ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter Eight

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 56


    The Goat’s Howling by Lingbahh

     

     

    Chapter Eight

     

     

     

     

     

     

    ตอนที่ผมแต่งตัวเสร็จเดรโกไม่อยู่ที่ห้องแล้ว ข้าวของของเราทั้งสองคนก็หายไปจากห้องด้วย ผมจึงเลิกผ้าม่านออกเห็นร่างสูงก้มๆเงยๆ ตรวจสภาพเครื่องยนต์อยู่กับชายวัยกลางคนที่มีผมหงอกสีขาวเต็มศีรษะอีกคนหนึ่งที่คงจะเป็นคนแถวนี้  เขารินน้ำสะอาดลงหม้อน้ำแล้วตามด้วยการเช็คน้ำกลั่นของแบตเตอรี่  ผมรีบเป่าผมให้แห้งแล้วออกจากห้องพักไปโดยที่ไม่ลืมสำรวจเผื่อว่าจะหลงลืมอะไรไว้ในห้องด้วย  จากนั้นก็เดินผ่านออฟฟิศไปโดยเห็นว่าไอ้หนุ่มหน้าสิวที่คอยเฝ้ากำลังหลับเป็นตายอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงกริ่งบนโต๊ะ  ผมจึงยังไม่คืนกุญแจและเดินไปหาเดรโกก่อน   จึงสังเกตว่าปลายผมของเขาชื้นเล็กน้อยและกลิ่นเบาบางของอาฟเตอร์เชฟก็ลอยวนอยู่บริเวณใบหน้า ผมไม่ได้ถามว่าเขาไปอาบน้ำที่ไหนมา  คนอย่างหมอนี่คงหาทางไปได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะได้รับการต้อนรับหรือไม่

     

    “คืนกุญแจไปหรือยัง”

     

    “คนดูแลหลับเป็นตาย  เรียกยังไงก็ไม่ตื่น”

     

    เขาเงยหน้ามองไปยังออฟฟิศ  ผมจึงเห็นรอยแผลเป็นบริเวณใบหูที่ดูเหมือนจะเคยฉีกขาดออกจากกันแล้วถูกเย็บกลับเข้าไปใหม่  วันนี้เดรโกดูเป็นตำรวจน้อยกว่าเมื่อวานและดูพิถีพิถันกับการแต่งตัวจนไม่อยากเชื่อว่าที่จริงแล้วเป็นคนที่มีจิตใจหยาบกระด้างราวกับหินแตกๆ   เดรโกใส่สวมเสื้อตัวในเป็นเสื้อยืดคอวีสีเขียวตุ่นทำด้วยแจ็คเก็ตผ้าที่บุนวมบาง รอบคอเป็นผ้าพันคอแบบผู้ชายลายตารางสีน้ำตาลอมเทา ร่างสูงดูดีในกางเกงยีนส์สีเทาอมดำพอดีตัวและรองเท้าหนังฟอกสีน้ำตาลอ่อน จะบอกว่าตั้งใจแต่งตัวไม่ให้ดูมีสีสันสะดุดตาก็ใช่ แต่ว่ายิ่งแต่งยิ่งเรียกสายตาให้มองซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความดูดี  ยืนข้างกันแล้วผมรู้สึกว่าเป็นเด็กกะโปโลขึ้นมาทันที  

     

    “งั้นไม่ต้องคืนก็แล้วกัน นายเก็บไว้ เผื่อฉุกเฉิน”

     

    อะไรคือ เผื่อฉุกเฉิน ผมยังไม่ทันได้ถามก็ถูกหิ้วหลังคอเหวี่ยงขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับเสียแล้ว เดรโกหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมแล้วหันมามองผม “คาดเข็มขัดนิรภัยด้วย จะเดินทางแล้ว”

     

    ผมทำตามอย่างงงๆ ยังคิดต่อว่า ฉุกเฉินที่แก้ปัญหาด้วยการไม่คืนกุญแจโมเต็ลนี่คืออะไรกันแน่  แต่สิ่งที่กลับทำให้ผมลืมทุกอย่างนั่นคือการเปิดบทสนทนาจริงจังยามเช้าด้วยคำถาม

     

    “อีกสามชั่วโมงจะถึงอัลเท็มไฮม์ นายมีหน้าที่ตอบคำถามของฉันจนกว่าฉันจะพอใจ”

     

    ผมไม่ตอบว่ากระไร  ไม่รู้วันนี้พ่อยอดนักสืบจะมาไม้ไหนอีก

     

    “ไม่พอใจหรือไง”

     

    “แค่คิดว่า ถ้าไม่อยากตอบจะทำยังไง”

     

    “ก็ลงจากรถไปสิ” ขณะที่พูดรถก็ออกวิ่งแล้วและแนวโน้มทางข้างหน้าคือถนนราดยางที่ยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นคำแนะนำที่เอื้อเฟื้ออย่างยิ่ง เดรโกมองเย้ย “ถ้ากล้าพอ”

     

    เจอแบบนี้บ่อยเข้าก็คิดว่าควรจะกล้าและไม่ต้องพึ่งพิงบ้าง แต่คิดดูดีๆ แล้วใช่ว่าจะถูกปล่อยไปง่ายๆ คนอย่างเดรโกลองได้สวมปลอกคอให้ใครแล้ว จะบังคับให้ซ้ายหันขวาหันทำอะไรย่อมได้ทั้งนั้น  ผมเอนตัวลงกับเบาะ ถูมือไปมาด้วยความหนาวแล้วรีบเอามือไปอิงเครื่องทำความร้อนในรถสู้กับอุณหภูมิภายนอกที่ลดต่ำลงใกล้เคียงกับศูนย์องศาเซลเซียสเต็มที  คนที่กำลังจะเร่งเครื่องเหยียบเบรก  หันไปเบาะหลังคว้าเสื้อกันหนาวมาโยนใส่หน้าผม  เมื่อรับมาก็พบว่า....นี่มันเสื้อของผมเองนี่นา  ไปเอามาได้ยังไง  หรือว่าตานี่แอบย่องเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ของผม

     

    เดรโกตอบคำถามในใจด้วยสีหน้ากวนๆ คิ้วหนาที่โก่งสวยคู่นั้นราวกับจะยิ้มเยาะในความไม่เอาไหนของผม  เออ ผมก็พลาดจริงๆ ที่คว้าเสื้อมาแค่ตัวเดียว ลืมคิดไปว่าอากาศที่ต่างจังหวัดนั้นเย็นกว่าในเมืองหลวงหลายเท่า 

     

    “ขอบคุณ” น่าจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้

     

    คนขับรถชำเลืองหางตามามองแล้วเบนกลับไปยังถนนที่ว่างเปล่า  มือซ้ายของเขาจับพวงมาลัยขนาดใหญ่หุ้มหนังสีเทา  ในขณะที่มือขวาเลื่อนมาเปิดสวิตซ์เครื่องรับวิทยุคลื่นสั้นที่พ่วงอยู่กับตัวส่งสัญญาณและแสดงผลด้วยหน้าจอ LCD ทันสมัยที่สามารถรับข้อความในเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที  แม้จะเป็นรถเก่าคลาสสิครุ่นคุณปู่ยังหนุ่มแต่ว่าเดรโกดูแลรักษาอุปกรณ์ภายในรถเป็นอย่างดีและทันสมัยมาก  รวมไปถึงชุดเครื่องเสียงกรอบไม้ที่ถูกติดตั้งอย่างแนบเนียนกลมกลืนไปกับแผงหน้าปัดของรถ ลำโพงครวญครางเสียงเพลงแนวโซลที่นุ่มระรื่นหูเหมือนปุยเมฆขาวในวันที่ฟ้าโปร่ง  แม้จะถูกแทรกด้วยคลื่นวิทยุความถี่ต่ำของตำรวจบ้างแต่พอผ่านไปสิบห้านาทีมันก็คุ้นเคยไปเอง

     

    เช่นเดียวกับที่ผมคุ้นเคยกับความเย็นชาของเดรโก  แม้จะปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็นก็ตาม

     

    $ $ $ $ 

     

     

    ผมจำช่วงที่แมทเทียสออกจากบ้านไปเข้าร่วมกับกองทัพได้  นั่นเป็นตอนที่ผมอายุประมาณ 15 สองปีก่อนสินะ....  ตอนนั้นเดรโกก็ไม่มองหน้าผมแล้วด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างที่ผมเคยถามตัวเองว่าผมทำผิดอะไรหรือ แต่ในเมื่อมันไม่มีคำตอบผมจึงเลิกสนใจไป  มันคงต้องเกี่ยวอะไรกับแมทเทียสสักอย่างนั่นล่ะ   พี่ชายกับผมไม่ได้เอาแต่ใจตัวมากน้อยไปกว่ากันสักเท่าไรหรอก ถ้าจะถามน่ะนะ 


     

    ช่วงนั้นเดรโกมาที่อพาร์ทเมนต์ของเราแทบทุกวัน  ไม่ใช่มาเพื่อผ่อนคลายหรือจิบน้ำชายามบ่ายอะไรแบบนั้น แต่เหมือนกับเขามาเพื่อทะเลาะกับพี่ชายผมโดยเฉพาะ  แมทเทียสสมัครเข้าประจำการที่สมรภูมิรบที่ิดาร์ฟูร์ ประเทศซูดานโดยที่ไม่ปรึกษาใครด้วยเหตุผลที่ฟังดูไม่เข้าท่า ทำให้เพื่อนทุกคนที่รู้เรื่องต่างทยอยโทรมาห้ามปรามกันจนสายโทรศัพท์บ้านแทบจะไหม้ จริงอยู่ว่ากองกำลังของประเทศเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเสริมของชาติมหาอำนาจอื่นๆ  และดาร์ฟูร์ก็อยู่พ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว กระนั้นการส่งตัวเองไปแอฟริกานั้นก็มีความเสี่ยงไม่แพ้การสมัครเข้าไปร่วมสงครามในอัฟกานิสถานเลยแม้แต่น้อย  แมทเทียสมีเหตุผลของตัวเองที่ผมและแม่ก็ไม่เข้าใจ  แต่เราก็เคารพการตัดสินใจที่แปลกประหลาดของเขา  ทว่าคนที่ไม่ยอมเลยก็คือเดรโก ซึ่งตอนนั้นเขาได้รับแต่งตั้งเป็นนักสืบแล้ว ก็คงรู้ตื้นลึกหนาบางในกองทัพมากพอสมควรจึงได้คัดค้านหัวชนฝา และตั้งหน้าตั้งตาประท้วงแมทเทียสอยู่ทุกวี่วัน นับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องจนกระทั่งวันที่แมทเทียสบอกลา



    ตอนนั้นผมเด็กกว่านี้ และความทรงจำของผมก็ไม่ได้กระจ่างชัดมากเพียงพอที่จะจดจำได้ว่าเขาสองคนทะเลาะกันด้วยเหตุผลอะไรและทำไมต่างฝ่ายก็ต่างเซื่องซึมหลังจากแผดเสียงใส่กันดังลั่นอพาร์ทเมนต์  ผมรู้แต่ว่าผมออกจะเข้าข้างเดรโก ณ ตอนนั้น (รวมถึงตอนนี้ด้วย) ผมเคารพความต้องการของพี่ชายแต่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของเขา ผมจึงได้แค่เชียร์เดรโกอยู่เงียบๆ และภาวนาว่าขอให้แมทเทียสยอมจำนนต่อเหตุผลของเพื่อนเสียเถอะ สงครามบ้าๆ ในอพาร์ทเมนต์ของเราจะได้จบๆ ลงไปเสียที นั่นล่ะ เดรโกไม่ได้สนใจจะได้แรงเชียร์อะไรจากผมสักหน่อย

     

    หากมองย้อนกลับไปแล้ว  เรื่องของทั้งคู่เป็นมากกว่าเพื่อนโดยไม่ต้องสงสัย สายตาที่เดรโกมองแมทเทียสมันเป็นสายตาของคนที่มองคนรัก...  คนรักที่แสนจะเย็นชา  พวกเขาเคยตะโกนใส่กันเรื่องที่ว่า ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิ์จะควบคุมหรือก้าวก่ายการตัดสินใจ  แน่นอนว่าเดรโกไม่พอใจจนเป็นฝ่ายกลับออกไป แต่วันต่อมาเขาก็กลับมาพร้อมเหตุผลใหม่เสมอว่าทำไมแมทเทียสไม่ควรไปรบ  มีครั้งหนึ่งเดรโกหายไปสี่ห้าวัน คราวนี้เป็นแมทเทียสที่ยอมอ่อนข้อลง แต่ไม่เปลี่ยนใจ
     

    นั่นล่ะ ความสัมพันธ์ประหลาดของทั้งสองคนเป็นไปในรูปแบบนั้น  และสุดท้ายมันก็ลงเองด้วยบทสนทนาเศร้าๆ ตอนที่เราขับรถไปส่งแมทท์ที่ฐานทัพภาค  ทั้งสองคนดูปั้นปึ่งต่อกัน  ไม่มีบทสนทนาใดตลอดการเดินทาง  มีก็แต่แม่ที่ส่งเสียงระเบิดร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด


    สุดท้ายก็เป็นเดรโกที่เอ่ยปากพูดก่อน น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ติดจะเศร้า ‘รีบกลับมานะ....รักษาตัวด้วย’


    พี่ชายเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ สวมกอดผมแล้วตามด้วยการกอดเดรโกเร็วๆ ‘แล้วเรื่องที่ขอไว้ล่ะ‘

    คนฟังถอนใจ ‘อะไรที่นายขอไว้ ฉันสัญญา....’ ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองผมแล้วเอื้อมมาแตะไหล่ ‘สัญญาว่าจะดูแลเอมิลให้อย่างดีที่สุด’


    แมทท์ยิ้ม ผมดูไม่ออกจริงๆว่าพี่คิดอะไรอยู่


    ‘สัญญาสิว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นายปั่นหัวฉันจนแทบบ้าแบบนี้’ คนไปส่งเอ่ยปากทวงถาม  มือของเขาดึงแขนของแมทเทียสไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเดินจากไป  ผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็แอบคิดว่าพี่ชายออกจะใจร้ายไปหน่อยที่แกะมือของอีกฝ่ายออกแล้วโบกมือลา โดยไม่รับปากอะไรเลย


    ผมไม่รู้หรอกว่านอกเหนือจากความกลัวว่าแมทเทียสจะไม่ได้กลับบ้าน  เดรโกซุกซ่อนความรู้สึกอะไรไว้อีก  ผมแค่จดบันทึกคำพูดเศร้าๆพวกนี้ไว้ในสมองพร้อมกับขีดเส้นสีแดงตัวโตๆว่าเดรโกจะเป็นคนที่คอยดูแลผม พร้อมกับค่อยๆลดขนาดของคำอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคนลง  กระนั้น...สายตาคู่นั้นไม่เคยมองมา  ไม่ว่าอย่างไรมันก็จับจ้องแต่เพียงแมทเทียสคนเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้และจำขึ้นใจ



    และเหตุนี้เองผมจึงไม่บอกเขาเรื่องอาการป่วยของแม่ แต่เลือกโทรหาคริสตอฟแทน  ในเมื่อเดรโกไม่เห็นผมในสายตา  ผมก็จะทำอย่างนั้นกับเขาเช่นกัน

     

    $ $ $ $

     

     

    เหตุการณ์ของตำรวจทางหลวงช่างเงียบสงบ  ไม่รู้จะเรียกเรียงที่ฝูงแพะภูเขาวิ่งเตลิดขวางสิบล้อบนถนนหลวงตายหมู่ 5 ศพเป็นคดีอุกฉกรรจ์ได้หรือไม่ 

     

    “เอมิล”

     

    “หือ”

     

    “เล่าเรื่องแมทเทียสให้ฉันฟังซิ”

     

    พิลึกคน ผมคิดในใจ  ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคำสั่งนั้น “ทำไมต้องเล่า ในเมื่อคุณเป็นคนที่น่าจะสนิทกับพี่ที่สุด รู้จักกันดีทุกซอกทุกมุม” ผมกระแนะกระแหน  รู้อยู่แก่ใจถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ยอมสิ้นเยื่อขาดใยของสองคนนี้ “ถามตัวเองดีกว่า”

     

    “ฉันอยากรู้ข้อมูลจากฝั่งนาย”

     

    “มาถามตอนนี้ สายไปหน่อยนะ ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงแล้ว” ผมพูดคล้ายจะตัดพ้อ ก็อยากจะบ่นดังๆหรอก ไหนว่าจะคอยดูแลผมไง....ไม่มีเสียหรอก พูดดีเอาหน้าชัดๆ “ถ้ารักกันมาก ไม่เห็นต้องมาถามผม  คุณน่าจะไปตามหาเขาเสียเอง”

     

    “นายไม่ตอบคำถามของฉัน” รถเหยียบเบรกแทบจะหัวทิ่ม ดวงตาคมกริบจ้องผมด้วยแววตาเย็นชา “จะตอบหรือจะลง”

     

    “ตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่าทุกอย่าง อยากจะทำอะไรก็ทำได้งั้นสินะ โอเค.... ผมจะได้จำไว้แล้วรอไปคุยกับแมทเทียสว่า ‘คนสนิท’ ที่แสนดีของพี่ แม่งโคตรประเสริฐเลย”

     

    “จะตอบหรือจะลง” ถามซ้ำเป็นครั้งที่สอง

     

    ผมรู้สึกโกรธ โกรธตัวเองที่รู้สึกต้อยต่ำและไร้ค่าในทุกครั้งที่มีประเด็นเรื่องพี่ชายเข้ามาข้องเกี่ยวระหว่างเราสองคน ผมรู้สึกเหมือนเป็นเพียงแค่แมลงเล็กๆที่คอยกวนใจเดรโกอยู่เสมอ เป็นเพราะความฟุ้งซ่านของผมเองที่สำคัญตัวผิดมาตลอดว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีจากเดรโกแต่ค้นพบว่าความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  นั่นมันสมัยที่ผมยังไม่ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ก้าวข้ามขั้นเพื่อนสนิทไปไกลโข

     

    รู้ทั้งรู้  แต่ไม่เคยเจอพูดตอกหน้าอย่างเมื่อเช้านี้มาก่อน  เมื่อไรผมจะยอมรับได้นะ  เมื่อไรกันที่ผมจะรู้สึกเคยชินแล้วปล่อยให้คำพูดร้ายๆ เป็นเพียงสายลมผ่านหูไป

     

    อีกเดี๋ยวก็จะชิน  อีกนิดก็จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว  อดทนหน่อยเอมิล

     

    “แมทท์โทรหาผมครั้งสุดท้ายก็.....เดือนเมษายน วันที่ 28 วันนั้นวันเกิดแม่  เขาโทรหาแม่  เราได้คุยกันนิดหน่อย”

     

    “เมษายน ครึ่งปีมาแล้ว  แมทเทียสพูดเรื่องอะไร”

     

    “ตอนนั้นเขาอยู่ที่ดาร์ฟูร์  คอยดูแลความสงบทั่วไปและอาจจะย้ายไปทำภารกิจต่อที่คองโกเพราะมีกบฏจ้องล้มล้างรัฐบาลอยู่ คุยกันเรื่องโรงเรียนนิดหน่อยแล้ว...เขาก็สั่งให้ผมทำตัวดีๆ....บอกให้...”

     

    “บอกว่าอะไร”

     

    บอกว่า หากมีปัญหาอะไร ให้บอกเดรโกทุกอย่าง... เดรโกจะคอยดูแล

     

    “ช่างเถอะ  จำไม่ได้แล้ว”

     

    “แน่ใจนะว่าจำไม่ได้”

     

    “เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ”

     

    “เมษายนมันก็ครึ่งปีแล้ว เขาจะไม่โทรหานายนานขนาดนั้นได้ยังไง” 

     

    ผมยักไหล่ “จะทำอะไรได้ ก็แค่ไ่ม่มีใครโทรมา ไม่สามารถติดต่อได้  อีเมล์ไม่ถูกเปิด โทรศัพท์หาตัวไม่เจอ ผมพยายามติดต่อกองทัพเพื่อตามหาเขาแต่ไม่มีใครพูดตรงกันสักคน เจ้านายเขาบอกว่าเขาหนีทัพ  เพื่อนสนิทในกองร้อยของเขาบอกว่า เขาหายสาปสูญไปเฉยๆ และเขาก็ไม่เคยกลับมาเหยียบบ้าน คุณว่าผมเชื่อใครดี”  ผมมองหน้าเดรโก  พยายามตีสีหน้าให้นิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาแม้จะไม่เข้าใจว่าหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเขานั้นแปลว่าอะไร “เขาแค่หายไป  ไม่มีได้ข่าว  ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หายไปกับสายลม”

     

    “นายก็ดูไม่เดือดร้อนนี่”

     

    “ผมน่ะเหรอที่ดูไม่เดือดร้อน  คุณด่วนตัดสินคนจากภายนอกมากเกินไปแล้ว” ฟังแล้วรู้สึกฉุนขึ้นมา ผมเนี่ยนะ ไม่เดือดร้อน  ผมต่างหากที่กำลังเป็นแกนกลางของธรณีที่สูบแผ่นดินลงสู่นรก “ถ้าไม่รู้ก็อย่าพูดอะไรพล่อยๆ” ยิ่งผมเสียงดัง เดรโกก็ยิ่งทำสีหน้าไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ และนั่นทำให้ผมรำคาญใจมาก “คุณมีอะไรจะพูดรีบๆ พูดมา”

     

    “นายโกหกได้แย่มาก เอมิล”

     

    หาเรื่องอะไรอีกล่ะ! ผมตวาดเสียงดังอยู่ในหัว ไม่เข้าใจเลยว่าเดรโกเอามาตรฐานอะไรมาตัดสินคนอื่น แต่แล้วก็ต้องสะอึกเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา

     

    “แมทเทียสโทรหาฉันเมื่อสองอาทิตย์ก่อนแล้วกำชับให้ฉันดูด้วยว่านายไม่ได้ไปยุ่งกับพวกยาเสพติด เขาเป็นห่วง”

     

    “ไม่จริง!” 

     

    “แมทเทียสโทรหาฉันทุกวันศุกร์ที่หนึ่งและสามของเดือน ไม่เคยขาด นับตั้งแต่วันที่เขาออกจากบ้านไป ยกเว้นศุกร์นี้ที่เขาไม่โทรมาเป็นครั้งแรก”

     

    “คุณอย่ามาล้อเล่น!! แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ทำไมคุณไม่เคยพูดอะไรเลย” ผมตกใจลนลานกับสิ่งที่ได้ฟังซึ่งเหนือความคาดหมายไปมาก  คนที่ผมคิดว่าหายไปและทำให้แม่ถึงกับตรอมใจ กลับมีชีวิตปกติดีและโทรหา ‘คนสนิท’ โดยไม่เคยแจ้งข่าวอะไรกับครอบครัวที่เป็นห่วงแทบตายเนี่ยนะ

     

    “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ก็ในเมื่อแมทเทียสยืนยันว่าเขาโทรคุยกับนายก่อนแล้วค่อยโทรหาฉัน เขาพูดแบบนี้ตลอด”

     

    “พี่โกหกคุณ”

     

    “นายสิโกหกฉัน”

     

    “ผมจะไปโกหกคุณเพื่อเวรอะไรไม่ทราบ”

     

    “แมทเทียสก็ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกฉันเช่นกัน”

     

    “ไม่ฟัง ไม่เคยฟังเลย! ผมติดต่อพี่ไม่ได้! ไม่มีใครช่วย! ไม่มีใครเหลียวแล! เหลือแค่ผมที่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้ เพราะกองทัพตัดสินว่าแมทท์หนีทัพ เขาจึงระงับเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการทั้งหมดมาตั้งแต่สิ้นเดือนพฤษภาแล้ว  ผมมีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหกคุณ” ผมตะเบ็งเสียงสู้  คว้ากระเป๋าใบเล็กขึ้นมากระชากเปิดซิปที่ใส่เอกสารสำคัญ  เจอสมุดบัญชีธนาคารของแมทเทียสก็เขวี้ยงใส่หน้าเดรโกเต็มๆ สันของสมุดข่วนแก้มขวาของเขาเป็นรอยขาว “ดูซะให้เต็มตา สมุดบัญชีไม่มีเงินเข้า แถมถูกระงับบัญชีจากทางกองทัพ ผมมีเงินแค่นั้นเพื่อดำรงชีวิตมาตลอดครึ่งปี คุณยังจะมาหาว่าผมโกหก คำพูดของผมมันไม่มีน้ำหนักเท่าแมทท์นี่!! พูดความจริงก็ไม่มีใครรับฟัง”

     

    เดรโกเบรกรถหัวทิ่ม เงื้อมือหมายจะตบผมแต่เขาห้ามตัวเองไว้ได้ มือใหญ่คลี่สมุดบัญชีที่ว่างเปล่ามีเงินเหลือเป็นศูนย์ออกดู ดวงตาคู่นั้นฉายแววสับสนจนผมอยากจะหัวเราะเยาะใส่

     

    “พอใจหรือยัง  เชื่อเข้าไปสิคำพูดของแมทเทียสน่ะ” ผมประชด อยากจะลงจากรถเต็มที่แล้ว “คิดเองเออเองว่าผมอยู่สุขสบายดีจนสมองกลับต้องมาใช้ชีวิตเฮงซวยอยู่ข้างถนนอย่างนั้นสิ  ใช่สิ ถ้าเป็นแมทเทียสพูด....อะไรมันก็น่าเชื่อถือ อะไรมันก็ดีไปหมด แค่เป็นแมทท์ ไม่ใช่เอมิลก็เท่านั้นเอง”

     

    สีหน้าคลางแคลงใจของเดรโกตอกย้ำความรู้สึกหดหู่ให้ดำดิ่ง แววตานั้นเหมือนแววตาของแม่  มันว่างเปล่า  ไร้การจดจำ  ไม่มีผมสะท้อนอยู่ในดวงตา

     

    เดรโกไม่เคยเห็นผมอยู่ในนั้น ไม่เคยคิดแม้แต่ว่าผมเป็นน้อง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องรับฟังผม เมื่อเช้าเขาก็พูดชัดแล้วนี่นะ ผมยังจะคาดหวังอะไรอีก

     

    “สำหรับคุณ ผมเป็นแค่เด็กเลวๆคนนึงที่เอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับพวกขยะสังคมสินะ  ผมมันโง่ที่ลาออกจากโรงเรียนเอกชนชั้นเลิศมาใช้ชีวิตไปวันๆ ผมมันต้อยต่ำ...เพราะผมต้องวิ่งรอกทำงานสองอย่าง งานโง่ๆที่ไม่สมศักดิ์ศรีคนจากครอบครัวทหาร ผมมันน่ารังเกียจ...เพราะว่าใครคนหนึ่งหาว่าผมขายบริการ สำหรับคุณ....เอมิลก็ไม่ต่างอะไรจากพวกสวะที่คุณเกลียดนักหนา แต่คุณเคยรู้บ้างไหมว่าผมใช้ชีวิตเหมือนหมามาครึ่งปีเพราะใครและเพื่ออะไร” ผมพยายามสะกดน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด แต่สิ่งที่หูได้ยินกลับกลายเป็นความขมขื่นและท้อแท้จนแทบไม่เชื่อตัวเอง คำพูดของเดรโกเหมือนยาพิษร้ายที่ทำให้ความรู้สึกของผมชาราวกับถูกอัมพาตกัดกิน แมทเทียสโกหกทำไม...

     

    “คุณไม่เคยถามผมว่าทำไมผมต้องทิ้งชีวิตดีๆ คุณไม่เคยใส่ใจเพราะคุณมีคำตอบในใจแล้ว คำตอบที่เขาวางล่อไว้ให้ คุณ....คนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลผมกลับมองเมินผมเพราะเชื่อคำพูดทางโทรศัพท์ที่มาจากคนที่อยู่แสนไกล...จนไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ถ้าคุณเชื่อแมทเทียสกับไอ้โทรศัพท์บ้าๆนั่นแล้วมีความสุข ก็เชื่อในสิ่งที่คุณอยากจะเชื่อเถอะ ผมไม่มีแรงจะไปงัดกับคุณแล้ว”  ความรู้สึกร้อนๆ กรุ่นอยู่ที่ขอบตา น้ำตาจะหยดออกมาเสียให้ได้ แต่ผมกลับรู้สึกแค้นใจพี่ชายเกินกว่าที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา  แมทเทียสโกหกทำไม  เขาคิดจะตัดผมออกอีกคนเหรอ  ตัดเหมือนที่แม่ทำ  บีบให้ทุกคนเชื่อเขาแล้วต้อนผมเข้าสู่มุมมืดที่ไม่มีทางออกและไม่มีใครต้องการ

     

    แม้กระทั่งแมทเทียส ก็ไม่เห็นผมเป็นน้อง...สินะ ถึงทำกันได้ลงคอ

     

    ผมเปิดประตูรถขยับจะลงก็ถูกขยุ้มหลังคอกระชากไว้ เล็บของเดรโกจิกเข้าเนื้อราวกับอุ้งตีนเสือ “จะไปไหน”

     

    “ไปเยี่ยว”

     

    “อย่ามาพูดจาสถุลใส่ฉัน พูดใหม่!” ตวาดเสียงกร้าว ผมกัดริมฝีปากยอมถอนคำพูดนั้น

     

    “ขอโทษ ผมปวดฉี่... ปล่อยก่อน ไม่หนีไปไหนหรอกน่า” ฝ่ามือนั้นคลายออกผมจึงผลุนหลันลงจากรถ  ผมเดินโซเซราวกับคนเมาลงไปตามไหล่เขาที่ลาดชันและขึ้นเนินสูงขึ้นตามแนวของต้นสน  คล้ายกับจะหาที่ถ่ายเบา ห่างออกจากรถไปสักห้าสิบเมตรเห็นจะได้  ทางหลวงที่ตัดอ้อมภูเขาเป็นลูกๆแบบนี้คงยากที่จะมีห้องน้ำสาธารณะให้ใช้งาน แต่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูด

     

    ปวด.....ที่ใจ

     

    หายใจไม่ออก ผมรู้สึกเหมือนคนที่โดนกดน้ำจนปอดจะระเบิด  ภาพตรงหน้าพร่าเลือนราวกับฝนเทกระหน่ำตรงหน้า  ผมทรุดตัวนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ดงสน แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยความคับข้องใจ น้ำตาของคนแพ้....แพ้ภัยของคนที่รักที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นชนวนเหตุที่เกิดขึ้นและทำไมแมทเทียสถึงต้องทำกับผมแบบนี้  ที่เดรโกรู้สึกอคติกับผมมาตลอดครึ่งปีก็สมเหตุผลแล้ว  เขามีหูไว้ฟังแมทท์  มีหัวใจไว้เชื่อ  มีตาไว้คอยจับจ้องแต่เพียงคนๆนั้น  ผมกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดเพื่อรอวันที่แมทเทียสจะกลับมา เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับคืออะไรกัน... ไม่มีอะไรเจ็บเท่ารู้ว่าความยากลำบากที่พบเจอเกิดขึ้นด้วยน้ำมือคนที่รอคอยโหยหามาตลอด  ทำไม...แม้กระทั่งแมทเทียสก็ทำผมได้ลงคอ แม้กระทั่งที่เขาฝากฝังผมไว้กับเดรโกก็เป็นลมปากเปล่าเพราะเขาไม่ได้ต้องการแบบนั้นจริงๆ  แม้กระทั่งความหวังก็ไม่เหลือไว้อย่างนั้นหรือ

     

    เปล่าเลยใช่ไหม...

     

    ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง....  ผมอยากจะสลายร่างกายปลิวไปกับสายลมเหมือนเกล็ดหิมะบางเบา  ผมคงเป็นแค่นั้น สำหรับทุกคนรอบตัว ไม่มีใครเห็นผม... มีค่าแค่เถ้าถ่าน

     

    ให้บอกเดรโกทุกอย่าง... เดรโกจะคอยดูแล

     

    จะบอกให้ทำอย่างนั้นทำไม...ในเมื่อพี่เป็นคนบิดเบือนความจริง

     

    บอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้  อย่าทำตัวโง่ๆ ไปมากกว่านี้  ผมร้องทำไม ร้องเพื่อใคร  ในเมื่อน้ำตามันไม่มีค่าอะไรแม้แต่กับแมทเทียส  ผมเอามือปิดปากตัวเองไว้แล้วสะอื้นโดยไม่ให้มีเสียง.... ผมมันแค่เด็กโง่คนนึงที่ดิ้นรนโดยไม่รู้อะไรเลย  มีแต่ผม...ที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว

     

     

     

     

    “เอมิล....”

     

    เสียงฝีเท้ามาจากด้านหลังพร้อมกับมือที่เอื้อมมาแตะไหล่ ผมปัดมันออกแล้วรีบใช้หลังมือป้ายน้ำตา  คนสุดท้ายที่ผมอยากให้เห็นว่ากำลังร้องไห้ก็คงเป็นมนุษย์ใจหินคนนี้ ผมจงใจสะบัดหน้าหนีแล้วเงียบอยู่นาน

     

    “ไปรอที่รถ เดี๋ยวผมตามไปเอง”

     

    “ฉันจะรอตรงนี้” เสียงของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “อย่าร้องไห้”

     

    “ที่อื่นมีเยอะแยะ ไปรอที่อื่นก่อน”

     

    เสียเวลาเปล่าที่จะพูดด้วย ผมขยับจะเดินหนีกลับมีมือสองข้างที่โอบจากด้านหลังแล้วดึงเข้าสู่แผ่นอกกว้างและอ้อมกอดที่โอบรัดไว้จนดิ้นไม่หลุด 

     

    “อย่าดื้อให้มันมากนัก”  ผมเงยหน้าเอี้ยวไปมอง  นึกว่าจะได้เจอสายตาจิกกัดค่อนแคะเหมือนเคย แต่นายตำรวจหนุ่มที่พันธนาการร่างไว้กลับทำให้ผมเองรู้สึกแปลกใจกับสายตาแปลกๆที่ทอดมองมา

     

    “ฉันผิดเองที่รับปากแล้วไม่เคยทำ  แมทเทียสกำชับให้ฉันคอยดูแลนายเสมอ  ทุกครั้งที่เขาโทรมา  เขาจะจบการสนทนาด้วยคำว่า ฝากเอมิลด้วยนะ....  นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตามแต่” เดรโกเป็นฝ่ายพูดกับผมด้วยสีหน้าของ.... สำนึกผิด แน่ใจเหรอ ช่วยย้ำทีว่าเดรโกรู้สึกผิดจริงๆ  “ฉันไม่รู้มาก่อน...เรื่องที่นายเล่ามา ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาต้องโกหกกันด้วย”

     

    ฝ่ามือนั้นหมุนตัวเขาให้มามองประจันหน้ากัน  มือใหญ่ใช้นิ้วสากๆ ปาดคราบน้ำตาออกให้  แม้จะรู้สึกถึงความเสียดสีแต่ก็อบอุ่นอย่างประหลาด  ผมแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า  นี่เป็นภาพหลอนของจินตนาการที่หลงเพ้อไปเองหรือเปล่า “หยุดร้องไห้ซะ  ฉันขอโทษที่กล่าวหาไปแบบนั้น”

     

    ผมรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก็เพราะไม่เคยฟังผมไม่ใช่เหรอถึงได้มีอคติเสียมากมาย  น้ำตาร่วงออกมาอีกระลอก ได้แต่กัดปากตัวเองแน่นไม่ให้ส่งเสียงสะอื้นออกมาแม้มันจะทำได้ยากเหลือเกิน

     

    “ปัดโธ่เอ๊ย” บ่นออกมาอย่างขัดใจแล้วกอดแน่นขึ้น  มือข้างหนึ่งลูบหัวของผมปลอบโยน  เราสองคนอยู่ในสภาพนั้นกันพักใหญ่ทีเดียวจนผมรู้สึกอายขึ้นมา พยายามกลั้นสะอื้นแล้วผลักไสเขาออกไปเสีย แวบแรกที่ได้สบตาก็พบว่าเขาหน้าหงิกหน้างอ  คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นเดียว  ทว่าผู้ชายที่ปกติมีแต่แววตาเย็นชา ตอนนี้กลับดูร้อนรนวุ่นวายใจจนผมออกจะแปลกใจที่ได้เห็น “เดือดร้อนทำไมไม่ได้ร้องไห้ให้คุณซะหน่อย” เช็ดน้ำตาตัวเองจนเหือด แต่เมื่อสบตาแล้วเห็นเงาของตัวเองสะท้อนในดวงตาคู่นั้น ก็รู้สึกอายไม่ได้ที่ทำตัวขี้แย

     

    เดรโกล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาเช็ดแรงๆ ให้ผมจนรู้สึกแสบผิว กระนั้นกลับรู้สึกดีที่ได้รับการเอาใจใส่แม้เพียงไม่กี่วินาทีก็ตาม

     

    “ร้องไห้เรื่องอะไร”

     

    “เจ็บใจนี่ พี่ทำแบบนี้เท่ากับจงใจทิ้งผมให้เผชิญปัญหาทุกอย่างคนเดียว” ผมตอบอย่างโกรธๆ “ไม่ว่าจะพูดดีอย่างไรให้ผมดูแลตัวเอง หรือฝากผมไว้กับใครก็ไม่ได้จริงใจอะไรเลย ผมจะมีพี่เฮงซวยอย่างนี้ทำไม”

     

    “ระวังคำพูดหน่อย”

     

    “โอเค้” กระชากเสียงสูง “คนที่ดีคือแมทท์ คนเฮงซวยก็คือผม พูดแบบนี้ถูกหรือยัง”

     

    “ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดเน่าๆ นี่ก็แล้วกัน” ถ้าผมไม่ได้หน้าเปื้อนน้ำตาอยู่คงไม่แคล้วโดนตบให้ได้เลือด

     

    เดรโกถอนใจยาวๆ พยายามใช้น้ำเสียงที่ข่มอารมณ์ก่อนจะเริ่มอธิบาย “นายจะน้อยอกน้อยใจเป็นบ้าเป็นบออะไร ฉันไม่รับรู้ แต่เท่าที่ฉันรู้นั้นต่างจากสิ่งที่นายได้รับมา แมทเทียสบอกฉันตั้งหลายเดือนแล้วว่าเขาถูกกำหนดให้ออกจากกองทัพเพื่อทำภารกิจพิเศษในประเทศของกระทรวงยุติธรรม  เขาได้เดินทางออกจากแอฟริกาตั้งแต่พฤษภาคมเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้กับทีมอีกไม่กี่คน  เขาบอกว่าเขาติดต่อนายอยู่ตลอดอย่างลับๆ แต่ที่ฉันไม่รู้คือ....ภารกิจนั้นคืออะไรและเหตุผลอะไรที่เขาต้องโกหกเรื่องนาย”

     

    “แต่ผู้บังคับบัญชาบอกว่า เขาหนีทัพ และกองทัพยืนยันด้วยการตัดเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนทั้งหมด”  ผมเอ่ยข้อมูลทั้งหมดที่มีซ้ำอย่างสับสน

     

    “เราจะพิสูจน์กัน  ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายนึงโกหก หรือไม่ก็ทุกคน”

     

    “คุณว่าผมอีกละ!”

     

    “ฉันหมายถึง ระหว่างกองทัพกับแมทเทียสต่างหาก เด็กโง่เอ๊ย”

     

    “เป็นนักสืบที่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบจริงๆ” ผมเหน็บ “คุณรู้มากกว่าผมนี่  ยังจะอยากถามอะไรอีกล่ะ”

     

    ริมฝีปากเหยียดนิด ไม่รู้ว่าเพราะหงุดหงิดหรือไม่พอใจอะไรสักอย่างหรือไม่ “ถ้าสิ่งนายพูดเป็นความจริงทุกอย่าง เขาหนีทัพไปซ่อนตัวที่ไหนสักที  งั้นเขารู้เรื่องที่นายไปพัวพันกับยาเสพติดได้ยังไง”

     

    ไม่มีภารกิจลับของราชการอะไรในโลกนี้ที่สั่งให้พี่ชายจับตาดูน้องชายของตัวเอง  นอกเสียจากว่าน้องชายได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่องแล้วทิ้งรอยเท้าเอาไว้จนตามตัวได้   อยากจะโกรธ  อยากจะอาละวาดให้สาแก่ใจแต่รู้ใจเหมือนไร้เรี่ยวแรง  ผมส่ายหัวปฏิเสธซึมๆ “ไม่รู้  ผมไม่รู้อะไรอีกแล้ว” 

     

    ไม่รู้ ไม่เข้าใจและคิดว่าคงยังไม่พร้อมจะรับฟังอะไร ผมเบือนหน้าไปทางรถแล้วปล่อยให้เดรโกลากแขนไป  เดินตามราวกับไร้หัวใจ ลมหนาวพัดมาจากทางทิศเหนือที่เรากำลังมุ่งหน้าไปพร้อมกับความเย็นยะเยือกของสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ตรงหน้า

     

    เดรโกถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่ายแต่เขาไม่ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ ยังคงจับแขนไว้อย่างนั้น  “ไม่ต้องจับ กลัวผมวิ่งหนีไปหรือไง”

     

    ไม่มีคำตอบ แต่หูเหมือนได้ยินเสียงตอบรับในคือว่า อืม  

     

    ...ดีใจที่ได้ยิน...แต่คุณสนใจด้วยเหรอ ว่าผมจะอยู่หรือไป...

     

    อะไรเย็นๆ หล่นลงมาแตะที่ปลายจมูก  เราสองคนชะงักมองขึ้นไปยังท้องฟ้าพร้อมๆกันก็พบเกล็ดหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีเทา  เดรโกปล่อยแขนของผม  ปลดผ้าพันคอของตัวเอง เหวี่ยงมาคล้องคอผมอย่างลวกๆ 

     

    “ขึ้นรถ เราต้องไปกันต่อ”

     

    “เรากำลังตามหาอะไรกันแน่”

     

    ดวงตาคมปลาบมองกลับมา “เราต้องตามหาแมทเทียส”

     

    “คุณเอาอะไรมามั่นใจว่าเราจะตามหาเขาเจอ ในเมื่อคุณเพิ่งบอกผมอยู่หยกๆว่าไม่รู้ว่าเขาปฏิบัติภารกิจลับอยู่ที่ไหน” ผมแย้ง แต่ก็เดินตามพลางพันผ้าเข้ากับคอของตัวเองให้รู้สึกอุ่นสบาย ผ้าขนสัตว์เนื้อดีมีกลิ่นของบุหรี่เจือจาง เสื้อผ้าดีๆที่ผมแลกมันไปเพื่ออย่างอื่นที่สำคัญกว่าไปแล้ว  ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นให้ความรู้สึกราวกับถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยน  ผมคิดไปเองอีกแล้ว หลังๆนี่เป็นเอามากนะ... ผมคงว้าเหว่สุดขีด อีกนิดก็ประสาทหลอนแล้วสินะ ผมสอดตัวลงนั่งเบาะข้างคนขับแต่ยังไม่ยอมปิดประตู

     

    เดรโกเอนตัวมาทางผมจนชิด  มือยาวๆ คว้าประตูรถที่ทำจากเหล็กรุ่นเก่าทั้งหนาทั้งหนักปิดลงดังปัง 

     

     

    “มือข้างนั้น....จะชี้ทางให้เราเอง”

     

     

     

     

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×