุง”
ผมเม้มปากแน่น จะให้ผมมองหน้ายุนโฮได้ยังไง ในเมื่อผมเป็นฝ่ายหนีมาตั้งนาน เป็นคนเริ่มก่อกำแพงเอง มันยากนะฮะที่จะถล่มกำแพงที่เราเป็นคนสร้างเองกับมือ
“แจจุง” ยุนโฮเรียกผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม เขาทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายผมเข้าไปทุกที ๆ แล้ว “ถ้านายยังไม่ยอมคุย นี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้คุยกันแล้วนะ...”
ทีนี้ล่ะที่ผมหันขวับขึ้นมองหน้ายุนโฮเหมือนตกใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ต้อนรับผมอยู่ก็คือแววตาขบขำของยุนโฮ พร้อมกับประโยคตัวเต็มที่เขายังพูดไม่จบเมื่อครู่ว่า
“...สำหรับในปีนี้”
“ยุนโฮ!” สุดท้ายเขาก็แกล้งผมอีกจนได้ ลืมไปเลยว่านี่มันก็สิ้นปีแล้ว พวกเราก็คงต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวช่วงปีใหม่กัน เจอหน้ากันอีกทีก็ต้นปีนั่นแหละ
“ก็ได้ ๆ เลิกเล่นก็ได้” ปากก็ว่ายอมแพ้ แต่สายตากลับบ่งบอกความเป็นผู้ชนะเต็มที่ ยิ่งสนิทกับยุนโฮ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นหมีแก่จอมอินดี้ที่กวนประสาทคนได้เก่งมากจริง ๆ ทีตอนรู้จักกันใหม่ ๆ ล่ะ ตีหน้าตายอย่างกับฆาตกรโรคจิตชัด ๆ ยุนโฮมองหน้าผมเหมือนพิจารณาสิ่งสำคัญบางอย่าง แล้วจึงเอ่ยออกมาว่า “หายดีแล้วใช่มั้ย”
“อืม...”
“แล้วอยากคุยเรื่องนั้นไหม”
ใจนึงก็อยากย้อนกลับไปว่าเรื่องไหน แต่ลึก ๆ แล้วผมก็รู้ดีแหละว่าเรื่องอะไร และมันก็คงป่วยการที่ผมจะเมินเฉยแล้วล่ะ เพราะงั้นผมจะลองสู้ดูสักตั้งก็แล้วกัน
“นายเชื่อซุนเอรึเปล่าล่ะ” ผมย้อนกลับไปแบบนั้น
“แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเชื่อไหมล่ะ” แล้วดูหมีแก่ย้อนผมสิฮะ น่าฆ่ามาก
“ฉัน... ฉันไม่มีสิทธิ์ไปบังคับใจนายนี่ นายจะเชื่อยังไงก็ตามใจ..... ยิ้มอะไรของนายน่ะ!”
“เปล่า คือฉันแค่... คือนายกำลังงอนใช่มั้ยนั่น”
“บะ... บ้า!!” ผมงี้ควันออกหูเลย ร้อนไปทั้งหน้าเลยฮะ “ทำไมฉันต้องงอนนายด้วย ฉันโกรธต่างหากเล่า”
“โกรธฉันงั้นเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”
นี่ผมต้องพูดออกไปจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนต้อนก็ไม่รู้แฮะ แต่คงเพราะเหตุการณ์มันผ่านมาหลายวัน ทั้งสติทั้งขวัญของผมก็กลับมาครบแล้ว ผมก็เลยยังใจเย็นได้อยู่ แถมยุนโฮเขาก็ไม่ได้เค้นอะไรผมเลยนี่นา
“ก็... ก็นายเชื่อเธอ” ผมงึมงำด้วยโทนเสียงเดียวกับแมลงหวี่
“ถ้าฉันเชื่อซุนเอ ฉันจะมาถามนายแบบนี้เหรอ” ยุนโฮถอนใจใส่ผม อ้าว แล้วตกลงว่าเขาไม่ได้เชื่อซุนเอหรอกเหรอ ผมเริ่มงงซะแล้วสิ “เพื่อนนายแต่ละคนนี่ยังไงกันนะ ฉันสับสนไปหมดแฮะ แต่ละคนให้การไม่ตรงกันซักคน”
“เห? เดี๋ยว ๆ นายหมายความว่าไงน่ะ”
“ก็ซุนเอบอกว่านายเป็นคนราดน้ำใส่เธอใช่มั้ย” ผมพยักหน้า “แต่จุนซูกลับบอกว่าเขาเป็นคนสาดน้ำใส่เธอเองต่างหาก”
ทีนี้ล่ะที่ผมตาโตเป็นไข่ห่าน จุนซู๊วววววว อะไรดลใจให้เพื่อนผมรับผิดแทนเธออย่างนั้นเนี่ย แล้วผมก็ไม่เห็นเขาเล่าอะไรให้ผมฟังเลยนี่นา (หรืออันที่จริงก็คือผมไม่อยากฟังเองนั่นแหละ) วินาทีนั้นผมอยากวิ่งกลับเข้าห้องแล้วโทรไปหาเจ้าเพื่อนตัวดีมาก เขาเสียสละเพื่อผมขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าจุนซูมีแผนอะไรในใจไม่บอกผมอีกแล้วกันแน่ เกรงว่าจะเป็นอย่างหลังแฮะ
“สองคนให้การไม่ตรงกันเองซะงั้น” ยุนโฮลูบเครารุงรังของเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเบือนสายตามองจ้องผมเป็นการปิดท้าย “ฉันก็เลยว่ามาถามนายดีกว่า”
“แล้วถ้าฉันพูดไม่ตรงกับสองคนนั้นอีกล่ะ”
“ฉันก็ว่าจะเชื่อนาย”
วูบหนึ่งที่ใจผมเต้นแรง แล้วต่อมาที่ผมรู้สึกได้ก็คือความดีใจ ทั้งที่เป็นประโยคง่าย ๆ ไม่กี่คำแต่ทำไมผมกลับหุบยิ้มไม่ได้ก็ไม่รู้ ความเครียดทั้งหมดที่ผมแบกมาตั้งนานหายวับไปราวกับเวทมนตร์ ผมนี่บ้าชะมัด ทำไมต้องคิดอะไรคนเดียวอยู่ได้ตั้งนานก็ไม่รู้ แล้วกว่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ผมก็เผลอหลุดปากออกไปซะแล้วว่า
“ขอบคุณนะ...”
“นี่ ๆ นายยังไม่ได้ให้คำตอบฉันเลยนะ” ตาหมีแก่ผลักหัวผมเบา ๆ “แต่... ก็เอาเถอะ ถ้านายจะพูดไม่เหมือนสองคนนั้นอีก งั้นฉันก็ชักไม่อยากรู้แล้วล่ะ ถือซะว่าเป็นเรื่องภายในของเอกนายก็แล้วกัน รุ่นพี่ต่างคณะอย่างฉันไม่ขอยุ่ง”
“ทำเป็นเท่” ผมจิ๊ปาก ลูบผมตัวเองเพื่อจัดทรง เขาชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็ก ๆ ทุกทีเลย ตอนนี้ผมสบายใจแล้วล่ะ สบายใจมาก ๆ ๆ เลยด้วย ยุนโฮก็ยังเป็นยุนโฮที่อินดิเพนเด้นท์สูงส่งเหมือนเดิม ผมไม่น่าไปคิดอะไรแทนเขาเองตั้งแต่แรกเลย และการกระทำของยุนโฮก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีต่อเขาเพิ่มขึ้นด้วย ผมอยากเป็นให้ได้อย่างเขาบ้างจัง “งั้นฉันไปเรียนล่ะนะ เจอกันอีกทีปีหน้าก็แล้วกัน”
ยุนโฮมองมือของผมที่ยื่นไปให้เขาจับแวบหนึ่ง หวังว่าเขาคงไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อหรอกนะ
“อย่าลืมห่มผ้าหนา ๆ ล่ะ” สุดท้ายเขาก็จับมือผมกลับ พวกเราเขย่ามือกันสองสามทีโดยที่รักษารอยยิ้มให้กันได้เป็นอย่างดี
“จริงสิยุนโฮ ไหน ๆ ก็จะจบปีแล้ว ฉันยังมีอีกคำถามที่ค้างคาน่ะ”
“ว่า?”
“ตอนนั้นที่ฉันถามเรื่องคนที่นายชอบ แล้วนายตอบออกมาว่า ‘เพื่อนฉัน...’ นั่นน่ะ คือนาย... นายหมายถึงใครเหรอ” ใจผมก็เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตอนถามมากเลยล่ะ กลัวคำตอบของยุนโฮอยู่เหมือนกัน แต่ความอยากรู้มันก็เอ่อมาถึงคอผมแล้วเนี่ย เพราะงั้นถือโอกาสที่จะไม่ได้เจอหน้ากันอีกอาทิตย์นึงชิงถามก่อนดีกว่า
“อ้อ ฉันจะถามนายว่าเพื่อนนายให้มาถามเหรอ”
ป่าววววว ผิดคาดไปเลยแฮะ ผมหัวเราะแก้เก้อ ก็อย่างว่า ยุนโฮคงไม่ได้มีรสนิยมเหมือนจุนซูหรอก เขาดูเถื่อน ๆ แมน ๆ จะตายไป “งั้นก็แล้วไป”
“ทำไม มีอะไรงั้นเหรอ นายดูสนใจเรื่องของฉันจังนะ” เขาเขยิบเข้ามาใกล้ผมอย่างคาดคั้น ยิ่งถูกตาหนวดจ้องในระยะประชิด ผมก็ยิ่งรนจนตอบอะไรไม่ถูก “คนที่ฉันชอบเกี่ยวอะไรกับนายอย่างนั้นเหรอแจจุง”
“เอ่อ... ก็..... ก็อยากรู้ไว้เฉย ๆ ไง อ่ะยุนโฮ! ฉันต้องรีบไปเรียนแล้วล่ะ บ๊ายบาย” และแล้วผมก็ทำในสิ่งที่ผมถนัดที่สุดอีกครั้ง นั่นคือหนีครับ ผมรีบวิ่งออกมาอย่างเร็วไว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายหันกลับไปมองยุนโฮอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอยากเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรอกนะ (ผมพูดจริง ๆ นะ ผมพูดจริงจริ๊งงงงง) แต่ผมแค่อยากให้มั่นใจว่าหมีติสต์แตกจะไม่วิ่งไล่ตามผมมาต่างหาก
แล้วพอผมหันกลับไปมอง ผมก็เห็นยุนโฮยืนอยู่ที่เดิมแบบไม่คิดจะตามมา แต่แค่โบกมือลาผมเฉย ๆ ซึ่งมันก็แค่นั้นใช่มั้ยฮะ แค่โบกมือลาเอง
แต่ทำไมผมกลับมีความสุขชะมัดเลยก็ไม่รู้...
แจจุง
ลืมอาซินกันไปรึยังคร๊าาาา
กว่าจะเข็นเรื่องนี้ได้แต่ละตอน ยากม่ากกกก หรือเพราะเราหมดไฟ (??) มีความเป็นไปได้สูง แต่ที่ยังเข็นออกมาได้ก็เพราะรู้ว่ามีคนอ่านรออยู่นี่แหละค่ะ แต่อืมมมมม เรามาพูดเปิดอกกันดีกว่า ในเมื่อไหน ๆ อาซินก็หมดไฟแล้ว ขอให้ทุกคนช่วยตอบช่วยคิดหาทางออกให้แจจุงจากใจจริงไปเลยก็แล้วกัน ไม่มีเกมโอเวอร์แล้ว แต่เน้นฮากันดีกว่า เผื่ออาซินจะยังมีไฟขึ้นมาบ้าง
แต่ฮาในที่นี้เนี่ย... คือขอให้อยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้จริงด้วยนะคะ
คือแนะนำอะไรก็ได้แหละ ไม่ต้องกลัวเกมโอเวอร์ แต่อย่าหลุดโลกเป็นพอ เก็ทมะคะ
แล้วก็ไม่รู้เป็นอารายยยย (ไม่ได้คันหู) อาซินอยากแต่งอะไรที่ทำร้ายแจจ๋ามากเลยอ่ะ คล้าย ๆ โรคประจำตัวกำเริบ มันมักเป็นอย่างนี้ปีละครั้งค่ะ นึกว่ารักษาหายขาดด้วยไรออทแล้วซะอีก ฮือ ใครมีวิธีรักษาบ้างมั้ยคะ T____T
ปล. รักคนอ่าน
ความคิดเห็น