ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter Nine

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 56


    The Goat's Howling by Lingbahh

     

     

     

    Chapter Nine

     

     

     

     

     

     

    ผ่านไปแล้วสองชั่วโมง อีกไม่กี่กิโลเราก็จะเดินทางถึงอัลเท็มไฮม์ท่ามกลางหิมะขาวที่พร่างพรายมาตลอดทาง เดรโกขับรถเงียบๆโดยที่ไม่เปิดเพลงฟัง ความบันเทิงหนึ่งเดียวของเราคือการฟังการสื่อสารโต้ตอบของวิทยุตำรวจ  มีคดีชนแล้วหนีหนึ่งคดี  กวางเดินพาเหรดบนทางหลวง กระรอกกัดสายไฟขาดจนไฟดับไปเป็นแถบและประกาศเรื่องงานศพของนายตำรวจคนหนึ่ง ช่างเป็นพื้นที่ชนบทที่เงียบสงบและขาดแคลนเรื่องตื่นเต้นจนชวนหลับ  การใช้ชีวิตในชนบทจะเป็นอย่าไงรนะ ผมจินตนาการไม่ออกเลย

     

    ความอุ่นที่พอเหมาะจากเสื้อกันหนาวที่ได้รับจากเดรโก ผมจึงถอดผ้าพันคอออกมากอด  เอาหน้าซุกไว้กับมันพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย  ในใจเร่งอยากให้ถึงอัลเท็มไฮม์ไวๆ เพราะผมอยากจะใช้โทรศัพท์เต็มที  ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้มาสองสามเดือนแล้วและไม่นึกอยากจะขอยืมเดรโกใช้ด้วย  สู้ยอมไปแลกเหรียญใช้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะดีกว่า

     

    ...มือข้างนั้น  จะชี้ทางให้เราเอง... ประโยคนี้หลุดออกมาอย่างกับคำพูดเท่ห์ๆในหนังสือการ์ตูน แต่จริงๆแล้วคนที่พูดออกมาคือนักสืบที่มีประสบการณ์โชกโชน เดรโกคิดอะไรอยู่และต้องการอะไรกับการลงทุนลงแรงตามเรื่องนี้

     

    “มีอะไรก็พูดมา จ้องหน้าอยู่ได้” ประสาทไวอย่างกับมานั่งอยู่ในความคิด  น้ำเสียงที่ถามสั้นห้วนแต่ไม่ดุดันเหมือนเคย

     

    “ถ้าผมเจอพี่ แล้วคุณได้อะไร ผมไม่คิดว่าคุณจะสละการถูกพักงานมาเล่นเกมนักสืบนี่ฟรีๆหรอกนะ”  ผมถามขึ้นพร้อมหยั่งเชิงด้วยข้อสันนิษฐานเบื้องต้น  ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเลือกถามด้วยคำถามอินโนเซนต์  ความหวังคำตอบสวยๆหรูๆ แต่กับเดรโก  แม้จะรู้ว่าการที่เขาจับผิดผมมาหกเดือนนั้นเกิดจากการถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงจากพี่ชายตัวแสบของผม แต่ผมก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำตัวเป็นหนูน้อยเอมิลเด็กดีเพื่อเดรโก  มันใช้ไม่ได้ผล  ถึงจะรู้ความจริงเดรโกคงไม่คิดจะมองผมในแง่มุมที่ดีขึ้นอยู่แล้ว “กรุณาอย่าบอกด้วยว่าทำเพื่อผม ต้องการอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ ไหนๆ ก็อ้างว่าผมติดหนี้คุณอยู่แล้ว จะให้ใช้หนี้ด้วยอะไรก็ว่ามา”

     

    “ถ้าเรียกเก็บเป็นเงินก็คงไม่มีสักแดง” เดรโกตอบเรียบๆ ด้วยความจริงที่เสียดแทงรูหู “คงต้องเรียกเก็บเป็นอย่างอื่น เตรียมใจไว้รอวันนั้นเถอะ”

     

    ไม่น่าถามเลย พับผ่าสิ!  น่าจะรู้ว่าคนๆนี้ไม่มีทางคายอะไรออกมาหรอก ถ้าตัวเองไม่ได้ประโยชน์

     

    “ฉันแค่ตามกลิ่นเงินมา”

     

    “ชีวิตมันลำบากขนาดนั้นเชียว ได้ข่าวว่ามีงานมีการดีๆทำนี่”

     

    ดวงตาคู่นั้นตวัดมองผม ทำปากเหมือนจะตอกกลับแต่กลับเลือกใช้คำอื่น “เห็นได้ชัดว่านายกับฉันมีระดับความเข้าใจโลกต่างกันมากเกินกว่าจะเสียเวลามาอธิบายให้ฟัง  เดี๋ยวก็รู้เอง  ส่วนนายเตรียมตัวใช้หนี้ไป”

     

     

    “จะเก็บเป็นอะไรจะได้เตรียมใจทัน”

     

    สายตาที่มองมาเจือแววขบขันชนิดที่ว่า ให้ตายก็เดาไม่ถูกหรอก

     

    “ถึงอัลเท็มไฮม์แล้ว”

     

    แอสตันมาร์ตินของเราถึงแยกที่ตัดผ่านทางหลวงเส้นรอง  ป้ายแสดงเขตพื้นที่อัลเท็มไฮม์ถูกปักอยู่บนสันเขาที่อุดมไปด้วยป่าสนสูงเทียมฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะเล็กๆ ที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ถนนสีเทาถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสูงสามนิ้ว อากาศหนาวภายนอกแทรกซอนเข้ามาในช่องว่างของประตูหน้าต่างสร้างความรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ  จนผมต้องเร่งเครื่องทำความร้อนให้รถให้ทำงานมากขึ้น  ลมหายใจที่ออกมาจากร่างกายเป็นไอสีขาวจาง เช่นเดียวกับควันจากหัวรถจักรไอน้ำที่เคลื่อนไปตามแนวสันเขาหลังทิวต้นสน  เสียงหวีดหวอของมันบอกเราว่ามีเพื่อนร่วมทางจำนวนหนึ่งที่มาถึงพร้อมกันพอดี

     

    รถของเราเคลื่อนต่อไปด้านหน้าที่เป็นเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ เหมือนแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางคลื่นในมหาสมุทร ทิวแถวของบ้านเรือนสีสันสดใสโผล่ขึ้นมาแก่สายทีทีละหลังสองหลังราวกับต้อนรับการมาเยือนพวกเรา  ที่นี่ไม่มีอะไรเหมือนกับที่เมืองใหญ่เลยสักนิด บ้านเรือนล้วนเหมือนหลุดมาจากหนังชาวบ้านยุคเก่า ดีหน่อยที่เป็นปูนผสมไม้ หลังคาปูด้วยกระเบื้องที่ผ่านมาจากกรรมวิธียุคเก่า หรือแม้กระทั่งถนนราดยางสีเทาเข้มก็เลือนหายไป กลายเป็นพื้นถนนที่ทำจากหินก้อนใหญ่ที่ผ่านการใช้งานมาแล้วหลายร้อยปีดังเช่นเมืองเก่าอื่นๆ

     

    “เงียบจัง..... คนไปไหนกันหมด”

     

    ผมไม่คาดหวังคำตอบจากเดรโก แต่เขากลับตอบมา “อาจจะอยู่ที่งานศพ หรือไม่ก็กำลังแยกย้ายกันกลับ”

     

    อ้อ....เอ้อ ใช่ ผมก็ได้ฟังเรื่องนั้นจากวิทยุตำรวจนี่นะ  เป็นคนของที่นี่นั่นเอง

     

    “แล้วเราไปไหนดี”  ผมเอี้ยวคอมองป้ายบอกทางสี่แฉกใกล้น้ำพุกลางลานหิน “โบสถ์เซนต์ออกุสตินแห่งอัลเท็มไฮม์ ไปทางขวา”

     

    คนขับรถพยักหน้า แล้วเร่งเสียงของวิทยุคลื่นสั้นในรถให้ดังขึ้น  ใครบางคนกำลังบ่นเรื่องติดภารกิจไปร่วมงานฝังศพไม่ได้ ส่วนคนที่โต้ตอบกลับมาก็แสดงความอาลัยต่อผู้เสียชีวิต  เดาได้ว่าเขาคนนั้นน่าจะเป็นที่รักของคนในพื้นที่

     

    เดรโกชะลอรถเมื่อเราขับรถผ่านร้านขายของชำเล็กๆ ที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากยุคเก่า  แม้จะดูทันสมัยขึ้นเมื่อมีตู้ขายโค้กสีแดงสดตั้งอยู่หน้าร้านแต่ดูจากใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่ที่สูบไปบ์นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ยาวสีเขียวขี้นกใกล้ทางเข้าแล้ว  ก็ดูราวกับว่าเป็นเป็นส่วนหนึ่งของมรดกตกทอดจากรุ่นโบราณมาด้วย เขาจอดรถแล้วส่งเศษเหรียญให้ผม “ไปซื้อหนังสือพิมพ์มาสองสามฉบับ หยิบเอกสารแจกฟรีมาด้วย”

     

    หน้าร้านของชำมีตู้ขายหนังสือพิมพ์แบบหยอดเหรียญอยู่สามตู้คงจะพอเรียกว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับที่นี่ก็พอได้  ตามด้วยตู้ที่วางพวกเอกสารแจกฟรีที่มีเหลือไม่กี่เล่ม ผมลงจากรถไปก็ต้องกระชับเสื้อโค้ทจากอากาศที่หนาวยะเยือกใต้อุณหภูมิที่ลดต่ำกว่าศูนย์องศา  หิมะสีขาวโพลนที่เกาะบนพื้นหินจนหนาเกือบเท่าส้นรองเท้าบ่งบอกว่าหิมะตกติดต่อกันมาพักใหญ่แล้ว  อากาศด้านนอกทั้งแห้งทั้งเย็นจนแสบจมูก ผมใช้นิ้วป้ายใต้จมูกฟุดฟิดเหมือนหมาเป็นหวัด  หยอดเหรียญลงตู้ขายหนังสือพิมพ์ เลือกหนังสือพิมพ์ประเภททั่วประเทศมาหนึ่งฉบับ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอีกฉบับเพราะคาดว่าเดรโกคงอยากสำรวจความเป็นไปของที่นี่  จากนั้นก็คว้าเอกสารแจกฟรีที่มีขนาดเท่ากับหนังสือพิมพ์ประเภทแทบลอยด์มาด้วยก่อนที่จะรีบสาวเท้ากลับไปขึ้นรถ โดยไม่สบตาใครเป็นพิเศษ แม้จะรู้ว่าถูกจ้องมองอยู่จากภายในร้านขายของชำ

     

    “ข้างนอกหนาวชะมัด”

     

    เดรโกพยักหน้า  หยิบเอกสารแจกฟรีมาพลิกดูเป็นอย่างแรก  โดยจงใจข้ามข่าวหน้าหนึ่งแต่เลือกเปิดดูหน้าที่มีตัวอักษรเต็มเอี๊ยดอย่างหน้าโฆษณาก่อนเป็นอย่างแรก  ดวงตาคมกริบกวาดมองแล้วโยนมาให้ผม “อ่านซะแล้วมาบอกว่าได้อะไรจากหน้านี้”

     

    ผมขมวดคิ้ว

     

    “ถ้านายหาความเชื่อมโยงของประกาศในหน้านี้ไม่ได้  คืนนี้ นอนในห้องน้ำ”

     

    “คุณมีที่พักแล้วเหรอ” ผมถามตกใจนิดๆ ในเมื่อการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างฉุกละหุก  ผมไม่คิดว่าเราจะมีที่พักด้วยซ้ำไป  

     

    เดรโกยิ้มเยาะๆ แววตาดูถูกตามประสาเขา 

     

    “ณ ตอนนี้ยัง ถ้านายหาอพาร์ทเมนต์สองห้องนอนได้ นายจะได้ห้องหนึ่ง แต่ถ้านายหาไม่ได้ และฉันต้องลงมือหาเอง  นายนอนในห้องน้ำและต้องทำงานให้ฉันเป็นตอบแทนค่าแก๊สค่าน้ำค่าไฟและค่าเช่าห้อง”

     

    ผมอ้าปากเหวอ ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี ก่อนจะหุบปากฉับเมื่อเจอสายตาดุๆจ้องกลับมา “เออ  เดี๋ยวจัดการให้เองล่ะน่า”

     

    ผมกวาดสายตาดูหน้ากระดาษเอกสารแจกฟรีสีขุ่นที่ถูกพิมพ์เป็นสีสันสวยงาม  ส่วนบนเป็นพื้นที่สำหรับประกาศโฆษณาขายและเช่าสินค้าและบริการต่างๆ ตั้งแต่บ้านเช่า เครื่องเรือน เครื่องดนตรี ขายตั๋วดูละครเวที ให้เช่าหอพัก เซ้งกิจการร้านอาหาร จิปาถะ  ดูจากประกาศคร่าวๆ บวกกับประสบการณ์ที่ได้มาเยี่ยมเยือนเมืองนี้อย่างเร็วๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ผมค้นพบว่าอัลเท็มไฮม์แม้จะเป็นเมืองบ้านนอก แต่ก็เป็นบ้านนอกที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร  ดูจากประกาศขาย/เช่า/หารูมเมทที่อัดแน่นเกือบเต็มหน้า  พื้นที่ของเมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งกั้นด้วยทางรถไฟที่ผ่ากลางเมือง ดูคล้ายกับเป็นการแบ่งแยกพื้นที่ไปในตัวโดยที่ไม่ต้องรอประกาศจากรัฐบาล  ครึ่งหนึ่งของเมืองเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเออร์เฟิร์ตซึ่งมหาวิทยาลัยเอกชนมาเปิดวิทยาเขตใหม่ที่นี่สำหรับบางภาควิชา  ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นพื้นที่เมืองเก่าที่ยังคงขนบและคนในพื้นที่ไว้ได้อย่างเหนี่ยวแน่น  ถ้าดูจากโฆษณาผับ บาร์และร้านอาหารที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคงจะพอเดาได้ไม่ยากว่า อัลเท็มไฮม์เก่ากำลังถูกพื้นที่เมืองใหม่กลืนกินไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางความคับข้องใจของคนในพื้นที่  เพราะมีแม้กระทั่งประกาศรณรงค์ต่อต้านการตัดถนนเส้นใหม่ และประกาศที่แข็งกร้าวจากกลุ่มคลั่งศาสนาที่เคร่งครัดในพื้นที่ที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นักกับธุรกิจใหม่ๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดหลังจากวิทยาเขตใหม่เปิด

     

    ยังไม่เห็นอะไรที่น่าสนใจ  มีห้องให้เช่าเยอะแยะทั้งระยะสั้นระยะยาว  แต่หากมันง่ายอย่างนั้นเดรโกคงไม่โยนมาให้ผมทำหรอก  ต้องมีแผนร้ายในใจแน่ๆ สายตาของผมเลื่อนลงมาดูกรอบด้านล่างซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศข่าวมรณกรรม วันนี้มีกรอบส่ีเหลี่ยมทั้งหมดสี่กรอบ  บรรยายคนที่จากโลกใบนี้ไปแล้วด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยสามกรอบและเย็นชาอย่างยิ่งอีกหนึ่งกรอบ  ผมไล่สายตาอ่านดูอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วเหลือบมองวันที่บนหัวกระดาษ  เอกสารฉบับนี้ตีพิมพ์เมื่อสามวันก่อน  วันที่ผมตาลีตาเหลือกเอาโคเคนยัดใส่กล่องไปรษณีย์แล้วจับรถไฟหนีกลับเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบนั่นเอง ไม่ยักได้ยินอะไรมาก่อนว่ามีเรื่องที่นี่ 

     

    ข่าวมรณกรรมสามในสี่เป็นข่าวงานศพของตำรวจในท้องที่  ตายพร้อมกันวันเดียวสามคนนับว่าเป็นเรื่องหาได้ยาก  แม้แต่ในเมืองหลวงอัตราการตายก็ยังไม่สูงขนาดนี้  รายหนึ่งมีเรื่องวิวาทกับเด็กวัยรุ่นแล้วโดนแทงตายในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัย   รายที่สองและสามประสบอุบัติเหตุจากการขับรถตกเขา ทั้งสามคนพิสูจน์แล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ติดตามอยู่  ส่วนในกรอบที่สี่นั้นเป็น ข่าวมรณกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยในแคมปัสใกล้ๆ เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด

     

    “ที่นี่มีประชากรทั้งหมดเท่าไหร่กัน”

     

    “ถ้ารวมพวกนักศึกษาด้วย  มีสักสองพันคนก็หรูแล้ว”

     

    “สามในสี่คนเป็นตำรวจ ตายในสัปดาห์เดียวกันทั้งหมด แปลกไปหน่อยนะ” ผมพึมพำ แล้วถามตรงๆ “ตกลงจะให้ผมดูอะไร”

     

    “อัลเท็มไฮม์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่สิบเจ็ดคน สำหรับประชากรสองพันคน   อยู่ๆตายไปสามคน เท่ากับเสียกำลังพลไปครั้งเดียว 15%  นายคิดว่าใครกันน่าจะเป็นคนลงมือ และมีแค่คนกลุ่มเดียวหรือเปล่าที่ได้ประโยชน์จากการตายของใครบางคน”

     

    “ใครก็ได้ที่ได้ผลประโยชน์มากพอ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด แล้วก็เอามือทาบปากตัวเอง “โอ้....ถ้าคุณนับว่าสัปเหร่อได้ประโยชน์จากการตาย เราคงต้องไปตามสืบคดีจากสัปเหร่อด้วยงั้นสิ”

     

    สายตาของผมไล่กลับไปบนหน้ากระดาษ  มีประกาศที่เขียนว่า ให้เช่าด่วน ราคาถูก เป็นจำนวนสี่ประกาศเท่าๆ กับจำนวนคนที่ตาย  ไม่สิ ผมคิดง่ายเกินไป การที่มีคนๆหนึ่งตายหายวับไปจากโลกใบนี้หนึ่งคนทำให้ใครได้หรือเสียประโยชน์บ้าง อาจจะมีคนร้องไห้  อาจจะมีคนหัวเราะ และอาจจะมีบางคนที่หัวหมุนเพราะการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน  ผมคว้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขึ้นมา  พาดหัวข่าวเป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้วคือ นายตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่แสนเศร้าจากการขับรถตกเขา  คนในพื้นที่ขับรถตกเขาเนี่ยน่ะรึ 

     

    “ถามหน่อย  เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ จำเป็นต้องเป็นคนในพื้นที่หรือเปล่า”

     

    “ไม่จำเป็นเสมอไปขึ้นกับว่าท้องที่นั้นมีคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือเปล่า  ถ้าเป็นตำแหน่งไม่สูงก็มักเป็นคนในพื้นที่  แต่หากเป็นตำแหน่งสูงก็อาจจะถูกโยกย้ายมาจากที่อื่น”

     

    “ถ้าถูกโยกย้ายมาแล้ว เค้าจะอยู่ที่ไหน”

     

    ใบหน้าคมคายหันมามอง “มีเงินสวัสดิการค่าที่พักอาศัยให้ ส่วนใหญ่ก็เช่าบ้านอยู่”

     

    ผมกลับไปตั้งใจอ่านข่าวอุบัติเหตุอย่างละเอียดและพบว่า สารวัตรที่เพิ่งเสียชีวิตลงนั้นเพิ่งย้ายมาจากท้องที่อื่นได้เพียงสามปี ปัจจุบันอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกชายคนเดียวที่บ้านพักแห่งหนึ่ง ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุนั้นเป็นที่กังขาแต่ไม่พบร่องรอยของรถคู่กรณีใดๆ อาจเกิดจากการหลับในขณะขับรถจนเกิดเรื่องน่าสลดดังกล่าว ภาพถ่ายยิ้มแย้มของสารวัตรถ่ายคู่กับลูกชายรูปหล่อวัยยี่สิบเอ็ดปี เพิ่งถูกถ่ายเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะเสียชีวิต ผมมองดวงตาสีสดใสเหมือนฟ้ากระจ่างนั่นแล้วนึกสงสารตัวลูกชายขึ้นมาตงิดๆ แต่นี่คงไม่ใช่เวลาจะมาเห็นใจใคร เพราะเดรโกเองก็รอคำตอบจากผมอยู่ ผมวางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลง กลับมาดูหน้าโฆษณาในเอกสารแจกฟรีก็เห็นจุดเชื่อมโยงบางๆ ระหว่างสามเรื่องนี้ สารวัตรที่ตาย อุบัติเหตุรถตกเขาและห้องเช่าที่ว่างอยู่ ผมล้วงหาปากกาในกระเป๋าแล้ววงกลมประกาศเช่าบ้านหลังหนึ่งไว้แล้วยื่นให้เดรโก “ที่นี่  บ้านให้เช่าด่วน ราคาถูกมาก เฟอร์นิเจอร์พร้อมเข้าอยู่  สองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัวและห้องนั่งเล่น  มีระเบียงสวยและที่จอดรถได้สามคัน สงบ ติดต่อภายในเจ็ดวันลดค่าเช่าเดือนแรกให้อีก 20%  สำนักงานหาบ้านเช่าอยู่ใกล้โบสถ์ มีเบอร์โทรด้วย”

     

    “ทำไมเลือกบ้านหลังนี้”

     

    “เพราะไม่มีเหตุผลที่จะลดราคาบ้านเช่าที่ทั้งสวยและทำเลดีลง 20% สามเดือนแรก ในเงื่อนไขเวลา 7 วันนอกเสียจากเจ้าของบ้านเช่าจะรู้ว่า ยังไงๆ เสียคนในพื้นที่ไม่มีวันจะควักเงินจ่ายค่าเช่าให้บ้านที่มีประวัติ  เมืองนี้เป็นเมืองเล็กนี่นะ”

     

    รอยยิ้มจุดที่มุมปาก เดรโกอารมณ์ดีแฮะ “นั่นแปลว่า”

     

    “เช่าบ้านต่อจากคนที่เพิ่งตาย  ได้ราคาดีที่สุด” ผมสรุปสั้นๆ “ผมจะเอาห้องนอนใหญ่นะ”

     

    เดรโกตวัดสายตามองผม “แล้วถ้าฉันไม่ยอมล่ะ”

     

    “ไม่รู้ล่ะ” ผมพูดปัดอย่างถือเอาแต่ใจ ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ  ถ้าเป็นพี่ชายผม ผมก็รู้ว่านั่นแปลว่า โอเคๆ ตามใจนายเลย แต่ถ้าเป็นๆคนนี้ล่ะก็  ถ้าได้อะไรอย่างที่หวัง  รับรองได้เลยว่าพ่อนักสืบเมากัญชาอยู่แน่ๆ

     

    “ฝันไปเถอะ” นั่นไง.... ไม่ทันขาดคำ

     

     

     

    $ $ $ $

     

     

     

    นายหน้าของบริษัทบ้านเช่าดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่รู้จักวิธียิ้มที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์มนาทั่วไป  แม้ฟันของเขาจะขาวไร้คราบนิโคตินแต่มันก็ดูจะมากเกินไปสักหน่อยในการพูดคุยกับลูกค้าที่มาดูห้องเช่า หรือเปล่าว่านักสืบเดรโกมีรัศมีดำทะมึนของทั้งตำรวจและคนมีเงินรายล้อมรอบอยู่ก็เป็นได้  นายหน้าจึงดูพินอบพิเทาเป็นกรณีพิเศษและออกจะตั้งอกตั้งใจโฆษณาจนราวกับบ้านเช่าลดราคานั้นเป็นวิมานแดนสวรรค์เสียให้ได้  ผมดูรูปจากในโบรชัวร์เทียบกับบ้านจริงสำหรับราคาที่ลดแล้ว บ้านที่ประกาศเช่าด่วนมีพื้นที่ราว 60 ตารางเมตรพร้อมลานจอดรถและสนามหญ้าสำหรับปาร์ตี้  สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอุดอู้ในอพาร์ทเมนต์ในเมืองมาทั้งชีวิตแบบผม คิดว่าไม่เลวทีเดียว

     

    “เอ้อ....” เขาลดเสียงลงต่ำเมื่อเราขับรถมาจอดบนลานหินกรวด  นายหน้าบ้านเช่าซึ่งเป็นชายวัยสี่สิบปีใส่น้ำมันใส่ผมเสียเงาแว้บทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มปลอมๆ ให้ผม “คุณเพิ่งมาถึงที่นี่ระมัดระวังอย่าเพิ่งพูดอะไรมากแล้วกันนะครับ  ผู้เช่ารายนี้เขายังไม่ค่อยอยากออกเท่าไหร่ แต่วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของสัญญาเช่าพอดีและในเมื่อเขาไม่ประสงค์จะต่อสัญญา  เราจะประกาศให้เช่าไปก่อน”

     

    “อ้าว แล้วถ้าเขาไม่ออก แล้วผมจะเข้าไปอยู่ได้ยังไงล่ะ”  เดรโกทำเป็นถามเสียงซื่อ 

     

    “เรื่องนั้นผมจัดการเอง” นายหน้าเป็นฝ่ายเดินนำเราเข้าไปในบ้านสองชั้นในรูปแบบฮาลฟ์ทิมเบอร์ซึ่งเป็นบ้านก่อด้วยปูนและโชว์โครงสร้างไม้ ทาสีตัวบ้านเป็นสีฟ้าสดใสและทาสีของไม้ตกแต่งเป็นสีขาว-ฟ้าตัดกับกระเบื้องมุงหลังคาสีเทาเข้มเคร่งขรึม ผู้เช่าเดิมดูแลบ้านเป็นอย่างดีเพราะแม้จะมีหิมะตกแล้วแต่ดอกไฮเดรนเยียที่ประดับไว้ในกระถามหน้าบ้านยังออกดอกสีสวยสะพรั่ง  เช่นเดียวกับกลุ่มของดอกแพนซี่ที่ผลิบ้านแม้จะมีเกล็ดหิมะเล็กละเอียดปกคลุมดอกใบ  นายหน้านำเราเข้าไปก่อน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเครื่องของรถมอเตอไซต์โฉบมาจากด้านหลัง พร้อมชายหนุ่มวัยรุ่นในสูทสีขาวดำสวมหมวกกันน็อคใบเขื่อง ขายาวๆ ก้าวลงจากรถจักรยานยนต์ BMW สุดหรู  ดวงตาโตสีฟ้าจ้องมองมาทางเราสามคนอย่างเอาเรื่อง ไม่ต้องแนะนำตัวผมก็จำได้ว่าเป็นลูกชายรูปหล่อของสารวัตรผู้โชคร้ายคนนั้นนั่นเอง 

     

    “มาทำอะไรน่ะ”

     

    “สวัสดี เซธ  เสียใจเรื่องพ่อเธอด้วยนะ”

     

    เซธหน้ากระตุก “คุณไม่ได้ไปร่วมงานศพของพ่อด้วยซ้ำ  อย่ามาพูดดีเลย” ดวงตาสีฟ้าสดใสตัดกับผมสีน้ำตาลไหม้ของเขาจ้องมองไปทางเดรโกและผม  คนตรงหน้าถอดเนคไทออกตามด้วยเสื้อนอกสีดำ  คงเพิ่งกลับจากงานฝังศพไม่นานนัก “พวกคุณจะมาเช่าบ้านหลังนี้เหรอ”

     

    เดรโกไม่ตอบ ผมจึงเป็นฝ่ายพยักหน้า  ยิ้มนิดๆที่มุมปาก “ใช่”

     

    “ระวังโดนโกงสัญญาเช่าล่ะ  โกงได้้ก็ไม่พลาด” เซธพูดลอยๆ สายตาจับจ้องอยู่แต่หน้าของผม แต่พอผมจ้องตอบกลับเสมองไปทางอื่น  “จะมาดูบ้านก็เข้ามาสิ ข้างนอกหนาว”

     

    เดรโกดันเอวผมให้เดินตามลูกชายตำรวจเข้าไปด้วยสายตาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  ร่างสูงพาเราผ่านห้องนั่งเล่นที่มีเตาผิงอุ่นสบาย ท่ามกลางลังกระดาษที่ใส่ข้าวของเตรียมย้ายบ้านแล้วผ่านเข้าไปยังห้องนอน  ร้องเรียกหาแม่โดยที่ไม่เคาะประตู  แล้วเราก็ได้พบหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดดำที่นั่งกอดรูปของสามีร้องห่มร้องไห้จนตาบวมเบ่ง  ผมไม่กล้าเดินต่อเช่นเดียวกับนายหน้าที่ยืนตะลึงอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาประสมกันระหว่างความละอายใจและยุ่งยากใจ   ส่วนเซธจ้องมองแม่ด้วยสายตาปวดร้าว แล้วปิดประตูลง 

     

    “เราเก็บของเสร็จวันนี้ ไม่ต้องมาเร่งหรอก” สายตาที่มองไปยังนายหน้าบ้านเช้าเป็นสายตาที่ดุดันกราดเกรี้ยวราวมากพอที่ใครคนหนึ่งจะขับมอเตอไซต์ทับกะโหลกใครอีกคนจนสมองแบะได้ “เขาคิดค่าเช่าเท่าไหร่ล่ะ”

     

    “เซธ นี่มันไม่ใช่ธุระของเธอ”

     

    “เดือนละ 750 ยูโร เขาว่าลดแล้ว 20%”

     

    เซธตวัดสายตาไปมองเจ้าของเรือนผมเยิ้มน้ำมัน “แต่ผมจ่ายแค่เดือนละ  650 ยูโรเองนะ”

     

    “เซธ!”

     

    เดรโกกระแอมแล้วพูดขึ้นเรียบๆ “ดังนั้น ฉันได้จะได้ราคาเดียวกัน 650 ยูโร ลด 20% สามเดือนแรก ถูกต้องใช่ไหม”

    “เอ่อ คุณครับ คือว่าผมให้ราคานั้นไม่ได้หรอก เป็นเรทที่ให้ข้าราชการเช่า....” นายหน้าเอ่ยตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบสายตาของเดรโกเลยแม้แต่นิดเดียว 

     

    “หรืออยากมีเรื่องกับสรรพากรเรื่องหลีกเลี่ยงภาษี จะได้ช่วยสงเคราะห์ให้” เดรโกถามเรียบๆ แล้วทิ้งไว้ให้คิด  เซธยักไหล่เยาะเย้ยแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะไปชงอะไรอุ่นๆให้เราดื่มกันหนาว  แม้ว่าจะดูร้ายเอาเรื่องแต่ก็อัธยาศัยดีกว่าที่คิด     ผมเดินวนไปรอบๆ บ้านเห็นสภาพการเก็บกวาดที่รีบร้อนก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างประหลาด ทั้งๆที่ที่นี่เคยได้รับการดูแลอย่างดี  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน หรือชุดครัวก็สะอาดเอี่ยมแม้ท่ามกลางความโกลาหล  เมื่อชะโงกไปดูชัดๆ ผมกลับเห็นคนๆนั้นยืนเหม่ออยู่หน้ากาน้ำร้อนที่พ่นควันขโมง  ไออุ่นอยู่รอบห้องที่มีอุณหภูมิค่อนข้่างเย็น

     

    “เฮ้”  ผมเป็นฝ่ายทักออกไปก่อน “ฉันเรียกนายว่าเซธได้ไหม”

     

    หนุ่มหน้าตาดีในเชิ้ตขาวสะดุ้ง หันมาตามเสียงของผม “อ้อ...นาย...ได้สิ”

     

    ผมยืดตัวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว เห็นว่าไม่ได้ถูกเก็บคงจะเป็นของบ้านเช่า “เสียใจด้วยเรื่องพ่อนาย  เราเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าแล้วก็เห็นข่าว”

     

    “นายรู้จักฉันเหรอ”

     

    ผมส่ายหน้า “เห็นในหนังสือพิมพ์น่ะ  เสียใจด้วย  เราไม่คิดว่า...เราจะต้องมาเช่าบ้านนายอยู่”

     

    เซธถอนใจแล้วขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ผมชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน “เราแค่อยากหาที่อยู่ แล้วก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะหากนายจะใช้เวลาอีกสองสามวันในการเก็บของแล้วก็หาที่อยู่ใหม่  มันคงเป็นช่วงที่กำลังลำบาก ฉันพอจะเข้าใจอยู่ อยู่ที่นี่อีกแป๊บนึงก็คงไม่เป็นไร”

     

    คนที่คิดจะอ้าปากโวยวายก็เงียบลง  ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เขามีฟันเขี้ยวขาวๆด้วยทำให้ดูหน้าเด็กกว่าวัยยี่สิบเอ็ดปีตามที่ผมทราบจากหนังสือพิมพ์ “ฉันนึกว่านายจะไล่ที่” 

     

    ผมยิ้มด้วย ‘หน้ากากเอมิลเด็กดี’ ที่ไม่ได้ใช้การมาเสียหลายวัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาเป็นยิ้มเขินๆ ของอีกฝ่าย แม้แววตาจะเศร้าแต่เซธก็ชวนมองไม่ใช่น้อย  ยามที่สดใสร่าเริงก็คงจะไม่รอยยิ้มสว่างไสวเหมือนดวงตะวันสินะ  ผมเห็นภาพของเขาซ้อนทับกับแมทเทียสอย่างช่วยไม่ได้

     

    “ดื่มอะไรดีละ มีชาผลไม้กับกาแฟที่แม่ยังไม่ได้เก็บลงลัง”

     

    “ฉันขอชา  แล้วก็กาแฟให้เขาด้วย” เซธพยักหน้า แล้วรินน้ำร้อนลงถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดี  “ฉันยังไม่รู้ชื่อนายเลย” 

     

    “ฉันชื่อเอมิล  ส่วนพี่ชายหน้าโหดนั่นชื่อเดรโก”

     

    “เขาเป็นพี่ชายนายเหรอ หรือเป็นญาติกัน” เขาถามคล้ายจะสงสัย พลางยื่นแก้วชาร้อนกรุ่นมาให้  ปลายนิ้วของเราที่แตะกันเพียงแวบเดียวแล่นปลาบเหมือนถูกไฟช็อต  ผมบอกตัวเองว่าอากาศทั้งแห้งและเย็น ไม่ได้เกี่ยวกับรอยยิ้มหรืออะไรนั่นเลยสักนิด  แต่บรรยากาศในห้องนี้คืออะไรกันล่ะ เซธดูเหมือนอยากคุยกันผมแต่ก็กล้าๆกลัวๆ ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกอุ่นแปลกๆ “เดรโก เป็นเอ่อ....ผู้ปกครองน่ะ ฉันยังอายุไม่ถึง 18 ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ เขาจะย้ายมาทำงานที่นี่  ฉันเลยต้องตามมาด้วย”

     

    คิ้วหนาดกดำสีน้ำตาลไหม้นั้นเลิกขึ้นสูง มือปิดเตาแก๊สแล้วรินชาอีกถ้วยให้ตัวเอง  เดินมาพิงโต๊ะยืนข้างกัน  เซธตัวสูงกว่าผมนิดหน่อยแต่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงอย่างคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำ  เสื้อเชิ้ตขาวตัวบางไม่สามารถซ่อนรูปร่างได้มากนัก แถมกางเกงสแลคดำบนตัวเขาเขาดูเพรียวชวนมอง และมีเสน่ห์อย่างร้ายแรงเมื่อเจ้าตัวควบอยู่บนมอเตอไซต์สี่สูบคันโต “จะอยู่ที่นี่นานไหม”

     

    ผมยักไหล่ “นั่นแล้วแต่เดรโก”

     

    เซธพยักหน้า  หันมามองหน้าผมแว่บหนึ่งแล้วก็หันหนีไปอีกทางโดยไม่มีเหตุผล  ผมแกล้งเขยิบตัวเข้าใกล้จนหัวเข่าแตะกับสะโพกของเขาที่พิงโต๊ะอยู่  “มอไซต์นายสวยนี่ แวะมารับไปเที่ยวบ้างสิ”  จากมุมที่สูงกว่า ผมเห็นไรขนบางตามใบหูของเขาและขนตาที่รับกับแววตาเศร้าโศกของคนที่เพิ่งเสียคนสำคัญไป “พร้อมแล้วค่อยมา ฉันพร้อมออกไปเที่ยวเสมอล่ะ”

     

    “อื้อ....” 

     

    “งั้น...ฉันยกกาแฟไปให้เดรโกก่อนนะ” พูดพลางทิ้งตัวลงมาจากโต๊ะ  จงใจเบียดต้นแขนแข็งแรงนั้นให้ได้สัมผัสถึงตัวผม แปลกจริงๆ ที่ทุกส่วนที่สัมผัสกันนั้นร้อนวูบวาบ

     

    “เดี๋ยวสิ”

     

    ผมชะงัก ช้อนตามอง พบว่าเซธประคองถ้วยชาของตัวเองไว้แล้วเอ่ยเรียบๆ “ขอบใจที่เข้ามาคุยกัน ฉันไม่ได้คุยกับใครเลยมาสามสี่วันแล้ว.... มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมากแล้ว... แปลกนะ อยู่ๆนายก็โผล่มาแล้วบอกว่า  อยู่ที่นี่อีกสองสามวันก็ได้  ฉันไม่รู้หรอกนะ...ว่านายคิดอย่างที่พูดออกมาจริงๆหรือเปล่า แต่มันรู้สึกดี  ดีกว่าคำพูดสวยๆ ของคนที่งานศพแต่สุดท้ายก็เหลือแค่เราสองคนแม่ลูก  ดีกว่ากันมากเลย ขอบใจนะเอมิล” ในคำสุดท้ายเขาหันมาสบตากับผม  พร้อมกับรอยยิ้มที่พยายามจะเข้มแข็ง

     

    วินาทีนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าอยากจะวางถ้วยกาแฟ ตรงเข้าไปหาแล้วก็กอดคนๆนี้ไว้ในอ้อมแขน ปล่อยให้เขาร้องไห้เสียให้พอใจ  ผมอาจจะไม่ได้ชอบเซธแต่เป็นเพียงความประทับใจแรกพบ แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจเขาเป็นอย่างดีกับการที่ต้องเป็นคนที่ยืนหยัดผ่านเรื่องเลวร้ายและเป็นเสาหลักท่ามกลางกระแสลมฝนพายุกระหน่ำ  แม้ข้างในจะรู้สึกเปราะบางเสียเหลือเกิน รอยยิ้มนั้นก็ฝืดเฝอ  ดวงตาคู่นั้นแกล้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งๆที่แทบจะยืนไม่ไหว

     

    ผมเหมือนเห็นตัวเองอีกคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้า

     

    ผมคงจะอยากกอดเขา เพราะผมเองก็ต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน

     

    เพียงแต่ว่า ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะเปิดเผยความรู้สึกเช่นนั้นอย่างตรงไปตรงมากับคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงชั่วโมงหรือแม้แต่กับคนที่รู้จักมานานแล้ว...ก็ยังทำไม่ได้

     

    “วันไหนถ้าไม่มีอะไรยุ่ง....ก็แวะมาที่นี่สิ  เดรโกไม่ว่าอะไรหรอก”

     

    ใช่ เดรโกไม่ว่าอะไรหรอก การที่เขาเห็นดีเห็นงามเจาะจงเช่าบ้านของตำรวจที่เพิ่งตายมันย่อมมีจุดประสงค์แอบแฝงที่มากกว่าค่าเช่าห้องราคาถูกอยู่แล้ว สายตาของเดรโกนั้นเหมือนห้วงมหาสมุทรที่ลึกสุดเกินจะหยั่งถึง  ผมไม่รู้เลยว่านอกจากสิ่งที่เขาประกาศชัดเจนว่าจะต้องตามหาแมทเทียสแล้ว เขาต้องการอะไรอีกบ้าง

     

    ผมถือแก้วกาแฟที่เริ่มเย็นแล้วออกจากห้องไป แน่นอนว่าเดรโกย่อมเห็นว่าผมหายไปนานผิดสังเกต หนำซ้ำกาแฟก็เริ่มเย็นแล้วด้วย แม้สายตาจะถามแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา  ดวงตาคมเหมือนคมดาบจ้องมองเซธตั้งแต่ตัวจดเท้า จนเจ้าตัวเอ่ยถามว่ามีอะไรหรือเปล่า  คนแก่กว่าส่ายศีรษะน้อยๆ 

     

    “ตกลงเรื่องสัญญาเช่าไปแล้วนะ ขอบใจมากที่บอกราคาที่แท้จริง” น้ำเสียงของเขาเรียบ ในขณะที่จิบกาแฟไปด้วย ผมรู้สึกราวกับโดนจับผิด เซธมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ก่อนที่จะทำหน้าแปลกใจอย่างใหญ่หลวงเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา “เธอไปปลอบแม่เถอะ ทำใจดีๆแล้วค่อยกลับมาเก็บของ    ห้องชั้นสองเก็บเสร็จแล้วนี่ ระหว่างนี้ถ้าไม่ว่าอะไรฉันกับเจ้าหนูนี่นอนชั้นสองไปก่อนได้ ไม่ได้ลำบากอะไร”

     

    ลูกชายนายตำรวจพยักหน้าเร็วๆ แล้วเข้าไปในห้องที่ปิดอยู่ ผมได้ยินเสียงสะอื้นปริ่มจะขาดใจของเธอลอยออกมา

     

    ใจกว้างราวมหาสมุทร! ....ผมก็คงคิดแบบนั้นหรอก ถ้าไม่สังเกตเห็นเข้าเสียก่อนว่า ตรงปลายเท้าของเดรโกเป็นกล่องเอกสารที่บรรจุแฟ้มงานจำนวนหนึ่ง มีลายมือหวัดๆ ของใครบางคนเขียนไว้ว่า ‘คดีที่ยังไม่ปิด’

     

    มือใหญ่ของเดรโกหยิบเอกสารขึ้นมาวางบนตักแล้วพลิกออกดู ชนิดที่ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกเจ้าของห้องคนเดิมสงสัยเลย  เขาหันมาทางผมออกคำสั่ง

     

    “ขอกาแฟแก้วใหม่ด้วย แก้วนี้มันหวานไป”

     

    “ยังไม่ได้ใส่น้ำตาลสักก้อน จะไปหวานได้ไง ลิ้นเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย” ผมเถียงแต่ว่าก็ฉุกคิดได้ว่ามันอาจจะเป็นแค่การพูดกระทบกระเทียบก็เป็นได้  คนพูดหัวเราะหึในคอ มองดูผมเดินกระแทกส้นกลับเข้าไปในห้องครัว  จัดการชงกาแฟแก้วใหม่ให้พร้อมโยนน้ำตาลลงไปในแก้วทันทีสี่ก้อนให้หวานสมกับที่ถูกประชด

     

    จะเป็นเพราะสนใจกับคดีในแฟ้มงานหรืออะไรก็ตามแต่ น่าแปลกที่คราวนี้เจ้าตัวไม่พูดอะไร เดรโกดื่มกาแฟที่น่าจะหวานจนแสบคอรวดเดียวหมดถ้วยจนผมรู้สึกผิดเสียเอง

     

    “รออะไร  เอากระเป๋าเสื้อผ้าย้ายไปชั้นสองสิ รอฉันบริการหรือไง” สั่งโดยที่ตายังจ้องแฟ้มคดีอยู่ ผมยื่นคอมาดูก็ต้องรีบย่นคอกลับเมื่อเจอภาพศพสยดสยองในแฟ้มภาพ “ดูอะไรอะ น่ากลัว”

     

    “แค่เริ่มต้นค้นหาว่าอะไรทำให้รถตกเขา” เดรโกโยนแฟ้มกลับลงลังแล้วอุ้มทั้งลังขึ้นไปวางบนชั้นสองอย่างถือวิสาสะ  ทิ้งให้ผมยืนตาค้างกับพฤติกรรมที่ห่างไกลความเป็นตำรวจมากขึ้นไปทุกที

     

    ซุกซ่อนของกลาง ข่มขู่และลักพาตัวพยาน นี่ยังจะขโมยแฟ้มงานคนตายหน้าตาเฉยอีก พี่ชายผมเป็น ‘เพื่อน’ กับหมอนี่ได้ยังไงเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆ

     

     

     

    $ $ $ $

     

     

     

    เซธกับแม่ออกมาจากห้องพอดี ผมรีบยิ้มเจื่อนๆให้ ลอร่า แม่ของเซธมีสภาพเหมือนซอมบี้ที่ร้องไห้อย่างหนักมาสักสามวันสามคืน เธอยิ้มอายๆให้เราแล้วบอกให้เซธเอาของๆ ตัวเองไปไว้หลังรถกระบะเพื่อเตรียมตัวย้ายไปยังที่พักใหม่ซึ่งเห็นว่าเซธจะย้ายไปอยู่ในหอพักแถวมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง และจะขับรถไปส่งแม่ที่บ้านคุณตาซึ่งอยู่ในเมืองห่างออกไปจากที่นี่ราว 50 ไมล์      พวกเขาแพคของกันอีกราวสามชั่วโมง 

     

    สองแม่ลูกไม่ถามถึงเอกสารลังหนึ่งที่อันตรธานหายไปเลยสักคำเดียว  พวกเขาอาจจะมีเรื่องต้องคิดมากมายจนหลงลืมหรืออาจจะคิดว่า ช่างมันเถอะ  ยังไงก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แต่ผมก็อดใจตุ้มๆต่อมๆไม่ได้อยู่ดีว่าพวกเขาจะถามหาขึ้นมาตอนไหน  

     

    เดรโกลงมาช่วยเรายกข้าวของขึ้นหลังรถเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากนัก      แม้จะเห็นว่าแม่ของเซธกลั้นสะอื้นไปด้วยแพคของไปด้วย  เขาก็ไม่ได้ปลอบแต่ก็ไม่ได้ทำตัวแล้งน้ำใจ บรรยากาศภายในบ้านจึงไม่เลวนักแม้ว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ผมทำตัวเป็นเพื่อนใหม่ที่ดีด้วยการช่วยยกของแล้วเป็นลูกมือช่วยขึงผ้าใบคลุมข้าวของหลังรถกะบะ ป้องกันหิมะที่จะตกลงมาทำให้ข้าวของบางส่วนเสียหาย

     

    ก่อนที่เราจากกัน เซธทิ้งกอดอุ่นและรอยยิ้มโชว์เขี้ยวขาวไว้ให้ผมรู้สึกปั่นป่วน พร้อมกับคำลาสั้นๆ ว่า “ฝากมอเตอร์ไซค์ไว้ที่นี่สองสามวัน....แล้วจะมารับไปทั้งรถ...ทั้งคน” ในมือที่จับมีกุญแจมอเตอร์ไซค์อยู่

     

    ผมมองรอยล้อรถสีเทาเข้มท่ามกลางหิมะขาวสะอาด  แอบภาวนาในใจคนเดียวว่าเซธจะกลับมาหาผมจริงๆไม่ใช่แค่เพียงมาเอามอเตอร์ไซค์คันหรูกลับเท่านั้น  แต่เมื่อหันหลังกลับมาเจอเดรโกที่สูบบุหรี่อยู่ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อกี้เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วย  กอดอุ่นและยิ้มหวานนั้นมีแววว่าจะนำพาซึ่งความยุ่งยากมาให้ผมเสียแล้วสิ

     

    “เสน่ห์แรงจริงนะ”

     

    ผมยักไหล่  “รู้ตัวดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมาย้ำ”

     

    “รถน่ะ ให้คืนแน่....แต่คนน่ะ ยากหน่อยนะ” พูดไปพลางพ่นควันสีขาวอมเทาสู่อากาศ  ม่านควันที่ลอยผ่านใบหน้าและดวงตาที่จ้องมองมาอย่างกับเสือที่เตรียมจะตะครุบเหยื่อนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจมาก 

     

    “น้องเพื่อนก็ไม่ได้นับญาติ เพื่อนรึก็เปล่า คนในครอบครัวก็ไม่ใช่ จะรั้งผมไว้ทำไมล่ะ” ผมถามประชดพลางเข็นเจ้ารถจักรยานยนต์สองล้อคันโตไปจอดแอบไว้หลังบ้าน แต่ก็หวิดๆจะทำรถล้มอยู่สองรอบ สุดท้ายเดรโกก็เป็นฝ่ายมาช่วยจับและจอดรถให้

     

    “ว่าไงล่ะ....เหตุผลอะไรที่ผมต้องติดแหง็กอยู่กับคุณ”

     

    “ดึงฉันมาพัวพันเรื่องบ้าๆ ตามด้วยเรื่องพี่ชายหายไป ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่าทำไมนายจะออกไป....กับหนุ่มๆข้างนอกนั่นไม่ได้” สิงห์อมควันตอบโดยที่ยังคาบบุหรี่ไว้ที่ริมฝีปาก เขาสูดเข้าปอดเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะบดลงกับถาดทรายใกล้ประตูบ้าน  เจ้าของคนเก่าก็คงติดบุหรี่พอกันสินะ  “จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง  จะไปไหนกับใครก็ไม่อนุญาตทั้งนั้น”

     

    “นี่ผมเป็นนักโทษของคุณหรือยังไงไม่ทราบ!”

     

    “เป็นความคิดที่ดี”

     

    “เฮอะ....เห็นเป็นนักโทษก็ล่ามไว้ซะสิ” ประชดอีกคำก็จะเดินหนีเข้าบ้านแล้วก็ต้องตัวแข็งเมื่อได้ยินคำถามลอยลมที่ตามมา

     

    “งั้นเอาปลอกคอสีอะไรดีล่ะ”

     

     

    ปัง!  ผมกระชากประตูปิดรุนแรงจนหิมะที่ติดกับเหนือประตูร่วงกราว....

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×