ตอนที่ 1 : บทที่ 1 (Re-Write)
ก่อนอ่าน : ฉบับรีไรท์มีภาษาและเนื้อหาใกล้เคียงต้นฉบับรวมเล่มมากๆค่ะ เราปรับเยอะกว่าฉบับลงให้อ่านครั้งแรกมากทีเดียว
บทที่ 1
"เฮ้อ"
"เฮ้อ"
"เฮ้อ"
เสียงถอนหายใจของเราสามคนดังเรียงลำดับกันอยู่ในสำนักงานบนอาคารสูงสี่สิบสี่ชั้นเหนือย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานครในเย็นวันศุกร์สิ้นเดือนสิงหาคมที่ร้อนอบอ้าวบรรยากาศภายในห้องประชุมที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ได้ทำให้ความคุกรุ่นร้อนรุ่มในใจของทั้งสามชีวิตเจ้าของเสียงถอนหายใจอ่อนระโหยโรยแรงเบาบางลงเลยแม้แต่นิดเดียว
เสียงแก้วกาแฟที่กระทบกับจานรองแก้วเซรามิกเคลือบเนื้อดีดังกริ๊กทำลายความเงียบน่าอึดอัดลง
พระนายขยับแว่นสายตากรอบสีเทาบางเฉียบของตัวเองมองไปยังท้องฟ้าโพล้เพล้สีแดงดุจเลือดด้านนอกหน้าต่างแล้วใช้นิ้วเคาะโต๊ะเป็นเชิงเรียกสติ
“พี่สิษฐ์อย่าเอาแต่เงียบสิครับ ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา”
ชายวัยต้นสี่สิบเจ้าของชื่อ ‘สิษฐ์’ ที่ตัดผมสั้นแทบจะติดหนังหัวขยับแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรอบสีดำพลางถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะย้อนกลับมาถามเขา
“แล้วพุฒิกับพระนายจะเอายังไงล่ะใครจะรับหน้าที่นี้”
ถามพี่ชายคนรองก็โดนโยนคำถามกลับมา พระนายได้แต่หันไปมองพี่ชายคนที่สามที่นั่งเอนหลังเอกเขนกเท้าวางไว้บนโต๊ะประชุมปากก็กัดปลายดินสอไม้ไปด้วย
‘ใครจะรับหน้าที่นี้’ ถามแบบนี้คงไม่พ้นเราแน่...เขามองหน้าพี่ชายคนที่สามก็เดาอนาคตตัวเองได้แล้ว
“พี่พุฒิครับ...อย่ามัวใจลอย เราคุยเรื่องสำคัญกันอยู่นะครับ”
“เอาไงก็เลือกมาสักวิธีเถอะน่า” พี่ชายคนที่สามก็ชอบเป็นซะอย่างนี้ใจลอยไปไหนอยู่เรื่อย
“ยังไงเราสามคนก็ต้องทำอยู่ดีใช่ไหมล่ะพี่สิษฐ์ก็ตามใจเขาไปจะได้จบๆคิดเสียว่ายอมให้เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากนี้ถ้ามันจะเอาอะไรก็ให้มาเข้าฝันจะได้เผากงเต๊กไปแทน”
เขาฟังพี่ชายไปก็ลอบถอนใจ เรื่องพูดจาเหลวไหลในสถานการณ์คับขันนี่ขอให้บอกเถอะไม่เคยมีพลาดกับ(ไอ้)พี่พุฒิ
“ไอ้พุฒิ! มึงนี่พูดจาเป็นเด็กอมมือไปได้เรื่องใหญ่นะเว้ย”ขอบคุณพี่สิษฐ์ที่ห้ามปรามพี่พุฒิเสียบ้าง พระนายพยายามกัดฟันอดทนกับเรื่องพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้นจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวที่เรียกว่า ‘พินัยกรรม’
เขาเคยคิดว่าเรื่องเงื่อนไขการรับมรดกแบบบ้าๆบวมๆจะมีแต่ในละครน้ำเน่าหลังข่าวที่ไหนได้...ไม่เจอกับตัวใครจะรู้ว่าเรื่องบ้ากว่าในละครก็คือชีวิตจริง
“ซื้อชุดกงเต๊กไอแพดไอโฟนส่งไปให้พี่ณิชมันดิบอกมันว่าอยากได้อะไรก็ส่งอีเมล์มาบอกเรา” พี่พุฒิเสนอไอเดียสุดบรรเจิดพลางเอาดินสอในมือที่เคี้ยวปลายจนยางลบแหว่งออกมาควงเล่นหนำซ้ำยังยิ้มหวานใส่พี่สิษฐ์ที่หน้าดำคร่ำเครียดมาตั้งแต่สองสามชั่วโมงก่อน โดยที่ไม่ใส่ใจกับสีหน้าของอีกฝ่ายที่แทบจะยกเก้าอี้มาทุ่มใส่ตัวเองแต่อย่างใด
“ไอ้พุฒิไม่อยากได้ส่วนแบ่งมรดกใช่ไหมหา!”
“โหยพี่สิษฐ์พูดอะไรใจร้ายกับพุฒิอย่างนั้นไม่เห็นใจน้องนุ่งที่เป็นศิลปินไส้แห้งมั่ง” ทำเสียงกระเง้ากระงอดแต่ร่างกายจริงนั้นใหญ่โตราวกับหมีควาย หากไม่เป็นศิลปินไส้แห้งพระนายอยากจะส่งพี่ชายคนนี้ไปออดิชั่นรายการมวยปล้ำในต่างประเทศบ้าง
อายุสมองสิบสามอายุจริงสามสิบสี่...พระนายมองพี่ชายแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาตัดสินใจขยับเนกไทแล้วกระแอมขัดทั้งสองคน
“พี่สิษฐ์พี่พุฒิเรากลับมาเข้าเรื่องกันเถอะคืนนี้ผมยังต้องไปเคลียร์ร้านและตรวจข้อสอบให้เด็กอีก”
“น้องมันมีภาระมึงสิว่างงานอยู่คนเดียวไอ้พุฒิไม่ออกความเห็นฉลาดๆแล้วยังกวนน้ำให้ขุ่นอีก”
พระนายคันปากยุบยิบอยากจะบอกว่าพี่สิษฐ์กับพี่พุฒิก็ไม่ต่างกันนักหรอก แต่เดี๋ยวปากมากไปจะพลอยซวยไปเสียเปล่าๆเมื่อประเมินความคุ้มค่าในการเสี่ยงแล้ว เขาเลือกที่จะหุบปากพลางคิดถึงมาตรการตอบโต้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด
พี่สิษฐ์ถลึงตามองพี่ชายคนที่สามตาเขียวปั้ด ก็สมควรหรอก...พี่ชายคนรองของเขาจะเป็นคนเอาจริงเอาจังในทุกอย่าง ส่วนพี่พุฒิที่เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ตรงกันข้ามกัน
พอเห็นเจ้าตัวกัดยางลบที่ปลายดินสอไม้อีกครั้ง ชายหนุ่มก็นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าตลอดสามสิบสี่ปีที่ผ่านมาพี่ชายของเขากินยางลบไปกี่ก้อนแล้ว พวกมันจะมีมวลสารเท่าไหร่และหากว่าพี่พุฒิเกิดตายเพราะยางลบขึ้นมากรมธรรม์ประกันชีวิตนั่นจะคุ้มครองการเสียชีวิตด้วยเหตุประหลาดพรรค์นี้หรือเปล่า บริษัทประกันจะคิดอย่างไรหากชันสูตรศพแล้วพบว่าในร่างกายมีแต่เศษยางลบอยู่ในอวัยวะภายในทุกส่วนเขาน่าจะลองบอกให้พี่พุฒิไปตรวจสุขภาพประจำปีบ้างเผื่อฉี่ออกมาแล้วมีเศษยางลบจะได้รู้ตัวว่าว่ายางลบเข้าไตแล้วมีโอกาสตายสูงให้รีบซื้ออีกกรมธรรม์หนึ่งก่อนที่บริษัทประกันแรกจะรู้ตัวว่าพฤติกรรมการบริโภคของพี่พุฒิเป็นเหตุ...
“ปัญหาของเรามันอยู่ในพินัยกรรมจะทำอะไรได้วะถึงจะด่าพี่ณิชไปก็ไม่มีประโยชน์ คนตายไปแล้วจะโต้แย้งอะไรได้" พี่ชายคนที่สามพูดพลางเอานิ้วเคาะโต๊ะ "นอนหลับสบายซะด้วยน่าอิจฉา” ไม่ทันไรก็พูดจาเหลวไหลอีกแล้วพระนายเองบางครั้งก็อยากจะดีดให้มันตกโต๊ะไปเหมือนกัน
“อิจฉาเรอะ! มึงอย่าเพิ่งรีบอยากตายตามเฮียมันไปก็แล้วกัน" พี่สิษฐ์เอ่ยประชดพลางขยับแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมปรายตามองมายังตัวเขา “พระนายล่ะว่าไงที่เงียบตลอดนี่คือยังช็อกอยู่หรือมีแผนอื่นแล้ว”
หางตาของนักบัญชีคมกริบเสมออยู่เฉยๆยังไม่วายโดนจิก
"ตกใจสิพี่...แล้วเราจะต้องปิดเรื่องให้เงียบไม่ให้เมียเก่าของพี่ณิชรู้เด็ดขาดใช่ไหม”
"ขืนลองให้พวกหล่อนรู้สิคงเหมือนโดนฝูงแร้งมารุมทึ้งเลยคนสุดท้ายนี่กว่าจะหย่าได้กินเวลาตั้งเกือบสองปีดีนะที่อีบ้าเอ๊ยยัยบ้านั่นรีบมีผัวใหม่แล้วย้ายไปอเมริกาเลยทิ้งลูกไว้ที่นี่”
คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องอธิบายกันสักหน่อยกับสาแหรกบ้านของพวกเราสี่พี่น้องเริ่มจากเจ้าของพินัยกรรมผู้เป็นพี่ชายคนโตของเราก่อนพี่พณิชย์หรือปกติเรียกว่าพี่ณิชมีอายุสี่สิบเอ็ดปี สถานะก่อนตายเป็นพ่อม่ายเนื้อหอมเปลี่ยนเมียบ่อยเหมือนเปลี่ยนเนกไท มีความหล่อเป็นรองความรวยเพราะเขาเป็นผู้เดียวที่สืบทอดกิจการบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านต่อจากป๋า ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เดี๋ยวอธิบายกันต่อไปตอนนี้รู้แค่ว่าพี่ณิชมีลูกชายวัยสิบหกปีกับเขาหนึ่งคนชื่อว่าเจ้าภูมิ์... ตลอดชีวิตของพี่ชายคนโตไม่มีเรื่องล้มเหลวยกเว้นเรื่องที่พ่ายแพ้ต่อเซลล์เล็กๆจำนวนมหาศาลที่เรียกกันว่ามะเร็งลำไส้จนเสียชีวิตไปเมื่อสามเดือนที่แล้วกับเรื่องที่ว่า...
"ถ้าแม่นั่นรู้ว่าพี่ณิชซุกเงินไว้กับเด็ก เอ้อ...กระดากปากว่ะ เด็กหนุ่มอีกคนที่แอบส่งเสียเลี้ยงดูอยู่รับรองว่าต้องกลับมาแหกอกพวกเราเพื่อขอส่วนแบ่งมรดกแน่ๆ" แม้จะพูดลอยๆแต่น้ำเสียงบ่งบอกความรู้สึกที่พี่สิษฐ์มีต่อพี่สะใภ้อย่างชัดเจนที่สุด ตัวเขาเองก็เห็นด้วยกับพี่พุฒิ เมียเก่าคนสุดท้ายของพี่ณิชร้ายกาจอย่างกับแม่มดในการ์ตูนวอลต์ดิสนีย์เคราะห์ยังดีที่เจ้าภูมิ์หลานชายเป็นเด็กดีและสภาพจิตใจมั่นคงจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรนักต่อพฤติกรรมน่ารังเกียจสารพัดรูปแบบของบรรดาผู้หญิงที่มาเกาะพ่อของตัวเองกิน ใครๆ ก็ภูมิใจในตัวหลานคนนี้รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
“เงินอยู่กับเด็กนั่นเท่าไร” พระนายถามขึ้น
“สิบแปดล้านสองแสนบาทถ้วน ณ วันที่พี่ณิชเสีย" พี่พุฒิเป็นผู้ตอบคำถามนี้ เจ้าตัวเลิกแทะยางลบแล้วเปลี่ยนมานั่งสเก็ตช์ใบหน้าถมึงทึงของพี่สิษฐ์ไปพลางด้วยสีหน้าเบื่อๆ คงจะอยากกลับบ้านเต็มที "พี่ณิชโอนเงินให้เด็กคนนั้นใช้เดือนละแสนห้าติดต่อกันมาสี่สิบแปดเดือนแล้วก่อนเสียก็โปะเพิ่มไปอีกรวมเป็นสิบแปดล้านสองแสน”
"เดี๋ยวนี้แม่งเลี้ยงเด็กกันแพงขนาดนี้เลยเหรอวะกะอีแค่เรื่องบนเตียงเนี่ยนะ ขอดีๆ ก็น่าจะได้กินฟรีนะระดับพี่ณิชแล้ว" พี่สิษฐ์ผู้ประกอบอาชีพเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีให้กับบริษัทข้ามชาติดูจะรับไม่ค่อยได้กับการจ่ายเงินเพื่อเลี้ยงเด็ก
"หรือเพราะเป็นเด็กผู้ชายเลยแพงขึ้นตามดีมานด์?” พระนายเผลอเปรยขึ้นมาจึงโดนพี่ชายดุเสียงขุ่น
"ห่าไอ้นายนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะโว้ย” ปกติเป็นพระนายเวลากริ้วเป็นไอ้นาย
"พี่ณิชสิล้อเล่นเขียนลงไปในพินัยกรรมแบบนั้นได้ยังไง”
แล้วเราสามคนพี่น้องก็ถอนใจอีกรอบ มันไม่ตลกเลยที่จะได้รับมรดกเป็นคีย์การ์ดของคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยามูลค่ายี่สิบแปดล้านบาทพร้อมกับทรัพย์สินภายในห้องซึ่งหมายถึงเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีคนหนึ่งที่พี่ชายตัวเองอุปการะเลี้ยงดูมาพร้อมคำสั่งว่าต้องส่งเสียเลี้ยงดูจนกว่าเจ้าตัวจะอายุครบยี่สิบสองปีในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งหากสามพี่น้องไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียแล้วล่ะก็จะไม่มีการเปิดพินัยกรรมส่วนของป๋าที่ชิงเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน ซึ่งใครๆก็รู้ว่ามันมีที่ดินสี่สิบไร่บนเกาะสมุยและรวมกันอีกกว่าพันไร่ในภาคอีสานและภาคใต้
เด็กหนุ่มที่ว่า ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า ไม่มีใครเคยเห็นหน้าหรือระแคะระคายมาก่อนรู้เพียงพี่ณิชระบุไว้ในพินัยกรรมพร้อมคำสั่งเสียอีกมากมายเห็นได้ชัดว่าประคบประหงมดูแลยิ่งกว่าเมียทุกคนรู้ดีว่าพี่ชายไม่ได้คบใครเป็นตัวเป็นตนเลย แต่กลับซื้อคอนโดราคาแพงให้เด็กอยู่ย่อมเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘เมียเก็บ’ แถมพอได้เห็นประวัติธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านมาของพี่ณิชทุกคนถึงกับตกใจแทบตกเก้าอี้เมื่อพบว่าพี่ชายผู้แสนดีแอบเลี้ยงเด็กมาตั้งสี่ปีแล้วแปลว่า...ตกเขียวกันมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดอย่างนั้นน่ะหรือ?
เท่ากับว่าเมื่อเมียเด็กของพี่ชายมีอายุครบยี่สิบสองปีเต็ม เขาจะมีเงินเก็บเท่ากับ 18,200,000 + 1,800,000 = 20,000,000 บาทไม่รวมดอกเบี้ยที่จะได้รับจากธนาคาร...
แค่คิดก็เครียดแล้ว อยู่ๆก็ต้องเอาเงินไปให้ใครไม่รู้ตั้งยี่สิบล้านเนี่ยนะ
จริงอยู่ว่ายี่สิบล้านสำหรับครอบครัวถิรสวัสดิ์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย บ้านเราไม่ใช่ไม่มีเงินมีน่ะมีพอสมควร (สมควรแก่การจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน) แต่มันเป็นเงินจากการซื้อขายที่ดินที่ก๋งซื้อไว้เมื่อนานมากแล้วต่อมาได้พัฒนาเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์และคนที่รับช่วงงานอสังหาฯ ของป๋าก็มีแต่พี่ณิชคนเดียวส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ไปเรียนต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานในสิ่งที่ตัวเองอยากทำกันหมดแล้วใครจะไปคิดว่าอยู่ๆพี่ชายผู้กุมบังเหียนบริษัทจะด่วนจากไปด้วยวัยเพียงแค่เลขสี่แถมยังทิ้งบริษัทขนาดยักษ์เอาไว้ให้น้องสามคนที่เหลือดูแลอีก
พี่ณิชทิ้งคำสั่งไว้ง่ายๆ อย่างกับว่าน้องชายได้ตัวตัวเตรียมใจพร้อมก้าวเข้ารับตำแหน่งซีอีโอมาตลอดเสียเมื่อไร พากันล่มล่ะสิไม่ว่า พระนายคิดประชดเมื่อไล่เรียงคุณสมบัติที่ผู้บริหารพึงมีจากน้องชายทั้งสามคน
พี่สิษฐ์...พสิษฐ์...อายุสามสิบเก้าปีคุณสมบัติเหมาะเหม็งเป็นหัวหน้าทีมผู้ตรวจสอบบัญชีให้กับบริษัทระดับบิ๊กโฟร์ฐานเงินเดือน 120k
พี่พุฒิ...อายุสามสิบสี่ปีคุณสมบัติก็ใช่ประกอบอาชีพเป็นศิลปินแกะสลักหินรับงานตามออเดอร์และตามใจตัวเองปกติอยู่แต่ในต่างประเทศเพราะกลับเมืองไทยแล้วอดตายไม่มีคนจ้างฐานเงินเดือนไม่ปรากฏ
ตัวเขาเอง...พระนาย…อายุสามสิบเอ็ดปีคุณสมบัติยอดเยี่ยม...ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งและทำธุรกิจเล็กๆของตัวเองพอให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอยู่ในบัญชีเป้าหมายคือทำธุรกิจของตัวเองให้ประสบความสำเร็จโดยไม่พึ่งพาธุรกิจเดิมของครอบครัว
ทั้งหมดที่พูดมานั่นประชดทั้งนั้น พวกเขาทั้งสามคนได้รับส่วนแบ่งมรดกมาตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบสองปี จึงถือโอกาสออกไปดำเนินชีวิตตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่มีใครสนใจรับช่วงต่อกิจการที่บ้าน บัดนี้มาโดนหักคอให้วางมือจากทุกอย่างแล้วกลับมาสู่วงโคจรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกได้ว่าไม่เคยรู้จักมักจี่อะไรเลย...พวกเขาสามคนน่ะหรือที่จะต้องขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัททั้งๆ ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่รู้อะไรในธุรกิจเลย
รายละเอียดในพินัยกรรมออกจะน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย อ่านกี่ทีก็ขมวดคิ้วเสียทุกครั้งไปในใจนึกเคืองขุ่นลุงบรรเจิดทนายความประจำตระกูลที่เป็นผู้ช่วยร่างพินัยกรรมพิลึกพิลั่นฉบับนี้ขึ้นมา
พระนายอยากจะถามนักว่า ทำไมลุงบรรเจิดไม่รู้จักห้ามปรามพี่ณิชเสียบ้าง จะเลี้ยงผู้หญิงเลี้ยงอะไรเหมือนที่เคยทำก็เลี้ยงไปสิแต่เลี้ยงเด็กผู้ชายเป็นตัวเป็นตนอายุไล่เลี่ยกับลูกชายตัวเองนี่ก็ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
"ในพินัยกรรมเขียนไว้ว่ายังไงนะขอช้าๆชัดๆอีกสักรอบ"
"พินัยกรรมของพี่ณิชแบ่งทรัพย์สินเป็นสามส่วนส่วนที่เป็นของบริษัทส่วนเงินสดและอสังหาฯขี้เกียจแจกแจงว่ะมันเยอะ โดยพินัยกรรมมีข้อแม้แปลกๆสามอย่างคือ อย่างแรกมอบหมายให้เราสามคนช่วยกันบริหารงานโดยให้เวลาปรับตัวสามเดือนให้พระนายมาดูงานบริหารพี่ดูการเงินทั้งหมดและให้พุฒิดูงานส่วนก่อสร้างและวางแผนโครงการใหม่ๆ”
“แล้วพวกกรรมการบริษัทเขาไม่โวยเอาบ้างเหรอ เราสามคนไม่เคยโผล่หัวไปที่บริษัทสักครั้ง”
“ถึงจะโวยวายก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าตั้งแต่รู้ว่าตัวเองป่วยหนักพี่ณิชก็ไปไล่ซื้อหุ้นคืนมาได้รวมเจ็ดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านโครงสร้างผู้บริหารใหม่...โคตรร้ายเลยพี่เรา”
ส่วนแรกของพินัยกรรมแค่คิดก็เหนื่อยแล้วอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างเขาต้องมาทำคอนโดขาย
"ส่วนที่สองคือขอให้พี่รับเจ้าภูมิ์เป็นลูกบุญธรรมพร้อมอบรมสั่งสอนให้ดีเมื่อเจ้าภูมิ์เรียนจบให้มาทำงานในบริษัทก่อนสิบปีหลังจากนั้นให้เงินหลานไปยี่สิบห้าล้านกับที่ดินที่หัวหินห้าสิบไร่มันอยากจะทำอะไรก็ให้ไปทำระหว่างนี้ห้ามเล่นเส้นห้ามสปอยล์หลานให้เลี้ยงแบบคนทั่วไปเหมือนที่พี่ณิชทำอยู่ทุกวันนี้”
เรื่องนี้คงไม่มีปัญหายุ่งยาก เพราะพี่สิษฐ์เองก็ไม่มีครอบครัวคบหญิงได้ไม่เคยเกินหกเดือนจนเจ้าตัวเบื่อหน่ายเลิกหาสาวในฝันไปนานแล้ว เรื่องจะปุบปับแต่งงานกับใครคงเป็นไปได้ยาก อีกอย่างนิสัยของพสิษฐ์ก็เป็นคนเอาจริงเอาจังพึ่งพาได้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนักหนาร้ายแรงขนาดไหนขอแค่เป็นเรื่องที่มีสาระและมีเหตุผลควรแก่การรับฟังเถอะพี่ชายคนรองก็มั่นคงดุจหินผาและสามารถช่วยเหลือได้อย่างดีแน่นอนส่วนเจ้าภูมิ์ก็เป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายมาแต่ไหนแต่ไรการจับคู่สองคนนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
“ส่วนที่สามคือให้สามพี่น้องช่วยกันดูแลเด็กที่คอนโดริมแม่น้ำเป็นอย่างดีและโอนเงินเข้าบัญชีของเด็กเดือนละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทติดต่อกันจนกว่าเด็กจะอายุยี่สิบสองปีห้ามขาดแม้แต่เดือนเดียวที่สำคัญ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของเขา ก็อยากตั้งแง่รังเกียจ แต่ก็ขอให้ช่วยกันดูแลเขาให้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเหมือนอย่างที่ป๋าเลี้ยงเรา”
ถึงไม่ได้บอกว่าเกี่ยวข้องกับพี่ณิชอย่างไรแต่ว่าดูแลกันขนาดนี้แสดงว่าพี่ชายคงรักคนของเขามาก... เหรอ? พระนายยิ่งคิดยิ่งสงสัย
“เด็กนั่นหน้าตายังไง” พระนายถามขึ้น
“ไม่รู้”
“พี่สิษฐ์แน่ใจหรือเปล่าว่าไม่เคยเจอสักครั้งเดียว”
“มั่นใจมาก”
พี่พุฒิยักไหล่แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ถ้าพี่ณิชบอกมาว่าเป็นลูกที่ซ่อนไว้ก็จะไม่แปลกใจและไม่ปฏิเสธเลยสักคำนี่อะไรเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่พี่ณิชแม่งทุ่มเทให้อย่างหน้ามืดตามัวให้ตายกูอยากจะบ้าพี่ณิชเป็นเกย์เหรอวะมันเพิ่งมาคิดจะเป็นเกย์อะไรเอาตอนอายุสี่สิบ" พี่สิษฐ์หันมาซัดผมเสียอย่างนั้น
"เฮ้ยถามอะไรผมล่ะพี่สองคนอยู่บ้านเดียวกันไม่รู้ได้ไงผมน่ะสิวันๆอยู่แต่ที่มหาวิทยาลัยกับร้าน จะได้โทรศัพท์คุยกันบ้างพี่ณิชก็แค่เดือนละครั้งแล้วจะมีปัญญาไปรู้อะไร”
พี่สิษฐ์ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ “แต่ตอนนี้พี่ณิชเป็นเกย์หรือเปล่าไม่ใช่ปัญหาเพราะปัญหาคือเมียเด็กของพี่ณิชที่เหลืออยู่ต่างหากเอาล่ะงั้นใครจะเป็นผู้เสียสละเป็นคนไปดูแลเด็กนั่น”
“พุฒิไม่ไหวหรอกพี่สิษฐ์เรามีเวลาเตรียมตัวก่อนเข้ารับช่วงที่บริษัทอีกสามเดือนใช่ไหมแต่พุฒิมีงานจ้างแกะสลักอยู่ที่บาเลนเซียกว่าจะเสร็จคงเฉียดฉิวพอดีจะคอยดูแลเด็กให้พี่ณิชได้ยังไง” พี่พุฒิรีบตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการเอาหน้าที่การงานมาอ้างแล้วเอาแขนใหญ่ๆที่พร้อมจะรัดคอคนตายได้กอดอกซุกไว้กับตัวเอง
พระนายมองพี่ชายอย่างหมั่นไส้ใช่สิพวกศิลปิน! ข้อดีของพี่พุฒิมีแค่สองอย่างเท่านั้นคือหนึ่ง เป็นพวกเข้าใจง่ายไม่คิดอะไรซับซ้อนและสองมีทักษะทางศิลปะอย่างสูง เท่านั้นจริงๆ
“ส่วนพี่เองก็ทำตามพินัยกรรมไม่ได้หรอกนะตอนนี้เป็นผู้ตรวจบัญชีตำแหน่งการงานมันค้ำคอเลี้ยงเด็กไม่ได้” เหตุผลของพี่สิษฐ์ฟังดูดีแต่จริงๆแล้วไร้สาระเป็นผู้ตรวจบัญชีเกี่ยวอะไรกับเลี้ยงเด็กไม่ทราบ
“แล้วอาชีพอาจารย์มหา'ลัยมันเหมาะสมกับการเลี้ยงเมียเก็บพี่ชายตรงไหนล่ะครับ”เขาย้อนถามรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาสงสัยว่าทั้งสองคนต้องมีการเตี๊ยมกันไว้แล้วล่วงหน้าในการยกภาระอันใหญ่หลวงนี้ให้เขา “สรุปว่าพี่ทั้งสองคนจะยกหน้าที่ดูแลเด็กของพี่ณิชให้ผมงั้นสิ หากใครรู้เรื่องนี้เข้ามหา’ลัยคงยกเลิกสัญญาจ้างแทบไม่ทัน” เขาเหน็บ
“แล้วนายรู้ได้ไงว่านั่นเมียเก็บ” หน็อยแน่มียอกย้อน...
"ก็พี่ณิชมีนิสัยเป็นเพลย์บอยขนาดนั้นคงไปอุปการะลูกชายใครเขามาดูแลหรอกอีกอย่างพี่เองก็พูดไม่ใช่เหรอครับว่าเด็กนั่นไม่น่าจะใช่ลูกพี่ณิชทำไมความจำสั้นจัง"เขาประชดพี่ชายกลับแล้วล้วงหาบุหรี่ "ขอไปสูบบุหรี่ก่อนหงุดหงิด”
"เออก็ดี"
พี่สิษฐ์เลื่อนซองบุหรี่มาตรงหน้าแล้วหันมามองหน้าน้องชายเป็นเชิงถามพี่พุฒิไม่ค่อยสูบแต่ก็ตามเราสองคนออกไปยืนคุยต่อริมระเบียงลมเย็นๆคล้ายจะมีฝนพัดมาใส่หน้าเราสามคนชายหนุ่มจุดไฟแช็คสูดกลิ่นไหม้ของบุหรี่นอกที่พี่สิษฐ์พี่ชายคนรองมักสั่งซื้อมาจากอเมริกาใต้
“อาจจะเป็นลูกพี่ณิชก็ได้นะ"
"ถ้าเป็นลูกมันจริงๆทำไมเจ้าภูมิ์ไม่เห็นได้เงินเดือนละแสนห้าอย่างเขาล่ะอีกอย่างถ้าพี่ณิชจะซุกลูกไว้สู้ส่งมันไปเรียนเมืองนอกไม่ง่ายกว่าเหรอวะ”
เออจริงทำไมต้องมาให้เราสามคนพี่น้องช่วยกันดูประหลาดจริง
“หรือเราควรจะไปหาคนทรงเจ้าเรียกวิญญาณเฮียมาถามให้ชัดๆ ” ใครพูดประโยคนี้โอเคทุกคนตอบถูกต้อง...พี่พุฒิผู้กินยางลบแทบข้าว
พระนายอัดบุหรี่เข้าปอด แล้วพ่นควันสีเทาจางออกมาเป็นทางยาว เขาปรายตามองพี่ชายสองคนพี่พุฒิผู้มีขนาดร่างกายไม่ต่างจากนักมวยรุ่นซูเปอร์เฮฟวี่เวทยืนข้างๆนักบัญชีชายไทยรูปร่างกะทัดรัดจนน่าสงสัยว่า DNA คงไม่ทำหน้าที่ของมันตามสมควรด้วยการให้คนหนึ่งน้อยไปและอีกคนหนึ่งมากเกินไป
“พี่สองคนจะยกหน้าที่นี้ให้ผมสินะ”
“ก็ทำนองนั้น” พี่พุฒิเป็นฝ่ายตอบ “ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเกี่ยวข้องอย่างไรก็พี่ณิช เราก็ต้องทำตามคำสั่งอยู่ดี”
“ถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้จะเกิดผลเสียอะไรหรือเปล่า”
แม้ว่าในพินัยกรรมไม่ได้มีขู่หรือคาดโทษเอาไว้ก็จริงแต่ถ้าไม่ทำคงจะรู้สึกผิดต่อพี่ชายผู้ล่วงลับ
“ตราบเท่าที่พี่ณิชลุกขึ้นมาจากหลุมไม่ได้ก็ไม่น่าจะมี นอกเสียจากว่าพี่ณิชไปสัญญิงสัญญาอะไรกับเด็กไว้โดยที่เราไม่รู้ แล้วเขามาทวงคืนทีหลัง”
“ก็เป็นไปได้อยู่นะ” พี่สิษฐ์คิดตามแล้วเห็นด้วย
“พูดกันถึงขั้นนี้แล้วจะให้นายเลี้ยงเด็กนั่นก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยล่ะนะ”ปล่อยเวลาไปเรื่อยๆคงไม่ดีพระนายมั่นใจว่าบ่วงเคราะห์กรรมนี้ย่อมมาตกที่เขาอย่างเสียมิได้ไม่ช้าก็เร็วสู้ยื่นข้อเสนอเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบยังดีเสียกว่า
“ว่า?”
มองพี่สองคนสบตากันพระนายแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจจะร้ายกาจแก่นกะโหลกอย่างไรแต่เด็กอายุยี่สิบเอ็ดก็คือเด็กอายุยี่สิบเอ็ดอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างเขาที่กำราบเด็กมาแล้วนักต่อนักทำไมจะจัดการไม่ได้พี่สิษฐ์แค่มีนิสัยไม่ชอบรับมือกับเรื่องยุ่งยากที่เหนือแบบแผนตามประสานักบัญชีส่วนพี่พุฒิก็ไม่ชอบการรับภาระที่ต้องบีบให้ตัวเองอยู่ในกรอบกับร่องกับรอย
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออกแต่เดี๋ยวค่อยบอกแล้วกันรับรองว่าผมไม่ขอเงินพี่สองคนหรอก”
“พระนายคิดจะทำอะไรกันแน่?”พี่สิษฐ์หรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ
“ไม่ได้คิดอะไรเลยไว้ผมเจอเด็กนั่นก่อนแล้วค่อยมาประเมินความเสี่ยงกัน...เนอะ”
พูดแบบนี้พี่พุฒิทำได้แค่ขมวดคิ้ว แต่พี่สิษฐ์คงมีอะไรวิ่งติ๊กๆๆ อยู่ในหัวแล้วเป็นแน่
พระนายเป็นฝ่ายดึงคีย์การ์ดเรียบหรูออกมาจากมือพี่ชายนักกล้ามยิ้มให้ทั้งสองอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า
“พวกพี่สองคนเล่นรวมหัวกันผลักภาระมาให้ผมโดยไม่คิดจะรับความเสี่ยงอะไรเลยนี่นา ดังนั้นในเมื่อผมต้องแบกรับคนเพียงคนเดียวก็ต้องเรียกค่าแรงให้คุ้มหน่อยล่ะ ไม่แน่นะ...บางทีผมอาจจะดึงเงินสิบแปดล้านนั่นคืนมาได้แล้วขอส่วนแบ่งสักครึ่งหนึ่งก็ได้นะพี่สิษฐ์ว่ายังไง? ข้อตกลงนี้ฟังดูพอใช้ได้...ใช่เปล่า”
ว่าแล้วก็หันหลังจากมาโดยที่ไม่สนใจพี่ชายอีกสองคนอย่างที่บอกไปพระนายไม่มีแผนอะไรในหัว จนกว่าเขาจะเผชิญหน้ากับเด็กนั่นน่ะแหละถึงจะคิดออกว่าต้องทำยังไงก่อนตอนนี้แค่ได้มีอำนาจควบคุมพี่ชายสองคนไว้ในมือก็สุขใจจะแย่แล้ว
TALK : สวัสดีค่ะ ลงเรื่องใหม่ให้อ่านตามสัญญา :) เป็นแนวโรแมนติก คอเมดี้ (เหรอ??) อ่านๆ ไปก็คงเก็ตเอง เป็นแนวที่ใช้ความพยายามแรงกายแรงใจอย่างมากเลยค่ะ เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีเหมือนกันที่ได้ลองเขียนสิ่งที่ไม่เคยเขียน ได้มีโอกาสแสดงความคิดความเห็นในเรื่องราวของความรักกับเขาบ้าง นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะน้องๆ มัธยมต้น บอกเลย! ไม่เกี่ยวกับฉากกุ๊งกิ๊งอะไรหรอก แต่อ่านๆ ไปแล้วเนื้อหาจะมากขึ้นๆ ชนิดที่แปลไทยเป็นไทยก็อาจจะยังไม่เข้าใจก็เป็นได้ กี้เขียนแบบที่กี้เป็น และมุมมองก็เป็นแบบที่กี้คิด ซึ่งมันอาจจะสวนทางกับวิธีเขียนนิยายรักของคนอื่นๆ
และเหมือนเคยค่ะ เรา ผู้อ่านและผู้เขียนเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน กี้มีวิธีคิดของกี้ ผู้อ่านมีวิธีคิดและมุมมองที่เป็นอิสระ ไม่ต้องเห็นด้วยทุกอย่างที่เราเขียน สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่ค่ะ
ใครทวงคาร์ต้าวีซ่าในเรื่องนี้ จะถือว่าใจร้ายกับกี้มากนะคะ ที่คุณไม่ให้เกียรติการตัดสินใจของเราในการทำอะไร เขียนอะไร ทวงถามด้วยความคิดถึงแต่ไม่ถูกที่ถูกเวลานั้นไม่งามค่ะ
ไม่มีกฏเกณฑ์เรื่องคอมเมนต์ค่ะ ใครใคร่เม้นเม้น ใครใคร่เงียบเงียบ กี้จะนำสิ่งที่ได้อ่านไปปรับปรุงในตัวเล่มค่ะ ดังนั้นถ้าไม่เม้นท์แต่มีเรื่องอยากเสนอแนะปรับปรุงเนี่ย กี้ไม่ทราบจริงๆนะเออ ฮา อีกนิดๆ อยากให้เม้นท์ให้เด็กดีค่ะ ข้อความเดียวกันกับใน FB ที่มักจะไปคุยกันก็ได้ เหตุผลคือ FB มันรันข้อความไปทุกวันแต่ในเด็กดีเวลากลับมารีวิวเพื่อแก้ไขงาน มันหาง่ายกว่าจ้ะ ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะ ที่ติดตามกันมาตลอดและยังคงอยู่ด้วยกันแบบนี้ :)
รักค่ะ
กี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนนี้เพื่อนกำลังจะอ่านจบแล้ว เราเลยอ่านในนี้ไปด้วยเลยจะได้อ่านในหนังสือต่อ 5555555555
เนื้อเรื่องเปิดมาก็น่าติดตามแล้วอะแงงง
ไรท์สู้ๆนะเลิ๊บบบ
พี่น้อง 3 คน ดูเครียดกับพินัยกรรมมากนะ แบบคุยกันเหมือนไม่มีเศร้าโศก ที่พี่ชายตายเลย
หรือมันผ่านมานานแล้วเลยไม่เศร้าแล้ว
ดูแลเด็ก อายุ 21
ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นเมียเก็บพี่ชาย รึว่าลูกที่หลบซ่อน (คงไม่ใช่)
หรือจะโดนเด็กกิน?!?
แต่ที่สำคัญ....ใครก็ได้ ดึงดินสอออกจากมือพี่พุฒิทีเถ้ออออออออ T_T หนูสงสารยางลบ
(ได้ยินชื่อนี้แล้วคิดถึงคุณพระนายในเรือนมยุรา ชอบๆ)
อั๊ยยะ รอลุ้นว่างานนี้พระนายจะเคะหรือเมะ? ฮ่าๆๆๆ
ง่า ไม่ต้องลุ้นพระลุ้นนายแล้วสินะ T T
ง่า ไม่ต้องลุ้นพระลุ้นนายแล้วสินะ T T
ยังคงงงๆอยู่ ต้องตามกันต่อไป
แต่ชอบแนวๆนี้นะ หนุ่มๆพี่น้องอยู่ด้วยกัน ดูฮาๆดี
เราชอบพล๊อตมากอ่ะ เด็กอายุ 21 กับ อาจารย์มหาลัย คือเดาไว้ว่าเด็กนั่นต้องเมะแน่
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้
คือเวลานี้เปิดจองเล่มเลยเราก็เอาอ่ะ
เราชอบเรื่องที่มันดูมีอะไรมากกว่ารักใสๆในวัยเรียน เรื่องนี้เลยโดนมากอ่ะ
คือทุกคนมีความเป็นตัวเองมีหน้าที่การงาน มีมุมมองชีวิตที่ต่างกัน
แอบเกี่ยงความรับผิดชอบกัน มันดูจริงอ่ะ
ไม่รู้จะเม้นอะไร เอาเป็นว่าสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้
บุคคลิกของพระนายก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางไหนเป็นพิเศษ ชวนให้ติดตามมากจริงๆค่ะ น่าลุ้นจริงเเหละว่าใครกดใคร ส่วนตัวมีในใจเรียบร้อยแล้ว ขอให้เป็นอย่างที่หวังที่เถิ้ดดดดด > <
ถึงตอนอ่านช่วงแรกๆจะงงๆกับพี่ชายหลายคนนิดหน่อย แต่พออ่านไปเรื่อยๆเริ่มจับเค้าได้เเล้วก็หายห่วงค่ะ เเละรู้สึกชอบที่คุณกี้ปูเรื่องไว้ค่อนข้างเยอะแบบนี้มากเลย เพราะมันชวนให้ตาม ให้คิดว่าเนื้อเรื่องต้องเข้มข้นขึ้นแน่
จะรอติดตามไปตลอดนะคะ เย้ๆ ^ ^
เปิดเรื่องมาน่าสนใจค่ะ : )
ตัวเอกชื่อแปลกจัง พระนาย เอ๋! ว่าแต่ว่าเราชักสนใจเด็กอายุ 21 คนนั้นแล้วสิ เป็นใครมาจากไหนเนี่ย คงไม่ใช่เมียเก็บของพี่ณิชจริงๆ หรอก แต่ให้เดือนละตั้งแสนห้านี่เยอะไปรึเปล่าน้า เด็กมันใช้ไรเยอะแยะ
เราว่าภาษาสนุกดีนะค่ะ มีให้ขำๆ ฮาๆ ได้ตลอดเลย
ตัวเอกชื่อแปลกจัง พระนาย เอ๋! ว่าแต่ว่าเราชักสนใจเด็กอายุ 21 คนนั้นแล้วสิ เป็นใครมาจากไหนเนี่ย คงไม่ใช่เมียเก็บของพี่ณิชจริงๆ หรอก แต่ให้เดือนละตั้งแสนห้านี่เยอะไปรึเปล่าน้า เด็กมันใช้ไรเยอะแยะ
เราว่าภาษาสนุกดีนะค่ะ มีให้ขำๆ ฮาๆ ได้ตลอดเลย
ว่าแต่ให้เงินเด็กเดือนละแสนห้า เรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหลัง จะรอลุ้นไปพร้อมคุณพระนายค่ะ