ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter Ten

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.47K
      28
      14 เม.ย. 63

    The Goat’s Howling by Lingbahh

     

    Chapter Ten

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ด้วยความโมโห  ผมจึงทำความสะอาดบ้านอย่างบ้าคลั่ง เก็บกวาดฝุ่นผงทุกเม็ดไม่ให้มีเหลือและลงท้ายด้วยการนอนแผ่หลาหอบแฮ่ก  ตัวร้อนระอุทั้งๆที่อุณหภูมิภายในบ้านเรียกได้ว่าถ้ำน้ำแข็ง  บ้านเช่าหลังน้อยมีพื้นที่ให้เก็บกวาดมากกว่าที่คิด นี่ยังไม่รวมไปถึงโคมไฟหรูหราที่ประดับอยู่กลางห้องรับแขกและโซฟาผ้าบุนวมตัวเก่าที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด เซธกับแม่รื้อพรมไปด้วย ดังนั้นเราจึงเหลือพรมเก่าที่ไม่ได้ใช้งานมานานหลายปีม้วนหนึ่งอยู่ในห้องเก็บของหลังบ้าน  เมื่อรื้อออกมาก็ต้องไอจนตัวงอเพราะฝุ่นที่ฟุ้งตลบ  แถมคันคอราวกับกลืนหมามุ่ยลงไปทั้งกำมือ   กว่าจะจัดการกับพรมเสร็จผมก็แทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่  จำใจต้องเดินไปเคาะประตูห้องนอนใหญ่สีขาวครีม  เตียงนอนที่อุตส่าห์ทำจนเสร็จแล้วและกะจะไว้นอนเอง ตอนนี้ถูกยึดพื้นที่ไปด้วยกองเอกสารราชการและเดรโกที่นั่งไขว่ห้างคุยโทรศัพท์บ้านธรรมดาๆ อยู่ 

     

    “ฉันเอง” นายตำรวจเพื่อนพี่ชายกรอกเสียงลงไป เขาเพิ่งเริ่มการสนทนา “ตรวจสอบกล่องพัสดุหรือยัง”

     

    โทรศัพท์ที่บ้านนี้เป็นลักษณะโทรศัพท์สำหรับสำนักงาน  จึงมีปุ่มเปิดลำโพงด้วย  เจ้าของห้อง (คนยึดห้อง) กระดิกนิ้วเรียกผมให้เข้ามาแล้วกดเปิดลำโพง

     

    “ตรวจแล้ว แต่ขอถามก่อน  เด็กเอมิลบอกว่า ได้รับพัสดุสองกล่อง  งั้นอีกกล่องหนึ่งอยู่ที่ไหน และใครส่งอะไรมา”

     

    “อ้อ อีกกล่องฉันน่าจะทิ้งไปแล้ว นายลองไปดูในถุงขยะถ้าเขายังไม่ได้เก็บไปทิ้ง” เดรโกตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ “มีคนส่งแยมผลไม้มาให้สองกระปุก  ฉันก็เลยเอามาด้วยเสียเลย”

     

    กอร์ดี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะ “พัสดุกล่องที่สองนั่นน่ะถูกส่งมาจากอัลเท็มไฮม์จริง แต่เป็นคนละใบเสร็จรับเงินกับกล่องแรก  ตรวจสอบลายนิ้วมือแล้ว มีลายนิ้วคนคนเป็นสิบอยู่ด้านนอกตัวกล่องแต่ด้านในไม่พบลายนิ้วมือใดๆ เลย”

     

    “แล้วส่งจากที่ไหนล่ะ”

     

    “ที่ทำการไปรษณีย์พิเศษหน้ามหาวิทยาลัยเออร์เฟิร์ต โชคร้ายสุดๆตรงที่วันที่ใครคนนั้นส่งของมาให้คุณ ดันเป็นวันที่มีการซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้า ทำให้ไฟดับเป็นระยะ ทางไปรษณีย์จำเป็นต้องออกใบเสร็จรับเงินที่เขียนด้วยลายมือให้กับทุกคนที่ไปส่งของในช่วงเช้าวันนั้น”

     

    เดรโกเหลือบมองผม ผมพยักหน้าแล้วล้วงกระเป๋าสตางค์ให้เขาดูใบเสร็จที่ผมมี ซึ่งออกด้วยลายมือที่ลงชื่อผู้ส่งมั่วๆ ว่า โยฮันน์ กัตต์

     

    “ในใบเสร็จมีชื่อผู้ส่งหรือเปล่า”

     

    “อย่าได้หวัง  ก๊อปปี้ที่เราได้มามีสองฉบับ  ฉบับหนึ่งจากโยฮันน์ กัตต์  อีกฉบับเขียนว่า เอ่อ.....นี่มันชื่อคนเหรอเนี่ย หรือก๊อปปี้มาไม่ดี”

     

    “เอาใหม่ซิ สะกดยังไง”

     

    “S-G-Z-Z-O-A-Y S. นี่มันเขียนมั่วซั่วชัดๆ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ปล่อยละเลยได้ยังไง”  การ์ตี้มีน้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด  เดรโกเลื่อนกระดาษให้ผมดูชัดๆ ผมรีบส่ายหัวออกตัวว่าไม่รู้เรื่องใดและไม่คิดว่านี่จะเป็นชื่อมนุษย์มนาที่ไหนในภูมิภาคใดของโลกใบนี้ด้วย

     

    “นั่นสินะ คงจะเขียนมั่วๆ” เดรโกสรุปอย่างนั้น “ไว้ฉันจะโทรมาใหม่” 

     

    “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวาง ทีมพิสูจน์หลักฐานพบรอยกรีดแปลกๆ บนหลังมือด้วย เป็นชุดตัวอักษรที่ไม่เรียงกันชุดหนึ่ง”

     

    “หือม์” 

     

    “งานยากเลยเดรโก อักษรประหลาดพวกนั้นต้องการสื่อสารกับคุณ ผมส่งรูปไปให้คุณทางอีเมล์แล้ว” กอร์ดี้ว่าอย่างนั้น “คิดอะไรออกบ้างไหม ไม่รู้สินะ ผมคิดว่าคุณอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ได้”

     

    ไม่ต้องรอให้สั่ง ผมคว้ากระเป๋าโน้ตบุ้คของเดรโกมาเปิดเครื่องทันที แต่ก็ลืมว่าที่นี่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้เพราะเราเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ เดรโกส่ายหัวทำนองว่ายังไม่ต้องเปิด “ขอบใจมากกอร์ดี้ ฉันจะเช็คดูเอง ว่าแต่ช่วยอธิบายคร่าวๆได้ไหมว่ามันเหมือนอะไร”

     

    “เอาคร่าวมากๆ ก็คือ มันเหมือนปริศนาอักษรไขว้ ที่ไม่รู้ใส่อะไรลงไปไว้   ทีมพิสูจน์หลักฐานพยายามค้นหาคำที่ซ่อนอยู่ด้วยภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศสแล้วแต่ไม่พบอะไร  ทั้งๆที่จริงๆน่าจะเป็นรหัสภาษาฝรั่งเศสนะ ถ้าคิดว่ามันส่งมาจากอัลเท็มไฮม์”

     

    เดรโกฉีกกระดาษมาเขียนให้ผมอ่านหวัดๆ -ยังไม่ต้องเปิด ฉันจะตั้งค่ารหัสความปลอดภัยก่อน- ผมอ่านแล้วพยักหน้า  นั่นสินะ ขนาดโทรศัพท์เขายังไม่ยอมใช้โทรศัพท์มือถือแต่กลับใช้โทรศัพท์พื้นฐานแล้วป้อนรหัสอะไรไม่รู้ยาวเหยียดก่อนโทรออก ระวังตัวแจชนิดว่าไม่แน่ว่าเป็นผู้รักษากฏหมายหรือผู้ใช้ช่องว่างของกฏหมายกันแน่

     

    “อืม มันอาจจะเป็นไปได้ ฉันจะเช็คอีเมล์ดู  ว่าแต่ให้ความสำคัญกับคดีในระดับไหนล่ะ”

     

    ปลายสายถอนหายใจ “ไม่มีเจ้าทุกข์แปลว่าไม่เร่งรีบ ตอนนี้ทุกคนหัวหมุนไปกันหมดกับคดีฆาตกรรมที่กระทรวงนั่น สารวัตรเจองานช้างอีกแล้วเพราะผู้ต้องสงสัยก็เป็นผู้มีอิทธิพลเช่นกัน  โอดครวญหานายอยู่ทุกวัน  น้อยใจจะแย่”

     

    เวลาฟังผู้ชายวัยปลายยี่สิบทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่เพื่อนร่วมงาน  มันตัดสินยากมากว่าจะน่าเอ็นดูหรือน่าหมั่นไส้ “นั่นเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาต้องชดใช้เอง” 

     

    “พูดจาตัดรอนอะไรอย่างนั้น กลับมาช่วยผมเหอะน่า นี่เบื้องบนก็บี้มาจนไม่ได้กินไม่ได้นอนแล้ว”

     

    “นั่นล่ะชีวิตนักสืบ ราตรีสวัสดิ์กอร์ดี้” 

     

    ไม่ฟังเสียงประท้วงของกอร์ดี้ คนที่โทรถามก็วางสายเสียดื้อๆ เราสองคนนั่นเพ่งกระดาษอยู่อย่างนั้นราวกับว่าดูไปนานๆ แล้วจะมีอะไรลอยออกมาได้  เดรโกคงมีอะไรอยู่ในใจถึงได้ขมวดคิ้วเสียเป็นปมอย่างนั้น แต่ผมนี่สิ...นอกจากไม่มีอะไรในสมองแล้วยังไม่มีอะไรในท้องด้วย  เสียงกระเพาะที่ครวญครางร้องขอความเห็นใจ จึงนึกขึ้นได้ว่าผมเดินมาในห้องนี้เพราะความหิวนี่นา  

     

    “นายมีอะไรเอมิล”

     

    ผมกระพริบตาปริบๆ ทำหน้าตาน่าสงสารปานจะเป็นลม

     

    นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่สายตาเว้าวอนและเสียงครวญจากท้องเป็นฝ่ายเอาชนะเดรโกได้ หรือจะเพราะสงสารที่ผมเปรอะเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัวราวกับซินเดอเรลล่าผู้ต้องนอนข้างกองถ่านก็เป็นได้ มื้อค่ำวันนั้นผมจึงได้ออกไปกินอาหารดีรสชาติเยี่ยมและเบียร์เย็นเป็นวุ้นในร้านอาหารกึ่งบาร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน และมีไฟกระพริบหลายสีเหมือนหน้าคาบาเร่ต์โชว์  เราจอดรถห่างจากร้านนิดหน่อยแล้วเลือกที่จะเดินด้วยกัน  อากาศหนาวเย็นด้านนอกเล่นเอามือของผมแทบจะกลายเป็นอัมพาต  ได้แต่ซุกมันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตกันหนาวมิดชิด ผมหิวแทบแย่แต่เดรโกยังคงเลือกที่จะยืนสูบบุหรี่อยู่ริมถนน ดวงตาคมคู่นั้นเหมือนจะไม่ใส่ใจใครบนโลกแต่ที่จริงแล้วกำลังจับตามองพฤติกรรมของผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างพินิจพิจารณา  เช่นเดียวกับเหยี่ยวที่คอยจ้องมองเหยื่อเงียบๆ รอคอยเวลาที่จะโฉบและฉีกเนื้อเป็นชิ้น  ยิ่งอยู่ใกล้เขาผมยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อันตรายพอๆกับการใช้ชีวิตในกรงเดียวกันกับสัตว์ป่าที่เห็นคนอย่างผมเป็นอาหารอันโอชะ

     

    เขาเลือกร้านที่เรานั่งกันอยู่ด้วยเหตุผลเดียว.... นั่นก็คือร้านนี้มีตำรวจเดินเข้าๆออกๆ หลายคน ผมไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ตอนนั้นก็หิวโหยเกินกว่าที่จะเลือกกินและก็ค้นพบว่าผับตำรวจก็ไม่เลวเท่าไรนัก แม้ว่าจะได้อาหารค่อนข้างช้าและคนที่มาเสิร์ฟก็เป็นยายแก่หน้าตาไม่รับแขกที่เขียนตาสีเขียวเหมือนโดนต่อยเบ้าตาสองข้างมา เอาเถอะ อย่างน้อยเบียร์วุ้นก็รสชาติละมุนลิ้นและเนื้ออบที่นี่ก็รสชาติเยี่ยม  จะว่าผมไม่ได้กินของดีๆ มานานแล้วก็อาจจะเป็นไปได้

     

    ภายนอกของร้านเป็นบ้านทรงฮาล์ฟทิมเบอร์เหมือนๆกับบ้านเช่าของเรา แต่ในร้านนี้ภายในตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด มีไฟสีเหลืองนวลตาจากโคมไฟทรงกรวยที่ห้อยลงมาจากเพดาน สะท้อนแสงกับขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากที่เรียงรายอยู่หลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มที่มีแต่ตำรวจคู่หนึ่งนั่งคุยกันด้วยสีหน้าอมทุกข์  ในร้านค่อนข้างสงบเมื่อเทียบกับร้านในเมืองหลวง มีเสียงอึงอวลของเสียงตาแก่ขี้เมาเอ็ดตะโรคุยกันในวงไพ่ ตำรวจเลิกกะที่ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องงานได้ เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะหูมัวแต่เปิดรับสัญญาณฟังข้อมูลที่ถาโถมใส่อยู่รอบตัว ซึ่งมีทั้งเรื่องมีสาระ ไร้สาระ เสียงบ่นจากคนเฒ่าคนแก่ถึงชุมชนเด็กวัยรุ่นอีกฝั่งหนึ่งของเมืองและการซุบซิบนินทาอย่างเปิดเผยโดยไม่แยแสแขกที่มาใหม่สองคนผู้นั่งหูผึ่งราวกับจานรับสัญญาณดาวเทียมอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน

     

     

     

    ไม่น่าเชื่อเลยนะ....เรื่องสารวัตร  

     

    ชู่ว์....

     

    นายก็รู้ว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลย สารวัตรอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่นี่ แต่เขาไม่ใช่คนที่จะขับรถตกเขาแน่

     

    นายสงสัยงั้นเหรอ มันอันตรายนะ.... เราอย่ายุ่งดีกว่า

     

    ฝั่งโน้นทำเกินไปหน่อยแล้ว

     

    ทุกคนเตือนเขาแล้ว  หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ  ฉันเข้าใจนะว่านายบูชาเขามาก แต่ไม่อยากเป็นคนต่อไปใช่ไหมล่ะ

     

    ....

     

    หลังงานฝังศพ ฉันตกใจแทบตายที่เห็นเซธมาเก็บของๆพ่อเขาที่ออฟฟิศ 

     

    จริงเหรอ 

     

    (พยักหน้า) 

     

    ฉันไม่รู้จะปลอบเซธยังไงดี เขาเป็นเด็กดีมากนะ แต่พอเรารู้อยู่แก่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น  แค่มองหน้าเซธ  ฉันก็รู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้

    หน้าเลย

     

    เด็กคนนั้นไม่มีน้ำตาสักหยด ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกแย่... นายว่าเราแวะไปคุยกับลอร่าหน่อยดีไหม  อย่างน้อยก็ได้แสดงน้ำใจบ้าง

     

    ฉันก็อยากไป

     

    เราไปด้วยกันสิ ฉันกับแก

     

    แต่เราต้องเตรียมตัวให้ดี ถ้าเซธถามขึ้นมา.... เราจะรู้ได้ยังไงว่าเซธรู้เรื่องแค่ไหน  สารวัตรอาจจะเคยเล่าอะไรให้ลูกชายฟัง

     

    (ยกมือโบกปฏิเสธ) ไม่มีทาง สารวัตรรักเซธมาก แต่สองพ่อลูกเอาแต่ปั้นปึ่งใส่กัน เขาไม่มีทางเล่าอะไรให้เจ้าหนูนั่นฟังแน่ๆ 

     

    (ถอนหายใจยาว) พรุ่งนี้....ฉันจะไปรับที่บ้านตอนเช้า แล้วเราไปเยี่ยมลอร่ากับเซธด้วยกัน  นายคิดว่าแอนนาแบลล์พอจะทำของเยี่ยมอะไรไปฝากแม่ลูกได้บ้างไหมล่ะ  อย่างเอิ่ม....ขนมอบ หรือ พายสักชิ้นอะไรแบบนี้

     

    แต่...ฉันได้ยินมาว่า จริงๆ แล้วเซธเคยถูกจับ

     

    ไปเอามาจากไหน

     

    คนในทีมนั่นล่ะ อุบเงียบกัน ไม่ตั้งข้อหา

     

    เซธเนี่ยนะ.... เรื่องเข้าใจผิดล่ะมั้ง

     

    บางที เซธอาจจะรู้เรื่องแต่โดนสั่งให้เงียบแล้วสารวัตรเป็นคนออกโรงเองก็ได้  ไม่มีพ่อคนไหนไม่ปกป้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหรอก

     

    ชู่ว์  อย่าเที่ยวไปพูดกับใครเชียว  ถึงจะเป็นข่าวลือ แต่ใช่ว่าพวกนั้นจะปล่อยไว้...

     

    เคยได้ยินมานะ ว่าคนที่เป็นสายให้เรื่องนี้ก็คือ....คนที่เจ้าเด็กนั่นเคยคบอยู่ด้วย

     

    หมอนั่นน่ะนะ? ไม่น่าจะเป็นไปได้

     

    เลิกกันไปหลายเดือนแล้ว ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นเพื่อนกันนี่ ที่สารวัตรเปิดเผยตัวสายสืบไม่ได้เป็นเพราะว่าสายสืบดันเป็นคนที่นอน

    กับลูกชายตัวเองต่างหาก

     

    หล่อๆ อย่างเด็กเซธนั่นไม่น่าจะชอบผู้ชายด้วยกันหรอกนะ

     

    โลกมันเปลี่ยนไปแล้วเพื่อน....  

     

    แน่ใจเหรอ

     

    เขาปิดกันให้แซด เราคอยจับตาดูก็แล้วกัน ไม่มีใครรู้ว่าทางนั้นจะเขี่ยใครเป็นรายต่อไป

     

     

     

     

     

    เดรโกวางแก้วเบียร์ลงแล้วเรียกเก็บเงิน ดึงแขนผมให้ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปด้วยกันโดยที่ไม่พูดอะไร  ห่างออกร้านอาหารเพียงข้ามฝั่งถนนมีร้านขายของสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์จากเมืองใหญ่  เดรโกควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้ผม

     

    “ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ”

     

    คิ้วสวยเลิกสูงเป็นเชิงถามว่าทำไม

     

    “ข้างนอกมันออกจะหนาว” ผมตอบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายอ้าปากถาม  แต่เมื่อเห็นรถตำรวจคันหนึ่งมาจอดเทียบอยู่หน้าร้านฝั่งตรงข้ามก็เข้าใจทันทีว่าเขาคงต้องการดูลาดเลาอยู่ด้านนอก “งั้นเดี๋ยวมา”

     

     

     

     

     

    “นักศึกษาเหรอ”

     

    น้ำเสียงแข็งๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรทักถามมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์จ่ายเงินที่ทันสมัยภายในร้านที่เป็นกระจกเกือบทั้งหมด ดูขัดแย้งแตกต่างจากบ้านหลังอื่นๆในพื้นที่แต่ก็สว่างไสวน่าอุ่นใจที่สุด  ผมเงยหน้าผ่านกองข้าวของประทังชีวิตก็สบตากับชายรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชาย เขาที่มีใบหน้าที่ไม่อาจลืมลงได้จากรอยแผลไฟไหม้ที่พาดตั้งแต่กึ่งกลางคิ้วขวาไปยังซีกหน้าด้านซ้าย ผมหย่อมหนึ่งหายไปหนังศีรษะ ดวงตาสีน้ำผึ้งของเขาจ้องมองผมผ่านแว่นสายตา  เสียงของเขาแหบอยู่ในคอ กระนั้นมันไม่อาจซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ ดวงตาคู่นั้นคาดคั้นคำตอบ ผมอึกอัก “เอ้อ....เปล่าน่ะ ผมมาพักผ่อน”

     

    “ที่นี่เนี่ยนะ มาผิดเมืองเสียแล้วล่ะเจ้าหนู” ชายผู้อยู่หลังเคาน์เตอร์พูดไป มือก็ใช้เครื่องยิงบาร์โค้ดเช็คราคาอย่างขันแข็ง  เขาสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมองสินค้าในมือด้วยซ้ำไป  ผมจ้องมองมือ เป็นมือที่ตัดเล็บสั้นสะอาดสะอ้านแต่มีร่องรอยหยาบกร้ายและแผลเป็นเล็กๆน้อยหลายแห่ง

     

    “ผม...เออ...มากับผู้ปกครองน่ะ เขาจะมาทำธุระระยะยาวที่นี่” ผมตอบเลี่ยงๆ แล้วยื่นธนบัตรยับๆ ให้อีกฝ่าย  ผมเห็นเขาหย่อนน้ำอัดลมกระป๋องลงในถุงกระดาษสีน้ำตาลให้ผมด้วย “เอ๊ะ ผมไม่ได้สั่ง”

     

    “แถมให้น่ะ... แถวนี้ไม่ค่อยมีวัยรุ่นโผล่มาเท่าไรหรอก มีแต่พวกขี้เมา  คนขับรถบรรทุก แล้วก็ตำรวจ” สองแขนที่เลื่อนถุงใส่ของมาให้ผมบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนแข็งแรง ดูจากกระดูกและกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ผิวหนังบางส่วนที่ใต้เสื้อสเว็ตเตอร์ไหมพรมแขนยาว ตัวใหญ่สูสีกับเดรโกทีเดียว “จะอยู่นานแค่ไหน”

     

    ผมส่ายหัว “ไม่รู้สิ มีอะไรหรือเปล่า”

     

    “ที่นี่ขาดเด็กพาร์ทไทม์อยู่น่ะ  ถ้าไม่มีอะไรทำก็แวะมาสิ  ถึงวันๆจะเจอแต่พวกตำรวจแต่พวกเขาก็มีน้ำใจและฝั่งนี้ก็....ไม่เลว ถ้าเทียบกับเมืองฝั่งโน้น”

     

    ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วอุ้มถุงใส่ของสีน้ำตาลสองใบโตเดินออกไปนอกร้านที่มีกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง  เดินลงบันไดหินด้านหน้าอย่างระมัดระวังและยื่นถุงใบหนึ่งให้เดรโกช่วยถือ ด้วยเกรงว่าหากประคองไปทั้งสองใบบนทางเดินมืดๆ ผมมีแววจะล้มหัวทิ่มไปเสียก่อน  เดรโกมองซองบุหรี่ที่ผมซื้อติดมาด้วยแล้วพยักหน้า “ซื้อมาถูกซะด้วย  ฉันไม่ได้วางซองบุหรี่ให้นายเห็นเสียหน่อย”

     

    แต่คุณก็สูบอยู่ยี่ห้อเดียวไม่เปลี่ยนมาหลายปีแล้วนี่ ผมตอบในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพียงแค่กลอกตามองไปรอบ 

     

    “แคชเชียร์ของร้านลิดล์บอกผมว่า ขาดเด็กทำงานในร้านอยู่”

     

    “แล้ว”

     

    “ผมว่ามาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ก็ไม่เลว...เอ่อ...ในเมืองแถวๆนี้มีแต่ตำรวจ เราคงรู้เรื่องอะไรขึ้นบ้างล่ะ แล้วอีกอย่างช่วงกลางวันคุณคงไม่อยากเห็นผมอยู่เฉยๆให้รกหูรกตา” ผมตอบขณะที่เราสองคนเดินย้อนกลับไปที่รถคันสวยที่จอดแอบอยู่ในมุมมืด วางถุงกระดาษที่อัดแน่นไปด้วยข้าวของเสบียงกรังแล้วย้ายตัวเองไปนั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “อย่างน้อยก็คงได้ค่าจ้างมาใช้จ่ายส่วนของตัวเองบ้าง คงไม่ขัดข้องใช่ไหม”

     

    เดรโกสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เจ้าแอสตันมาร์ตินพลางคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเอง “ยังไม่ให้ทำ”

     

    “อ้าว ทำไมล่ะ”

     

    “ฉันบอกแล้วว่า ยังให้ไปไหนไม่ได้  ตอนนี้ปลอกคอยังไม่มาก็อยู่บ้านเฉยๆ ไปก่อน ยังมีบ้านอีกทั้งหลังให้ทำความสะอาด”

     

    “ปลอกคออะไร นี่ล้อเล่นหรือเอาจริงเนี่ย ผมไม่ใช่หมานะเว้ย” ผมขึ้นเสียง  ทำไมตำรวจบ้านี่ชอบหาเรื่องมาให้โมโหอยู่เรื่อยเชียว  นั่นล่ะ ถึงผมโมโห ใช่ว่าเดรโกจะแยแส รถของเราเคลื่อนตัวไปด้านหน้าฝ่าเกล็ดหิมะขาวที่ยังคงโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม

     

    “ปลอกคอติด GPS ฉันไม่ได้จะล่ามนายไว้เฝ้าบ้านแต่เสี่ยงมาถึงนี่แล้ว ถ้าวันไหนนายไม่กลับจะได้ตามหาศพเจอ....”

     

    ตกลงว่านี่เอาจริง เห็นผมเป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ผมมองเขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าเอาอะไรมาคิด ใส่ปลอกคอให้คนอื่นเนี่ยนะ เดรโกมันเป็นโคตรเผด็จการ โคตรบ้าอำนาจและโคตรหลงตัวเอง!

     

    ไม่น่าเลย!! ไม่น่าเอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับคนบ้าๆนี่เลย ให้ตาย!

     

    ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่  ได้แต่ให้ความร่วมมือแล้วจัดการทำทุกอย่างที่จะช่วยให้.... ช่วยอะไรดีล่ะ ช่วยให้หาเจ้าของมือแล้วตัวการสร้างเรื่องพิลึกให้เจอ หรือไม่ก็คงต้องช่วยให้เดรโกมีข้อมูลมากพอที่จะจับตัวการค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้ก่อนที่เขาจะสิ้นสุดอายุราชการ  เรื่องมันก็คงจะซับซ้อนแค่นี้แหล่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าเราต้องหาแมทเทียสให้เจอ มันก็คงเป็นแค่ข้ออ้างที่จะลากผมไปนู่นไปนี่ตามใจได้

     

    “นี่ ถามจริงๆเถอะ  ลากผมมาด้วยทำไม  ถ้าคุณจะมาสืบคดีคุณมีความสามารถจะทำเองได้อยู่แล้ว”

     

    ดวงตาคมกริบเลื่อนมามองผม “ฉันบอกสักคำเหรอว่าจะมาสืบคดี”

     

    “ไม่ได้พูดแต่ก็ทำอยู่นี่ ผมรู้แค่ว่าคุณจะตามหาแมทเทียสก็เท่านั้น เรื่องอื่นยังไงก็คงไม่สำคัญเท่า”

     

     

    คนที่ขับรถอยู่ดึงบุหรี่ออกจากซอง   ปลายมวนหันมาทางผมแล้วออกคำสั่งด้วยสายตา  ผมจำใจต้องจุดบุหรี่ให้เขาพร้อมคำถามในใจว่าผมต้องทำท่าเป็นคนรับใช้ไปอีกนานเท่าไรกันนี่

     

    “ตอนแรกฉันคิดว่าจะขึ้นมาสืบคดี” เขาพูดเสียงเรียบ ควันบุหรี่จากปลายมวนม้วนเป็นสายล่องลอยสู่อากาศเย็นเยียบภายนอก  “แต่หลังจากที่รู้ว่าแมทเทียสหายไปแถมดูจะมีเอี่ยวในเรื่องนี้  ฉันคิดว่า...กฏหมายคงไม่ช่วยอะไร  สู้ฉันทำสิ่งที่ต้องทำน่าจะเข้าท่ากว่า”

     

    “แล้วอะไรคือทำสิ่งที่ต้องทำ”

     

    ควันบุหรี่สีเทาเบาบางลอยผ่านหน้าของผมไปราวกับวิญญาณที่ล่องลอยในอากาศ

     

    “ใช้ประโยชน์จากทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้  คนแรกคือ....นาย”

     

    “ผมจะไปมีประโยชน์อะไร”

     

    “เดี๋ยวก็รู้”

     

    “คิดว่าผมจะพาคุณไปเจอแหล่งผลิตโคเคนรายใหญ่ของประเทศแล้วทำให้คุณกลับสู่อาชีพตำรวจได้อย่างภาคภูมิหรือไง  ตั้งความหวังสูงไปแล้ว”

     

    เดรโกปรายตามอง  ยิ้มมุมปากเย้ยหยัน  คำพูดโต้ตอบของเขาผุดขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องแม้แต่ขยับปาก  ประโยคร้ายกาจที่เหมือนจริงจนน่ากลัว  

     

     

    ผิดแล้วเอมิล....นายต่างหากที่ตั้งความหวังสูงเกินไปว่า ฉันจะตั้งความหวังกับนาย  ลืมแล้วหรือไงว่าคนไม่มีค่า....ก็ไม่มีค่าอยู่วันยังค่ำ

     

     

     

     

    แม้ในความเป็นจริง  อีกฝ่ายแค่พูดออกมาว่า 

     

    “ฉันจะทำในสิ่งที่ควรจะทำ ในจุดหนึ่งของชีวิต บางทีการเป็นหรือไม่เป็น มันไม่มีความสำคัญเท่ากับสิ่งที่ตัดสินใจกระทำว่าควรหรือไม่ควร  เด็กอย่างนายคงไม่เข้าใจแต่สักวันจะรู้เอง...”

     

    คำพูดนั้นฟังดูไม่จริงเท่ากับสิ่งที่ได้ยินในหัวของผมด้วยซ้ำ  ผมเพียงแค่ถามลอยๆ 

     

    “การตามหาแมทเทียสเป็นสิ่งที่คุณต้องทำไม่ว่าจะต้องการหรือไม่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ”

     

    เราเลี้ยวรถเข้าบ้าน เดรโกเบรกจอดอย่างนุ่มนวล  “นายคิดไปเอง  ฉันไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน”

     

    การเข้าใจผู้ชายคนนี้ ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร  กระนั้นผมกลับรู้สึกดีขึ้นที่ความร้ายกาจนั้นเป็นเพียงจินตนาการของตัวเอง



     

    $  $  $  $  

     

     

     

    เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมก็พบเรื่องที่แย่ไปกว่าปลอกคอ (ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น) นั่นก็คือ เราจำเป็นต้องแชร์เตียงนอนกันเป็นคืนที่สอง เนื่องจากมีแต่เพียงห้องนอนใหญ่เท่านั้นที่มีเครื่องนอนครบถ้วน ส่วนห้องนอนเล็กในห้องชั้นสองนั้นไม่มีแม้แต่ผ้าปูเตียง  จะเล่นตัวมากก็ไม่ได้ อุณหภูมิเกือบติดลบบีบให้ผมเหลือทางเลือกเดียว ก็คือ การวางทิฐิลงที่หน้าประตูห้องนอนใหญ่แล้วข่มตาหลับไวๆ ซะ ระหว่างที่เดรโกยังคงนั่งอ่านแฟ้มคดีที่ลักมาจากผู้เช่าคนเก่าอยู่ 

     

     

    โชคดีที่ผมตัดสินใจถูกในการไม่ดื้อด้านและเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าไว้ก่อน เพราะดูเหมือนว่าจะมีพายุแรงกระหน่ำซัดเมืองเล็กๆ แห่งนี้ตอนกลางดึกผมพลิกตัวไปมาแล้วขยับเข้าหาอุณหภูมิที่สูงกว่าใต้ผ้าห่มเดียวกันแล้วหลับไป โดยที่ก่อนนอนคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะต้องไม่ลืมออกไปซื้อเครื่องนอนมาให้ครบ

     

     

    ผมคิดว่าผมเกลียดเดรโก....ยกเว้นเวลาที่เขาหลับสนิทอยู่ข้างๆ แล้วปันทั้งร่างกายอุ่นๆ กับผ้านวมหนานุ่มมาให้ด้วย แขนแข็งแรงที่พาดอยู่ที่เอวของผมจะว่าหนักก็หนัก แต่ก็กลับรู้สึกอุ่นใจที่มีคนอยู่ด้วยในพื้นที่เล็กๆ ต่างถิ่นและพายุรุนแรงด้านนอก

     

    ผมฝันอีกแล้ว...ฝันถึงเรื่องตอนอายุ 15 ครั้งแรกที่ผมได้ลิ้มลองรสชาติขมเฝื่อนของบุหรี่ จำได้ว่าผมสูดควันพิษเข้าไปอย่างผิดวิธีทำให้สำลักควันไอรุนแรงจนตัวงอ  แต่เมื่อมีเพื่อนของพี่ชายอยู่ใกล้ๆ สอนวิธีสูบที่ถูกต้องให้ ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะรู้ว่ากลิ่นของม่านควันบางเบานั้นมีเสน่ห์เหลือเกิน เย้ายวนราวกับกลิ่นของน้ำหอมที่อัดแน่นไปด้วยฟีโรโมนยั่วหลอกให้เข้าติดกับ... ผมติดกับดักของดวงตาสีฟ้าอมเทานั้นดิ้นไม่หลุดเหมือนมวลแมลงหลงใหลในน้ำหวานจากดอกไม้ ยั้งตัวเองไม่ได้ที่จะตักตวงจากริมฝีปากที่ช่างแสนอวดดีนั้น

     

     

    สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่เห็นคือแพขนตางามงอนสีอ่อนของคนที่หลับสนิท  ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้จนผมเป็นฝ่ายที่ถอยห่างออกมาเสียเอง  ผม ฝันใช่ไหม....  ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นเพียงความฝัน กระนั้นผมทั้งโล่งใจและสบายใจไปพร้อมๆกัน  แต่ก็ตงิดอะไรแปลกๆที่รู้สึกว่ากลิ่นบุหรี่เจือจางติดอยู่ที่ริมฝีปากไม่ได้หายไป  ผมคงนอนเบียดเขามากเกินไปล่ะสิ... ไม่ได้การล่ะ  

    วันนี้ต้องรีบไปซื้อผ้านวมกับหมอนแล้วก่อนที่ผมจะฝันอะไรที่แปลกไปกว่านี้

     

     

    รีบดึงตัวเองลงจากเตียงก็สังเกตเห็นว่าหัวเตียงมีหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านค้างอยู่รวมทั้งกระดาษขาวยับๆ ที่ฉีกออกมาจากสมุดฉีก  บรรทัดแรกของกระดาษเขียนด้วยลายมือยุ่งๆของเดรโกว่า SGZZOAY S.  สามบรรทัดต่อมาเป็นอักษร 26 ตัวในภาษาอังกฤษที่ถูกโยงใยกันไปมาจนอ่านไม่รู้เรื่อง  และบรรทัดต่อจากนั้นก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ด้วยสมการที่ดูเหมือนจะเป็นคณิตศาสตร์

     

    (ถ้าตัวแปร x = A  และ ตัวแปร y = G) 

     

    นี่พ่อนักสืบเขาเอาสูตรไหนมาคลายปริศนากัน ประเทศของเราดำเนินกระบวนการยุติธรรมไปด้วยวิธีคิดเพี้ยนๆ ของเหล่านักสืบหรือยังไงกันเนี่ย

     

    ผมพลิกกระดาษกลับไปกลับมา มองอักษรเอบีซีซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูยังไงก็ไม่่น่าจะเป็นชื่อคนจริงๆไปได้  ถ้ามีจริง กอร์ดี้คงรีบเข้าไปเช็คในทะเบียนราษฎร์แล้วไม่ต้องเหนื่อยสมองไขปริศนา 

     

    หรือว่ามันคือรหัส รหัสอะไรล่ะ แล้วคนที่อุกอาจส่งมือคนตายมาจะมั่นใจได้ยังไงว่าคนรับจะตีความรหัสออกแน่นอน  หรือที่จริงแล้วเป็นเพียงรหัสง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ถอดได้ เพียงแค่มองปัญหาในมุมกลับสักนิด....

    นี่ไม่ใช่คณิตศาสตร์และไม่ใกล้เคียงด้วย

     

     

    SGZZOAY S. จะเป็นตัวแทนของคำใด  หากรหัสตัวอักษร A - Z ไม่ได้เริ่มที่ A   เช่น A อาจจะหมายถึง B C D E....  Z  B หมายถึง C D E F...A    คงไม่มีใครบ้าตั้งรหัสด้วยพยัญชนะ 5 ตัวแรก A B C D E แน่ๆ ชีวิตคงไม่ง่ายขนาดนั้น    งั้นผมสุ่มมั่ว  สมมติว่า   รหัส A เริ่มต้นที่ W แล้วกัน ลองดูสักตั้งว่าจะได้ผลอย่างไร

     

     

    หากรหัส A แทนอักษร W

    รหัส B แทนอักษร  X

    รหัส C แทนอักษร Y 

    รหัส D แทนอักษร Z 

    รหัส E แทนอักษร A 

    รหัส F แทนอักษร B 

    รหัส G แทนอักษร C 

    รหัส H แทนอักษร D 

    รหัส I แทนอักษร E 

    รหัส J แทนอักษร F 

    รหัส K แทนอักษร G 

    รหัส L แทนอักษร H 

    รหัส M แทนอักษร I 

    รหัส N แทนอักษร J 

    รหัส O แทนอักษร K 

    รหัส P แทนอักษร  L 

    รหัส Q แทนอักษร M 

    รหัส R แทนอักษร N 

    รหัส S แทนอักษร O 

    รหัส T แทนอักษร P 

    รหัส U แทนอักษร Q 

    รหัส V แทนอักษร R 

    รหัส W แทนอักษร S 

    รหัส X แทนอักษร T 

    รหัส Y แทนอักษร U 

    รหัส Z แทนอักษร V

    จะได้ผลตามนี้  SGZZOAY  S. แทนชื่อ KYJJGSQ  K.   ฟังดูเป็นภาษามนุษย์ขึ้นบ้างไหม ไม่เลย 

    แสดงว่าการแทนค่าตัวอักษรผิด

     

    แต่ว่าผมกลับเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่างรหัสสองชุดนี้   คู่รหัสที่ซ้ำสองคู่กระตุ้นอะดรีนาลีนยามเช้าจนตื่นเต็มตา  ผมกระโดดกลับขึ้นเตียงแล้วค่อยๆทำตามสัญชาตญาณที่เร่งยิกอยู่ในสมอง  เดรโกขยับตัวตื่น แต่ผมไม่มีเวลาสนใจเขา  มันต้องมีอะไรอยู่ในชื่อ SGZZOAY S. นี้อย่างแน่นอน  ถ้า A ไม่แทนค่าด้วย W หากผมแทนค่ารหัสด้วยตัวอื่นไปเรื่อยๆ ผมต้องได้คำตอบแน่ๆ

     

     

    “นายทำอะไรน่ะ” นายตำรวจลืมตาถามผมงัวเงีย  ยังไม่พร้อมจะตื่น

     

     

    “ขอคิดอะไรเดี๋ยวน่า” ผมตอบปัดๆ กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ  จึงแอบทำเงียบๆ “เพิ่งเจ็ดโมงเช้า นอนไปก่อนสิ”

     

     

    “ยุ่งอะไรกับเอกสารของฉัน” ตื่นมาก็ตั้งท่าจะรังควาญแล้ว ผมจำใจต้องสะกิดขึ้นมาดูแล้วอธิบายสั้นๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่  คนตัวหนาที่งัวเงียไม่ยอมตื่นนอนลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เอาแขนเท้ากับหัวเตียงแล้วจ้องมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า “นายไปชงกาแฟเข้มๆ มาแก้วนึงไป เดี๋ยวฉันคิดออกเอง”

     

    “เรื่องไร! ผมทำอยู่แท้ๆ อยากได้กาแฟไปชงเองสิ”

     

    “นายคิดว่านี่เป็นรหัส ทำไมมั่นใจอย่างนั้น” ถามเยาะๆ ไม่อยากให้ตื่นเลยสิผู้ชายคนนี้ ก็นิสัยแบบนี้น่ะนะ

     

    “ไม่ได้มั่นใจ แต่คิดว่า มันน่าจะเป็นไปได้  คุณคิดทิ้งไว้ ผมแค่สานต่อก็เท่านั้น” ผมเถียงแล้วขยับตัว ดึงผ้าห่มมาคลุมแก้หนาว “ผมคุ้นๆ เหมือนเคยเล่นกับพี่ตอนเด็กๆ....นานมากแล้ว”

     

    “หือ  เล่นกับแมทเทียสน่ะเหรอ”

     

    “จะเป็นใครซะอีกล่ะก็ต้องแมทเทียสสิ  ตอนนั้นพี่ทำการ์ดวงกลมสามสี่ชั้นให้  กำหนดตัวรหัสแรกไว้ในใจแล้วให้ผมใบ้คำให้ถูกต้อง.... เราเล่นเกมนั้นกันอยู่นานเลยล่ะอย่างน้อยก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่ผมสะกดคำผิดๆถูกๆ ไปได้เยอะ”

     

    เดรโกก็กระพริบตาปริบๆ “ล้อเล่นใช่ไหม”

     

    “ล้อเล่นทำไมเล่า ก็มันเกมเด็กๆ ที่ผมเล่นตอนเกรดสามเกรดสี่ ไม่เห็นต้องหาว่าผมโกหกเลย” เดรโกเป็นอะไร ชอบหาว่าคนอื่นเขาโกหกอยู่เรื่อย อาการหนักมากไหมเนี่ย

     

    นักสืบหนุ่มดีดตัวเองขึ้นมาจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนขึ้นมาราวกับกดสวิตช์เปิด  “ฉันลืมเรื่องนั้นไปเลย  นี่มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีก”

     

    “หา”

     

    “ถ้านี่เป็นเกมเดียวกัน มันเรียกว่า รหัสซีซาร์ เกมง่ายที่ให้เด็กประถมเล่นถอดรหัสก็ยังได้  นี่ฉันเสียเวลาหนึ่งคืนไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ยนะ”  เขาขยับตัวมาใกล้ผม   มือหนึ่งดึงมือผมไปเขียนบนกระดาษ   “ฉันรู้แล้ว   ถอดรหัสง่ายนิดเดียว”

     

    “หา ทำได้แล้วหเรอ”

     

    มือใหญ่จับมือผมจรดปลายปากกาลงกระดาษขาวที่ยับเยิน  พูดเสียงเริงร่า

     

    “แน่นอน  ได้แล้ว รหัส A หมายถึงพยัญชนะรหัส G  นายไล่ลำดับตัวอักษรสิ”

     

    ผมลงจดตามก่อน


    หากรหัส A แทนอักษร G

    รหัส B แทนอักษร  H

    รหัส C แทนอักษร  I

    รหัส D แทนอักษร J 

    รหัส E แทนอักษร K 

    รหัส F แทนอักษร L 

    รหัส G แทนอักษร M 

    รหัส H แทนอักษร N 

    รหัส I แทนอักษร O 

    รหัส J แทนอักษร P 

    รหัส K แทนอักษร Q 

    รหัส L แทนอักษร R 

    รหัส M แทนอักษร S 

    รหัส N แทนอักษร T 

    รหัส O แทนอักษร U 

    รหัส P แทนอักษร  V 

    รหัส Q แทนอักษร W 

    รหัส R แทนอักษร X 

    รหัส S แทนอักษร Y 

    รหัส T แทนอักษร Z 

    รหัส U แทนอักษร A 

    รหัส V แทนอักษร B 

    รหัส W แทนอักษร C 

    รหัส X แทนอักษร D 

    รหัส Y แทนอักษร E 

    รหัส Z แทนอักษร F

     

     

    จากนั้นเริ่มแทนค่า

     


    รหัส S จะแทนอักษร M

    รหัส G จะแทนอักษร A

    รหัส Z จะแทนอักษร T

    รหัส Z จะแทนอักษร T

    รหัส O จะแทนอักษร I

    รหัส A จะแทนอักษร U

    รหัส Y จะแทนอักษร S

     

    รหัส S จะแทนอักษร M

     

    MATTIUS M. แมทเทียส  มาร์เควิช

     


    “เขาต้องการให้นายเป็นคนถอดรหัส  เขาต้องการให้นายและฉันมาที่นี่ ไม่ผิดแน่เอมิล....” เดรโกจับจ้องคำที่ปรากฏบนกระดาษ  ชื่อสั้นๆที่ผมถึงกับขนลุกซู่เหมือนโดนผีหลอก ดวงตาสีฟ้าอมเทาของเขามองผมนิ่งๆ “ถ้าเขาจงใจใช้รหัสยากแบบที่ใช้ในการทหาร  แค่สลับรหัสเป็น A = G   B = Y  C = D   อย่างนี้ต่อๆไปเรื่อยๆ ไม่ว่านายหรือฉันก็คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์ๆ ในการหาคำตอบ แต่เขาเลือกใช้ในสิ่งที่รู้ว่านายจะทำได้ในทันทีด้วยการเลือกใช้สิ่งที่มีแค่สองพี่น้องรู้กันอยู่สองคนว่าจะต้องทำยังไง”

     



     

     

    แมทเทียสเป็นผู้ส่งมือปริศนาอย่างนั้นหรือ !?! 

     

    งั้นแปลว่า เขาอยู่ที่อัลเท็มไฮม์นี่มาตลอดด้วย ???

     



     
    [[[ จบตัวอย่างทดลองอ่านค่ะ ]]]




    สนใจหนังสือแบบรูปเล่ม สั่งซื้อได้ที่ www.nabu-online.com

    หรือฉบับอีบุ๊ก

    คลิกที่นี่  

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×